เมื่อเริ่มอิ่มท้อง รวินท์จึงลดสปีดลงแล้วชวนสองหนุ่มในโต๊ะพูดคุยบ้าง “คีรีมาจากเชียงรายใช่มั้ย ผมกับเต้ก็มีเพื่อนอีกสองคนอยู่ที่เชียงรายนะ เป็นหมอ อยู่แม่สาย ถ้าป่วยก็แวะไปหาได้”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มบาง “ผมเพิ่งไปแถวนั้นมาเลย แต่คงไม่ได้ไปอีกบ่อยๆ หรอกครับ เพราะตอนนี้ผมอยู่เชียงใหม่เป็นหลัก”
รวินท์ขมวดคิ้ว ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปหาพร้อมกับจ้องใบหน้าคนอ่อนวัยกว่า “สำเนียงคุณแปลกจริงๆ ด้วยแฮะ”
คีรีทำหน้าเลิ่กลั่ก พูดเสียงตะกุกตะกัก “ปะ...แปลกมากเลยเหรอ...ครับ”
“เปล่าหรอก คือแบบ...ที่โรงบาลก็มีคนเหนือพูดภาษากลางเยอะนะ แต่สำเนียงคุณไม่ค่อยเหมือนพวกเขาเลยอะ ว่ามะ ไอ้เต้”
“ก็คีรีเป็นชาวเขาด้วยอะมึง” เตชิตแก้ต่างให้
“เออ จริงด้วย ขอโทษที ผมไม่ค่อยได้ยินสำเนียงชาวเขาพูดภาษากลางบ่อยสักเท่าไหร่” รวินท์หัวเราะแหะแหะ “แล้วคุณเป็นชาวเขาเผ่าไหนเหรอ”
เด็กหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่แล้วจึงตอบ “ในเชียงรายมีชาวเขาหลายเผ่า มีทั้งม้ง อาข่า มูเซอ แต่ผมเกิดในเมืองครับ ที่บ้านอู้กำเมืองเป็นหลัก”
หมายความว่าไงวะ เป็นลูกผสมหลายเผ่าเหรอ?
คนถามเอียงคอเล็กน้อย แปลกใจที่คนอ่อนวัยกว่าตอบไม่ตรงคำถาม อาจจะลำบากใจที่จะตอบ หรือฟังเขาไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่อยากถามอีกรอบให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด กลัวจะเสียมารยาทด้วย
“แล้วบ้านน้ำอิงเผ่าอะไร” เตชิตถามบ้าง
“ม้งครับ”
“ทำไมคุณไม่แต่งตัวแบบบ้านน้ำอิงบ้างล่ะ”
“ผมก็มีชุดนะ คุณเตชิตอยากเห็นเหรอครับ” คีรียิ้มมุมปาก “แต่คุณคงต้องตามผมไปที่บ้านที่เชียงรายนะครับ”
พอได้คำตอบมาแบบนั้น ทันตแพทย์ทั้งสองก็สรุปเอาเองอย่างงงๆ ว่าคีรีคงจะเป็นชาวเขาเผ่าม้งที่เกิดในเมืองนั่นละ
แต่แล้วรวินท์ก็จ้องมองเด็กหนุ่มอีก เขายังรู้สึกตงิดๆ ชอบกล ก่อนจะเอื้อมมือไปจับคางอีกฝ่าย
“เฮ้ย ไอ้วิน ทำไรวะ” เตชิตเลิกคิ้วขึ้น
“ไหนยิงฟันให้ผมดูหน่อยซิ”
คีรีเบิกตากว้าง หน้าซีดลงไปเล็กน้อย เขารีบจับข้อมือทันตแพทย์หนุ่มไว้ “ผะ... ผมกินอยู่นะคุณหมอ อย่าดีกว่าครับ”
“เออจริงด้วย โทษที” รวินท์ดึงมือกลับ เขาขมวดคิ้ว มองสำรวจเด็กหนุ่มอีกครั้งแล้วหันไปทางเตชิต
“มีอะไรวะ”
“กูว่า...” ทันตแพทย์หนุ่มหันกลับไปส่งสายตาดุๆ ใส่คนอ่อนวัยกว่า ซึ่งอีกฝ่ายก็ก้มหน้าหลบทันที “ช่างเหอะ เอาไว้ก่อนละกัน” จากนั้นเขาก็นั่งกินอาหารต่อไปเงียบๆ จนอิ่ม
พออิ่มกันแล้ว เตชิตกับคีรีก็ช่วยกันยกจานชามไปไว้ในครัว
“ผมล้างให้นะคุณเตชิต”
“อือ ผมช่วย”
รวินท์นั่งไปก็ชะเง้อมองสองหนุ่มในครัวไป อันที่จริง เขาเองก็เคยรักษาฟันให้คนไข้ที่เป็นชาวเขามาหลายคน ทำให้รู้สึกว่าเด็กคีรีนี่ไม่เหมือนชาวเขาทั่วไปสักเท่าไหร่ ถึงจะพยายามหาอะไรมาโต้แย้ง เช่นอาจจะเพราะเด็กหนุ่มเกิดในเมือง แต่ก็น่าสงสัยอยู่ดี เพราะมันมีบางสิ่งบางอย่างสะกิดใจเขาเหลือเกิน
สักพักเตชิตก็เดินกลับมาพร้อมกับเด็กหนุ่ม ก่อนจะนั่งลงบนเบาะที่เดิม
“เออ แล้วคุณพักที่ไหนล่ะ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“คือ... ผมไม่ได้หาที่พักไว้หรอก แต่คุณเตชิตจะไปเชียงใหม่พรุ่งนี้ใช่มั้ย ผมจะขอติดรถไปด้วย”
รวินท์นั่งเท้าคางอยู่กับโต๊ะ พอได้ยินที่เด็กหนุ่มพูดก็คิ้วกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็หันขวับไปทางเพื่อนรัก
“ได้น่ะได้อยู่ แต่คุณมาลำพูนยังไงเนี่ย ทำไมไม่หาที่พักไว้”
“ก็ติดรถคนรู้จักมา แต่เขามาถึงแค่ลำพูนนี่ครับ”
รวินท์พยักหน้าหงึกๆ อือ... ไอ้เด็กนี่ทำหน้าเศร้าเรียกความสงสารเก่งแฮะ หน้าซื่อๆ กับตาใสๆ ทำให้รู้สึกว่าน่าเอ็นดูมากๆ ซะด้วย ขนาดเขานั่งมองนั่งฟังเฉยๆ ยังรู้สึกสงสารเลย แล้วไอ้เต้ยิ่งสุดแสนจะเซนส์สิถีพกับชาวเขาซะด้วย จะเหลือเรอะ เมื่อหันไปทางเพื่อนรักก็เห็นว่าอีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกๆ แล้วยกมือขึ้นกุมขมับ
“คืนนี้ก็นอนบนโซฟาตรงนั้นไปละกัน”
นั่น...กูว่าแล้วเชียว
“งั้นคืนนี้กูจะมานอนกับมึงด้วย” รวินท์หันขวับไปบอกเพื่อนรัก พอชำเลืองมองไปทางคีรีก็เห็นว่าอีกฝ่ายหลุดทำหน้ายุ่ง ทว่าเมื่อเขาหันหน้าไปสบตาด้วยก็เปลี่ยนเป็นทำหน้าเศร้าสลดทันควัน
ไอ้เด็กนี่มันไม่ธรรมดาแล้ว! แม่งเล็งเพื่อนกูชัดๆ! มารยาจัดซะด้วย!
เตชิตยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ห่วงกูอ่อ”
ไอ้เวรนี่ก็หน้าระรื่นเหลือเกิน! รวินท์ทั้งต่อว่าและยกนิ้วกลางใส่อยู่ในใจ
เจ้าของห้องหันไปสบสายตาเด็กหนุ่มซึ่งนัยน์ตาฉายแววเศร้าออกมาอย่างไม่ปิดบัง แถมยังทำหน้าจ๋อย หูลู่หางตกเลยทีเดียว พอมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าหากไอ้วินมานอนด้วย คีรีคงฝันร้ายทั้งคืน แล้วเขาก็คงจะโดนต่อว่าว่าโคตรใจร้ายอีกจนหูชา ทันตแพทย์หนุ่มพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ
“กลับไปนอนห้องมึงนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก คีรีเป็นเด็กดี ไม่ลุกขึ้นมาฆ่าปาดคอกูหรอกน่ะ อีกอย่าง...” เตชิตโน้มไปกระซิบชิดใบหูเพื่อนรัก “ถ้าเด็กมึงรู้เข้าว่ามานอนเตียงเดียวกับกูตามลำพัง มีหวังงอนไปอีกสามวันเลยนะเว้ย”
รวินท์ยิ้มแห้ง เขาไม่ได้กลัวไอ้เด็กนี่จะฆ่าปาดคอเพื่อนรัก แต่กลัวมันจะปล้ำเพื่อนเขาน่ะสิ! คิดแล้วก็หันไปบอกเด็กหนุ่ม “ผมกับเต้ขอตัวแป๊บนะ” ก่อนจะฉุดเพื่อนรักให้ลุกขึ้น แล้วลากออกไปคุยกันที่ระเบียงหน้าห้อง
“สัสเต้! แน่ใจนะมึงว่าไอ้เด็กนี่ไว้ใจได้อะ!”
“ไม่ต้องห่วงน่ะ เขาน่าสงสารออก ดูท่าจะกลัวมึงจนหงอ”
“อย่างกูนี่มีอะไรน่ากลัวตรงไหนวะ! แล้วเด็กนี่ก็น่าสงสัยมากนะมึง เหมือนมีอะไรปิดบังอยู่”
“เออ กูก็พอดูรู้เว้ย”
“เขาดูซื่อๆ ก็จริง แต่มึงดูหน้าตารูปร่างเขาดีๆ ถ้าจับแต่งตัวซะใหม่นี่ไม่ใช่ชาวเขาชาวเหนือชาวดอยอะไรนี่แล้วแน่นอน แค่ส่วนสูงก็ไม่ได้ละ หรือมึงเคยเห็นชาวเขาที่ไหนเหมือนนายแบบโว้กหลุดมาแบบนี้วะ คนธรรมดาทั่วไปยังหายากเลย สีผิวก็ไม่ใช่ขาวเหลืองแบบคนเหนือนะเว้ย เล็บงี้ตัดมาอย่างดี เป็นเงาเชียว เหมือนมีคนทำเล็บให้ ดูดีกว่าเล็บกูกับมึงอีก แล้วมึงเห็นฟันเขามั้ย ขาวจั๊วะ เนี้ยบกริบ แถมยังเรียงกันสวยเชียว กูว่าเขาต้องไปทำฟันเป็นประจำ มีหมอฟันคอยดูแลให้อย่างดีแน่ๆ อะ!”
ที่จริงตัวเขาเองก็สงสัยเหมือนไอ้วินนั่นละ ถึงได้พาคีรีไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ เพราะอยากจะเห็นเด็กหนุ่มเวลาแต่งตัวตามปกติเหมือนวัยรุ่นทั่วไป นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วก็ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาสงสัย แต่ที่น่าแปลกก็คือ...
เขายังไม่คิดจะค้นหาความจริง อยากปล่อยไว้ให้เป็นแบบนี้ไปก่อน
เตชิตหัวเราะกลบเกลื่อน “โห มาเป็นชุดเลยเพื่อนกู เดี๋ยวนี้สังเกตเก่งฉิบหาย ไอ้พิงค์สอนมาดีเนอะ”
“สัส กูก็ไม่ได้สังเกตทุกคนหรอกโว้ย แต่เพราะนี่เป็นมึง เด็กนั่นเข้าใกล้มึงซึ่งเป็นเพื่อนรักของกู กูถึงต้องใส่ใจ”
“แต่คีรีอาจจะเป็นคนรักษาสุขภาพมากก็ได้น่า มันก็ไม่แปลกป่ะวะ อีกอย่างนะ เขาเพิ่งกลับจากบ้านที่เชียงราย ที่บ้านเขาอาจจะพัดวีเอาใจก่อนกลับมาทำงานก็ได้นะเว้ย”
“แต่มีหมอฟันประจำ ไปทำฟันบ่อยๆ มันมีค่าใช้จ่ายเยอะมากนะมึง”
“ไอ้วิน ถึงคีรีจะยังเด็กแต่เขาก็ทำงานนะ ทำงานโรงแรมใหญ่ๆ จะดูแลตัวเองหน่อยก็ไม่แปลกป่ะวะ บางทีโรงแรมอาจมีสวัสดิการให้พนักงานด้วย ไหนจะทิปที่ได้จากบรรดาแขกที่มาพักอีก มึงคิดมากไปแล้ว”
“แต่อายุแค่นี้ ทำงานอะไรในโรงแรมวะ”
“เห็นว่าจับฉ่าย มีอะไรให้ทำก็ทำหมด แต่ดูหน่วยก้านแล้วก็น่าจะเป็นพนักงานต้อนรับทั่วไปล่ะมั้ง”
รวินท์ขมวดคิ้ว ก็อาจจะจริงของเพื่อนรักแหละ เด็กคีรีนั่น ถึงจะเป็นชาวเขาแต่ก็เกิดในเมือง เพราะงั้นก็คงอยู่ในเมืองด้วย พูดภาษากลางได้นี่ ทำงานมีเงินจะไปหาทันตแพทย์ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เขาคงระแวงมากไป เป็นห่วงเพื่อนเสียจนเกินเบอร์
“กูไม่สบายใจเลยว่ะเต้ กลัวไอ้เด็กนั่นจะมาหลอกอะไรมึง”
“เพื่อนมึงมีอะไรให้หลอกวะ จนกรอบพอๆ กับมึงนั่นละ”
“ไม่รู้เว้ย แต่กูรู้สึกว่าเด็กนั่นต้องการอะไรจากมึงแน่ๆ อะ มึงก็รู้ตัวอยู่ใช่มั้ยวะ”
เตชิตพยักหน้า “อือ กูรู้ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เพื่อนมึงก็ไม่ได้โง่มะ”
“กูรู้ว่ามึงไม่โง่” รวินท์ถอนหายใจ เขารู้ว่าไอ้เพื่อนรักก็ผ่านร้อนหนาวมาเยอะไม่แพ้กัน ทว่ามันก็ไม่เคยปล่อยให้ใครเข้าถึงตัวได้ขนาดนี้เลยน่ะสิ “ทำไมมึงยอมให้ไอ้เด็กนั่นเยอะจังวะ เพราะเห็นว่าเป็นชาวเขารึไง”
“ก็คงงั้น” เตชิตยกมือขึ้นขยี้เส้นผมบนศีรษะของเพื่อนรักเบาๆ “ขอบใจมากเว้ย กูดีใจนะ ที่มึงเป็นห่วงกูขนาดนี้ ที่จริงกูก็อยากนอนกอดมึงนะ อุตส่าห์มีโอกาสทั้งที แต่กูกลัวไอ้พิงค์กระทืบไส้แตกมากกว่าว่ะ ไปเหอะ กลับห้องไปอาบน้ำแล้วรีบโทรไปเซ็กส์โฟนกับเด็กมึงเหอะไป”
“ไอ้เหี้ย! ยังไงมึงก็ล็อกห้องนอนด้วยละกัน!” รวินท์ยกนิ้วกลางขึ้นโชว์ พอเตชิตเดินกลับเข้าไปในห้อง เขาก็ชะโงกหน้าตามเข้าไป “ผมกลับห้องล่ะ ไปก่อนนะ”
“คุณหมอ” คีรีลุกขึ้น เดินออกไปหาคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง แล้วส่งหยกร้อยพู่ไหมพรมให้ “ของฝากจากเชียงรายครับ”
รวิทย์ทำหน้าระแวงหนักกว่าเดิม ก็คนไม่รู้จักกัน ทำไมมีของฝากให้กันได้วะ “ทำไมถึงมีของฝากให้ผมด้วย”
“ผมเอาติดมาหลายอันน่ะครับ”
เออ... เขาอาจจะห่วงเพื่อนจนมองอีกฝ่ายแง่ร้ายไปก็ได้
“อือ ขอบใจนะ” รวินท์แจกยิ้มการค้า รับหยกร้อยพู่ไหมพรมมาแล้วเดินตรงไปยังลิฟต์โดยสาร แต่ถ้าหากเขาจะสังเกตสักนิด ก็จะรู้ว่าที่เอะใจน่ะ ถูกต้องแล้ว เพราะหยกในมือเขา แกะสลักเป็นรูปดอกบัว ซึ่งเป็นความหมายของคำว่า รวินท์ น่ะเอง
คีรียืนมองให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายเดินเข้าลิฟต์ไปแล้วจึงผลุบกลับเข้าไปในห้อง เขาเดินไปยกมือไหว้เตชิต “ขอบคุณคุณเตชิตมากนะครับที่ให้ผมนอนด้วย”
“ไม่ได้ให้นอนด้วยเว้ย ให้นอนบนโซฟานู่น” เตชิตชี้ไปที่โซฟา “คุณจะอาบน้ำเลยมั้ย ถ้ายังผมจะไปอาบก่อน”
“เชิญเจ้าของห้องก่อนดีกว่า” เด็กหนุ่มเดินไปนั่งลงบนโซฟา ลากกระเป๋าเป้มารื้อหาเสื้อผ้า รอให้อีกฝ่ายเดินเข้าห้องอาบน้ำไปก่อนจึงค่อยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดู
สักพักเตชิตก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาใส่ชุดนอนขายาว เสื้อติดกระดุมเรียบร้อย เส้นผมยังเปียกอยู่นิดหน่อย เขาเดินไปล็อกประตูห้อง จากนั้นจึงหันไปบอกคนอ่อนวัยกว่า “ใช้ห้องน้ำได้ตามสบายนะ ถ้าหิวน้ำก็หาเอาในตู้เย็นในครัว เดี๋ยวผมเอาที่นอนหมอนกับผ้าห่มให้”
“ครับ ขอบคุณครับ”
เจ้าของห้องผลุบหายเข้าไปในห้องนอน ไม่นานก็เดินออกมาพร้อมที่นอนพับ หมอน และผ้าห่ม “เอ้า ลุกๆ”
“ผมทำเองได้ครับ” คีรีรีบลุกขึ้นรับของมาต่อจากทันตแพทย์หนุ่ม
“โอเค ฝันดีละกัน” เตชิตพูดจบก็ก้าวฉับๆ เข้าห้องนอนของตัวเองไป
คีรีเอาที่นอนปูทับบนโซฟา จัดวางหมอนและผ้าห่มเสร็จก็หยิบเสื้อผ้าขึ้นมา ก่อนจะเข้าห้องอาบน้ำไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง จากนั้นก็กลับออกมานั่งหงอยบนโซฟาต่อ เขาถอนหายใจเฮือกๆ ค่อยๆ เอนตัวลงนอนช้าๆ ขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่บานประตูห้องของทันตแพทย์หนุ่มแทบจะตลอดเวลา
แต่แล้วเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้น เดินตรงไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องนอนของเจ้าของห้อง เขายกมือขึ้นจับลูกบิดประตู แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านั้น แม้แต่จะลองหมุนลูกบิดดูยังไม่กล้าเลย สุดท้ายก็ทำได้แค่เดินวนไปวนมาสลับพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ
ทว่าจู่ๆ ประตูห้องนอนก็เปิดออก เตชิตยืนทำหน้าเซ็งอยู่ที่ด้านหลังประตูนั้น “คุณเป็นแมวรึไง ออกหากินตอนกลางคืนเหรอวะ ห้องผมไม่มีหนูหรอกนะ”
*TBC*พี่หมอเต้ก็ไม่ได้ใสซื่อหรอกนะเอ้อ เห็นพี่มึนๆ งงๆ แพ้ทางเด็ก แต่ที่จริงพี่ก็ใช่ย่อยเลยน้าาาา~ 555555
อย่างที่คุณDrSlumpบอก เด็กดอยดูเหมือนจะรู้จักพี่หมอเต้มาก่อน แต่หมอเต้ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กดอยคนนี้เลย ที่พี่หมอเต้แก้ต่างให้คีรี ไม่ใช่เพราะพี่ใสซื่อนะเอ้อ พี่หมอก็สงสัยเหมือนหมอวินนั่นล่ะ ก็คงต้องค่อยๆ ปล่อยให้เด็กโป๊ะแตก หลุดอะไรออกมาให้พี่หมอเต้จับได้ตามที่คุณPsychePieบอกนะคะ อิอิ
ความรู้สึกของพี่หมอเต้กับคีรี เริ่มต้นจากความรู้สึกผิดจากคืนนั้น ความรู้สึกสงสาร พัฒนามาเป็นความเอ็นดู(ที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ) ส่วนเด็กดอยนั้น ก็พยายามแทรกตัวเองเข้ามาในความคิดของพี่หมอเต้เสมอๆ ค่ะ เอาใจช่วยน้องให้เอาชนะใจพี่หมอเต้ได้ในเร็ววัน ก่อนจะโป๊ะแตกนะคะ ฮี่ๆ
เด็กดอยยังไม่โป๊ะแตกเร็วๆ นี้ แต่เราใกล้ได้รู้ความจริงแล้วล่ะค่ะว่าชายเป็นใคร ไม่ได้เป็นเจ้าของห้างนะคะ 5555555 ขอบคุณคนอ่านทุกคนและทุกคอมเมนต์มากค่า