ความเสี่ยงที่ 22
23.05เชี่ยหวาน มึง...
ตอนขับรถในสมองผมมีแต่ความว่างเปล่าไปหมด เข้าใจคำว่าสติหลุดขึ้นมาเลย
อย่าเป็นอะไรนะโว้ย
“วินน ฮือออ” ฟ้าวิ่งถลาเข้ามาหาผมตั้งแต่อยู่หน้าคณะ ดวงตาแดงก่ำ
“ฟ้า หวานเป็นอะไร” ผมจับมือเย็นเฉียบของคนตรงหน้าไว้แน่น “ใจเย็นๆ นะ”
“ฮือ” ร่างเล็กกว่าออกแรงดึงให้ผมก้าวเท้าวิ่งตามไปเร็วๆ
“ไปเร็ววิน...ไม่ทันแล้ว...”
..
..
ถ้าผมรู้ว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้
ผมจะไม่รับโทรศัพท์สายนัั้น
แม่ง…ถึงจะอยู่ในสภาพแย่ แต่ก็ห่างไกลจากที่ผมคิดไว้ในหัวมาก
แม่งยังไม่ตายนี่ครับ...
ตอนนี้ผมยืนอยู่ในสตูปีหนึ่ง ยืนหอบแฮ่กประจันหน้าอยู่กับไอ้เด็กบ้าๆ ที่แม่งหายไปจากชีวิตผมเกือบเดือน เมินผมเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และตอนนี้ยังเสือกทำแฟนเก่าผมยืนร้องไห้อีก ดูจากที่มันมองผมสลับกับฟ้ารัวๆ เดาว่ามันก็คงจะงงไม่แพ้กัน
“ไม่ทันแล้วอ่ะวิน เรามีประชุมพรุ่งนี้ที่เวียดนาม เครื่องออกตีห้า” ฟ้าปาดน้ำตาลวกๆ “เราบอกกับน้องว่าทันแน่ๆ แต่มันก็ไม่เสร็จอ่ะวิน ดูสิ น้องทำคนเดียวไม่ไหวแน่เลย”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจแปลกๆ
นี่ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นแฟนเก่าคงได้ต่อยกันไปแล้ว ดราม่าเบอร์นี้ไอ้เด็กนี่ต้องรถคว่ำหรือโดนยิงแล้วนะครับ ไม่ใช่แค่จะตัดโมส่งโปรเจควันรุ่งขึ้นไม่ทันแบบนี้ ทำเอารีบจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะนึกว่าแม่งชิงตายไปก่อนโดนผมด่า แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่น่าลืมไปว่าสองในสามครั้งที่เห็นฟ้าร้องไห้ เป็นเพราะแต่งโฟโต้ช้อปไม่ทันกับปักต้นไม้ไม่ครบ (ซึ่งมันหยุมหยิมมากครับ ผมบอกเลย) ถ้าจะมีคนบ้างานกว่าผม... ก็ฟ้านี่แหละครับ โว้ยยยย บ้าจริง
กูเป็นบ้าไปเองที่เป็นห่วงมึง
“พี่ฟ้าใจเย็นๆ... ผมทำคนเดียวได้ไม่เป็นไรครับ เนี่ย... เหลืออีกนิดเดียวเอง สบายมาก” หวานพยายามพูดเสียงสดใส แม้ว่ามันจะฟังดูแหบแห้งซะเหลือเกิน
“ยังไงก็ต้องใช้สองคนทำอยู่ดี” ฟ้าชี้ตารางงาน “นี่หวานไม่ได้นอนมาจะสองวันแล้ว ไม่ไหวหรอก”
ผมตวัดตาไปมอง
สองวัน?
นี่ไม่ร่วงลงไปกองกับพื้นก็ดีเท่าไหร่แล้ว ผมกวาดตามองกองกระดาษและโมเดลเร็วๆ แล้วขบริมฝีปากตัวเองด้วยความหงุดหงิด ไอ้เด็กส้นตีน...
“พี่วิน...” มันเรียกผมเสียงเบาหวิว “ถ้าพี่มะ-”
“เดี๋ยวเราจัดการเอง” ผมพูดกับฟ้า “เหลืออะไรบ้าง”
“อันนี้เหลือโมเดลหลักอีกเกือบครึ่ง แล้วก็โมเดลเซ็คชั่นสองตัว ส่วนทางเข้ากับส่วนจัดแสดง” ฟ้าบอกเร็วๆ แล้วชี้มือไปที่โต๊ะตัวยาวข้างตัว
ผมพยักหน้าแล้วพูดตัดบท “โอเค ฟ้ากลับเถอะ นี่ดึกแล้ว เดี๋ยวเราเดินไปส่ง”
“อือ เราฝากหน่อยนะ ไม่รู้จะเรียกใครแล้วจริงๆ”
…
…
หลังเดินไปส่งฟ้าขึ้นแท็กซี่ ผมก็กลับมายืนอยู่หน้าประตูเพื่อพบกับความวินาศสันตะโรของสตูดิโอปีหนึ่ง เมื่อกี้ที่เข้ามาไม่ได้สังเกตอะไรแม้แต่น้อยครับขอสารภาพ วิ่งตามฟ้ามาอย่างเดียวเพราะนึกว่ามีคนจะตาย พอกลับมามองแบบสติครบถ้วนแบบนี้ถึงได้รู้ครับ ว่าสภาพสงครามที่คุ้นเคยไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
พื้นที่ราวสองร้อยห้าสิบตารางเมตรถูกแบ่งด้วยพาร์ทิชั่นเตี้ยๆ ออกเป็นแถว (พวกผมชอบเรียกว่าซอย) เพื่อให้ทุกคนมีที่ทำงานอย่างเป็นส่วนตัวแบบไม่กวนกัน แต่ละคนก็จัดโต๊ะดราฟ โต๊ะตัดโมเดลนั่งกันได้ตามสะดวก ส่วนใหญ่ซอยหนึ่งมักจะมีสมาชิก 3-4 คน จัดกันเองแล้วแต่ความสมัครใจ
โดยปกติก็จะสะอาดเรียบร้อยดีอยู่หรอก แต่ถ้าถึงฤดูส่งงานเมื่อไหร่นะเหรอ… หึ
ก็จะกลายเป็นแบบนี้แหละครับ เศษกระดาษ เศษโฟม ฝุ่นไม้บัลซ่าร์ กลิ่นกาว กระป๋องสเปรย์ กระทิงแดง เอาให้ว่อนไปหมด บนพื้นก็มีโมเดลวางกันระเกะระกะจนแทบจะไม่มีที่เดิน นี่ยังไม่นับรวมคนจำนวนมากที่ถูกเกณฑ์มาช่วยกันรุมทำงานให้เสร็จอีกนะครับ
เวลานอนเหรอ...
อย่าไปพูดถึงมันครับ คนเราไม่ต้องนอนแปดชั่วโมงทุกวันหรอก สามวันแปดชั่วโมงก็อยู่ได้ถ้างานไม่เสร็จ
ดูสิ พวกเด็กปีหนึ่งกลายเป็นหมีแพนด้ากันหมดแล้ว
เต็มที่ครับทุกคน พวกมึงต้องเจอแบบนี้ไปอีกห้าปีเต็ม ทำใจชินกับมันซะ กูบอกเลย
ผมผลักประตูเข้าไปแล้วก้มหน้าก้มตาเดินเร็วๆ เข้าไปด้านใน
ยังไม่ทันพ้นมุมแรกก็มีคนเรียกแล้วครับ
“พี่ตี๋?”
ผมหยุดเดินแล้วหันไปตามคำเรียก “อ้าว น้องแป้ง” ผมทัก
“เมื่อกี้เห็นแว้บๆ นึกว่าไม่ใช่ซะอีก” อีกฝ่ายบอกแล้วมองผมงงๆ “นี่มาช่วยน้องเหรอคะ”
“อ...อื้อ…” ผมตอบได้ไม่เต็มปาก ก็ตั้งใจจะมาช่วยน่ะแหละ แต่ไม่ใช่ความหมายแบบที่น้องเข้าใจหรอกนะ
“วิ่งซะหน้าตาตื่นเชียว ทำเอาตกใจหมดเลย” น้องปีสามอมยิ้ม
“อ่า… กาวแม่งหมดน่ะ เลยรีบซื้อมาให้” ผมว่าไปโน่น
“นี่แป้งก็โดนเรียกมาช่วยน้องเหมือนกัน” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่ด้านหลังที่กำลังมะรุมมะตุ้มกันอยู่ “ดีนะที่ปีอื่นๆ ส่งโปรเจคไปหมดแล้วอ่ะ ไม่งั้นปีหนึ่งมันจะทำทันกันได้ยังไงเนี่ย น้องพี่ยังเหลือเยอะมั้ย”
“ก็หนักอยู่แหละ.. เอ้อ งั้นเดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ น้องมันรอละ” ผมนึกได้
“พี่ตี๋วินนี่ใจดีจังเลยน้า” น้องแป้งพูดขึ้น “เอ้อ วันก่อนขอบคุณมากเลยนะคะพี่ที่มาติวให้ ไม่ได้พี่ล่ะแย่เลย แป้งไม่กวนละ ไปเหอะพี่”
“อื้อ โชคดีๆ ทำงานเสร็จไวๆ ล่ะ” ผมว่าก่อนจะรีบเดินต่อ
ด้วยความที่เป็นโปรเจคสุดท้ายก่อนปิดเทอมของเด็กปีหนึ่ง เหล่าพี่ปีโตที่ส่งงานแล้วเลยทั้งอาสาทั้งโดนเกณฑ์ลงมาช่วยกันยกใหญ่ ซึ่งก็แหงแหละครับว่าไอ้พวกนี้มันรู้จักผม ตอนนี้ก็เลยเดินๆ หยุดๆ ทักทายแฟนคลับอยู่เนี่ย ไม่ถึงโต๊ะไอ้เด็กบ้านั่นซักกะที พวกมึงไม่ต้องทักกูเยอะขนาดนั้นก็ได้มั้ง ปล่อยผ่านไปบ้างเหอะ กูเขิน…
ไม่ใช่แบบนั้นครับ!
เอ่อ..คือ... พอดีว่าตอนได้โทรศัพท์ผมเพิ่งกลับบ้าน และพอดีว่าเพิ่งไปเดินทำตัวชิคๆ ที่สยามมาเลยแต่งตัวเต็มไปหน่อย แล้วก็พอดีอีกว่ารีบออกมาแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผลลัพธ์ที่ได้คือเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม กางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำและรองเท้าแตะสลิปเปอร์ใส่ในบ้านลายคุมะมง…
โคตรคูล… ผมคิดพลางโบกมือให้น้องหลายคนที่มองมาแบบงงๆ
ก็ยังดีที่ตอนนั้นไม่ได้ใส่บ๊อกเซอร์อยู่…
ไม่นานนักก็กลับมายืนอยู่หน้าซอยเดิม ผมยืนมองเด็กปีหนึ่งตัวโตที่กำลังยืนก้มหน้าตัดกระดาษอยู่อย่างเหงาๆ คงเพราะปีนี้จำนวนนักศึกษาค่อนข้างน้อย เจ้าหวานเลยได้ครองซอยคนเดียวแบบไม่ต้องแบ่งกับใคร อย่างคราวผมช่วงทำธีสิสในซอยก็อยู่กับอาร์ตและเฟิร์ส (ส่วนพีทก็อยู่กับพวกอินทีเรีย และน้ำก็อยู่กับพวกมือกลอง พวกผมสี่คนไม่ได้ตัวติดกันขนาดนั้นหรอกนะครับ) ว่าแต่นอกจากพี่บัณฑิตอย่างฟ้านี่รหัสมันไม่มีใครมาช่วยเลยเรอะ เจอหน้าจะด่าให้ มีอย่างที่ไหนปล่อยน้องแม่งตัดโมคนเดียว สายอื่นเขาขนมาช่วยกันโครมๆ น่าเศร้าเป็นบ้า
โทรศัพท์ผมสั่นครืดอยู่ในกระเป๋ากางเกง เมื่อเปิดดูเร็วๆ ก็เป็นฟ้าที่ไลน์มาบอกลิสต์งานที่ต้องทำอย่างละเอียด
Fah : โมเดลหลักน้องหวานน่าจะทำเสร็จทัน เหลือแค่ตึก surrounding
Fah : ส่วนที่อยากให้วินช่วยคือโมเดลขยาย ต้องทำสองตัว ทางเข้ากันส่วนจัดแสดง exhibition
ตรงทางเข้าเราต่อไว้บ้างแล้ว แต่ยังไม่จบ ใช้สเกล 1:50 ผมเดินตรงดิ่งเข้าไปหยิบโมเดลที่ฟ้าตัดไว้ส่องดู อื้อหืม… นี่คุณเธอกะว่าจะตัดโมเดลขยายละเอียดขนาดนี้เชียวเรอะ
Fah : ส่วนเพลทพรีเซนต์เราเพิ่งส่งร้านพิมพ์ไปตอนสี่ทุ่ม วันนี้ร้านเปิดถึงตีสอง จ้ะแม่คุณ...
แปลว่าต้องไปเอาอีกสินะ...
Fah : น้องส่งงานเก้าโมงนะวิน
Fah : ขอบคุณมากๆ ผมเหลือบมองนาฬิกา เที่ยงคืนพอดิบพอดี
โอ้โห… เวลาเหลือเฟือมากครับ
ไอ้ชิบหาย ผมอุทานกับตัวเอง
ผมเดินเข้าไปหาคนที่กำลังตัดโมเดลอยู่
“แปลนกับรูปด้าน” พูดจบเจ้าตัวก็เงยหน้ามามองแบบงงๆ “เอามาดิ่ ไม่งั้นกูจะตัดได้ยังไง เอาเซ็คชั่นมาด้วย”
“เอ่อ พี่วิน พี่ไม่ต้อ-”
“ไม่เสร็จกูจะด่าให้” ผมพูดเสียงเข้ม “เอามาเร็วๆ”
เด็กหวานเม้มปากยอมเงียบแล้วส่งแปลนกับแบบขยายมาให้ตามที่ผมต้องการ ผมพลิกดูเร็วๆ แล้วเดินไปนั่งที่อีกฟากของโต๊ะ รื้ออุปกรณ์ที่ต้องใช้ออกมากอง ก่อนจะเริ่มดูแบบอย่างละเอียดก่อนลงมือตัดโมเดลต่อจากที่ฟ้าเริ่มไว้ให้
แบบไฟนอลของเด็กนี่ถือว่าดีเกินความคาดหมายของผมไปเยอะ ดีเทลหลายอย่างถูกปรับเปลี่ยนใหม่ให้ไปในทิศทางเดียวกัน ที่สำคัญคือคราวนี้ผลงานของมันมีกลิ่นอายของสถาปนิกชื่อดังอย่างทาดาโอะอยู่อย่างชัดเจนเลยทีเดียวครับ ถึงดูผ่านๆ อาจจะเรียบไปหน่อย แต่ลูกเล่นที่ซ่อนอยู่ในการออกแบบคือการใช้สีแทรกเข้าไปที่บริเวณรอยต่อที่เกิดขึ้นจากการก่อสร้าง ทั้งรอยหมุดและเส้นที่เกิดจากการถอดแบบ formwork ของคอนกรีตหล่อผนัง
ทาดาโอะไม่เคยใช้สีอื่น นอกจากสีของวัสดุ
มันไม่ได้กำลังเน้นที่ตัวอาคารหรือวัสดุอะไร แต่นี่เป็นการให้ความสำคัญกับรายละเอียดและกระบวนการทำงานต่างหาก
ซึ่งนั่นแหละ...จุดเด่นของงานทาดาโอะ...
ถึงดีเทลและสัดส่วนงานจะดูแปลกไปบ้าง รูปเรนเดอร์ของมันก็ยังฝีมือไม่เข้าที่ แต่ของพวกนั้นมันมันฝึกกันได้ครับ
ที่ต้องยอมรับคือเซนส์เรื่องสเปซและคอนเซปมันต่างหาก
ไอ้เด็กนี่เก่งมากเลยนะครับ
ถึงนี่จะเป็นแค่การใช้สีสันในจุดเล็กๆ แต่นี่ก็ถือเป็นการใส่ตัวมันลงในงานอย่างชัดเจน
แถมได้อิมแพคมหาศาลอีกต่างหาก นี่แหละครับ less is more ของจริง
(ถึงนี่จะไม่ใช่งานที่ได้แรงบันดาลใจจาก Mies van der Rohe คนพูดประโยคนี้ไว้ก็ตามน่ะ)
คราวที่แล้วที่รีวิวแบบ แม่งยังดูขาดๆ เกินๆ อยู่เลย
ผีเกรทอาคิเต็คแม่งต้องเข้าสิงมันเหรอครับ
พอ… เลิกวิจารณ์งาน หันมาตัดโมเดลดีกว่า… ผมพับแขนเสื้อขึ้นไปถึงข้อศอก
ผมเลือกจะทำโมเดลทางเข้าก่อน ไหนๆ ฟ้าก็ตัดไว้แล้วประมาณ 40% จากการประมาณ...อืม… อีกไม่ถึงสองชั่วโมงก็น่าจะเสร็จครับ ถ้าจบตรงนี้แล้วก็บึ่งไปเอาเพลทที่ปริ้นท์ไว้ กลับมาค่อยมาดูโมเดลหลักที่ไอ้เด็กบ้านี่ทำ ถ้ายังไม่เสร็จจะได้ไปช่วย ส่วนโมเดลขยายของส่วนจัดแสดง… มีเวลาเหลือก็ค่อยจัดการแล้วกัน คนบ้าอะไรต้องมีโมเดลขยายสองตัว..
เอ๊ะ...
เอ่อ... ยอมรับก็ได้ครับว่าเคยเป็นบ้า...
แผ่นรองตัดพร้อม คัตเตอร์พร้อม ฟุตเหล็กพร้อม
รีบลงมือดีกว่า
_ _ _ _
01.24“หวาน เดี๋ยวกูไปเอาเพลทที่ร้านปริ้นท์นะ” ผมเดินไปบอกเจ้าของงานหลังนั่งตัดโมเดลส่วนทางเข้าจนเกือบเสร็จ เหลือแค่ประกอบเข้าไป อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ “เดี๋ยวกลับมาทำต่อ” ผมว่า
“เอ่อ.. พี่วินช่วยแค่นี้ก็มากแล้ว..พอแล้วครับ” หวานพูดพลางนั่งก้มหน้าทำงานต่อ “กลับเถอะ”
“อะไรอีก…” ผมถามเสียงขุ่น ไอ้นี่เงียบตลอดตั้งแต่ผมมาถึงเลยนะครับ
ถามคำตอบคำทำหน้าเหมือนจะตาย
“พี่กลับเหอะ ผมทำคนเดียวได้" คนเด็กกว่าถอนหายใจ แต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามอง
"อะไรของมึง นี่โมเดลยังไม่เสร็จสักตัว พรุ่งนี้มึงจะเอาที่ไหนไปส่ง ตายห่าพอดี"
"ก็...ช่างเหอะ ผมทำได้" มันว่าพลางรวบกระดาษที่ตัดเสร็จแล้วไว้กองเดียว
"ตกลงมึงจะเอาไง” ผมหัวร้อนขึ้นบ้าง “นี่คือจะหาเรื่องทะเลาะกับกูใช่มั้ย"
“เปล่า…” หวานเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ "คือ… แม่ง........ผมไม่อยากให้พี่อยู่ตรงนี้"
เชี่ย เหมือนถูกต่อยโดยคำพูด หน้าชาตัวชาไปหมด
เจอแบบนี้เข้าไปก็สะอึกเหมือนกันนะครับ ไม่ต่างจากโดนบอกว่าเสือกเลยสักนิด
ใช้เวลาหลายอึดใจกว่าจะคิดได้ว่าควรทำอะไร
"เออ… กูก็… ได้... กูไปก็ได้" เหมือนมีก้อนอะไรไม่รู้จุกอยู่ที่คอ สมองจะคิดอะไรก็ดูจะช้าไปหมด “เอ่อ.. กู.. กูยุ่งเองแหละ” พูดจบผมก็หมุนตัวเดินออกไปเร็วๆ เด็กมันพูดมาขนาดนี้แล้วจะมาหน้าด้านอยู่ตรงนี้ทำไม ไม่ใช่ที่ของกูไง...
"พี่วิน! เดี๋ยว…” หวานลุกขึ้นคว้าเอาข้อมือผมไว้
“คือ… ผมไม่ได้ไล่...ผมแค่.........แม่ง ยังไงดีวะ" มันพูดเสียงเบา
“มึง....ปล่อย" ผมหันกลับมาพูดเสียงแข็งแล้วดึงมือกลับ แต่คนตรงหน้าก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ “กูจะกลับแล้ว อยากที่มึงอยากไง” ผมว่า
"ไม่เอา... ผมขอโทษที่พูดไม่ดี” มันมองหน้าผมอย่างชั่งใจ “ผม.. โธ่ว้อย…”
“ปล่อย..” ผมย้ำ
คนตรงหน้าถอนหายใจยืดยาวก่อนจะยอมเปิดปาก “คือ.. พี่ฟังผมก่อน… นะครับ” หวานเอามือทั้งสองข้างมากุมมือผมไว้
“ผมไม่อยากให้พี่เห็นอะไรแบบนี้…” มันว่า “ผมอยากเป็นคนเท่ๆ ให้พี่เห็น อยากให้พี่รู้ว่าผมก็ทำได้ อยากให้พี่เห็นว่าผมเก่ง” มันสูดหายใจอีกเฮือกใหญ่
“แต่ตอนนี้ผมแม่งห่วย งานแค่นี้ก็จัดการเองไม่ได้..” มันก้มหน้าก้มตาพูด
"..."
“พี่เป็นคนสุดท้ายที่อยากให้เห็นในสภาพนี้เลย… แต่จู่ๆ ก็โผล่มา แถมต้องมาช่วยผมอีก” มันพูด
กูก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาช่วยมึงแบบนี้หรอกนะ
"ถึงอย่างนั้นผมก็ดีใจที่ได้เจอพี่ ผมคิดถึงพี่มากเลยนะครับ คิดถึง...แล้วก็อยากเจอมากๆ"
ผมมองหน้ามันอึ้งๆ “แต่มึงหายไปเลยนะไอ้เหี้ย”
“ถ้าไลน์ไปก็อยากได้ยินเสียง แล้วถ้าโทรไปก็ต้องอยากเจอหน้าแน่ๆ ผมทนไม่ได้หรอก” มันว่า “พี่ว่าผมไม่มีสมาธินี่ครับ... ผมเลยตั้งใจว่าจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน ทั้งสอบทั้งงานพวกนี้.. แล้วค่อยไปหาพี่แบบเท่ๆ…” มันพูด
"ผมไม่อยากให้พี่มองว่าผมเป็นเด็ก ผมอยากเป็นคนที่พี่ก็พึ่งพาได้เหมือนกันนี่…"
"พี่เข้าใจผมมั้ยครับ" มันมองหน้าผมแล้วกระชับมือที่กุมอยู่เบาๆ
“วันก่อนมึงเมินกู” ผมพูดเสียงเขียว
“ถ้าวิ่งเข้าไปกอดวันนั้นจะโกรธมั้ยล่ะครับ” มันย้อน
“ไอ้…”
“นี่ ผมจริงจังกับทุกเรื่องที่พูดกับพี่ไปนะ” หวานพูดชัดเจน “ได้แต่คิดถึงมาตั้งหลายอาทิตย์ วันนี้ได้เจอทั้งที อย่ากลับเลยนะครับ” มันจ้องหน้า “นะ…”
เผลอกัดปากตัวเองเพราะไม่รู้จะตอบมันว่าอะไรดี ผมหลบตาไปมองพื้นห้อง
พอเจอลูกอ้อนเข้าไปก็เหมือนสมองจะหยุดทำงานไปดื้อๆ ทิ้งร่างให้ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่แบบนี้
วูบหนึ่งก็เหมือนได้ยินคนตรงหน้าหัวเราะหึหึในลำคอ
“ว่าแต่...” ร่างสูงโน้มตัวลงก่อนจะพยายามสบตาผมให้ได้ “แล้วพี่คิดถึงผมบ้างมั้ยครับ”
เยอะไปแล้วเฮ้ย!!!
สายตาแบบนั้นมันอะไร ไหนจะรอยยิ้มมุมปากมึงอีก!
“อะ… เอ่อ…”
“เฮียวิน!!!” เสียงตะโกนเรียกชื่อเสียงดังมาจากหน้าซอย ทำเอาผมสะดุ้งสุดตัวผละมือออกจากเด็กปีหนึ่งแล้วหันควับไปมองต้นเสียงทันทีที่ตั้งสติได้
“ไอ้เต้!” ผมเรียกอย่างตกใจ น้องรหัสเดินปรี่เข้ามาหาผมเร็วๆ
“เฮียมาไงเนี่ย ผมนึกว่าไอ้แป้งพูดมั่ว นี่เข้ามาทำไมไม่บอกล่ะ ไอ้น้องนิวอยู่ฟากโน้นนู่น” มันพูดรัวๆ แล้วชี้มือข้ามห้อง
“เอ่อ… เอ้อ ของน้องนิวเป็นไง” ผมแถถามแบบเพิ่งนึกขึ้นได้ เออ น้องรหัสปีหนึ่งของผมก็ต้องส่งงานเหมือนกันนี่หว่า
“มีผมกับน้องกันสองคนอ่ะ ก็เหลือไม่เยอะ แต่ก็น่าจะเช้าอยู่” เต้พูด “แล้วนี่เฮียไม่ได้...” มันถามงงๆ
“เอ่อ… กูมาช่วยไอ้นี่...” ผมพูดชี้ไปข้างตัวแบบไม่มองแล้วรีบอธิบาย “คือฟ้าฝากกูมา แม่งไม่มีคนช่วยเลยเนี่ยดูดิ”
เต้หรี่ตามอง “เออ ตอนเย็นผมมาดูแม่งละ บอกให้เรียกสายมาช่วยมันก็ไม่ยอมเว้ยเฮีย มันบอกว่าจะทำงานคนเดียว ใครมาก็ไล่ให้ไปช่วยคนอื่น เป็นไงล่ะมึง” มันว่าเอา “เสร็จสมใจมึงมั้ยล่ะเนี่ย”
“ก็ผมอยากทำงานเองทั้งหมดนี่…” ไอ้เด็กที่ยืนข้างๆ ผมพูดเสียงเบา
โว้ย ไอ้เด็กห่านี่
ทำเก่งไม่เข้าเรื่องนะ ผมถอนหายใจพรืด
“เออ เต้ น้องนิวไปเอาเพลทที่ร้านปริ้นท์ยัง” พอเห็นมันส่ายหน้าผมเลยได้ทีพูดต่อ “ดี ฝากไปเอาที่ร้านนี้ด้วย งานไอ้หวานเนี่ย อันนี้รหัสรับงาน” ผมเขียนโพสอิทให้มันเร็วๆ “ไปเลยมึง ร้านปิดตีสอง เร็วเลย”
“อ่า.. ได้ครับ” มันรับกระดาษจากมือผมไปแบบงงๆ แล้วเดินออกไป
ผมลอบถอนหายใจเบาๆ ไอ้เต้มันคงไม่ได้เห็นหรือสงสัยอะไรใช่มั้ยวะ
คนข้างตัวเดินเข้ามาใกล้อีกนิด “ตกลงว่า… ไม่กลับแล้วใช่ป่ะ”
หวานยื่นหน้าเข้ามาสบตาตรงๆ ก่อนจะยิ้มกว้าง มองหน้ามันในระยะประชิดแบบนี้ทำเอาความร้อนวูบวาบแล่นขึ้นมาบนหน้าอย่างช่วยไม่ได้ สายตาแม่งวิบวับจนอยากเอานิ้วจิ้มไปให้จบๆ ไม่ดี ไม่ดีเลยให้ตาย
ผมเอามือดันอกมันออกก่อนจะโวยวาย “ถ้ากูไม่อยู่แล้วงานมึงจะเสร็จมั้ยล่ะ!” คนตรงข้ามหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะยอมผละออก ผมเดินปึงปังไปที่โต๊ะตัดโมเดลตัวเดิม แม่งเอ้ย
“เฮ่ออ จริงๆ ฝันไว้ว่าอยากให้แค่มานั่งดูผมทำงาน ไม่ได้ให้มาช่วยทำงานอย่างนี้นะ”
มันว่า “แบบมานั่งน่ารักให้กำลังใจอะไรแบบนี้”
“น่ารักพ่อง!!! ทำงานไปเลยไอ้เด็กห่านี่!!” ผมว้ากพร้อมเขวี้ยงหลอดกาวใส่มันแล้วหันมาตั้งสมาธิกับการตัดโมเดลแทน
หวานหัวเราะเสียงดังก่อนจะกลับไปสนใจงานตรงหน้าเช่นกัน
ถ้าไม่นับหัวใจที่เต้นรัวเป็นกลองอยู่ตอนนี้… ก็ไม่เถียงหรอกนะว่าบรรยากาศมันดีขึ้นเยอะ…
_ _ _ _
(มีต่อ)