- ลำดับที่ 3 -
เรื่องสั้นชุด Intania ภาค ME
(ME : Mechanical Engineering วิศวกรรมเครื่องกล)
เรื่อง เสือนับแต้ม
เขียนโดย Boorina
CH.06
ครั้งที่เป็นแฟนกัน
ผมโหยหาจูบหอมหวานที่เจือจางในความทรงจำ...
บดเบียดริมฝีปากเอิบอิ่มอ้อยอิ่งเนิ่นนาน ดวงตาคนในอ้อมกอดฉ่ำหวิวยามสอดปลายลิ้นเข้าไปควานขยับลิ้มรสละมุน ร่างที่เคยต่อต้านขัดขืนอ่อนปวกเปียกจนต้องกระหวัดสองแขนโอบรอบคอผม อาศัยกำแพงห้องเป็นหลักอิงกายให้มั่นคง เส้นผมที่ปรกหน้าผากเกะกะจนต้องปัดออกก่อนกดปากพรมจูบ ปัดป่ายความอุ่นวาบอาบไล้ไปทั่วใบหน้าแดงจัด
ทั้งหมดคือจังหวะคุ้นชินที่เคยมีร่วมกันมานาน
รสจูบเจือจางกลับมาเข้มข้มชัดเจนอีกครั้ง
พลาดไปแล้วจริงๆ ที่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ
ไม่น่าเชื่อว่าช่องว่างความห่างไกลจะทำให้เกิดความคิดถึงได้ไม่มีที่สิ้นสุด กระทุ้งความรู้สึกภายในใจให้พลุ่งพล่านขึ้นมา เคยรู้สึกยังไงในตอนนี้ยิ่งมากกว่า ไม่เคยมีใครมาแทนที่คนๆ นี้ได้ และไม่เคยคิดอยากหาใครมาซ้อนทับที่นั่งภายในใจ
มันไม่เคยว่าง
แม้ปล่อยมือไปแล้วก็ไม่เคยว่างเพื่อใคร
ต้องพยายามมากแค่ไหนจึงจะได้ครอบครอง อยากให้หัวใจถูกเติดเต็มด้วยแต้ม...
“พอก่อน”
แต้มบอกพลางผลักผมให้ถอยออกแล้วขยับเท้าหนี แต่ถูกผมรั้งไว้พร้อมปากที่พุ่งปราดเข้าไปบดจูบอีกระลอกพร้อมแต้มที่ก้าวถอยหลังกระทั่งขาชนกับขอบเตียง แต้มเสียงหลักล้มลงรั้งกายผมให้ล้มทาบทับลงไปด้วย แต่ปากเรายังคงประสานจูบ ไม่ผละปล่อยจากกัน
เนิ่นนานกระทั่งผมถูกแมวกัดปากจนส่งเสียงคราง
“พอ...”
“หืม?”
“เลยเที่ยงคืนแล้วโว้ย จูบอะไรนักหนา หมดเวลา” หน้ายู่ยี่หงุดหงิดช่างขัดแย้งกับใบหน้าที่ยังแดงปลั่งจนผมหลุดหัวเราะ ออกมา “อยากจูบต่อก็ใช้คะแนนแลกก่อน”
ผมกัดปากข่มความหมั่นไส้ไอ้คนชอบยั่วชอบอ่อย
“แต่เอ๊ะ! ตะกี๊มีหอมมีนอนเตียง งั้นต้องหักค่าหอมแก้มกับนอนเตียง คำนวณคร่าวๆ เหมือนจะเหลือไม่พอให้แลกจูบ งั้นก็พอแล้วเนอะพี่เสือ”
แต้มพล่ามด้วยมาดพ่อค้าพร้อมรอยยิ้มกริ่ม ทำเอาหัวผมหมุนคว้างกับการถูกสลัดทิ้งกลางทาง ไอ้ลูกเล่นแพรวพราวแบบนี้ใช่ว่าจะไม่คิดมาก่อน เพียงแต่อดรู้สึกทะแม่งกับการกระทำของมันไม่ได้
ตอนแรกก็เออออคล้อยตามกับการเล่นเกม เหมือนไม่เดือดไม่ร้อนที่ถูกเต๊าะถูกลวนลามเล็กๆ น้อยๆ ต่อมาก็ทำเหมือนหวงตัว คอยกันท่าไม่ให้จูบ ก่อนถูกตลบด้วยการที่น้องมันบอกว่าอยากจูบด้วย
แล้วนี่อะไร กำลังฟินอยู่ดีๆ ไหงกลับรู้สึกเหมือนถูกเอาท่อนเหล็กสิบตันมาฟาดหัวแบบนี้ ทำเอาใจทรุดทะลุคอนกรีตลงไปชั้นล่างซะอย่างนั้น
“ไอ้แต้มขี้งง”
ผมพูดติดขำด้วยเสียงแห้งแล้งแฝงความเจ็บปวด ในเมื่อผมมันเป็นเสือแก่สิ้นคะแนนประดาตัวเลยเลือกที่จะนอนคร่อมทับและกอดแต้มไปนิ่งๆ ฝืนข่มใจไม่ให้ฟุ่งซ่าน แต่ก็อดคิดมากไม่ได้
แต้มคิดอะไรอยู่กันแน่?
ปล่อยให้ผมมีโอกาสใกล้ชิด แต่ก็ยังสร้างป้อมปราการสะกัดกั้นผม
แต้มยังต้องการพี่เสือคนนี้ไหม?
“เลิกเล่นกันเถอะพี่เสือ” แต้มที่นอนนิ่งใต้ร่างผมเปรยขึ้นมาด้วยเสียงราบเรียบแฝงความจริงจัง
“หมายความว่ายังไง”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาทนเล่นอะไรแบบนี้อีก เลิกขายหวย ขี้เกียจแล้ว แยกย้ายสลายตัวกันเถอะ”
“อยู่ดีๆ ก็พูดแบบนี้ แต้มเป็นอะไรรึเปล่า” ผมถามอย่างใจเย็น แต่ความคิดไถลไปไกลสุดกู่ ใบหน้าคงฉายชัดความคิดกดดันคนตรงหน้ามากไป มันถึงกับถอนหายใจแล้วยอมตอบออกมา
“แค่รู้สึกไม่จำเป็น... เราไม่มีกันและกันเราก็อยู่กันมาได้ตั้งนานไม่ใช่รึไง”
“ใช่ ไม่มีแต้มพี่ก็ไม่ตาย แต่มีแต้มแล้วพี่มีความสุข แต้มให้พี่มีความสุขไม่ได้เหรอ” จากนั้นเราต่างพากันเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์จากด้านนอกที่แว่วเข้ามาแทรกความอึดอัดที่แผ่วงกว้างไปทั่วห้อง
“ไม่รู้”
“...แล้วแต้มปล่อยให้พี่จูบทำไม”
ถ้อยประโยคนั้นดังขึ้นพร้อมกับผมที่ขยับกายลงจากร่างแต้ม ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้แต้มอย่างหมดแรง อธิบายไม่ถูกว่าควรรู้สึกยังไง ควรพูดอะไร และทำยังไงต่อไป...
ขอเวลาพักสักนิด ตอนนี้ใจหวิวเล็กๆ แล้วจะกลับมาด้านใหม่
“…แล้วระหว่างนั้นหายไปไหนมา ทำไมเพิ่งจะมาเริ่มเอาตอนนี้ล่ะ?” จบประโยคนั้น ผมเป็นอันสะท้านเฮือกเมื่อคนข้างตัวขยับกายมาสวมกอดผมไว้พร้อมใบหน้าที่ซุกแนบแผ่นหลัง “...ถ้าพี่เสือลังเลในวันที่ผมเทใจให้ทั้งหมดอีกครั้ง เคยคิดไหมว่าคนๆ นี้จะอยู่ยังไง”
“...ตอนนั้นเจ็บมากไหม”
“สาหัสมากเลยพี่เสือ”
ผมกุมมือแต้มไว้ กระชับแน่นไม่คลาย...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุนี้รึเปล่าที่ทำให้แต้มแปลกไป
‘อาโป’ เป็นชื่อของคนในอดีตที่กำลังหวนกลับมา
เที่ยงวันระหว่างที่กำลังทานมื้อเที่ยงอยู่ที่ KFC ซึ่งเป็นชื่อเล่นของโรงอาหารรวมของมหา’ลัย เบอร์โทรศัพท์ที่ขาดหายไปจากหน้าจอนานสองปีกว่าได้ปรากฏขึ้น ผมกดรับอย่างงงๆ ก่อนจะได้ยินเสียงอ่อนโยนดังกระแทกหู เป็นน้ำเสียงที่ฟังกี่ครั้งก็รู้สึกเย็นกายสบายใจ สมกับความหมายของชื่อที่แปลว่าน้ำ...
‘พี่กลับมาสักพักแล้วว่ะเสือ ได้งานแล้วด้วย’
“ไม่ได้กลับมาช่วยงานที่บ้านเหรอ”
‘ขอหาประสบการณ์ก่อนดิ ก็เลยลองมาทำงานเป็นลูกจ้างดู คอยเป็นล่ามให้พวกผู้บริหารระดับสูง ก็สนุกดีนะ เงินดี แต่ก็ปวดหัว ว่างๆ ก็แปลหนังสือขาย ขออิสระสักพักเถอะ... แล้วเสือล่ะ เป็นยังไงบ้าง’
“เรื่อยๆ ใกล้จบแล้วครับ”
‘ตั้งใจเข้าล่ะ... ว่างแล้วมาเจอกันหน่อยนะเสือ พอดีก่อนกลับพี่ซื้อของฝากมาให้ด้วย แต่เพิ่งเคลียร์ตัวเองได้เลยเพิ่งได้โทรหา โทษทีนะ’
“ได้ครับ”
‘งั้นค่อยนัดกันอีกที’
เขากลับมาแล้ว
อาโปที่อายุมากกว่าผมสองปี เป็นผู้ชายที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย เรารู้จักกันเพราะเขาเป็นรุ่นพี่ของผมสมัยเรียนมััธยม และเพราะเราเป็นนักกีฬาโรงเรียนเหมือนกันเลยทำให้มีโอกาสได้พบหน้ากันบ่อยๆ แต่ไม่ได้สนิทเป็นพิเศษนัก ด้วยนิสัยที่น่าคบทำให้หวั่นไหวมอบใจให้อย่างงงๆ กระทั่งเขาเข้ามหา’ลัยไปผมก็ยังไม่กล้าลงมือจีบ ผ่านไปสองปีผมก็สอบเข้าไปเรียนที่เดียวกันกับเขา
อาโปเรียนศิลปศาสตร์เอกภาษาฝรั่งเศสปีสาม ส่วนผมเรียนวิศวกรรมเครื่องกลปีหนึ่ง ตึกเรียนอยู่ห่างกันเป็นโยชน์ แต่ก็พยายามพาตัวเองเข้าใกล้ด้วยการไปอยู่ร่วมชมรมเดียวกัน ความจงใจที่ดูคล้ายความบังเอิญทำให้เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น...
บ้านอาโปค่อนข้างมีฐานะด้วยธุรกิจที่เกี่ยวกับเหล็กโครงสร้างและโลหะต่างๆ มีพี่ชายหน้าดุเป็นอาจารย์สอนในวิทยาลัยเทคนิคชื่อดัง และในตอนที่ผมกำลังมีเรื่องกับกลุ่มเด็กช่างก็ได้พี่ชายของอาโปพร้อมเด็กนักเรียนคนหนึ่งมาช่วยไว้
เด็กคนนั้นชื่อแต้ม หน้าตาเหมือนแมวป่าอารมณ์ร้าย ครั้งแรกที่เราสบตากันมันทำท่าเหมือนอยากกางกงเล็บแล้วกระโจนเข้ามาข่วนหน้าผม ภายหลังจึงได้รู้ว่านั่นแค่บุคลิกภายนอกเท่านั้น แต่น่าแปลกว่าพอเวลาอยู่กับอาโปมันกลับหัวเราะยิ้มแย้มอย่างกับเป็นคนละคน ทำเอาผมเขม่นหน้ามันขึ้นมาทันที
...ไอ้เด็กแต้มมันเป็นเด็กปั้นของพี่ชายอาโป มีฝีมือในงานเชื่อม ช่วงที่ต้องเตรียมซ้อมก่อนไปแข่งขันทักษะวิชาชีพนั้นมันต้องเก็บตัวฝึกซ้อมทุกวันหลังเลิกเรียนจนดึกดื่น จึงต้องมากินนอนอยู่ที่บ้านของอาโป กระทั่งเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุดพัก จึงไม่แปลกหากมันจะสนิทสนมกับอาโป
ผมอิจฉา... และเริ่มมีแผนหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ
เป็นแผนการณ์ที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว ไม่แยแสจิตใจใคร
เริ่มด้วยการให้อาโปช่วยหาช่างมาซ่อมรั้วสแตนเลสที่บ้านหลังหนึ่งให้ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเด็กแต้มมันทำงานพิเศษโดยมีอาจารย์ของมันช่วยเหลือหางานให้ ซึ่งเป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ อาโปส่งตัวเด็กแต้มมาให้ผม
ผมเริ่มตีซี้แต้มเพื่อหาโอกาสเข้าหาอาโป
ไปๆ มาๆ จึงเริ่มสนิทกับทางบ้านของอาโปไปโดยปริยาย พร้อมกับได้เรียนรู้นิสัยของเด็กช่างคนนี้
เวลาอยากให้ขนมอาโป ผมต้องมีมาให้แต้มด้วยเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย ฉะนั้นเวลาที่ควรอยู่กับอาโปจึงต้องแบ่งมาให้เด็กแต้มเกินครึ่ง...
แต้มเป็นเด็กชาวบ้านธรรมดา มาดแมนติดเถื่อน แต่มีความหล่อที่ไม่เข้ากันนัก เป็นเด็กที่เรียนปานกลางแต่ทักษะฝีมือจัดอยู่ในขั้นยอดเยี่ยม มีความขยันขันแข็งในการหาเงินจนผมนึกทึ่งและยอมรับ แต่บางครั้งก็ต้องส่ายหน้ากับความขี้งกของมัน
เห็นพูดจาขวานผ่าซากติดห้วน แต่ลึกๆ เป็นเด็กจิตใจดี จริงใจไร้มารยา มักอ่อนไหวง่ายกับคนที่ใจดีด้วย อย่างเช่นผมเป็นต้น
จากที่ไม่ชอบขี้หน้ากลายเป็นถูกใจและสนิทกัน ผมชอบลากแต้มไปเที่ยวเล่นในวันหยุด ให้มีช่วงเวลาหาความสุขให้ตัวเองเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป แต่ด้วยความที่มันชอบทำงานหาเงิน ผมจึงต้องใช้ข้ออ้างจ้างทำโน่นนี่ กระทั่งสอนมันขับรถเพื่อจ้างให้มันคอยช่วยขับรถให้
นานวันเข้าผมกลับรู้สึกสนิทกับแต้มมากกว่าอาโป จึงพาให้ใจดีและเอาใจใส่
ไม่เคยฉุกคิดเลยว่าการกระทำของตัวเองจะย้อนกลับมาทำให้หัวใจตัวเองหวั่นไหว ความรู้สึกมันค่อยๆ ซึบซาบเข้ามา กว่าจะรู้ว่าใจผมแปลกไปก็คือวันหนึ่งที่่โมโหจนนึกอยากจูบเด็กดื้อ ที่ไปมีเรื่องกับเพื่อนต่างแผนกช่างจนฟกช้ำดำเขียวไปทั้งตัว
นั่งสับสนเป็นเสือหน้ามึนอยู่หลายวันจนเลือกสารภาพความรู้สึกกับอาโป ตีความสรุปว่าบ้าไปเองที่คิดว่าเผลอใจไปชอบคนที่เปรียบเหมือนน้องชายคนหนึ่ง
ผมถูกอาโปปฏิเสธแต่ยังเสือกยิ้มได้ แถมยังไม่ยอมแพ้ พยายามหน้าด้านหน้าทนเข้าหา แต่คนมันไม่รักก็คือไม่รัก ผมถอยออกมาเงียบๆ แต่ใครจะรู้ว่าแต้มคอยเฝ้ามองผมอยู่ เห็นผมหงอยไปก็คอยดูแลแต่ไม่เอ่ยถาม เอาวะ อย่างน้อยก็ยังมีน้องชายคอยให้กำลังใจ ดังนั้นเวลาที่เคยเป็นส่วนของอาโปจึงเทมาหาแต้มจนเกือบหมด
ไม่ได้แฟนแต่ได้น้องชายมันเจ๋งกว่าเป็นไหนๆ
แถมแต้มยังเป็นน้องที่พึ่งพาได้ ระบบไฟในบ้านเสียมันยังไล่หาจนเจอว่าสาเหตุเกิดจากตรงไหน ท่อประปาแตกก็ซ่อมได้ ราวตากผ้าพังก็ทำใหม่ให้ รถเสียก็ช่วยเข็นเข้าข้างทางจนเหงื่อท่วมตัว ซื้อต้นไม้มาก็แบกจอบขุดหลุมปลูกและรดน้ำให้ ใครทำทีเข้ามาหาเรื่องก็ดึงผมไปข้างหลังแล้วออกโรงปกป้องจนต้องเขกมะเหงกเตือนสติ
จนในวันหนึ่งที่เครื่องทำน้ำอุ่นเสียในช่วงหน้าหนาวมันก็ยังอุตส่าห์ต้มน้ำอุ่นให้ผมอาบ ส่วนตัวเองต้องอาบน้ำเย็นเพราะแก๊สหมดพอดี
วินาทีที่ผมเห็นแต้มเดินตัวสั่นออกมาจากห้องน้ำ ในหัวผมพลันชะงักงันเมื่อพบว่าผมได้หลงชอบเด็กดื้อไปแล้ว
ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ที่เผลอใจ และแพ้ทางเด็กคนนี้
…ผมดราม่าในใจเป็นวรรคเป็นเวร
…แต้มเป็นเด็กช่างมาดแมน พูดจาห้วนไม่สนใจโลก และแต้มเชื่อใจผม
…จะให้ผมทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเราเพียงเพราะผมชอบมันงั้นเหรอ?
ตอนที่แต้มทิ้งตัวลงนอน ผมจึงเนียนกอดน้องมันแน่น กระเซ้าหยอกว่าหนาวไหม เดี๋ยวพี่เสือจะกอดให้อุ่นเอง แทนคำขอโทษที่แย่งอาบน้ำอุ่นจนหมด
แต่ในใจนึกสังเวช เสืออยากกินแมวแต่กินไม่ได้ ทำได้แค่ใช้ขนอุ่นกายน้องในอ้อมแขนให้คลายหนาว อยากจูบสัมผัสก็ยากเกินจะทำ ต้องแกล้งเล่นมวยปล้ำแล้วพุ่งเบ้าหน้าและปลายจมูกให้ชนหน้าชนคอแต้มแล้วแอบสูดกลิ่นไอ
เป็นเสือกลัดมันที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเล่นบทพี่ชายต่อไป
ความขลาดกลัวการสูญเสียนี้ทำให้ผมอยากลาออกจากชื่อเสือเหลือเกิน...
‘พี่เสือ... ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม’
‘ถามสิ’
‘พี่เสือคิดอะไรกับผมรึเปล่า’
‘คิดว่าไงล่ะ’
‘ไม่รู้หรอก แต่เหมือนผมจะชอบพี่เสือ...’
‘แต้มคบกับพี่ไหม’
‘ไม่จีบกันสักนิดเหรอ... พี่เสือใจง่ายไปนะ’
ใครจะคิด!
แต้มทำผมอึ้งด้วยคำถามที่เอ่ยออกมาหน้านิ่ง แต่ฝ่ามือกลับเย็นเยียบทั้งที่เหงื่อออก ผมจำต้องสะกดความดีใจที่ล้นทะลักออกมาแล้วตีเนียนเข้าใส่ ไม่อยากหมดมาดเสือทั้งที่มันไม่มีเหลือตั้งแต่แรก พูดกันตามจริง แต้มใจกล้าเหมาะกับชื่อเสือมากกว่าผมซะอีก
เราควรสลับชื่อกัน
แมวเป็นเสือ... เสือเป็นแมว...
นับจากวินาทีนั้นความรักของเราได้ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย มีความสุขกับการได้เรียนรู้กันและกัน ผมติดกับดักแมวหน้าหยิ่งขี้อ้อนจนถอนตัวไม่ขึ้น หลงเด็กจนกู่ไม่กลับ
…กระทั่งทุกอย่างพังลง
…แต้มเหลือเพียงสถานะ ‘แฟนเก่า’ ทิ้งไว้ให้ผม
“ไอ้เสือ! นั่งเหม่ออะไรของมึงวะ” ไอ้หลิวเรียก ก่อนจะพล่ามเรื่องตัวเองหน้าหงอย “โปรเจกต์กูเอาไงดีวะ ต้องเชื่อมไทเทเนียม มึงพอรู้จักช่างเชื่อมไทเทเนียมฝีมือดีบ้างไหม พอดีลุงนันเพื่อนพ่อกูดันป่วยเป็นมะเร็งอาการทรุดเข้าโรงพยาบาล ไม่งั้นงานกูมีชะงักแน่”
“มึงลองถามน้องแต้มหน่อยดิ ว่าพอรู้จักใครบ้างไหม ช่วยไอ้หลิวมันหน่อย” ไอ้บุญส่งเสนอ
“มี แต่มึงสู้ราคาไหวไหมแค่นั้น” พวกมันสองตัวเลิกคิ้วโก่งเชิงขอคำอธิบาย “ช่างคนนี้ฝีมือระดับโลก เคยได้รางวัลเหรียญทองโอลิมปิก ฉะนั้นค่าตัวค่อนข้างสูงหน่อย แต่รับรองงานเนี๊ยบ”
“นี่มึงกะหักค่านายหน้าใช่ไหม ขี้โม้ว่ะ” ให้หลิวแย้ง
“มีใบเซอร์ฯ การันตีจากเยอรมนีด้วย เขาเคยไปอบรมพิเศษหลังได้เหรียญทองมา”
“พล่ามมาก บอกราคามาไอ้เสือว่าวันละเท่าไหร่”
“ฝีมือระดับนั้นใครเขาคิดราคาเป็นวัน... ขั้นต่ำสามพันต่อนิ้ว ถ้าสู้ไหวค่อยมาคุยรายละเอียดกับกูแล้วกัน กูไม่รีบหรอก”
“ใครวะ?” ไอ้อินนิลถามด้วยความอยากรู้พอๆ กับเพื่อนอีกสองตัวที่จ้องหน้าผม
“น้องแต้มของพี่เสือไง”
พวกมันตาโตด้วยคาดไม่ถึง ก่อนไอ้บุญส่งจะเบะปากใส่ผม ทุกวันนี้มันยังไม่เลิกหมั่นไส้ผม ร่ำๆ จะตีท้ายครัวถ้าเกิดผมจีบแต้มไม่ติดขึ้นมา
“หึ! ช่วยกันทำมาหากินดีเนอะ หมั่นไส้! เดี๋ยวกูไลน์ไปคุยส่วนตัวดีกว่า เผื่อได้ขอส่วนลดเป็นพิเศษ นิ้วละสามพันกูคงต้องขายนาเอาเงินมาทำโปรเจอต์แล้วแหละ แต่บ้านกูไม่มีนา ฮ่าๆๆ ไหนๆ ก็คนกันเอง น้องมันน่าจะหยวนๆ ให้ส่วนลดกูบ้าง”
ไอ้หลิวบอกก่อนจะก้มหน้าก้มต่อพิมพ์ไลน์คุยกับแต้มด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ไม่ต้องถามก็รู้ว่าคงต่อลองราคากันอยู่ แต่ไอ้หลิวมันอ่อน ซื้อของไม่เคยต่อราคา มาเจอแต้มเข้าไปแทนที่จะได้ส่วนลดอาจโดนอัพราคาแทน สักพักผมก็เห็นมันกดโทรหาแต้ม พูดอ้อนวอนเสียงแจ๋ว ก่อนไอ้หลิวจะยื่นมือถือมาให้ผม
“น้องแต้มจะคุยด้วย”
ผมยิ้มเยาะสมน้ำหน้า รับมือถือมากรอกเสียงไปตามสาย
“ว่าไงแต้ม”
‘เสาร์อาทิตย์นี้พอจะว่างไหมพี่เสือ จะให้ไปส่งทำธุระหน่อยอ่ะ’
“ไม่ว่างด้วยสิแต้ม เสาร์อาทิตย์นี้พี่มีกิจกรรมของภาคที่มหา’ลัย คืนวันศุกร์ก็ต้องกลับไปค้างที่บ้านด้วย พอดีเมื่อวานพ่อโทรมาเรียกตัว... แต่เดี๋ยวพี่ทิ้งรถไว้ให้ใช้แล้วกัน”
‘ให้ขับปอร์เช่ไปรับจ้างเชื่อม? พูดนี่คิดบ้างนะ ตลกตายห่า เขาคงแจ้งตำรวจมาจับผมแล้วแหละ’
“ฮ่าๆ งั้นเดี๋ยวเอาปิกอัพมาให้ใช้”
‘ไม่ต้องๆ ไปเองได้ แค่นี้แหละ’
“เดี๋ยว... พี่อยากกินโมโม่ เลิกเรียนแล้วพี่ไปรอรับที่ตึกนะ”
‘ตามใจ’
แต้มตัดบทแล้วกดวางสายไป ไอ้เพื่อนสามตัวเบ้ปากหมั่นไส้ด้วยความเกลียดชังที่ทวีสูงขึ้นทุกวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++