บทส่งท้าย
บทที่สอง
“สวัสดีปีใหม่คร๊าบบบ ลุงยุ ลุงเมธ”
“Happy New Year ค๊า ลุงเมธ ลุงยุ”
ตัวยังไม่ทันเห็น แต่เสียงสิดังฟังชัด มาตั้งแต่รั้วบ้าน แค่ได้ยินเสียงสดายุก็รีบถอดผ้ากันเปื้อน วางทัพพี แล้วปรี่ออกจากครัว ไปหาต้นตอของเสียงที่แสนคิดถึง
“เสียงดังไปจนถึงตีนดอยแล้วมั้ง โย ยู ยิม” สดายุแกล้งเอ็ด ทั้งที่ใบหน้าทอยิ้มระรื่น สองแขนที่ผายออกกว้าง เป็นสัญญาณให้หลานรักทั้งสาม ได้โผเข้ามากอดตามแรงคิดถึง
หลานตัวน้อยๆ ที่เลี้ยงกันมาแต่อ้อนแต่ออก บัดนี้ เติบใหญ่เป็นวัยรุ่นน่ารัก
โย พี่ชายคนโต วัย 17 ปี
ยู และยิม สองแฝดชายหญิง วัย 15 ปี
สามตัวแสบ ที่สดายุช่วยส่งเสียเลี้ยงดูมาจนโต สามแสบ ลูกหัวแก้วหัวแหวนของสุริยะ
นั่นไง พูดถึงก็เดินหอบของตามหลังลูกๆ มาโน่นแล้ว
“ไงพี่ยุ ไม่เจอแป๊บเดียว แก่ขึ้นจมเลยนะ แล้วพี่เมธล่ะ?” ไม่ทันขาดคำ ทันทีที่เจอหน้าสุริยะก็ทักกวนอย่างคุ้นเคย พาลให้สดายุคิดถึงวันแรกที่เจอกันเหลือเกิน น้องชายวัย 16 ที่แสนขี้อาย และมีสัมมาคารวะคนนั้น มันไปตายไหนแล้วนะ!!?
“พี่เมธไปซื้อของเพิ่มที่ตลาดอยู่ มีตัวเขมือบมาเป็นฝูง ของที่ตุนไว้มันเลยไม่พอ” พี่ชายแซวกลับบ้าง พลางไล่บรรดาหลานๆ ให้ขนกระเป๋าไปเก็บที่ห้องนอนประจำของตน
“เชนไม่มาเหรอ?” พอเหลือกันสองคนพี่น้อง สดายุก็ถามน้องชายขึ้น
สุริยะที่ลงไปนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา ชายตามามองพี่ชายเล็กๆ ก่อนจะตอบออกมาเหมือนไม่ใคร่ใส่ใจเท่าไหร่ “ตามมาพรุ่งนี้”
จบ เป็นอันรู้กัน ได้ยินแบบนั้นสดายุก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้กับความปากแข็งของสุริยะ น้องชายวัย 45 พ่อหม้ายลูก 3 ที่ตอนนี้กำลังมีรักผลิบาน กับอาจารย์หนุ่มรุ่นน้อง ที่สอนในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน
อาจารย์เชน ชายผู้เป็นดั่งพรหมลิขิต คนที่สดายุคิดไม่ถึง ครั้งแรกที่ได้รู้ว่าน้องชายตัวยักษ์ ที่เคยมีเมียมีลูก เบี่ยงเบนมาปลื้มผู้ชายด้วยกันก็ว่าน่าตกใจแล้ว แต่ผู้ชายที่น้องชายปลื้ม ยังอุตส่าห์มีพื้นเพที่น่าตกใจยิ่งกว่า
เพราะอาจารย์เชน หรือราเชน คือ น้องชายคนละแม่ของ ชิดจันทร์! ไม่รู้จะเรียกว่ามหัศจรรย์ พรหมลิขิต หรืออะไรดี ตอนแรกที่ได้รับรู้ สดายุกับกฤตเมธหารือกันอยู่พักใหญ่ด้วยคิดว่าคงได้เกิดปัญหา ชิดจันทร์มีน้องชายเพียงคนเดียว ข่าวว่าหลังจากกลับมารับตำแหน่งประธานบริษัทต่อจากเสน่ห์จันทร์ ก็รับเลี้ยงดูแลน้องชายต่างแม่อย่างราเชนเป็นอย่างดี
ทีแรกว่าคงเกิดเรื่องวุ่นวายเป็นแน่ ที่ไหนได้ชิดจันทร์ที่พอรู้ข่าว กลับยอมเปิดทางให้แต่โดยดีเสียอย่างนั้น หรือแม้แต่ความกังวลใจในเรื่องที่เด็กๆ อย่าง โย ยูและยิม อาจเกิดอาการต่อต้าน หรือเป็นปัญหาสังคม สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค ทุกคนรับได้ เด็กๆ ก็เห็นดีเห็นงาม ด้วยเพราะคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ ผ่านทางลุงๆ อย่างกฤตเมธและสดายุ
ทุกอย่างดูเหมือนจะจบแบบแฮปปี้ ขนาดที่กฤตเมธและสดายุยังออกปากว่า ความรักของสุริยะและราเชนคงราบรื่น ถ้าไม่ติดที่ทั้งคู่ดันปากแข็งกว่าหัวใจ ไม่ยอมปริปากยอมรับในความรู้สึกที่มีให้แก่กัน
คนหนึ่งก็มัวแต่จะยึดติดกับความหลัง ส่วนอีกคนก็ดันไม่หือไม่อือ ตามใจกันไปเสียทุกอย่าง จนเวลาผ่านมานานร่วม 10 ปี ที่สุริยะกับราเชน คบกันแบบไม่ระบุความสัมพันธ์
‘แค่เพื่อน’ คือคำตอบเดียวที่สุริยะให้กับทุกคน
ถึงจะสงสัย หรือหมั่นไส้มากเพียงใด สดายุก็ไม่คิดคาดคั้น คาดเดาไปเองว่า อาจเป็นเพราะสุริยะคือชายแท้ ทั้งยังมีลูกถึง 3 คน ถึงแม้ภรรยาจะเสียไปนานแล้ว แต่การที่จู่ๆ ตัวเองดันมามีความรู้สึกพิเศษกับกับฝ่ายราเชนที่เป็นเกย์ บางครั้งอาจเป็นเรื่องที่ตัดสินใจลำบาก หรือแม้ว่าจะมีพี่ชายเป็นเกย์เหมือนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าสุริยะจะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมาได้ง่ายๆ อย่างนั้นสินะ
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เรื่องที่สดายุคิดทั้งหมด ก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป แน่ล่ะ เพราะเขาได้แต่คิด แต่ไม่เคยได้อ้าปากถามน้องชายออกไปตรงๆ เสียที เพราะสดายุเอาแต่คิดว่า…
…ช่างหัวมันเถอะ มันคบกันมาแบบงงๆ ได้ตั้ง 10 ปี จะคบกันต่อไปแบบไหน ก็แล้วแต่มันสองคนแล้วกัน ปูนนี้แล้ว ขี้เกียจยุ่ง ว่าแล้วก็ทำเสียจิ๊จะขัดใจ กลอกตาเหนื่อยหน่ายเป็นรอบที่ร้อย
เย็นวันนั้น บ้านพักบนดอยของกฤตเมธและสดายุค่อนข้างครึกครื้น เพราะมีสมาชิกมาเพิ่มถึง 4 คน บ้านบนดอยนี้ กฤตเมธเป็นคนมาซื้อเอาไว้เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว เพื่อไว้ตากอากาศ ยามอยากพักจากงานสุมหัวที่กรุงเทพฯ จนเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน ที่ทั้งคู่ตัดสินใจ ย้ายออกมาอยู่ที่บ้านหลังนี้อย่างถาวร ด้วยอายุที่ล่วงเข้าสู่วัยเกษียณ กิจการครอบครัวต่างๆ ก็หาผู้ดูแลแทนได้แล้ว จึงขอลาพักยาวๆ อยู่บนดอยไกลผู้ไกลคนกันเพียงสองคน นอนกินเงินประกันวัยเกษียณ กับส่วนแบ่งของกำไรจากกิจการที่มีโอนเข้าบัญชีอยู่ทุกเดือน เพียงเท่านี้ก็พออยู่ได้สบาย ไม่ขาดเหลือ
30 ปีแล้ว ที่กฤตเมธและสดายุอยู่กินกันมาฉันท์คู่ชีวิต สดายุที่ใกล้จะ 58 ในขณะที่กฤตเมธเอง ก็กำลังจะ 64 สังขารร่วงโรยไปตามกาลเวลา ความรักก็ไม่ได้กระชุ่มกระชวยเหมือนเมื่อครั้งยังหนุ่ม แต่ที่อยู่กันมาจนถึงตอนนี้ได้คือความผูกพัน คือกันและกัน ที่ไม่มีความคิดอยากแยกห่างกันไปไหน เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ดูแลทุกข์สุขป่วยไข้กันไปตามประสา สดายุฝากตัวเข้าบ้านของกฤตเมธอย่างเป็นทางการ ในนามของบุตรบุญธรรมของแม่กรพิรน์ และเปลี่ยนนามสกุลตามกฤตเมธหลังแต่งงานได้ประมาณแปดปี เพียงหวังให้ยามป่วยไข้ ได้แสดงตนเป็นญาติกันได้อย่างเปิดเผย แม้ตามกฎหมายจะเป็นได้เพียงน้องชายบุญธรรมก็ตาม
เพราะไม่มีลูกของตัวเอง กฤตเมธและสดายุจึงเอ็นดู โย ยูและยิม ลูกของสุริยะมาก เมื่อครั้งที่ภรรยาของสุริยะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ สดายุกับกฤตเมธก็รีบรับเด็กๆ มาช่วยเลี้ยงดูโดยทันที เพื่อแบ่งเบาภาระของสุริยะที่กำลังอยู่ในอาการโศกเศร้า 13 ปีมาแล้วนับจากวันนั้น ตอนนี้หลานๆ ของสดายุทุกคนแข็งแรงน่ารัก และมีความสุขกันดี
นี่คือครอบครัว…ทุกคนคือครอบครัว
“เด็ก ๆ นอนกันหมดแล้วเหรอ?” กฤตเมธถามขึ้น เมื่อเห็นสดายุเดินออกมาจากห้องของหลานๆ ทั้งสาม
“หลับกันหมดแล้วล่ะ สงสัยเหนื่อย ขับรถกันมาทั้งวัน” สดายุตอบรับ “ไป...เราไปนอนกันบ้างเถอะ” พร้อมชวนกฤตเมธเข้านอน เพราะตอนนี้ก็จะเที่ยงคืนแล้ว แต่เดินขึ้นบันไดมายังไม่ทันพ้น เสียงคนคุยโทรศัพท์กลับดังขึ้นมาดักทางไว้เสียก่อน
“พรุ่งนี้จะมาถึงกี่โมง”
“อืม เดี๋ยวไปรับ”
เหมือนจะไม่มีความหมายใดๆ แต่เสียงแบบนั้นกลับทำให้กฤตเมธและสดายุจำต้องหยุดชะงัก ไม่กล้าก้าวขึ้นบันไดต่อ ทั้งที่ไม่ได้มีเจตนาแอบฟัง แต่การรักษามารยาทก็ทำให้สองลุงได้ยินถ้อยคำบางอย่างเข้า
“คิดถึงนะ...รีบมา”
ประโยคสุดท้ายก่อนร่ำลา เล่นเอาสดายุ ถึงกับสำลักเสลดในคอ กระแอมอ้อมแอ้มเสียงดังพอให้น้องชายได้ยิน สุริยะออกอาการตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ พวกพี่ชายก็โผล่ขึ้นมาจากบันได ในใจลุ้นว่าจะได้ยินเรื่องน่าอายที่พูดทิ้งท้ายไว้เมื่อครู่หรือเปล่า โดยเฉพาะยิ่งเห็นว่าสดายุแกล้งหมางเมินกัน สุริยะยิ่งรู้ทันว่าคงโดนเข้าแล้ว
“แค่กๆ โอยปู่เอ้ย ขอน้ำให้ตาหน่อยสิ เหมือนจะสำลักน้ำตาล แค่กๆ” เสียงดังฟังชัด
นั่นไงล่ะว่าแล้วเชียว สุริยะถึงกับถอนหายใจละเหี่ย แม้ร่างสดายุจะพ้นเข้าห้องไปแล้ว ไม่วายยังหลงเหลือเสียงแว่วหลอกหลอน จะมีก็เพียงแต่พี่เขยนี่ละมั้ง ที่ยังอุตส่าห์ตบไหล่ให้กำลังใจ พร้อมรอยยิ้มมีเลสนัยแปลกๆ...หมดกันแล้ว ภาพที่สร้างสั่งสมมา
คล้อยหลังเหล่าตาลุงตัวป่วน สุริยะก็พาตัวเองกลับเข้าห้องนอนบ้าง แต่กระนั้นก้ไม่อาจหลับตาลงได้ในทันที เพราะมัวแต่คิดเรื่องสำคัญอยู่
เรื่องสำคัญที่ว่า จะเปิดตัวคบหากับราเชนอย่างเป็นทางการ เพื่อจบบทบาทผู้ชายเห็นแก่ตัวเสียที
การพบกัน บางครั้งก็เป็นเรื่องของโชคชะตา ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าท่านจะพามาให้พบกันในรูปแบบไหน หรือว่าเมื่อไหร่ อย่างเช่น สุริยะ…กับราเชน ครั้งแรกที่ได้พบกัน เป็นอะไรที่ดาษดื่นทั่วไป ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ
จนกระทั่ง...วันนั้นเมื่อ 10 ปีก่อน
วันนั้น ฝนตกหนัก แต่ก็ยังอุตส่าห์มีงานเลี้ยงของเหล่าคณะคณาจารย์ของคณะศึกษาศาสตร์ เนื่องในโอกาส เลี้ยงต้อนรับอาจารย์บรรจุใหม่เพื่อประจำสาขาวิชาที่มีอาจารย์เก่ากำลังจะเกษียณ ซึ่งเป็นมารยาทที่ดีที่อาจารย์รุ่นพี่ต้องเข้าร่วมงานนี้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจของน้องๆ โดยปกติสุริยะไม่ค่อยได้ไปเข้าร่วมนัก ยกเว้นครั้งนี้ ที่ถูกหัวหน้าภาคบังคับจับลากมาจนได้
สุริยะ ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ตั้งแต่ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปเนื่องจากอุบัติเหตุ ชีวิตของสุริยะก็ดูเหมือนจะเคว้งคว้าง มันกะทันหันเสียจนตั้งรับไม่ทัน ในวันที่เสียใจจนชีวิตแทบเสียหลักนั้น อาจเป็นโชคดีที่มีครอบครัวคอยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เช่นพี่ชายอย่างสดายุที่ช่วยรับลูกๆ ทั้งสามของสุริยะไปดูแลให้ในช่วงสองปีแรก ก่อนจะให้ย้ายกลับไปอยู่กับปู่ย่าในปีต่อมา เพื่อสะดวกในการสอบเข้าโรงเรียนในเขต
ด้วยความเห็นใจที่คนเป็นพ่อต้องทำงานนอกบ้าน จนอาจดูแลลูกเล็กทีเดียวถึง 3 คนไม่ไหว ทางสดายุที่ทำงานอยู่บ้านจึงสะดวกและมีเวลาที่จะช่วยดูแลเด็กๆ ได้มากกว่า จากตอนนั้น สุริยะจึงย้ายออกมาเช่าบ้านอยู่ข้างมหาวิทยาลัยที่ตนทำงาน เนื่องจากบ้านที่เคยอยู่ด้วยกันกับครอบครัวนั้น มันค่อนข้างไกลจากมหาวิทยาลัย
ครบ 3 ปีแล้วที่ภรรยาจากไป ถึงตอนนี้สุริยะจะสามารถทำใจได้แล้วก็เถอะ แต่ก็ยังไม่คิดมีใครใหม่ แม้จะมีคนแนะนำคนดีๆ ให้บ้าง แต่ก็แค่ทำความรู้จักกัน ในความสัมพันธ์เพียงคำว่าเพื่อน สุริยะยังไม่อยากมีใคร เพราะหัวใจยังไม่อาจลืม
ไม่คิดเลยว่าคืนนั้น…
คืนที่ฝนตกหนัก หลังงานเลี้ยงเลิกรา กะว่าฝนคงซาหน่อย สุริยะจึงรีบวิ่งกลับบ้านพัก ที่อยู่ถัดจากร้านจัดงานเลี้ยงไม่ไกล
"เข้ามาหลบฝนก่อนสิ"
แล้วดันเผลอเรียกคนที่ฝ่าฝนตามกันมาให้เข้ามาหลบในบ้าน เพราะนึกเห็นใจว่าบ้านของอีกฝ่ายไกลกว่า คนคนนั้นคือ ราเชน อาจารย์รุ่นน้องที่สอนอยู่คณะเดียวกัน
มันก็ไม่น่าแปลกที่สุริยะจะมีน้ำใจ ถึงอย่างไรก็ผู้ชายเหมือนกัน แม้ว่าคนที่เขาเรียกให้เข้าบ้านมาด้วยกันนั้น จะมีรสนิยมทางเพศแบบเฉพาะตัว อย่างไรเสียสุริยะก็ไม่ได้นึกรังเกียจ ด้วยพี่ชายของตัวเองมีก็คนรักเป็นผู้ชาย และเล็งเห็นว่าถึงราเชนจะมีความชอบส่วนตัวแบบนั้น แต่ก็ไม่เคยทำตัวไม่ดี ออกจะเป็นคนเรียบร้อยเก็บตัวเสียด้วยซ้ำ สุริยะจึงไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากอยากให้ความช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน…
ไม่คิดเลยว่า…คืนนั้นพวกเขาจะดันเผลอ…
อาจเป็นเพราะเมา
อาจเป็นเพราะเหงา
อาจเป็นเพราะเสียงฝนตก
อาจเป็นเพราะบรรยากาศ
อาจเป็นเพราะถูกท้าทาย
หรืออะไรดลใจให้หน้ามืดตามัวก็ไม่รู้ ซึ่งมันไม่อาจอ้างได้ว่าขาดสติ เพราะสุริยะจำได้ทุกการกระทำ จำได้ดีถึงทุกคำพูดระหว่างกัน สีหน้าท่าทางของราเชน แม้กระทั่งรสสัมผัสที่ลืมไม่ลง
เสียงอื้ออึงของฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เสียงฟ้าคำรามเป็นระลอก ไม่ต้องเปิดแอร์ ในห้องนั้นก็หนาวจนแทบสะท้าน ถึงสุริยะจะเรียกมันว่าบ้าน แต่แท้จริงแล้ว มันก็เป็นแค่ห้องเช่าห้องน้อยเท่านั้น ห้องเล็กๆ ที่มีเพียงฉากกั้น ระหว่างพื้นที่ใช้สอยกับเตียงนอน
เมื่อสองต่อสองต้องมาอยู่ในที่พื้นอันเป็นส่วนตัว สุริยะที่กำลังเมากึ่ม ก็จัดแจงถอดเสื้อโชกฝนออก แบบไม่เกรงใจเพื่อนร่วมห้องที่ยืนตะลึงอยู่ตรงหน้าประตู ตอนที่สุริยะชำเลืองสายตาไปเห็น ก็นึกสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายต้องหน้าแดงจัด กับอีแค่ผู้ชายด้วยกันถอดเสื้อ มานึกได้เอาทีหลังก็พอเข้าใจ แต่ก็อดไต่ถามออกไปตรงๆ ไม่ได้
“เกย์เนี่ย แค่เห็นผู้ชายถอดเสื้อก็เขินเหรอ? มันก็มีเหมือนๆ กันนี่…”
สายตามองเห็นว่าทันทีที่ตั้งคำถาม ราเชนก็ถึงกับหน้าม้าน สุริยะรู้ดีว่าคำถามที่โพล่งออกไป มันเป็นการเสียมารยาท เขายังมีสติ เพียงแต่ขาดความยั้งคิด เมื่อสัมปชัญญะทำงาน จึงรีบออกปากขอโทษราเชนออกไป “ขอโทษทีนะ อย่าถือคนเมาเลย…”
“กับคนอื่น ผมไม่เขินหรอก…แค่กับคุณ…” แต่แล้วคำตอบที่ได้มา กลับทำให้สุริยะแทบสร่าง เพราะไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา เขาจึงรู้ได้ในทันทีว่าราเชน ต้องการสื่ออะไร
“ชอบผมเหรอ?” มันชัดเจนเสียจนหลีกเลี่ยงไม่ได้ และสุริยะคิดว่าหากเขาทำเป็นไม่รู้ มันออกจะดูไม่แฟร์สำหรับราเชน ในเมื่ออีกฝ่ายยอมเปิดเผย เขาเองก็จะยอมรับมันตรงๆ
“ครับ” ราเชนตอบเบา ใบหน้าขาวเนียน สลดลง คงเพราะนึกขึ้นได้ว่าเผลอพูดความในใจที่ไม่ควรออกมา โดนฤทธิ์สุราผลักดันให้ใจกล้าหน้าด้าน จนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี ร่างแบบบางดูเหมือนจะตัวเล็กลงกว่าเดิม แต่ถึงขั้นนี้แล้ว ราเชนเองก็ไม่คิดถอย
“ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย” สุริยะพูดตรง เพราะคิดแล้วว่าเรื่องแบบนี้ ไม่ควรทิ้งคาไว้ให้รู้สึกกำกวม เพราะการคาราคาซัง มันยิ่งทำร้ายกันและกัน ความสัมพันธ์พาลจะพังมากกว่าก่อ
“ผมรู้” ในเมื่อสุริยะ ตอบตรง ราเชนก็ตั้งใจเผชิญหน้าอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
“แล้ว…ตัดใจได้ไหม?”
“ไม่รู้สิครับ แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ ”น้ำเสียงเครือสั่น แต่ชัดถ้อยชัดคำ
“หึ…ชอบผมได้ยังไง ผู้ชายคนอื้นมีเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นผม? เอาตรงๆ นะ ผมแทบไม่รู้จักคุณ ” เห็นว่าราเชนก็ไม่ได้อ้อมค้อม สุริยะจึงไต่ถามถึงไถ่เหตุผล การมีคนมาชอบไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่การชอบในเชิงชู้สาวนี้ อาจต้องถามไถ่กันให้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ทั้งยังไม่ใช่คนที่รู้จักสนิทสนม
“คุณอาจจำไม่ได้แล้ว เมื่อตอนผมบรรจุใหม่ๆ คุณคอยให้ความช่วยเหลือผมตลอด ผมประทับใจมาก…” นั่นเป็นการเปิดหัวข้อสนทนา ที่ราเชนก็คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ในหัวมีคำตอบมากมายรอสาธยายให้อีกฝ่ายได้ฟัง แต่ให้ตายคนขี้อายอย่างเขาก็คงไม่กล้าพอจะพูดออกไปตรงๆ ว่า ‘แอบรักตั้งแต่แรกเห็น และคอยติดตามความเป็นไปเรื่อยมา’ จึงได้อ้างเอ่ยเหตุผลอันสมควรสารพัด งัดมาให้สุริยะเชื่อ ว่าความรู้สึกนี้ ไม่ได้ล้อเล่น
“ถ้าแค่นั้นน่ะ อาจารย์คนอื่นเขาก็ช่วยป่ะ?”
“แต่คุณดีกับผมที่สุด แถมยังไม่รังเกียจที่ผมเป็น”
เหตุผลฟังไม่ขึ้นในตอนแรก แต่พอเป็นเรื่องการยอมรับในรสนิยมของราเชนได้ สุริยะก็ต้องถอนหายใจ ใช่...เขาอาจเป็นอาจารย์ผู้ชายเพียงไม่กี่คนในคณะ ที่ไม่คิดติดใจเรื่องแบบนี้ ในขณะที่คนอื่น มีการเว้นนะยะในช่วงแรก
นั่นอาจเป็นเหตุผลสมควร แล้วมันยังไงล่ะ ในเมื่อสุริยะไม่อาจรักตอบ จะปล่อยให้ยืดเยื้อก็คงไม่ดีนัก จึงได้ตัดสินใจบอกออกไปโดยไม่คิดเลยว่า นั่นจะเป็นจุดเริ่มต้น
“…ผมคงคบกับคุณไม่ได้หรอกนะ ไม่ใช่เรื่องที่ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่…”
“เพราะคุณยังไม่ลืมเธอ ผมทราบครับ และผมก็ไม่ได้ต้องการให้คุณมาคบด้วย แค่อยากปลอบโยนคุณแทนเธอ…”
“แทนงั้นเหรอ?...คุณมีสิทธิ์อะไร?
ก็ว่าจะไม่โกรธ แต่สุริยะอดไม่ได้ เพราะราเชนไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายในเรื่องนี้ ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะพูดถึงภรรยาผู้ล่วงลับของตน! น้ำเสียงที่ถามกลับไปจึงต่ำขรม หมายข่มให้อีกคนสงบปาก
“ผมไม่ได้อยากแทนที่เธอครับ ผมรู้ว่าไม่มีใครแทนที่ตรงนั้นของเธอได้ ผมก็แค่อยากปลอบโยน ไม่อยากให้คุณต้องจมปลักกับอดีต...” ราเชนพยายามอธิบาย ไม่ผิดหรอกที่สุริยะจะโกรธ เพราะทั้งที่ไม่สนิท แต่ก็ยังปากดี ไม่รู้ทำไม ราเชนถึงห้ามมันเอาไว้ไม่ได้ ห้ามความปลากพล่อย ปากเปราะของตัวเองไม่อยู่
“คุณกล้าใช้คำว่าจมปลักเชียวเหรอ? หึหึ...” นั่นยิ่งทำให้สุริยะหงุดหงิดจนถึงกับแค่นเสียงหัวเราะ
ราเชนรู้แล้วว่า ยิ่งพูดก็จะยิ่งพาลโดนเกลียด แต่อยากสื่อสารออกไปให้สุริยะรู้ให้ได้ ว่าตนจริงจังแค่ไหน จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาพูดในสิ่งที่เอาแต่ใจตนออกไปอย่างถือดี “ขอโทษ...ผมแค่อยากช่วยจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี...”
“ช่วยผม?...ช่วยยังไง?” คำถามของสุริยะ ทำราเชนนิ่งอึ้ง ทำไมนะ ทั้งที่ต่อปากต่อคำอย่างลืมตายไปเป็นเข่งๆ แต่พอมาเจอคำถามวาจะช่วยยังไงเข้าก็ดันนึกคำตอบไม่ออก จะช่วยอย่างไรดีเล่า ให้ไม่ต้องบาดหมางใจกัน แค่อยากอยู่เคียงข้างเท่านั้น ถ้าพูดออกไปจะถูกหัวเราะเยาะเอาหรือไม่นะ
“มีเซ็กส์กันไหม?”“ห๊ะ!?” เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาคิดคำตอบ จึงไม่ทันได้สังเกตว่าถูกสุริยะเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ในหูอื้ออึงอนทั้งทีที่ได้ยินคำเชื้อเชิญแสนอันตราย
“ถ้าอยากช่วย ก็ช่วยผมปลดเปลื้องหน่อยสิ”นั่นเป็นแค่คำยั่วยุ ที่สุริยะต้องการใช้เพื่อข่มขู่ราเชนให้กลัวเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าทันทีที่เขาโพล่งออกไป ราเชนกลับจัดการเปลื้องผ้าตัวเองออก จนเหลือแต่กางเกงในสีดำตัวจ้อย แล้วยอมรับคำเขื้อเชิญนั้น
“เฮ้ยคุณ! เดี๋ยว!!...” สุริยะเหวอ เมื่อจู่ๆ ราเชนก็คุกเข่าลงตรงหน้า
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าราเชนต้องการที่จะทำอะไร สุริยะกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างไม่อาจข่มกลั้นความรู้สึก ใจหนึ่งแม้จะปฏิเสธพัลวัน แต่อีกใจก็ใคร่อยากลิ้มลอง ผิดชอบชั่วดีตีกันให้มั่ว สุดท้ายจึงได้แต่ยืนมองเราเชนนิ่งๆ มองมือสั่นเทาของอีกฝ่าย ที่ค่อยๆ เอื้อมมาปลดเข็มขัด แล้วรูดซิปลงช้าๆ
ใบหน้าราเชนแดงก่ำลามลงไปถึงแผ่นอก เมื่อพยายามเปิดกางเกงยีนส์ออก แล้วเห็นของของสุริยะเต็มตา สิ่งนั้นยังคงอ่อนตัวและซุกซ่อนอยู่ ราเชนตัดสินใจถอดแว่นออก เพื่อลดความคมชัด ก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปหาสิ่งนั้นอย่างกล้าๆ กลัว เพียงแค่แตะต้องด้วยปลายนิ้วเย็นจัด ก็เหมือนจะได้ยินเสียงของสุริยะดังขึ้นเบาๆ ร่างที่ยังยืนมั่นคงกระตุกเล็กน้อย ลมหายใจหน่วงหนักขึ้น เมื่อราเชนจับกำตัวตนของสุริยะที่ยังไม่ยอมตื่นตัวเอาไว้ รูดรั้งอย่างเงอะๆ เงิ่นๆ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนริมฝีปากเข้าครอบครอง
สุริยะพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ สัมผัสที่ห่างเหินไปนานตรงช่วงล่าง กำลังทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนวนท้องน้อย ราเชนไม่ได้ช่ำชอง สุริยะสัมผัสได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นปลายลิ้นเล็กที่ดูจะลังเลในการสัมผัส ทั้งมือเย็นจัดที่สั่นราวกับเจ้าเข้า แทนที่จะทำให้สุริยะหมดอารมณ์ แต่สิ่งเหล่านั้นกลับผลักดันให้กึ่งกลางร่างกายพองขยายและร้อนจัดยิ่งขึ้น
ยิ่งราเชนเล็มเลียที่ส่วนปลายด้วยความประหม่า ลมหายใจร้อนผ่าวที่ขาดห้วง โพรงปากที่ขยับอย่างลนลาน กระทั่งท่าทางกระวนกระวายยามที่สัมผัสแก่นกายของเขา ปฏิกิริยาราวสาวแรกรุ่นไม่ประสีประสาแบบนั้นของราเชน ในที่สุดก็สามารถปลุกเร้าอารมณ์ดิบของสุริยะได้สำเร็จ ร่างสูงใหญ่สั่นสะท้าน จนสุริยะต้องแหงนเงยขึ้นเพื่อระบายลมหายใจร้อนจัด ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ตกตะลึงพรึงเพริศไปกับรสสัมผัสที่ห่างหายมานาน มันเร้าใจไปหมดจนแทบจะปลดปล่อยออกมาอยู่รอมร่อ
เมื่อเห็นว่าไม่ได้การ สุริยะจึงรีบผละตัวออก แล้วจัดการลากตัวของราเชนไปที่เตียงน้อย เหวี่ยงหวือเดียวร่างผอมบางก็ลงไปนอนแปะอยู่อย่างน่าสงสาร สุริยะตามลงไปประกบทันที เพื่อไม่ให้กิจกรรมขาดตอน ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่คิดหยุด
“อื้อ...” จูบร้อนแรงจัดส่งให้ถึงที่ คนโสดหรือจะทีทักษะดีเท่ากับคนที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว เพราะปลายลิ้นของราเชนตอบสนองไม่ทันใจ สุริยะจึงโหมตะโบมลิ้นใส่ เพื่อกลั่นแกล้งจนราเชนแทบสิ้นสติ
เมื่อมาถึงที่สุดแล้ว สุริยะก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้อีก ชายหนุ่มรีบผละตัวออกมาเพื่อจัดการถอดกางเกงชื้นฝนออกจากร่าง เร่งควานหาถุงยางตรงลิ้นชักข้างเตียงมาสวมใส่ โดยมีสายตาของราเชนจับจ้องอยู่ไม่คลาด ไร้คำเสวนาใดๆ ระหว่างกัน เมื่อสวมถุงยางเสร็จ สุริยะก็จัดการจับราเชนพลิกคว่ำ
"อ๊ะ! เดี๋ยวคุณ...ม...ไม่มีโลชั่นเหรอ" ราเชนร้องห้าม เมื่อจู่ๆ ความร้อนระอุก็จดจ่ออยู่ตรงปากทาง ทั้งที่ยังไม่ทันได้ตั้งหลัก แถมยัง และยังปราศจากการเล้าโลมหรือแม้กระทั่งการเตรียมพร้อมใดๆ
"มันต้องเตรียมพร้อมก่อน...อื้อ..." แม้จะร้องวิงวอน แต่ดูเหมือนเสียงแตกพร่าจะเบาไปสำหรับสุริยะที่กำลังได้ที่ เพราะนอกจากจะไม่บอกว่าโลชั่นอยู่ที่ไหนแล้ว ยังพยายามถูส่วนปลายอยู่กับจุดซ่อนเร้นของราเชนไม่ห่าง
“ได้โปรด...ขอโลชั่นก่อนนะครับ” ราเชนวิงวอนเสียงสั่นพร่า พยายามพลิกตัวแปะป่ายมือห้าม
“มีที่ไหนล่ะ ของพรรณ์นั้นน่ะ” สุริยะกระซิบพร่า ดึงดันคร่อมร่างของราเชนไว้
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอเตรียมตัวก่อน นะครับ...แค่ครู่เดียว...”
ถึงอย่างไร ราเชนก็ไม่ยินยอมให้ล่วงล้ำ หากยังไม่เตรียมพร้อม สุริยะออกอาการหงุดหงิด แต่ก็ยอมผละออกมาให้ พลางคิดในใจอย่างหัวเสียว่า อีกฝ่ายเป็นคนชวนเองแท้ๆ ทำไมถึงยังเล่นตัวนัก โดยลืมตระหนักไปว่า ของผู้ชายนั้นต่างจากผู้หญิง แน่นอนว่าหลังจากนี้ สุริยะจะรู้สึกผิดต่อราเชนอย่างครามครัน
และการยอมให้ราเชนเตรียมความพร้อมให้ตัวเองนั้น น่าจะถือได้ว่าเป็นกำไรเล็กๆ ก็ว่าได้ ด้วยท่วงท่าที่เซ็กซี่น่ามอง จนแทบนึกใบหน้ายามปกติไม่ออก ราเชนนอนคว่ำหน้าลงเช่นเดิม กดไหล่ลงต่ำจนติดที่นอน แล้วยกสะโพกให้ลอยเด่น ก่อนจะเอานิ้วมือข้างขวาใส่เข้าไปในปากจิ้มลิ้ม ดูดเลียจนได้ยินเสียงเปียกชื้นของน้ำลายเจ๊าแจ๊ะบาดหู เพียงไม่นาน ดูเหมือนจะได้ที่ ราเชนจึงยอมคายนิ้วมือฉ่ำน้ำลายจนหยดเยิ้มออกมา แล้วสอดแขนส่งนิ้วนั้นไปที่ด้านหลัง จากนั้นก็เริ่มคลึงเคล้นดอกตูมที่ยังคงปิดสนิทของตน ออกแรงกด และหมุนวนปากทางเพียงนิด อึดใจต่อมาราเชนจึงส่งนิ้วมือเข้าไปด้านใน
“อึก” ราเชนครางแผ่ว เหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ ร่างบอบบางสั่นระริกไปกับการเตรียมความพร้อมให้ตัวเอง นอกจากอารมณ์ความใคร่แล้ว ราเชนยังรู้สึกราวกับสูญเสียซึ่งศักดิ์ศรี พร่ำถามตัวเองว่าแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ น่ะหรือ คาดหวังความทรงจำแค่เพียงครั้ง คาดหวังอ้อมกอดชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แล้วหลังจากนี้คุณค่าของตนจะยังหลงเหลืออยู่อีกหรือ...
ความละอายที่แล่นพล่านในอก ทำให้ราเชนไม่อาจกระทำการที่ตั้งใจได้ต่อไป นิ้วสั่นระริกหยุดนิ่ง แต่ก่อนที่จะได้ถอนหายใจ ก็ถูกสุริยะทาบทับลงมาเสียก่อน
“อ๊ะ...คุณ อย่างเพิ่ง...อื้อ...” ราเชนร้อง แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“คุณยั่วผมเองนะ” สุริยะเอ่ยเสียงแตกพร่า แตะส่วนปลายที่ร้อนจัด และโป่งพองจนแทบระเบิดเข้าเสียดสีช่องทางที่อ่อนนุ่ม สองมือแกร่งยึดท่อนเอวของราเชนไว้ แล้วค่อยๆ กดสะโพกเสือกไสตัวเองเข้าไปด้านในอย่างเชื่องช้า
คราวนี้ไม่มีเสียงร้องห้ามอีกต่อไป มีเพียงเสียงลมหายใจขาดห้วงของราเชนที่มาพร้อมกับเสียงครางผะแผ่วเท่านั้น สุริยะพยายามเคลื่อนตัวเองเข้าไปอย่างเชื่องช้า ภายในร้อนจัดและรัดแน่น ยิ่งขยับเข้าลึกผนังเนื้อนุ่มหยุ่นยิ่งโอบรัดเข้ามาราวกับกำลังพยายามผลักไสเขาออก สุริยะกัดฟันพรูลมหายใจหนักๆ แบบนี้มันดีเกินไปจนสมองคิดอะไรไม่ออก
“อ๊ะ อะ…อื้อ….” แค่เฉพาะส่วนหัวที่มุดเข้ามาได้ ราเชนก็แทบขาดใจเสียหลายรอบ มันอึดอัดแน่นตึงไปทั้งช่องท้อง แม้พยายามผ่อนลมหายใจ หรือผ่อนคลายแค่ไหน ก็ดูเหมือนจะไม่พอให้สุริยะเข้ามา ภายในร่างบีบรัดสิ่งแปลกปลอมถี่ยิบด้วยความไม่คุ้นชิน แต่ยิ่งบีบรัดมากเท่าไหร่ ดูเหมือนจะยิ่งสร้างความหฤหรรษ์ให้ผู้รุกรานเสียมากกว่า สุริยะถึงได้สูดปากอย่างห้ามไม่อยู่
และเพียงอึดใจต่อมา ในที่สุดสุริยะก็เข้าไปได้จนมิด โดยไม่ยอมปล่อยให้ราเชนได้พักหายใจ ความเร่าร้อนก็เริ่มขับเคลื่อน มือแกร่งกระชับเอวบางของราเชนไว้มั่นเพื่อยึดเหนี่ยว พลางเริ่มขยับสาวสะโพกอย่างเนิบช้า
“อ๊ะ…อือ…” ราเชนไม่อาจเก็บกลั้นเสียงครางร้อง เมื่อถูกกระทั้นกายหนักหน่วงขึ้น ทั้งเจ็บทั้งอึดอัด แต่มันก็ระคนปะปนไปด้วยความวาบหวาม เพราะความเร่าร้อนแข็งขึงของอีกฝ่ายนั้นกำลังกระตุ้นจุดอ่อนไหวภายในอย่างรุนแรง
ร่างของราเชนเกร็งสะท้าน พร้อมกับที่ลมหายใจขาดห้วงไปตามร่างกายที่ถูกกระแทกกระทั้นจนโยกคลอน สองมือของราเชนจิกผ้าปูที่นอนแน่นจนข้อขึ้นขาว ไม่อยากร้องครางออกไปมากมายจนอีกฝ่ายอาจหมดอารมณ์ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเสียงของผู้ชาย ราเชนึงกัดริมฝีปากไว้แน่น ที่เป็นอย่างนั้น เพราะราเชนรู้ดีว่าที่สุริยะทำอยู่ตอนนี้ส่วนหนึ่งคงเพราะความเมา เขาถูกกระทำไม่ต่างจากผู้หญิงโดยการถูกจับให้คว่ำหน้า เพราะท่านี้สุริยะจะได้ไม่ต้องเห็นอวัยวะของเขา...และไม่ต้องทนมองหน้ากันให้เสียอารมณ์ด้วย
เพราะคิดแบบนั้น ราเชนจึงพยายามขบกัดริมฝีปากของตัวเองเพื่อกลั้นเสียงจนสัมผัสได้ถึงรสคาวเลือด น้ำตาหยดน้อยร่วงไหลเผาะแผะ...
ต่อด้านล่าง