แตะต้องครั้งที่ 21
จับบบ…พี่เรือใบร่วมแจมแถมเหล้าเคล้าควันปืน
แตกตื่นหนีตายสุดท้ายถึงกับร้อง Oh My Ass [Part 2]
ชิบหาย เกิดไรขึ้นวะ
เสียงเพลงเงียบไปแล้ว แทนด้วยเสียงคนร้องโวยวาย เสียงโต๊ะล้ม เสียงแก้วเสียงขวดแตกกระจาย ผสมผสานกับเสียงดังปังๆ เป็นชุด คงเพราะเสียงนี้แหละ พี่เรือเลยสะบัดมือฟึ่บมาแถวๆ ด้านหลังเสื้อแจ็กเก็ต แล้วปืนกระบอกนึงก็โผล่มาอยู่ในมือเขาราวกับเล่นกล
แกร๊ก!
ตามด้วยดึงสไลด์ปืนอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน แต่ตอนลดปืนลงข้างตัวนั้นทำช้าๆ จนน่าขนลุก ช้าจนเกือบจะเข้าขั้นภาพสโลว์โมชั่น
โคตรเท่เลย!
นี่เราหลงมาอยู่ในกองถ่ายเหรอวะ
ปืนปลอมใช่มั้ย!
“เกิดอะไรขึ้น” พี่สายธารก้าวเข้าไปชิดเจ้าของปืน
“เกิดเรื่องสักอย่างแหละ”
“เสียงปืนเหรอ”
“กูฟังอยู่” พี่เรือตะแคงศีรษะนิดๆ ตรงช่องแง้มประตู กึ่งมองกึ่งฟัง อย่างกับแฟนพันธุ์แท้พยายามแยกแยะเสียงปืนว่ามีชนิดไหนบ้าง พูดไม่ทันขาดคำ เสียงรัวปังๆ ก็ดังแทรกเสียงความโกลหลขึ้นอีกชุด
ปืนกลแบบที่พวกมาเฟียในหนังใช้กันแน่ๆ
พี่ทัชขยับมายืนขวางๆ ตัวผมไว้ ถ้าเกิดมีกระสุนทะลุประตูห้องน้ำเข้ามาก็คงโดนพี่ทัชก่อน ผมเลย...ขยับเบี่ยงตัวไปยืนหลังพี่ทัชให้มิดมากกว่าเดิม
ไม่ได้เห็นแก่ตัวนะ แต่ขามันขยับไปเอง นี่ถ้าไม่ได้ฉี่ไว้ก่อนผมอาจจะฉี่ราดกางเกงไปแล้ว
ปังๆๆๆ!
เอาอีกแล้ว
จู่ๆ พี่ทัชก็ก้าวพรวดไปที่ประตู แต่ถูกพี่เรือขวางไว้
“ผมจะไปหาเรนจิ”
“มันอยู่กับไอ้โอม ไม่เป็นไรหรอก” พี่เรือบอก ทำเอาพี่ทัชลังเล ผมเลยเอื้อมไปฉุดตัวเขากลับมายืนบังวิถีกระสุนไว้เหมือนเดิม กลัวก็กลัว แต่ก็สงสัยด้วย ยอมโผล่หัวออกไปด้านข้างตัวพี่ทัชนิดๆ ละกัน
“มึงอยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูออกไปช่วยไอ้โอม” พี่เรือใบพูดกับพี่สายธาร น้ำเสียงเหมือนบอกว่าจะออกไปหากาแฟกินแก้เซ็งสักแก้ว
พี่สายธารตะปบแขนอีกฝ่ายไว้ทันที “พี่…”
“เออน่ะ กูไม่เป็นไรหรอก” เขาทำท่าจะออกไป แต่ก็ชะงักแล้วยัดปืนใส่มือพี่สายธาร “เอางี้ มึงเอาปืนไป พาไอ้พวกนี้ออกประตูหลัง แล้วไปรอกูที่โอเมก้า ปืนขึ้นลำแล้วนะ ระวัง แต่ถ้าเจอใครหน้าเถื่อนๆ ถือปืนเหมือนกันก็ชวนมันเล่นป๊อกเด้งเลย เข้าใจนะ”
“ไม่ดิ พี่เอาปืนไปดีกว่า”
“เดี๋ยวกูไปหาเอาข้างหน้า ไป”
“พี่” พี่สายธารตะปบแขนไว้อีก “ระวังตัวนะ”
เจ้าตัวยิ้ม “มึงนั่นแหละต้องระวัง เสร็จจากเรื่องนี้แล้วกลับบ้าน ยิ่งต้องระวังหนักเลย ไปได้แล้ว” พี่เรือพูดอย่างอารมณ์ดี หันไปมองผ่านช่องแง้ม แล้วยืนเต็มความสูงแทรกตัวออกไป
พี่สายธารจับปืนด้วยสองมือชี้ปลายกระบอกลงพื้น สายตาที่มองพวกเราดูจริงจัง เหมือนจู่ๆ ก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปอีกหลายปี “ไปประตูหลังกัน พร้อมมั้ย”
ไม่พร้อม!
ใครจะพร้อมวะ หน้าแต่ละคนนี่ก็ซีดเป็นไก่ต้มไปแล้ว ขอนอนแกล้งตายอยู่ในส้วมได้มั้ยพี่สายธาร แต่พี่ทัชก้าวออกไปข้างหน้าซะงั้น ขาผมเลยก้าวตามโดยอัตโนมัติ จังหวะนั้นผมรู้สึกว่าไหล่ของพี่ทัชกว้างขึ้นกว่าปกติด้วย
“อยู่ข้างหลังกูไว้” พี่ทัชบอก
“ไม่ต้องห่วง ผมอยู่ข้างหลังพี่ตลอดอยู่แล้ว...เฮ้ย พี่ด้วย ตัวใหญ่อะมาข้างหน้าเลย” ผมเอื้อมไปฉุดแขนพี่วิวัฒน์ให้มาอยู่ข้างพี่ทัช แบบนี้ค่อยบังมิดขึ้นหน่อย
“ก้มต่ำๆ ไว้นะ ไปกัน”
พี่สายธารนำออกไปก่อนคนแรก พี่ทัช พี่วิวัฒน์ แล้วก็ผมย่อตัวต่ำเกาะกลุ่มตามไปติดๆ และสุดท้ายก็เป็นนักเที่ยวสามคนนั้นที่ขยับตามมาอย่างเงอะงะ คำว่าก้มต่ำในที่นี้ ไม่รู้ว่าควรจะต่ำสักแค่ไหน ผมอยากจะคลานเอาหน้าไถพื้นไปเลย แต่กลัวตามไม่ทัน
สภาพนอกห้องน้ำอย่างกับวันโลกแตก เสียงเพลงดับไปแล้ว แต่ยังไม่มีใครไปยุ่งกับระบบไฟ ภายในผับเลยยังมืดสลัวและมีแสงไฟหลากสีส่ายวูบวาบ โต๊ะเก้าอี้ล้มกระจาย บางคนซุกอยู่ตามมุม บางคนผุดลุกผุดนั่ง คนกลุ่มหนึ่งต่อสู้นัวเนียกันอยู่บริเวณประตูหน้า คนอีกกลุ่มเบียดออกันมาทางประตูหลัง
และระหว่างนี้ก็ยังมีทั้งเสียงปืนเสียงกรีดร้องดังจากมุมโน้นมุมนี้
ประตูหลังอยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำมาก พี่สายธารนำเราเบียดฝ่าผู้คนออกมาจนได้
รอดแล้วๆๆ
ที่ไหนได้ ด้านนอกข้างๆ ผับนี่ก็มีคนซัดกันนัวเนียอยู่เป็นสิบ ทั้งนักเที่ยวทั้งอะไรปนกันมั่วไปหมด บางคนวิ่งกระเจิง บางคนย้อนกลับมาแทรกตัวจะเข้าไปในผับ รถยังติดเป็นแถว มีบางคันกำลังกดแตรเป็นบ้าเป็นหลัง มอเตอร์ไซค์บางคันพยายามซิกแซกไปทั้งที่มีกลุ่มคนรำมวยใส่กันอยู่ บางคันก็ล้มคว่ำไปแล้ว มีคนถูกจับเหวี่ยงขึ้นไปนอนแผ่บนกระโปรงหน้ารถด้วย
“ทางนี้” พี่สายธารนำออกไปพร้อมกับชี้ปืนลงต่ำ
อะไร คิดว่าเราเป็นหน่วยคอมมานโดเหรอ ไม่อะ กลับเข้าไปข้างในดีกว่า
หมับ!
แต่พี่ทัชฉุดแขนผมพาวิ่งลงไปที่ถนนแล้ว
หวิวเลย “ค็อกเทลผมไม่มีแอลกอฮอล์ รถเมล์ขึ้นราคา รถไฟฟ้าก็ชอบเสีย…” เพราะนิ้วพี่ทัช ความจริงไร้สาระเลยล้นปากออกมา “หวิวอะพี่ พี่ทัช เดี๋ยววว…” ผมรู้สึกว่ากำลังวิ่งแบบตัวลอยๆ ไม่รู้พี่ทัชฉุดแรง หรือว่าเป็นภาวะวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว ผู้คนทั้งเบียดทั้งชนผมจนเซซ้ายเซขวา แต่พี่ทัชยังจับผมไว้แน่น เสียงปืนก็ยังดังอยู่รอบตัว ลูกปืนเฉี่ยวหัวไปดังฟิ้วๆ “โอ๊ยยย โดนแล้วๆ ผมโดนแล้ว ตูดผม...”
“โดนอะไร”
“โดนยิง จะตายแล้ว โอ๊ยยย พี่ทัชๆ ไม่ไหว”
“มึงจะไปไหน มาทางนี้”
“แม่ ผมรักแม่นะ พี่ๆ ผมฝากหมอนเน่าด้วย…”
พี่ทัชลากผมออกมาจากจุดชุลมุนจนได้ แล้วพาข้ามถนนไปอีกฝั่ง มาที่หน้าร้านโอเมก้าที่เราจะเข้าไปกันตอนแรก พอหันมองข้างหลัง บริเวณหน้าทางเข้าผับโอ้มายแอสยังมีคนต่อยกันนัวอยู่ ควันปืนหรืออาจจะควันไฟไหม้ฟุ้งอบอวลจนเห็นคนเป็นเงาวูบวาบ
ปังๆๆๆ!
หน้าร้านโอเมก้าก็มีคนจับกลุ่มกันอยู่มั่วๆ บ้างชะเง้อมอง บ้างนั่งลงเอามือกุมหัวแต่อีกมือยังยกโทรศัพท์ถ่ายคลิป พรุ่งนี้คลิปว่อนโซเชียลแน่
ใครจะดูก็ดูไปนะ ผมสับขาละ พอตั้งหลักได้ คราวนี้เป็นผมที่วิ่งออกนำหน้าและลากตัวพี่ทัช แซงพี่สายธารด้วย พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองวิ่งเข้ามาที่ซอยเล็กๆ แคบๆ ข้างร้านโอเมก้าแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นทางตัน อันที่จริงคงไม่ใช่ซอยหรอก เรียกว่าหลืบข้างร้านน่าจะเหมาะกว่า
มีคนบางส่วนหนีตายเข้ามาในหลืบนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่มีใครจับจองที่ข้างถังขยะ ผมเลยฉุดแขนพี่ทัชไปนั่งตรงนั้น พี่สายธารเข้ามานั่งลงสมทบด้วย
“เราจะตายมั้ย พวกแม่งเป็นใคร ผู้ก่อการร้ายเหรอ บ้านเมืองมีขื่อมีแปทำไมมันกล้าขนาดนี้ กฎหมายไทยอ่อนใช่มะ นี่เราตายยัง ขาผมชาไปหมดแล้ว พี่ ผมโดนยิง หายใจไม่ออก...”
“มึงไม่ได้เป็นอะไรเลย”
“ไม่ๆ ขาชาจริงๆ โอ๊ย กระสุนฝังในรึเปล่า พี่ทัช ผมจะตายมั้ย ฝากหมอนเน่าด้วยนะ ผงฟอกจะกัดมันรึเปล่า พี่ บอกแม่ผมด้วยว่าผมรักแม่...ผมยังไม่อยากตาย...ผมยังอยากกินราดหน้าร้านป้าอยู่...โอ๊ย วันจันทร์สีเหลือง”
“นะฑี หยุดพูด”
“ไม่ได้ พะ...พี่จับแขนผมอยู่”
พี่ทัชรีบปล่อยมือ เปลี่ยนมาเป็นกดหลังผมไว้แทน ปลายนิ้วเปลือยๆ ของเขาไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวผมโดยตรงเพราะมีเนื้อผ้ากั้นอยู่ แต่ผมก็พูดต่ออยู่ดี
“วัยรุ่นตีกันเหรอ หรือว่าพวกระเบิดพลีชีพ มันมาทางนี้ยัง พี่ ขาผมไม่รู้สึกแล้ว…”
“นะฑี บอกให้หยุด”
“แต่…”
“ตั้งสติหน่อยก็ดี” พี่สายธารพูดเรียบๆ น้ำเสียงเขาอาจจะไม่ได้หนักแน่นน่ากลัวเท่าพี่เรือใบ แต่ก็ทำให้ผมเกรงใจจนปากหยุดชะงักได้
ผมเงยขึ้นมองหน้าเขา
พี่สายธารนั่งคุกเข่าข้างเดียว เขามองเหลือบมาสบตาผมแวบนึง ก่อนจะถอดกระสุนออกจากตูดด้ามปืน ดึงสไลด์ดังกึกทำให้กระสุนอีกหนึ่งนัดกระเด็นออกมาตกอยู่ที่พื้น เขาดึงสไลด์ซ้ำสองสามที ตามด้วยลั่นไกใส่พื้นเสียงดัง แชะ! จากนั้นเขาก็เก็บกระสุนทั้งหมดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ถือไว้แต่ปืนเปล่าๆ
“ทำไมพี่เรือมีปืนอะ พกปืนเข้าผับได้เฉย” ผมถาม
“เขาเป็นสายตำรวจน่ะ” พี่สายธารตอบ “แล้วก็เป็นเพื่อนกับพี่โอม เลยพกเข้าได้”
“อ้อ แล้วพี่ทำงั้นทำไมอะ เอาลูกปืนออกทำไม”
“จะได้ไม่ยิงใครตาย”
“เฮ้ย ต้องยิงดิพี่ ใครเดินมั่วๆ เข้ามาต้องยิงไว้ก่อน” ผมพยายามนึกถึงคำพูดพี่เรือ แต่ก็นึกไม่ค่อยออก “พี่เรือบอกอะไรนะ ป๊อกๆ อะไร”
“ป๊อกเด้ง แบบนี้ไง” พี่สายธารกระดกปืนประกอบคำพูด “แล้วก็เด้งไปนอนอยู่ที่พื้น”
“นั่นไง ป๊อกเก้าสองเด้งรัวๆ ไปเลย ผมยังไม่อยากตาย”
“คงไม่มีอะไรแล้วละ” พี่ทัชพูดพร้อมกับยืนขึ้น
พี่สายธารยืนด้วย
เสียงปืนสงบไปแล้วก็จริง แต่ผมยังนั่งเอามือกุมหัวอยู่ข้างถังขยะต่อ ผมเห็นมาเยอะแล้ว ในหนังหลายๆ เรื่องพวกตัวประกอบมักจะตายจังหวะนี้แหละ ชอบประมาทคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว สุดท้ายก็...ป๊อก เด้งมานอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้น
“เป็นไงมั่ง” เสียงแบบนี้ คงเป็นพี่เรือ
ผมเอียงศีรษะมองมุมเสย เพราะพี่เรือยืนเต็มความสูงอย่างสบายๆ นี่แหละ เลยทำให้ผมกล้าลุกขึ้นยืนด้วย แต่ขาดันอ่อนแรงจนผมต้องเกาะไหล่พี่ทัชไว้ จากมุมนี้ถ้ายังมีใครยิงมาจากทางผับโอ้มายแอสก็ต้องโดนเข้ากลางหลังพี่เรือก่อนละ
“โอเคดี” พี่สายธารพูดตอบและส่งปืนคืนให้เขา พี่เรือใบรับไปถือไว้โดยไม่ตรวจดูอะไรเลย แต่เขาก็แบมืออีกข้างออกมาเป็นเชิงรู้ทันว่ามันไม่มีลูก พี่สายธารแอบถอนหายใจนิดๆ ก่อนจะหยิบที่ใส่กระสุนจากกระเป๋าเสื้อส่งคืนให้เขา เจ้าตัวรับไปตบมันใส่ด้ามปืนโดยไม่มองอีกตามเคย แล้วอ้อมมือไปเหน็บปืนไว้ด้านหลังเข็มขัดใต้ชายเสื้อแจ็กเก็ต
“เรนจิเป็นไงบ้างครับ” พี่ทัชถาม
“ไอ้โอมลากมันเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ ตอนนี้หลับสบายอยู่”
หลับสบาย…?
“พี่เห็ดตายแล้วเหรอ!” ผมโพล่งขึ้น
“เห็ดไหน”
“พี่เรนจิอะ ไม่นะ แกตายจริงๆ เหรอ”
“ตายอะไร มันเมา”
“อ้อ ค่อยยังชั่ว แล้วนอกนั้นกี่ศพอะพี่ ได้นับยัง”
“ศพอะไร ไม่มีใครตาย”
“เฮ้ยจริงดิ นี่ห้อยพระดีกันทุกคนเลยเหรอ กราดยิงขนาดนั้นมันต้องโดนใครบ้างดิ แล้วไอ้คนถือเอ็ม 16 อะ หนีไปแล้วใช่มั้ย”
“เอ็ม 16 อะไรของมึงอีก ไอ้ที่เสียงดังๆ นี่ประทัด”
“ประทัดอะไร คิดว่างานเชงเม้งเหรอ ลูกปืนนี่ฟิ้วๆ เฉียดหัวผมไปเลยนะ ผมเห็นคนถือปืนยิงกราดตรงหน้าผับด้วย…” หรือไม่ใช่วะ ตรงนั้นควันเยอะด้วย
“เด็กวัยรุ่นเหรอ” พี่สายธารถาม
“อืม แก๊งปะทะกัน แต่ไอ้โอมคิดว่าน่าจะเป็นคู่แข่งธุรกิจจ้างคนมาป่วนมากกว่า”
“พี่ไม่ได้อัดคนสลบหรือหักแขนใครใช่มั้ย”
พี่เรือหัวเราะ “นิดหน่อยน่า”
“โห พี่อัดคนสลบเลยเหรอ” ผมถามอีก “แล้วไม่มีใครตายจริงดิ”
“เฮ้ย มึงจูนหัวให้มันดิ๊” พี่เรือพูดกับพี่ทัช
แต่ผมจูนตัวเองละ นวดขมับแรงๆ แล้วพูดออกมาดังๆ “นี่ผมคิดไปเองเหรอ ไอ้ที่เจ็บๆ ขานี่ก็ไม่ใช่โดนลูกปืน แต่คือ…” คงจะออกตัววิ่งแรงไปหน่อยเลยเป็นตะคริว ตอนนี้โอเคแล้ว “เฮ้ย ไม่เป็นไรจริงด้วย รอดว่ะ พี่ทัช เรารอดตายแล้ว!”
ฟึ่บ!
ผมกระโดดตัวลอยใส่พี่ทัช พร้อมกับตวัดแขนรอบคอ ตวัดขารอบเอว พี่ทัชคงไม่ทันได้ตั้งตัวเลยถึงกับเซ
“อะไรเนี่ย นะฑี”
“รอดแล้วพี่! รอดๆๆ ผมไม่ต้องฝากแมวแล้ว”
“นะฑี...!”
แล้วเราก็ล้มคว่ำไปด้วยกันที่ข้างถังขยะ พี่ทัชอยู่ล่าง ตัวผมคร่อมอยู่ข้างบนโดยที่หน้าซบอยู่ตรงช่วงไหล่เขา “พี่...หวิวเลย…”
“อะไรของมึงเนี่ย ลุกขึ้นเร็ว คนมอง”
“มะ...ไม่มีแรง”
“นะฑี ลุก”
“ไม่ไหว ก็พี่กอดผมอยู่อะ นิ้วพี่โดนคอผม มันหวิว ไม่มีแรง”
“ไม่ได้โดน กูกำมืออยู่”
“เอ้าจริงดิ ทำไมผมรู้สึก”
“นะฑี”
มือพี่ทัชไม่ได้โดนตัว ไม่ได้กอด ปลายนิ้วเอ็กซ์เมนก็ไม่ได้สัมผัส แต่ก็ยังหวิวอยู่ดี ผมค่อยๆ ค้ำมือข้างตัวเขาเพื่อยันตัวลุกขึ้นยืน พี่ทัชก็รีบค้ำตัวลุกขึ้นตามทันที
โอ๊ยๆ ตะคริวเล่นงานผมอีกเล็กน้อยจนต้องเกาะไหล่เขาไว้อีก เขาไม่ว่าอะไร แต่เห็นแอบซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง
“ล้มทับกันข้างถังขยะแบบนี้นะ รับรอง งานยาว” พี่เรือพูด ทำเอาพี่สายธารกระตุกศอกใส่หน้าท้องที่โคตรจะแข็งแกร่งนั่นอีกที ซึ่งเจ้าตัวก็หัวเราะตามเคย
“พี่สองคนเคยล้มทับกันข้างถังขยะเหรอ” ผมถาม ดูเหมือนสองคนนี้ต้องมีความหลังเกี่ยวกับถังขยะแน่ๆ
พี่เรือตวัดแขนรอบคอพี่สายธารไว้และหัวเราะดังกว่าเดิม ทีนี้กลายเป็นพี่ทัชที่กระตุกศอกใส่ผมแทน ถึงจะแค่เบาๆ แต่ก็เล่นเอารู้สึกจุก
“ขอบคุณพี่สองคนมากนะครับ” พี่ทัชพูด
“ทุกคนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” พี่สายธารบอก
“ผมก็ขอบคุณพวกพี่มากนะครับโผม เป็นบุญกะลาหัวจริงๆ ที่ได้พี่สองคนช่วยไว้” ผมยกมือไหว้งามๆ พี่ทัชก็ไหว้ด้วย พี่สายธารรับไหว้อย่างดี ส่วนพี่เรือแค่ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง เพราะมืออีกข้างยังพาดคอคนข้างๆ อยู่
“กูไปละ ถ้าพวกมึงไม่อยากเดือดร้อนก็รีบกลับบ้านซะ เดี๋ยวพ่อมึงก็มาแล้ว” พูดจบพี่เรือก็รวบคอพี่สายธารพาเดินออกไป
ผมกับพี่ทัชมองตามหลังพวกเขาจนเดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง แล้วผมค่อยพูดขึ้น “โคตรเท่เลย ว่าแต่เขาพูดถึงพ่อเราทำไมอะ คือยังไง”
“เขาหมายถึงตำรวจ” พี่ทัชบอก
“อ้อ ผมรู้น่า แกล้งถามไปงั้นแหละ”
“เหรอ”
“เฮ้ยๆ เพิ่งนึกออก เซนส์ผมแรงนะเนี่ย บอกแล้วว่าโอเมก้าจุดสิ้นสุดอะไรนี่ชื่อไม่เป็นมงคล เกือบโดนยิงตายแล้วมั้ยล่ะ ไปดิพี่ กลับ เราจะอยู่รอพ่อมาเหรอ”
“เป้าหมายล่ะ”
“เออ ใช่ ลืมไปเลย แต่ก็ช่างเถอะ รอดตายก็ดีแล้ว…”
พี่ทัชใช้หลังมือแตะตัวผมเป็นเชิงให้หยุดพูด ผมมองตามสายตาเขา เป้าหมายของเรานั่งอยู่ตรงทางเข้าโอเมก้านี่เอง เขาคงวิ่งตามเรามาแหละ เลยยังไม่ได้ไปไหนไกล
พี่ทัชเดินสบายๆ ตรงเข้าไปหาเขา ผมรีบก้าวตาม แอบควักมือถือออกมาเปิดกล้องเตรียมไว้
ที่ฝั่งผับโอ้มายแอสกลุ่มควันปะทัดจางไปแล้ว คนยังเดินไปมาพูดคุยกันจอแจ น่าจะเป็นพวกพี่โอมกับทีมการ์ดเร่งเคลียร์พื้นที่อยู่ ส่วนทางฝั่งร้านโอเมก้าก็ยังมีคนจับกลุ่มคุยกันอยู่ประปราย พี่วิวัฒน์นั่งอยู่ที่ขั้นบันไดเตี้ยตรงทางเข้าประตู อยู่ในท่าก้มหน้า มองมือตัวเองที่ถลอกเลือดซิบหลายจุด
“พี่เป็นไรรึเปล่าครับ” พี่ทัชถาม
พี่วิวัฒน์เงยหน้าขึ้น “เอ้า น้องสองคน”
“มือเป็นไรพี่”
“หกล้มน่ะ ได้แผลเลย เหมือนจะซ้นนิดๆ”
“พี่ทัชดูให้พี่เขาหน่อยดิ” ผมบอก “พี่เป็นหมอจัดกระดูกไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นแมวจรจัดโดนรถทับขาแทบหักพี่ยังจัดให้เข้าที่ได้เลย กระตุกทีเดียวเอง”
“จริงเหรอ” พี่วิวัฒน์ถาม
“เดี๋ยวผมขอดูหน่อยนะครับ” พี่ทัชถามพร้อมกับจับที่ข้อมือเขาช้าๆ ถ้ามองด้วยสายตาคนทั่วไป ก็เหมือนคนขอจับเพื่อดูแผลแสดงความเป็นห่วงเป็นใยกัน “เจ็บมั้ยครับ”
“นะ...นิดหน่อยน่ะ” พี่วิวัฒน์สะดุ้งนิดๆ
ผมแอบยกมือถือขึ้นถ่ายคลิป
“แล้วพี่มาที่นี่ทำไมครับ” เอ้า ยิงคำถามเข้าเป้าเลยวุ้ย
“มาเที่ยวไง รู้ตัวปะ น้องหน้าตาดีนะ ทั้งสองคนเลย...เอ่อ…”
“มากับใครครับ”
“พี่…” เจ้าตัวอึกอัก ก่อนจะหลุบสายตาลงมองมือที่ถูกพี่ทัชจับอยู่ “แปลกดีนะ”
“แปลกอะไรเหรอ” ผมสอดปาก
“พี่ไม่รู้จักน้องสองคน แต่เหมือนอยากระบายให้ฟัง”
“ระบายได้ครับ” พี่ทัชกระตุ้น
“คือ...เจ็บข้อมือจัง ไม่รู้เป็นไรมากรึเปล่า”
เอ้า คนฟังก็ลุ้นอยู่เนี่ย มาวกเข้าเรื่องมือทำไม
พี่ทัชทำทีเป็นจับๆ คลำๆ “คิดว่าไม่หนักเท่าไหร่นะครับ”
“พี่รู้สึกแปล๊บๆ นะ”
“อาจจะเส้นพลิกน่ะครับ”
เส้นพลิกจริงรึเปล่าไม่รู้ ความรู้สึกแปล๊บๆ อาจจะเป็นเพราะปลายนิ้วพี่ทัชก็ได้ เหมือนที่ผมรู้สึกหวิวๆ นั่นแหละ ไม่รู้ละ ดึงเข้าประเด็นดีกว่า “พี่ๆ เมื่อกี้อยากจะระบายเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”
“ก็…”
“เล่าได้ครับ” พี่ทัชบอก จับข้อมืออีกฝ่ายพลิกหงายไว้นิ่งๆ
“คือ...พี่มาเที่ยวกับน้องที่...ที่เขาเป็นเกย์น่ะ ความจริงพี่แต่งงานแล้วนะ มีลูกมีเมีย แต่…” พี่วิวัฒนสั่นเทิ้ม ไม่ทันไรน้ำตาลูกผู้ชายไหลหยดออกมา “ไม่รู้เหมือนกัน พี่สับสน พี่ตั้งใจจะบอกเมียอยู่ แต่ก็กลัวเขาเสียใจ…”
เอ้า! พี่วิวัฒน์ ทำไมวิวัฒนาการไปเส้นทางนั้นเอาป่านนี้ หักมุมไปอีก
“เมียก็เริ่มสงสัยแล้ว ไม่รู้จะบอกยังไง ทุกวันนี้ก็มองหน้าไม่ติดแล้ว...แล้วนี่พี่พูดให้น้องฟังทำไม พี่ไม่…”
“พี่วัฒน์” เสียงใครคนหนึ่งดังจากด้านหลัง ผู้ชายที่มากับพี่วิวัฒน์นั่นเอง พี่ทัชปล่อยมือช้าๆ ส่วนผมก็ลดกล้องลง “เป็นไรพี่…” คนมาใหม่เข้ามาลูบหลังพี่วิวัฒน์ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ “พวกคุณทำอะไรพี่วัฒน์”
“พี่เขาหกล้มน่ะครับเลยมาช่วย เราก็กำลังจะไปพอดี งั้นขอตัวก่อนนะครับ”
“รีบไปหาหมอนะพี่ กระดูกอาจจะร้าวก็ได้นะ” ผมพูดส่งท้าย ก่อนจะก้าวเร็วๆ ตามหลังพี่ทัชที่เดินนำออกไปก่อนแล้ว
เราข้ามฝั่งไปที่ผับโอ้มายแอส เดินฝ่าสมรภูมิที่มีกลิ่นควันปะทัดจางๆ รวมถึงคนที่ได้รับบาดเจ็บกลุ่มเล็กๆ พี่โอมกับทีมการ์ดกำลังยุ่งกันมาก เราเข้าไปขอบคุณพี่เขาและขอรับตัวพี่เห็ดที่นอนซุกอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ออกมา สภาพร่างกายยังครบสามสิบสองดี แต่สติไปแล้ว พูดเสียงอ้อแอ้ ตัวอ่อนปวกเปียกอย่างกับตุ๊กตายาง
ผมกับพี่ทัชช่วยกันแบกพี่เห็ดเดินย้อนมาตามทางเพื่อกลับไปยังรถพี่ทัชที่จอดอยู่ริมถนนเส้นหลัก ซึ่งก็สวนทางกับรถตำรวจที่เลี้ยวเข้าซอยมาพอดี ถือว่าคลาดกันนิดเดียว
เราจับพี่เห็ดซุกเข้าหลังรถ แล้วมานั่งที่เบาะหน้ากัน หลังจากปิดประตูเรียบร้อยต่างคนก็ต่างถอนหายใจออกมายาวๆ
“มันคืนนรกแตกอะไรวะเนี่ย” ผมบ่น “โคตรป่วนเลย นี่ผมนึกว่าโดนยิงขาจริงๆ นะ ไม่ได้ล้อเล่น มันแบบแปล๊บเลยอะ ผมไม่ค่อยเป็นตะคริวไง เลยคิดว่าโดนสอยเข้าให้แล้ว ผมขอสรุปเลยนะ...”
“อะไร”
“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องโกหกสามารถฆ่าคนได้ เป็นไง คมมะ”
“ก็โอเค”
“คมกริบเหอะ ก็เนี่ย ต้องมาหนีตายกันงี้ก็เพราะเรื่องโกหกไง งั้นเอาแบบดีๆ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...”
“...”
“เอ่า พี่ต่อดิ”
“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความจริงบางอย่างเหมือนน้ำกรด ยิ่งเก็บไว้นานมันยิ่งกัดกร่อนคนนั้น”
“เชร้ด”
“ลบคลิปเถอะ” พี่ทัชพูดต่อไปอีกเรื่อง
“ฮะ?”
“เราไม่ต้องยุ่งหรอก ให้พี่เขาบอกเอง”
“เอางั้นเหรอ”
“อืม”
“แต่...คลิปนี่เก็บไว้แบล็กเมล์ได้นะ”
พี่ทัชหันมองหน้าผม
“ล้อเล่นน่า อะ ลบๆ นี่ดู…” ผมเอียงหน้าจอมือถือให้เขาดู กัดฟันลบคลิปล่าสุดทิ้ง “แล้วเราจะบอกเมียแกยังไงอะ คนจ้างเรา”
“บอกว่าหาตัวพี่วิวัฒน์ไม่เจอ”
“อ่อ ก็ได้อยู่ เพราะที่ผับเกิดเหตุวุ่นวายไรงี้ แต่ยังถือว่างานไม่จบนะ ถ้าวันหลังแกนัดให้ไปจับโป๊ะใหม่ล่ะ”
“บอกไม่ว่าง”
“ง่ายๆ แบบนั้นเลยนะ โอเค้ งั้นก็จบข่าว” ไม่ต้องทำอะไรแล้วกับเคสนี้ “ว่าแต่มันคือผับเกย์ใช่มั้ยพี่”
“ดูจากชื่อก็คงงั้น”
“ว่าละ ตะหงิดๆ ตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมมีแต่ผู้ชาย”
“คงงั้น” พี่ทัชสตาร์ทรถ เปิดไฟเลี้ยวไว้เพื่อรอจังหวะขับออกไป เหตุวุ่นวายจากผับในซอยทำให้การจราจรที่ถนนเส้นหลักสาหัสไปด้วยแล้วตอนนี้
“พี่เรือใบนี่โคตรแมนเลยนะ ไม่นึกว่าจะชอบผู้ชาย”
“ความชอบมันเลือกไม่ได้หรอก ถ้าชอบก็คือชอบ ไม่เกี่ยวกับเพศไหน”
“อือหือ ผมบรรลุละ สาธุ” ผมยกมือไหว้พี่ทัช “จะว่าไป...ก็สงสารพี่วิวัฒน์อะ คงอึดอัดแล้วก็สับสนจริงๆ ร้องไห้เลย...เฮ้ย พี่ ผมก็สับสนนะ ตอนล้มลงข้างถังขยะผมแยกไม่ออกเลยว่าพี่จับตัวผมอยู่รึเปล่า มันหวิวๆ งงๆ ไปหมด พี่จับตัวผมดูอีกทีได้ปะ”
พี่ทัชมองผมด้วยสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าสะพายจากเบาะหลังที่พี่เห็ดนอนทับอยู่ ได้มาแล้วก็รูดซิปเปิดหาของ
“หาอะไร พลาสเตอร์เหรอ”
“อือ มันหมด”
“ก็ใช้ทีละสิบแผ่นขนาดนั้น ไม่หมดก็แปลก แต่จะติดทำไมอีก นี่จะกลับบ้านแล้ว...ไหนๆ ตอนนี้นิ้วก็โล่งอยู่แล้ว แตะตัวผมดูดิ๊ คราวนี้ผมจะแยกให้ออกว่ามันหวิวยังไง”
จู่ๆ เขาก็ทำสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน พี่ทัชควักถุงมือลายมินเนี่ยนที่ผมซื้อให้ออกมา สวมมันเข้ากับมือทีละข้าง แล้วก็บังคับรถออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
______________________
แง ส่วนตัวชอบตอนนี้มากเลยค่ะ
ความบ้าบอของน้องมันไปไกลมากแล้ว XD
ขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่ยังอ่านอยู่ด้วยกัน
ทั้งคอมเมนต์ ทั้งกดหัวใจให้ ทั้งกดเข้ามาอ่าน
อยู่กันเป็นครอบครัวเล็กๆ อบอุ่นๆ แบบนี้ไปนานๆ เลยนะคะ > <
คนอ่านทุกๆ คนสำคัญมากเลยค่ะ รัก! ที่! สุด!
นางร้าย
7.พฤษจิ.2019