ตอนที่ 14 : การค้นพบของเบิ้ม
“เราเลิกกันเถอะ”
ทันทีที่พูดคำนั้น คมสันถามกลับเพียงสองคำ
“ทำไม”
เบิ้มกดหัวคิ้ว พยายามให้สติอยู่เหนืออารมณ์
“ฉันรู้ความจริงหมดแล้ว” เบิ้มเอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่อยากขึ้นเสียงใส่คมสัน อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังเป็นคนที่เขารู้สึกชอบพอ แม้จะไม่ลงเอยด้วยดี แต่ก็อยากจะจากกันด้วยดี
เขามีความสุขจริงๆ ยามอีกฝ่ายอยู่ใกล้ หันมายิ้ม หรือแตะตัวกัน เบิ้มไม่เคยใจเต้นกับใครนอกจากคมสัน ไม่เคยยอมลงและนึกรักชอบใครเท่านี้มาก่อน ถึงจะเป็นเพียงการหลอกใช้ แต่ช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน นับเป็นสิ่งมีค่าและทำให้เบิ้มได้เรียนรู้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรักทั้งแบบคนรักและแบบที่มอบให้กับเด็กชายคนหนึ่ง เบิ้มซาบซึ้งเสมอกับสิ่งที่คมสันทำเพื่อเด็กเวร จนนึกอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันนั้น
แม้สุดท้ายแล้ว...
“วันที่นายส่งเกลือแร่ให้ นายไม่ได้ส่งให้ฉันคนเดียว แต่ยังส่งดอกไม้ ส่งเนกไท ส่งไฟแช็ก ส่งเข็มกลัด และอีกหลายอย่างให้คนอื่นด้วย คมสัน นับตั้งแต่นายรู้ว่าภรรยาคนที่สองของประธานท้อง นายก็เริ่มคิดจะหาบอดี้การ์ดมาดูแลคุณหนูของนายแล้ว ข้ออ้างเรื่องพาคนรักมาอยู่ด้วย ก็แค่ทำให้ท่านประธานตายใจ ยอมให้มาอยู่ที่นี่โดยไม่ติดใจสงสัยว่าคุณหนูโดนปองร้ายจากคนใกล้ตัว”
...ทุกอย่างจะพังทลายในวันนี้
ใช่ คมสันอ้างเหตุคนรักเพื่อบังหน้าท่านประธานเท่านั้นเอง เพราะไม่อยากให้ความชั่วร้ายของภรรยาคนที่สองแตก ไม่อยากให้ทั้งคู่แตกหักกัน แล้วสร้างความวุ่นวายใจแก่คุณหนูที่รักยิ่ง
“ตอนนั้นนายคงร้อนใจ ถึงได้หว่านเมล็ดออกไปหวังว่าเก็บเกี่ยวได้สักคนก็พอแล้ว และในเมื่อจะเลือกคนมาสักคน ก็ต้องเป็นคนที่พร้อมจะถวายหัวเชื่อฟังไปตลอด คนอย่างคมสันคงไม่คิดจะทำดีหวังผลแค่ครั้งเดียว ในเมื่อลงแรงแล้วก็ต้องให้เซ็นสัญญาผูกมัดคนนั้นไปตลอด โดยแสร้งว่ามีใจให้”
ยิ่งพูด เบิ้มก็ยิ่งตาสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ทุกอย่างปะติดปะต่อกันพอดี อย่างมีเหตุมีผลเสียด้วยสิ
“และคนโง่คนนั้นก็คือฉัน...ไอ้เบิ้มคนนี้ที่ตกหลุมรักนายเข้าจริงๆ”
เบิ้มน้ำตาคลออีกแล้ว
รักครั้งแรก...ทุ่มเทให้สุดใจ แต่ได้รับกลับคืนด้วยการทรยศ
เขารีบเช็ดน้ำตา ลูกผู้ชายตัวโตๆ ต่อให้มาบอกเลิกกันก็ไม่ควรทำตัวน่าสมเพช โดยเฉพาะกับคนรักที่เพียงยืนพิงประตูมองนิ่งๆ ไม่คิดจะแก้ตัวอะไร
“พูดมาสิสัน ว่าฉันเดาถูก”
“ใช่ นายเดาถูก”
วินาทีนั้น ยิ่งกว่าฟ้าถล่ม คือไอ้เบิ้มที่แทบลงไปทรุดกับพื้น
ต่อให้รู้แจ้งแก่ใจ ต่อให้คิดความเป็นไปได้มากแค่ไหน แต่ไม่สู้ได้ยินจากปากของคมสันเอง
เขาทำได้เพียงมองคมสันอย่างตัดพ้อ ที่ยังยืนอยู่ตรงนี้...เพียงเพื่อต้องการคำอธิบาย
“แต่ก็ไม่ทั้งหมด” คมสันเดินไปนั่งปลายเตียง ยกขาไขว่ห้าง เป็นครั้งแรกที่ชุดนอนไม่ได้นอนของคนรักไม่อาจทำให้เบิ้มใจเต้น มีเพียงความเจ็บร้าวลึก ยิ่งอยู่ก็เหมือนยิ่งทรมานตัวเอง “ตั้งแต่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นท้อง ฉันก็สังหรณ์ใจไม่ดี คิดอยากหาบอดี้การ์ดให้คุณหนูจริงๆ ไม่ใช่แค่กลัวโดนปองร้าย แต่เพราะคุณหนูเริ่มโตขึ้น เริ่มเที่ยวเล่น ท้าตีท้าต่อย และออกห่างจากฉันมากขึ้น จะคอยระวังด้วยตัวคนเดียวก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นบอดี้การ์ดในที่นี้ จะต้องปกป้องคุ้มครองคุณหนูได้ตลอด ไม่แค่การหมายเอาชีวิต แต่หมายถึงเรื่องส่วนตัวด้วย และไหนๆ ก็ต้องหาบอดี้การ์ดแล้ว จะให้เปลี่ยนหน้าบ่อยๆ คุณหนูคงไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ ฉันเองก็ไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า จึงต้องหาคนที่เจริญหูเจริญตา อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เข้าขากันได้ดี หรือง่ายๆ ก็คือ...”
พลันคมสันเผยยิ้มหวาน รอยยิ้มที่เคยทำให้เบิ้มเคลิ้มจนไปไม่เป็น
“การเลือกบอดี้การ์ดสำหรับฉันไม่ต่างกับการเลือกคู่”
“คมสัน!”
เบิ้มกัดกราม ตอนนี้นอกจากจะไม่เคลิ้มแล้ว ยังโมโหกับความคิดบ้าๆ นั่นอีกด้วย
“นายไม่เคยมีความรักสินะเบิ้ม” คมสันหัวเราะในลำคอเบาๆ “ฉันเองที่ทั้งชีวิตมีเป้าหมายเพื่อคุณหนู ก็ไม่เคยมีความรักเหมือนกัน”
พลันอีกฝ่ายหลุบตาต่ำ ซ่อนความนัยใต้กรอบแว่น เบิ้มเองก็นิ่งงันทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งคมสันเงยหน้าและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“ฉันไม่คิดจะรักใครไปมากกว่าคุณหนู เพราะถ้าฉันไม่รักเขาที่สุด ไม่ยกเขาเป็นคนสำคัญอันดับหนึ่ง คุณหนูก็คงไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ไม่กลายเป็นเด็กดีอย่างนี้หรอก”
พลันคมสันเปลี่ยนท่า จากนั่งประสานมือบนตัก เป็นเอนหลังเล็กน้อยแล้วใช้มือค้ำ ดูผ่อนคลายแสนสบาย จนเบิ้มลอบกัดฟันว่าเรื่องของเขาเห็นจะไม่เคยสำคัญในความคิดอีกฝ่ายเลย
ซึ่งอาจจะใช่ก็ได้ เพราะพอพ้นจากเรื่องคุณหนูสุดที่รัก คมสันก็เล่าความจริงทุกอย่างด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย
“จะหาบอดี้การ์ดก็ต้องว่าจ้างบอดี้การ์ดมืออาชีพ ใช่ว่าฉันคิดไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจ เงื่อนไขของฉันเรียกร้องมากเกิน ทั้งต้องดูแลเด็กตลอดเวลา ทั้งระยะเวลาในสัญญาว่าจ้างที่ไม่มีกำหนด แค่สองข้อนี้ก็ทำให้บอดี้การ์ดมืออาชีพบอกปัดแล้ว และต่อให้มีคนสนใจ ฉันก็ไม่เอาอยู่ดี เพราะฉันไม่ได้ต้องการบอดี้การ์ดยืนหน้าทื่อๆ ตลอดเวลา ฉันต้องการคนที่จะมา...ใช้ชีวิตร่วมกัน”
คมสันขยับตัวเล็กน้อย
“บอดี้การ์ดมืออาชีพแยกแยะเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวอย่างชัดเจน ฉันไม่ต้องการหุ่นยนต์ เลยลองหาอาชีพอื่นที่พอมีวิชาการต่อสู้ติดตัวมาทำหน้าที่นี้แทน ตัวเลือกมีมากมาย แต่เพราะทำงานในบริษัทบันเทิง ฉันเลยมีข้อมูลเกี่ยวกับทีมสตั้นท์แมนเยอะเป็นพิเศษ ฉันหาคนที่รูปร่างหน้าตาไม่เลว โสด มีโอกาสรักชอบผู้ชาย แล้วส่งของไปจีบทุกคน”
คมสันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดันแว่น หันมายิ้มให้เบิ้มอีกครั้ง
“ของขวัญทั้งหมดวานคนอื่นช่วยส่ง เพราะฉันคงแยกร่างทำพร้อมๆ กันไม่ได้ อย่างเกลือแร่ของนาย...แรกๆ ฉันก็ฝากยามหน้าบริษัทที่เฝ้ากะเช้าเป็นคนซื้อแล้ววางบนโต๊ะให้ ส่วนการ์ดก็เขียนตุนไว้ ให้ยามช่วยใส่ในถุงไปด้วยแค่นั้นเอง”
เบิ้มก้มหน้า กำหมัด...ไม่ได้จะต่อยคมสัน เขาเพียงพยายามระงับอารมณ์กับความจริงที่เคยทำให้ตื่นเต้นดีใจ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการกระทำส่งๆ ที่ไม่ได้มีค่าอะไรเลย
“มีของขวัญส่งให้ทุกวันเช้าเย็น มีหรือจะไม่มีใครใจอ่อนเลย ส่วนใหญ่ก็ต้องดีใจที่เป็นฝ่ายถูกชอบ แถมการกระทำลับๆ ล่อๆ ก็ยิ่งท้าทายกระตุ้นสัญชาตญาณผู้ชายได้ดี อ้อ ของขวัญฉันเลือกตามความชอบของแต่ละคนนะ เห็นแบบนี้ฉันก็ทุ่มเทไม่เบา อย่างนายชอบดื่มเกลือแร่ยี่ห้อ x ฉันก็ซื้อให้ถูกใช่มั้ยล่ะ”
คมสันเปลี่ยนกลับมานั่งประสานมือบนตักอีกครั้ง
“และนายก็เป็นคนที่มีความคืบหน้าที่สุด อย่างน้อยก็เป็นคนแรกที่ดักเจอฉันจริงจัง อาจเพราะเราอยู่บริษัทเดียวกันด้วยละมั้ง...ถึงได้คืบหน้าไวกว่าคนอื่น” คมสันเว้นช่วงเล็กน้อย “หลังๆ ฉันเลยเริ่มเอาเกลือแร่ไปวางเอง หวังเก็บเกี่ยวผลครั้งนี้ แต่ระหว่างนั้นคนอื่นๆ ก็ติดต่อเข้ามา เพราะอยู่ต่างที่ ฉันเลยเล่นตัวมากไม่ได้น่ะ ส่วนใหญ่ก็จะนัดเจอกันเลย”
พลันคมสันเงียบลงไปอีกครั้ง คล้ายไม่รู้จะเล่าต่ออย่างไรดี เลยเปลี่ยนเป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน
“เพื่อนของนายคนที่ติดกับของฉันแล้วปลีกตัวช้าที่สุดคือกี่เดือน”
“สองเดือน”
“ความจริงคือสามเดือน มีคนที่ไม่รู้และนึกสนใจฉันเหมือนนาย เบิ้ม” คมสันเฉลย “แต่วันที่นายมาดักรอฉันที่ลานจอดรถ ยอมขับรถไปโรงเรียน รับคุณหนู แล้วยอมเซ็นสัญญา ก็คือการยุติทุกอย่าง ฉันเลิกส่งของขวัญให้คนอื่นๆ เพราะฉันเลือกนายแล้ว”
“ฟังดูดีนะ”
แต่ไม่น่าดีใจสักนิดเบิ้มคิด แม้จะไม่ร้องไห้ต่อหน้า แต่ใครจะรู้ว่าในอกเบิ้มนั้นเต็มไปด้วยน้ำตาท่วมท้นจากความเศร้าเสียใจ
“วันนั้นก็เหมือนการทดลองงาน ถ้านายไม่ผ่านเกณฑ์ ฉันก็ไม่คิดจะหยิบสัญญาให้เซ็นหรอก มีหลายคนที่เข้ามาแล้วปฏิเสธฉันหรือถูกฉันปฏิเสธ เพราะการอยู่ร่วมกับคนอีกคนหนึ่งก็ต้องเลือกให้มากหน่อย จริงมั้ย”
“งั้นตอนที่ให้ไปดูแลคุณหนูท้าต่อยนั่นละ ไม่ใช่ว่า...ต้องการกันหรอกหรือ”
“ต่อให้ไม่มีนายฉันก็จัดการเองได้ อาจจะไม่ใช้วิธีเหนือมนุษย์ขนาดนั้น แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ฉันห้ามคุณหนูไม่ได้ แต่ฉันห้ามคู่กรณีของคุณหนูไม่ให้ไปตามนัดได้” คมสันยิ้มมุมปาก แต่เบิ้มยิ้มไม่ออกสักนิด “นั่นก็เป็นการทดลองงานเหมือนกัน และนายก็ทำให้ฉันเชื่อว่าถ้ามีคนปองร้ายคุณหนูจริง จะวางใจฝากชีวิตไว้ได้”
คำพูดกึ่งเยินยอนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย
ยิ่งฟัง เบิ้มก็ยิ่งดิ่ง ความรู้สึกของเขาเนี่ยล่ะที่ทิ้งดิ่ง แทบจะหมดอาลัยในตัวคมสัน
“แล้วที่กอด ที่จูบล่ะ”
“ฉันทำไปตามสัญชาตญาณ รู้ว่าถ้าทำแล้วนายจะชอบ”
เบิ้มทนไม่ไหวแล้ว
ประโยคนั้นไม่ต่างกับคำตัดสิน เขาคว้ากระเป๋าเตรียมเดินออกจากห้องทันที แต่คมสันกลับรั้งชายเสื้อไว้
“ไม่ฟังให้จบก่อนเหรอ” คนที่นั่งไขว่ห้างอย่างสบายอกสบายใจ จู่ๆ กลับรีบร้อนรั้งชายเสื้อด้วยรอยยิ้มจางที่ชวนให้เบิ้มยิ่งปะทุอารมณ์
“ให้ฟังอะไรอีก ฟังว่าฉันโง่แค่ไหนที่เชื่อใจนายงั้นเหรอสัน!” เบิ้มตะโกนลั่น ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่คะตอกใส่คนคนนี้ แต่การกระทำของคมสันก็ทำให้เขาระงับตัวเองไม่ไหว มันเจ็บที่ใจ มันปวดในอก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไรเลย “ปล่อย อย่าให้ต้องใช้กำลัง”
แต่คมสันไม่ปล่อย
“คมสัน!” เบิ้มตะโกนอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่มีเยื่อใยแล้วจะรั้งไว้ทำไม
“แค่ฟัง นายทำได้มั้ยเบิ้ม”
น้ำเสียงที่อ่อนลง กับมือที่กำชายเสื้อแน่นจนยับเยิน ไม่รู้ทำไม ทั้งที่เจ็บแทบใจจะขาด แต่เบิ้มกลับยอมยืนนิ่ง อาจเพราะใจมันไม่รักดี ลึกๆ แล้วยังหวังว่าคมสันจะมีข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้น อย่างน้อย...ก็ไม่ถึงกับต้องแตกหัก ให้เรื่องราวที่ผ่านมาพอมีความจริงใจอยู่บ้าง
อย่าว่าแต่เบิ้มที่ประหลาดใจตัวเองที่ยอมอยู่นิ่งๆ คมสันเองก็ประหลาดใจ คนที่ก้มหน้าจับชายเสื้อเหลือบตามองเขาครู่หนึ่งอย่างสับสน ก่อนจะรีบหลุบลงพร้อมเอ่ยเสียงเบาหวิวคล้ายรำพึงรำพัน
“นายเป็นคนแรกที่ขึ้นเสียงแต่ฉันไม่โกรธแถมยังรั้งเสื้อไว้ด้วย”
คำพูดทีเล่นทีจริง ทำให้เบิ้มถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
นี่ไม่ใช่ประโยคที่เขาอยากฟัง
“การเลือกบอดี้การ์ดก็เหมือนการเลือกคู่ และการที่ฉันเลือกนาย แสดงว่านายตรงสเปคที่สุดนะ”
“สรุปว่านายกำลังจะสารภาพรัก?”
“ไม่ใช่ ฉันแค่ไม่อยากให้นายยกเลิกสัญญา”
“ความจริงใจของนายอยู่ที่ไหน สัน!”
“การบอกความจริงทั้งหมด คือความจริงใจของฉัน” คมสันเอ่ยอย่างนิ่งสงบ ราวปรับอารมณ์สับสนเมื่อครู่ได้แล้ว “อย่าดูถูกความจริงใจของฉันเบิ้ม ความจริงของฉันคนนี้ ขนาดพ่อและแม่แท้ๆ ของฉันยังไม่เคยรู้ว่าฉันคิดยังไงกับอนาคตของคุณหนู ขนาดคุณหนูเองก็ไม่รู้ว่าฉันทุ่มเทให้เขามากแค่ไหน ท่านประธานไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันทำอะไรลับหลังท่านบ้าง ไม่มีใคร... ไม่มีใครเคยรู้เลย”
พลันคมสันเงยหน้าจ้องเขาอีกครั้ง เผยยิ้มบางออกมา
“นายเป็นคนแรกและคนเดียวที่ได้รับความจริงใจนี้นะ”
คำพูดหนักแน่นที่ทำเอาเบิ้มอยากจะบ้า
คุยกับคมสันเหนื่อยกว่าที่คิดเยอะเลย
“ฉันจะปิดบังต่อไปก็ได้ แต่ฉันเลือกที่จะพูดออกมา เพราะฉันไม่เคยพูดโกหกกับนายสักครั้ง เบิ้ม”
ใช่ คมสันไม่เคยโกหกเขาจริงๆ แต่ชอบพูดกำกวน เปลี่ยนเรื่อง ไม่ก็ทำให้เข้าใจผิดไปเอง
ถ้าขนาดคำบอกรักยังไม่เคยพูด
ก็แสดงว่าคมสัน...ไม่โกหกจริงๆ นั่นแหละ
เบิ้มเหนื่อยแล้ว
เขาหันหลังอีกครั้ง ครั้งนี้คมสันตกใจมาก ไม่เพียงจับชายเสื้อ แต่ถึงกับถลามากอดเอว
“สรุปแล้วนายรักฉันมั้ย”
ท่าทางที่ผิดปกติของคมสันทำให้เบิ้มกัดฟันถามอีกครั้ง
“...”
คำตอบยังน่าผิดหวังเหมือนเดิม แต่ที่น่าผิดหวังยิ่งกว่า คือมือซุกซนที่สอดเข้ามาในกางเกงของเบิ้ม
เบิ้มรีบดึงมือนั้นออกทันที มองด้วยสายตาเจ็บปวด
“เห็นฉันเป็นตัวอะไร คนหื่นตันหากลับงั้นเหรอ!” ตาแดงไปหมดแล้ว โกรธที่คมสันคิดจะใช้วิธีบ้าๆ รั้งตัวไว้ เบิ้มไม่คิดว่าจะทำกันถึงขนาดนี้ “นายเป็นบ้าแล้วรึไง!”
“ทำในสิ่งที่คนรักกันควรทำ ผิดตรงไหน”
“คนรักที่ขนาดคำบอกรักยังพูดไม่ได้น่ะเหรอ” เบิ้มคำรามในคอเบาๆ
“นายคิดว่าฉันยอมให้คนอื่นแตะตัวง่ายๆ รึไง” คมสันถามกลับ แม้น้ำเสียงจะราบเรียนกึ่งเย็นชา แต่แววตาใต้กรอบแว่นนั้นกลับสั่นเครือน้อยๆ จนแทบจับผิดไม่ได้
เพราะมีกรอบแว่นบดบังอยู่
วินาทีนั้นเบิ้มเหมือนถูกอะไรบางอย่างตีหัว เขานิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะวางกระเป๋า แล้วใช้วิชาเดอะแฟลชถอดแว่นคมสันด้วยความไวเสียง
แน่นอนว่าอีกฝ่ายขัดขืน
แต่คมสันหรือจะสู้ไอ้เบิ้มได้ พอเห็นว่าแว่นถูกแย่งไป ก็ตวัดตาจ้องอย่างหงุดหงิดแกมคาดโทษ ถอยห่างออกอัตโนมัติ
“พูดอีกทีสิ ประโยคเมื่อกี้”
“ต้องให้พูดด้วยเหรอ...” พอไร้แว่นบดบัง คมสันก็เสยผมอย่างงุ่นง่าน ท่าทางนั้นไอ้เบิ้มยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ “ที่ผ่านมายังไม่เข้าใจอีกรึไง”
“ไม่ พูดสิ”
“นายคิดว่าฉันยอมให้คนอื่นทำแบบนี้...” นานครั้งคมสันจะเป็นฝ่ายถูกบังคับ และนั่นคงสร้างความไม่ชอบใจแก่อีกฝ่ายมากทีเดียว จากผละถอยอย่างเสียท่าเมื่อครู่ คมสันเลยเปลี่ยนมาจับเชือกผูกเอว ค่อยๆ คลายมันออกช้าๆ ด้วยสีหน้าคล้ายต้องการคุมเชิงที่เหนือกว่า “นอกจากนายด้วยรึไง”
ผิวขาวที่เบิ้มเคยใฝ่ฝันอยากสัมผัสค่อยๆ ปรากฏเบื้องหน้า แต่ไม่ทันได้เปิดเปลือยก็ต้องชะงักเพราะไอ้เบิ้มรีบถลาเข้าไปกุมมือไม่ให้คมสันทำให้บรรยากาศที่ประหลาดอยู่แล้วประหลาดไปกว่าเดิม
ใช่ มาย้อนนึกดูดีๆ การกระทำของคมสันในวันนี้โคตรประหลาด
ผิดแปลกจนเบิ้มยังฉุกใจ แม้จะช้าไปสักนิด...แต่ก็คงไม่สายเกินไป
โธ่ ทุกคนครับ คนโดนหลอกคือเบิ้ม แล้วทำไมไอ้เบิ้มถึงกลายเป็นคนยืนบื้อยื้อยุดได้ เขาก็ยังสงสัยตัวเอง
ยิ่งสบดวงตาซึ่งปราศจากกรอบแว่น แล้วพบว่าภายใต้ใบหน้าเยือกเย็นเหินห่าง แท้จริงแล้วแฝงด้วยอารมณ์มากมายปะทุอยู่ในนั้น เบิ้มก็ยิ่งตาสว่างของตาสว่าง
เขาเพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ นับตั้งแต่บอกเลิก เขาแทบไม่สบตาคมสันเลย เพราะกลัว เพราะเสียใจ เพราะอยากจะไปเต็มที
แต่พอจ้องชัดๆ ในตอนนี้ เขาก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่าง...
ท่าทางหลุกหลิกลนลาน อยากรั้งใจแทบขาด แต่พยายามแสดงออกภายใต้สีหน้าและน้ำเสียงที่เยือกเย็น
ถ้าลองทบทวนคำพูดของคมสันช้าๆ...
“ฉันไม่เคยพูดโกหกกับนายสักครั้ง”ใช่ คมสันไม่เคยพูดโกหกกับเบิ้ม ถ้าตัดคำว่ารักออกไป แล้วลองย้อนบทสนทนาของพวกเขาสักนิด
“นายเป็นคนแรกและคนเดียวที่ได้รับความจริงใจนี้นะ”คมสันกำลังจะบอกว่าเขาพิเศษกว่าคนอื่นใช่มั้ยนะ
ไหน ลองย้อนไปอีกซิ
“ไม่ใช่ ฉันแค่ไม่อยากให้นายยกเลิกสัญญา”นี่ก็เป็นประโยคที่ตรงไปตรงมาของคมสัน แต่เขาดันคิดว่าโดนยอกย้อน
“การเลือกบอดี้การ์ดก็เหมือนการเลือกคู่ และการที่ฉันเลือกนาย แสดงว่านายตรงสเปคที่สุดนะ”คมสันจะบอกว่าถูกตาต้องใจไอ้เบิ้มคนนี้มากไม่ใช่เหรอ
เอ้า ลองย้อนไปอีก
“นายเป็นคนแรกที่ขึ้นเสียงแต่ฉันไม่โกรธแถมยังรั้งเสื้อไว้ด้วย”เบิ้มเริ่มใจเต้นขึ้นมา
ยิ่งนึกย้อนไปพลางมองตาคมสันซึ่งยังสั่นไหวอย่างทำอะไรไม่ถูกไปพลาง เขาก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ไหน ลองทวนประโยคต้นเรื่องที่ชวนหัวร้อนซิ
“ฉันทำไปตามสัญชาตญาณ รู้ว่าถ้าทำแล้วนายจะชอบ”ประโยคนี้ถ้าลองตีความดีๆ...
“สัน”
“อะไร” คนที่โดนจับมือทั้งสภาพเสื้อภาพหลุดลุ่ยไปครึ่งถามเสียงเรียบ ฟังเย็นชาเหมือนเดิม ถ้าไม่ติดว่าสายตาที่มองเบิ้มนั้นเหมือนจะเกรงๆ กลัวโดนขึ้นเสียง
“เวลาที่นายกอดจูบ ทำไปตามสัญชาตญาณใช่มั้ย ทำเพราะรู้ว่าฉันจะชอบ แล้วนายล่ะ...ชอบมั้ย”
“...”
“ไม่ได้ถามว่าชอบฉันมั้ย หมายถึง...เวลากอดจูบกันน่ะ นายชอบความรู้สึกตอนนั้นมั้ย” เบิ้มรีบอธิบาย เขาเองก็พูดวกวนไม่แพ้อีกฝ่ายเลย
เพราะกำลังตื่นเต้นกับความจริงบางอย่างที่เพิ่งค้นพบ
และคิดว่าเป็นอะไรที่สุดยอดไปเลยพี่ชาย
“ถ้าเรื่องนั้นละก็...ชอบ”
ชัดเลย
ถ้าถามว่าอะไรที่ชัด เบิ้มบอกได้คำเดียวว่า ทุกการกระทำของคมสันเนี่ย ชัดแล้ว!
จุดประสงค์เริ่มต้นของคมสันมีแอบแฝงแน่นอน เจ้าตัวเองก็ยอมรับ ตั้งใจหาบอดี้การ์ดให้คุณหนู อันนี้ผ่าน
การคัดเลือกบอดี้การ์ดที่ออกแนวหว่านแหนั้น แม้จะน่าโมโห แต่สุดท้ายเลือกเบิ้มเพราะว่าถูกใจถูกสเปคที่สุด อันนี้ก็ผ่าน
ต่อมาการยั่วเย้าหลอกล่อให้เบิ้มเต็มใจทำงาน มีส่วนทำให้ตัวคมสันเองก็เริ่มชอบพอด้วย อันนี้ยิ่งผ่าน
สรุปทั้งสามผ่านแล้ว เบิ้มขอรับประกันว่า...คมสันรักเบิ้ม!
แต่เป็นความรักแบบไม่ยอมรับ เป็นความรักที่มีความรักต่อคุณหนูบดบังอยู่ รักแบบที่เห็นคุณหนูสำคัญกว่า เป็นรักที่ไม่คิดจะเรียนรู้ แต่ใช้การกระทำปกป้องของคุณหนูในการสานสัมพันธ์
คนสองคน ต้องตาต้องใจ เคมีเข้ากันได้ อยู่ใกล้กันไม่สปาร์คสิแปลก
เสียก็แต่ใครบางคนปากแข็ง ไม่ยอมพูดความรู้สึกออกมา คงจะรู้สึกผิดกับคุณหนูละมั้ง ก็เพิ่งประกาศชัดไปเองว่าจะรักคุณหนูที่สุด จะรักให้มากกว่าใครนี่นะ...
“นายไม่เคยมีความรักสินะเบิ้ม ฉันเองที่ทั้งชีวิตมีเป้าหมายเพื่อคุณหนู ก็ไม่เคยมีความรักเหมือนกัน”
คีย์เวิร์ดมันอยู่ที่ประโยคแรกๆ ที่คุยกันนี่เอง เบิ้มอยากจะเอาหัวโขกเสา คมสันสารภาพตามตรงไม่อ้อมค้อม เขานั่นแหละที่มัวแต่จิตตกอยู่ได้
โอย ปวดหัวชะมัด แต่คิดไปคิดมา คมสันที่เป็นแบบนี้ก็น่ารักไม่เลว
อะไรนะ เบิ้มไม่กลัวที่โดนหลอกซ้ำซ้อนอีกเหรอ
ต่อให้คมสันโกหกจริง แต่สายตาคนไม่โกหก
ไม่นับการผวากอดก็ดี ทั้งไอ้การถอดเสื้อ จ้องตาหวั่นๆ ก็ดี นั่นไม่ใช่อาการของคนโกหกแน่นอน
เพราะคมสันเองก็เริ่มจะเย็นไม่อยู่แล้วเหมือนกัน
“เฮ้อ...” วินาทีนั้น ไอ้เบิ้มถอนหายใจหมดปอด ก่อนจะรวบคมสันมากอดทั้งตัว
คนโดนกอดแข็งค้างคล้ายยังปรับอารมณ์ไม่ถูก
“ไม่ไปแล้ว” เบิ้มเอ่ยออกมาในที่สุด ทำให้คนในอ้อมกอดคลายความเกร็งลงทันที
นอกจากเด็กเวรจะน่าสงสารที่ถูกพ่อแม่ทิ้ง เบิ้มว่าคมสันเองก็น่าสงสารเหมือนกัน
พยายามโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อปกป้องเด็กน้อยคนหนึ่งเกินไป จนลืมจะใส่ใจความรู้สึกตัวเอง
“ไปนอนเถอะ” เบิ้มปล่อยคมสัน วันนี้เขาเหนื่อยมาก อยากนอนสบายเต็มแก่
แต่คนที่มักกล่าวราตรีสวัสดิ์กลับไม่ยอมขยับไปไหน
“สัน?”
เจ้าของชื่อมองเบิ้มยังชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวบนเตียง...ของเบิ้ม
เขาหัวใจจะวายแล้ว
ภาพของคนรักในชุดนอนไม่ได้นอน เปิดไหล่หมิ่นเหม่ เชือกรัดเอวหลวมๆ ห่มผ้าห่มของเบิ้ม หนุนหมอนของเบิ้ม...
“ก็แค่กลัวคนแถวนี้จะโกหก แอบหนีกลับลับหลังฉัน”
แล้วยังพูดจาน่ารักแกมตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยคล้ายต้องการจับผิดไม่ให้เบี้ยวสัญญาว่าจ้างประหนึ่งคนไร้เยื่อใยกันนั้น ทำให้เบิ้มแทบจะลงไปร้องไห้กับพื้น
มีคนรักฉลาดแถมเข้าใจยากก็ต้องทำใจ
เอาเถอะ ถือว่าเป็นบทเรียนให้ต่างเข้าใจกันมากขึ้นก็แล้วกัน!
------------
การรับมือของคมสันนั้นง่ายมากค่ะ
‘พูดความจริง’
คมสันสารภาพความจริงทั้งหมด คิดว่าเบิ้มจะเข้าใจ เพราะนี่เป็นการแสดงความจริงใจของคมสัน คำพูดแฝงความรู้สึกเยอะมาก ถ้าตั้งสติฟังดีๆ จะรู้เลยว่าคมสันเนี่ย...ก็ชอบเบิ้มนั่นแหละ บอดี้การ์ดคือการเลือกคู่ การเลือกหลายๆ คนแล้วเจอหน้ากันก็ไม่ต่างกับการนัดดูตัว แล้วคนที่เหลือรอดคนสุดท้ายก็คือเบิ้ม หรือคนที่คมสันชอบที่สุดนั่นเอง
คมสันทำเพื่อคุณหนูจริง แต่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวตัดสินใจ
แต่คมสันไม่ยอมรับหรอกค่ะ เลยออกมาเป็นการพูดความจริงที่เล่นเอาพี่เบิ้มเข้าใจผิด เกือบเลิกกันแล้วถ้าไม่ติดว่าคมสันยอมวางทิฐิบางส่วนลง แล้วรั้งเบิ้มไว้ พยายามจะพูดให้เข้าใจ ว่านี่คือที่สุดของจอมมารแล้วจริงๆ
เพราะตัวคมสันเองก็ไม่คาคคิดเหมือนกันหรอกคะว่าการเลือกบอดี้การ์ดที่ถูกตาต้องใจอยากอยู่ด้วยเนี่ยจะนำพาไปเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งเข้าจริงๆ ต่างคนต่างเป็นสเปคของกันและกัน นิสัยเองก็เข้ากันได้ พอมาอยู่ใกล้ๆ มีปฏิสัมพันธ์เข้าก็เลยพัฒนาความรู้สึกกันไปไว และเนื่องด้วยอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้น ก็ทำให้คมสันกับเบิ้มเริ่มผูกพันกันผ่านปัญหาต่างๆ ของเด็กเวร
จะบอกว่าเด็กชายกิจภัทรเป็นกามเทพที่ไม่ทำอะไรเลย มั่นหน้าอย่างเดียวก็ถูกอยู่
ตอนหน้าจะบรรยายในส่วนของคมสันนะ จะได้เข้าใจความคิดจอมมารกันค่ะ!
เพจนักเขียนที่พอมาเขียนคู่นี้จริงๆ แล้วรู้สึกซับซ้อนกว่าที่คิดจังนะ
Twitter#จอมมารคมสัน