Chapter 12: เกลียดเข้าไส้[1]
ดีแล้วล่ะที่พูดไปอย่างนั้น บอกไปตามตรงเลยนั่นแหละดีแล้ว เขาจะได้รู้สักทีว่าผมน่ะ...เกลียดเขาเข้าไส้!
ผมพยายามบอกตัวเองอย่างนี้มาหลายวันแล้วเพื่อกลบความรู้สึกผิดที่ผุดขึ้นมาในใจของตัวเอง ก็ตอนที่ผมบอกว่าชอบพี่บุศย์และจะไม่มีวันชอบเขาน่ะ พี่อินทร์ดูสลดมากๆ เลยนะ ถึงแวบแรกผมจะคิดว่าเขาแกล้ง แต่พอเห็นแววตาของเขาแล้ว ผมว่าเขาคงจะไม่ได้แกล้งหรอก
ถูกคนที่ชอบพูดใส่หน้าอย่างนั้น ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องจุกทั้งนั้นแหละ ไม่เว้นแม้แต่อิเหนาเองก็ตาม
ผมก็เหมือนเป็นไบโพล่าร์นะ ครึ่งหนึ่งก็รู้สึกสะใจที่ทำให้อิเหนาที่หลงตัวเองว่ารูปงามนามเพราะ ใครเห็นก็รักก็หลงเสียหน้าได้ แต่อีกครึ่งหนึ่ง... อย่างที่บอกแหละว่ารู้สึกผิด ไม่อย่างนั้นผมจะมาคิดวุ่นวายเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำไม
หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้เจอหน้าพี่อินทร์เลยด้วย ต่อให้ตามติดพี่บุศย์ก็ไม่เห็นพี่อินทร์มาวุ่นวายเลยแม้แต่น้อย ความผิดปกตินี้ทำให้ผมไม่สบายใจ แต่จะให้ถามพี่บุศย์ก็ไม่กล้า กลัวว่าถ้าถามไปแล้ว เขาเกิดถามว่ามีเรื่องอะไรกัน นั่นแหละเป็นเรื่องที่ผมไม่กล้าบอกไปล่ะ
ใครจะไปกล้าบอกล่ะว่าผมหักอกรูมเมตเขาเพราะผมชอบเขาน่ะ
แต่...ทั้งๆ ที่มีเวลาอยู่กับพี่บุศย์สองต่อสองแล้ว ผมกลับฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อน เอาแต่คิดถึงเรื่องพี่อินทร์ อยากจะถามเหลือเกินว่าเขาเป็นยังไงบ้าง ทว่าก็ปากหนักเกินกว่าจะพูดไป ผมเลยระงับความฟุ้งซ่านนั้นด้วยการเลิกตามติดพี่บุศย์สักระยะ ไปกินข้าว ทำกิจกรรมอื่นๆ กับเพื่อนฝูงในเอกบ้าง เพื่อนๆ ผมก็ดูจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ผมเป็นฝ่ายเข้าหาพวกเขาเอง ปกติแล้วเวลาใครชวนไปไหน ผมจะปฏิเสธตลอด
ใจจริงก็ไม่ได้ว่าอยากจะเกาะกลุ่มไปกับเพื่อนหรอกนะ เพราะเพื่อนเอกผมชอบไปไหนมาไหนกันกลุ่มใหญ่ๆ ทั้งหญิงและชายปนๆ กันไป เวลาจะไปไหนแต่ละทีก็ต้องรอกันก่อน ซึ่งอันนี้มันน่ารำคาญสำหรับผมมาก แต่เหมือนช่วงนี้จำเป็นต้องพึ่งพาจริงๆ แหละ ไม่งั้นคิดวุ่นวายน่าดู
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมมากินข้าวกลางวันกับพวกเพื่อนๆ ระหว่างที่กินข้าวและพูดคุยกันออกรสอยู่นั้น จู่ๆ ใครบางคนในกลุ่มก็กระซิบกระซาบขึ้น
“มึงๆ พี่คนนั้นใช่คนที่เป็นเดือนมหา’ลัยหรือเปล่าวะ”
ผมชะงักช้อนที่กำลังเขี่ยใบกระเพรา เงยหน้าขึ้นมองตามจุดที่เพื่อนพยักปลายคางไป
“เออ ใช่ ตัวจริงโคตรหล่อเลยว่ะ”
แล้วผมก็เห็นว่าผู้ชายคนที่เพื่อนๆ พูดถึงกันนั้นคือพี่อินทร์ เท่านั้นผมก็รีบก้มหน้างุด ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ แต่ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงถ้าจู่ๆ เขาปรี่เข้ามาหาผมน่ะ
ก้มไปได้ครู่หนึ่งก็เหลือบมองเล็กน้อย เหมือนว่าวันนี้พี่อินทร์จะไม่ได้มากินข้าวที่นี่แต่อย่างใด ทว่ามาแจกอะไรสักอย่างกับกลุ่มเพื่อนๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร จนกระทั่งหนึ่งในรุ่นพี่ที่มากับเขาเดินมาที่โต๊ะเรา
“น้องอยู่ปีหนึ่งกันปะครับ”
“ใช่ค่า”
เพื่อนผู้หญิงพากันร้องรับประสานเสียงให้รุ่นพี่คนนั้นได้ยิ้มกว้าง
“งั้นดีเลย คืองี้ ที่คณะสินกำมีการแสดงละครเวทีให้น้องๆ ปีหนึ่งเข้าไปดูฟรีวันพรุ่งนี้ พี่เอาบัตรมาให้ เผื่อจะสนใจไปดูกันนะ”
แล้วก็แจกกระดาษในมือให้ทุกคนเป็นพัลวัน ผมเลยได้รู้ว่าจริงๆ แล้ว พี่อินทร์มาแจกบัตรดูการแสดงนั่นเอง คงจะเป็นโปรเจ็กต์ประจำปีของพวกเด็กปีสองคณะนี้ล่ะมั้ง เหมือนเป็นการต้อนรับเพื่อนใหม่อะไรงี้
ผมเลยไม่ได้สนใจ ได้แต่ภาวนาขอให้พวกเขารีบไปจากที่นี่สักที กลัวเหลือเกินว่าพี่อินทร์จะเดินมาที่โต๊ะนี้ ขณะที่สายตาก็มองเขาแจกบัตรฟรีให้กับนักศึกษาปีหนึ่งโต๊ะอื่นๆ อยู่
แต่ทว่า...เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างผมเลยเมื่อบัตรที่อยู่ในมือรุ่นพี่คนที่มาโต๊ะพวกผมไม่พอ
“เอ้า ไม่พอแฮะ”
ซึ่งคนที่ไม่ได้บัตรก็คือผมนี่แหละ
“เดี๋ยวพี่เอามาให้นะ เฮ้ย ไอ้อินทร! บัตรไม่พอ เอามาใบนึง”
ผมเบิกตาโพลง รีบออกปากทันใด
“มะ...ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เอาก็ได้”
รุ่นพี่คนนั้นหันมามองทันใด “เฮ้ย ไม่ได้ มาแจกแล้ว ต้องได้ทุกคนครับ อะนั่น มาละ เอาไปอีกใบนึง”
ไม่ทันแล้วเรียบร้อย พี่อินทร์เดินมาที่โต๊ะตามเสียงเพื่อนเรียกเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน ผมนั่งตัวแข็งเลยเมื่อเขามาหยุดยืนที่โต๊ะ
“ไหน ใครยังไม่ได้”
เพื่อนผู้หญิงของผมแทบจะโยนบัตรในมือมาให้ผมทันทีที่เห็นหน้าเขา แต่เพื่อนพี่อินทร์ก็ชี้มาที่ผมแล้ว
“น้องคนนี้ยังไม่ได้”
ผมเหลือบมอง รู้สึกอิหลักอิเหลื่อแปลกๆ ขณะที่พี่อินทร์ก็ดูนิ่งไปเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ยื่นบัตรให้ผม
ไม่สิ...ไม่ได้ยื่นให้ เขาวางลงบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไร ไม่มีรอยยิ้มอย่างเคยด้วย ทำให้ผมเผลอหลุดปาก
“พี่อินทร์...”
ไม่รู้ทำไมถึงได้เผลอเรียกออกไปอย่างนั้น แต่เขาน่าจะไม่ได้ยินล่ะมั้งเพราะหลังจากนั้นก็หมุนตัวไปยังโต๊ะอื่นแทน ปล่อยให้ผมได้มองตามหลังพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ
อึดอัด...
ทำไมมันน่าอึดอัดจังวะ
ความจริงผมเองก็รู้คำตอบว่าทำไม มันเป็นเพราะผมเองแหละ เป็นคนไปบอกเขาเองนี่ว่าไม่ชอบให้มาวุ่นวายหรือแกล้ง เขาเลยทำตัวเฉยๆ กับผม แต่...ไม่รู้ทำไม อีกใจหนึ่งก็รู้สึกหวิวๆ แปลกๆ กับท่าทางเป็นปกติของเขา
เออ ไอ้ท่าทางปกตินี่แหละที่มันไม่ปกติสำหรับผมล่ะ ปกติแล้วเวลาเขาเจอหน้าผมจะต้องทำอะไรบ้าๆ บอๆ นี่นา พอนิ่งๆ แบบนี้ ผมก็ไม่ชินยังไงก็ไม่รู้
หรือเขาจะเกลียดผมเข้าให้แล้ว?
เผลอคิดไปแบบนั้น แต่แล้วก็ต้องสลัดความคิดนั้นทิ้ง คิดในแง่บวกแน
ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกัน ห่างๆ กันแบบนี้นั่นแหละดีแล้ว จะเกลียดก็เกลียดไปเลย ดีแล้วล่ะ!
ดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าผมตั้งใจว่าจะไม่ไปดูการแสดงของคณะศิลปกรรมเพราะละครเวทีที่เพิ่งได้บัตรมา มันเป็นการแสดงละครเรื่องอิเหนานี่นา อะไรไม่ว่า เป็นตอนบวงสรวงที่จรกาถูกรุมแกล้งด้วย
เรื่องอะไรจะไปดูเล่า!
แต่พวกเพื่อนผมกลับคะยั้นคะคอให้ผมไปให้ได้ โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิง ประเด็นก็คือพวกนั้นรู้ว่าผมสนิทกับพี่อินทร์พอสมควร เพราะหลังจากที่พี่อินทร์เอาบัตรมาให้ในวันนั้น ผมก็โดนรุมถามกันใหญ่ว่ารู้จักพี่อินทร์ได้ยังไงเพราะแปลกใจที่จู่ๆ ผมก็เรียกชื่อเขา พอเล่าว่าเป็นรูมเมตของพี่รหัส เท่านั้นแหละ อยากให้ผมแนะนำเขาให้รู้จักกันเป็นการใหญ่
มันใช่เรื่องที่กูจะต้องมาเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้ไหมล่ะ!
หงุดหงิดขึ้นมาน้อยๆ เลย ไม่อยากไปด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ พอถึงวันเวลาที่เริ่มการแสดง ผมก็มานั่งจุ้มปุ้กอยู่ในโรงละครของคณะศิลปกรรมศาสตร์จนได้
ไม่นานนัก เสียงบรรเลงดนตรีไทยก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงประกาศของคนพากย์อย่างฮึกเหิมว่าจะแสดงอะไร
อิเหนา ตอนบวงสรวง...
...เป็นตอนที่ผมจำเนื้อหาได้ดีเลยทีเดียว
ไม่ใช่จำได้เพราะบทเรียนที่อ่าน แต่เป็นเพราะเนื้อหาในตอนนี้ มันเป็นหนึ่งในประสบการณ์เลวร้ายที่ผมได้ประสบมาก่อนเลยนะ เรื่องมันมีอยู่ว่าหลังจากที่เสร็จศึกกับวิหยาสะกำแล้ว ผม...ในชาติที่เป็นจรกาก็ถือโอกาสขอแต่งงานกับบุษบา แต่ท้าวดาหาบอกว่าให้ทำพิธีบวงสรวงแก้บนที่ชนะศึกก่อน ในพิธีบวงสรวงนั้น ท้าวดาหาก็เชิญเจ้าชายจากทุกเมืองที่มาช่วยรบมาร่วมกันร้องรำให้สำราญเป็นการสักการะเหล่าเทพยาดาทั้งหลาย เหล่าเจ้าชายพากันขับรำสลับไปมา เมื่อถึงตอนที่อิเหนาต้องร้องรำ อิเหนาก็ขับรำด้วยลำนำที่มีเนื้อหาเสียดสีผม พอถึงคราวผมขับรำบ้าง อิเหนาก็ไปตีกลองให้เสียจังหวะจนร้องรำไม่ได้ ท้าวดาหาเห็นท่าไม่ดีก็เลยให้ยุติการขับรำ
พอไร้ซึ่งการขับรำแล้ว อิเหนาก็ชวนเจ้าชายทุกพระองค์ไปเที่ยวชมป่า รวมถึงชวนผมด้วย ผมรู้แหละว่าเขาไม่ได้อยากให้ผมไปสักเท่าไร แค่ชวนไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เสียมารยาท และขณะที่ชมป่ากันอยู่นั้น ขบวนฝ่ายในขององค์มะเดหวีและบุษบาก็เสด็จผ่านมา ทุกคนหลบทางให้กันหมด แต่อิเหนากลับถลาเข้าไปช่วยบุษบาประคองพานผ้าที่ถือมา ทำให้เหล่าเจ้าชายพากันยลโฉมและชมบุษบาไม่หยุดหย่อน ตอนนั้นผมเห็นแล้วก็ทนไม่ได้ เลยพลั้งปากต่อว่าอิเหนากับพวกเพื่อนของเขาไปว่าทำแบบนี้ไม่มีมารยาท ไปมองบุษบาของผมด้วยความพิศวาสแบบนี้ได้ยังไง จากนั้นก็ถูกยอกย้อนกลับมาว่าเป็นแค่คู่หมั้น ไว้ตบแต่งเป็นฝั่งเป็นฝากันก่อนค่อยมาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของตามหึงหวง ตบท้ายด้วยการหัวเราะใส่
และมันก็เป็นอีกหนึ่งความเจ็บใจจากการถูกอิเหนากลั่นแกล้ง ยิ่งพอกลายมาเป็นการแสดงแบบประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย ผสมผสานความตลกโปกฮาเข้าไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกว่าจรกาช่างโง่เง่าสิ้นดี
ผมมองขึ้นไปบนเวทีตอนที่อิเหนาโผล่ออกมา เสียงร้องกรี๊ดวี้ดว้ายเมื่อเห็นว่าใครเล่นเป็นอิเหนานั้นทำให้ผมต้องย่นคิ้วยู่
จะเป็นใครเสียอีกล่ะถ้าไม่ใช่อิเหนาตัวจริงเสียงจริง
พี่อินทร์...
พอมาสวมชุดไทยแบบนี้ ภาพใบหน้าของอิเหนาในอดีตชาติก็มาซ้อนทับทันที ถึงใบหน้าจะมีบางส่วนที่แตกต่างกันอยู่บ้างตามยุคสมัย แต่ความงามนั้น...ไม่ต่างเลย
อิเหนา...ไม่ว่ายังไงก็คืออิเหนา รูปงาม นามเพราะ ใครเห็นก็รักก็หลง เป็นคุณสมบัติที่อิเหนาพึงมีอยู่แล้ว ขณะที่คนซึ่งรับบทเป็นจรกานั้น... แต่งตัวตลกโปกฮา ตัวดำ ผมหยิก แถมยังอ้วนใหญ่
ผมรู้อยู่หรอกว่าเป็นการแต่งตัวแต่งหน้าให้สมบทบาท แต่พอการแสดงเล่นไปจนถึงฉากที่อิเหนากำลังร้องเพลงเสียดสีจรกาแล้ว ผมก็ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น
แค่รูปชั่วตัวดำ ไม่หล่อเหลาเหมือนอิเหนาแค่นี้ ทำไมจะต้องกลั่นแกล้งด้วย จรกาไม่ได้ผิดสักหน่อย ก็แค่รักบุษบาเท่านั้นเอง!
เพราะแบบนี้ไง ผมถึงได้แค้น แล้วก็เกลียดขี้หน้าอิเหนามาจนถึงชาตินี้ด้วย ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผมตอกย้ำตัวเองว่าเกลียดเขาเข้าไส้แค่ไหน
เกลียด… เกลียดมาก
เกลียดเข้าไส้จริงๆ!
แต่พอเห็นพี่อินทร์เริ่มรำต่อจากนี้ ความเคียดแค้นเมื่อครู่ก็ค่อยๆ มลายหายไปเมื่อเห็นแสงทองเรืองรองประกายเจิดจ้าน้อยๆ ออกมาจากร่างของเขา ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะไฟจากเวทีหรืออะไร แต่ภาพที่เห็นนั้นก็ทำให้ผมเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าทำไมใครๆ ถึงได้อยากถูกเปรียบเปรยว่ารูปงามดั่งอิเหนา
ก็อิเหนาตัวจริงรูปงามแบบนี้นี่ไง...
หล่อมาก... พี่อินทร์หล่อสะกดทุกสายตาจริงๆ ใครจะรักจะหลงก็ไม่แปลก เพราะแม้แต่ผมเองก็ยังละสายตาจากเขาไม่ได้เลย แต่...มันทำให้ผมอดน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน
จรกา...ไม่ว่ายังไงก็คือจรกา ต่อให้เกิดใหม่อีกกี่ชาติ จะศัลยกรรมอีกสักกี่หน้า ยังไงก็สู้อิเหนาไม่ได้
มันคือความจริงที่ผมต้องยอมรับ ต่อให้เกิดใหม่มีรูปงาม แต่ไม่ว่าอย่างใน ภายใต้เปลือกนี้ก็ยังเป็นจรกาคนเดิม...
ผมดูไม่รู้เรื่องสักเท่าไรหรอกว่าเขาเล่นอะไรกัน เอาแต่นั่งมองพี่อินทร์จนกระทั่งพวกเขาแสดงจบ พอจะรู้ว่ามันคงสนุกมากเพราะมีเสียงหัวเราะดังมาเป็นระยะ แต่ผมไม่สนุกด้วยเลยสักนิดนอกจากรู้สึกห่อเหี่ยวยังไงก็ไม่รู้ ใจจากจะกลับหอเต็มแก่ แต่ทว่าก็ถูกเพื่อนรั้งไว้ก่อน
“คืนนี้มีเฟรชชี่ไนท์นะจิ จะไม่อยู่ต่อเหรอ”
ผมเลยนึกขึ้นมาได้ว่างานมันมีวันนี้
“เราไม่ค่อยชอบคนเยอะๆ น่ะ”
และพอผมอ้างไปอย่างนี้ เพื่อนทุกคนก็เบ้หน้าทันที
“ครั้งเดียวในชีวิตนะจิ ต่อให้ปีหน้ามางาน มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้วนะเพราะไม่ใช่ปีหนึ่งแล้ว อยู่ต่อเถอะ ถ้ามันดึกก็ไปนอนค้างหอเพื่อนก็ได้ เพื่อนมีเยอะแยะ”
ใช่ มีเยอะแยะ เพื่อนผู้ชายก็ด้วย ไปขอนอนค้างสักคืนก็ไม่มีปัญหาหรอก พวกนั้นเองก็เออออเห็นดีด้วยเหมือนกันเพราะผมได้ยินแว่วๆ ว่าหลังงานเฟรชชี่ไนท์ก็มีแพลนกันต่อ
พวกนั่งกินเหล้ากินเบียร์อะไรกันตามประสานั่นแหละ...
ผมไม่ชอบกิจกรรมพวกนี้สักเท่าไร แต่พอจะปฏิเสธ
“คือว่าเรา...”
“น่านะจิ ครั้งเดียวในชีวิตนะ”
“แต่เรา...”
“วง xxx มาเล่นเลยนะ ซื้อบัตรไปดูคอนฯ แพงนะเว้ย แต่งานนี้ดูฟรี”
แล้วก็เอ่ยชื่อวงดนตรีที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ ผมอยากจะบอกเหมือนกันว่าไม่ได้ชอบหรือสนใจอะไรพวกนี้สักเท่าไร แต่ก็ทนการคะยั้นคะยอของเพื่อนๆ ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องอยู่ยาวจนกระทั่งงานเริ่ม
งานเฟรชชี่ไนท์เริ่มในช่วงหัวค่ำ ผมถูกเพื่อนๆ ลากมายังหอประชุมที่จัดงาน พอแสดงบัตรนักศึกษาที่มีรหัสสองตัวหน้าบ่งบอกว่าเป็นเด็กปีหนึ่งเรียบร้อย ก็เป็นอันได้รับอนุญาตให้เข้าไปในงานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ข้างในค่อนข้างมืดและอึกทึกครึกโครมพอสมควรเพราะเป็นงานรวมตัวเด็กปีหนึ่งทุกคณะเอาไว้ด้วยกัน จริงๆ ไม่ได้มีแค่เด็กปีหนึ่งด้วย ปีอื่นๆ ก็มี มิหนำซ้ำ ยังมีเด็กจากมหาวิทยาลัยอื่นด้วย ซึ่งพวกนี้ก็จะมีเพื่อนที่เรียนอยู่ที่นี่นั่นแหละ แล้วก็แอบลอบเข้ามากัน
แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ ตอนนี้ผมโคตรอึดอัดเลย ไม่ชอบคนเยอะๆ แบบนี้จริงๆ
ทว่าหลวมตัวเข้ามาแล้ว จะออกก็ออกไม่ได้ ได้แต่ยืนดูการแสดงต่างๆ โชว์หน้าตาดาวเดือนปีที่แล้วของมหาวิทยาลัยและคณะ แน่นอนว่าตอนนี้พี่อินทร์ก็อยู่บนเวทีนี้ด้วยเช่นกัน แต่อยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศ ผมเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้ว่า...วันนี้เขาตัดผมใหม่
เป็นผมทรงเดิมนั่นแหละ แต่สั้นขึ้นกว่าเดิมพอสมควร ถึงอย่างนั้น...ก็ดูดีไปหมดทุกกระเบียดนิ้ว
พอเขาแนะนำตัวที เสียงกรี๊ดก็หวีดดังทั่วทั้งหอประชุม รอยยิ้มของเขาผุดพรายขึ้นเมื่อพิธีกรบอกให้พูดอะไรฝากให้น้องปีหนึ่งสักอย่าง
“ขอให้สนุกกันให้เต็มที่นะครับน้องๆ”
เป็นรอยยิ้มที่...ปกติแล้วเขาจะมอบให้ผมตลอด ยกเว้นวันที่เจอเขาหลังจากที่ผมหักอกเขาเป็นที่เรียบร้อย
ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกไม่ดีขึ้นมา มิหนำซ้ำยังรู้สึกไม่พอใจด้วยที่เขายิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ผม
เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยสักนิด แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรต่อเพราะสิ้นเสียงเขาปุ๊บ ก็มีเสียงกรี๊ดกลบปั๊บ ก่อนจะตามมาด้วยวงดนตรีที่ได้รับเชิญมาซึ่งโผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้ วินาทีนี้ รอบข้างผมดังอื้ออึงไม่หมดจนมึนหัวไปหมด พี่อินทร์หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมเองก็อยากจะหายไปจากตรงนี้บ้าง แต่พอทุกคนรอบตัวออกสเต็ปวาดลวดลายกัน ผมก็ไปไหนไม่ได้ ได้แต่ยืนตัวตรงแหน็วอยู่ตรงนั้นเพราะพื้นที่ถูกเบียด
เฟรชชี่ไนท์นี่มันคืนปล่อยผีจริงๆ!
เพื่อนๆ ที่มาด้วยกันก็ไม่รู้ดิ้นไปอยู่ทิศทางไหนแล้ว ผมทนอยู่ต่ออีกสักพักก่อนจะรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว เลยตัดสินใจในชั่ววินาทีนั้นว่าจะชิ่งกลับก่อน พลันค่อยๆ ลัดเลาะหมายจะออกไปข้างนอก แต่ยังไม่ทันจะถึงประตูก็ไปอยู่กลางกลุ่มของพวกผู้ชายที่ดิ้นเบียดเสียดกันอยู่ แล้วผมก็...ติดหนึบ
ขยับไปไหนไม่ได้เลยอ้ะ!
ร้องขอทางก็แล้ว พยายามแทรกก็แล้ว แต่เหมือนจะไม่เป็นผลเลย จะมุดก็ไม่ได้ด้วย พวกนี้ตัวใหญ่ปิดทางหมด ผมเลยกะว่ารอให้ถึงเพลงช้าก่อนแล้วค่อยขอทางไปอีกที ทว่า...ฉับพลันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแตะลงมาที่ก้น
เดี๋ยวนะ... ไม่ใช่มั้ง
คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พอยืนไปอีกสักพัก ก็รู้สึกเหมือนมีมือมาลูบ
ลูบไม่พอ แม่งขยำด้วย
กูว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว!