ความสัมพันธ์ระหว่างฟีเรียสกับวิล องครักษ์รุ่นพี่ที่เป็นอดีตเพื่อนร่วมห้องและเคยมีคดีกันมานั้นดีขึ้นมาก ฟีเรียสคุยกับวิลตามปกติ เพราะฝ่ายนั้นเข้ามาคุยกับเขาก่อน ฟีเรียสไม่ได้พูดเรื่องแหวนอีก ไม่จำเป็นต้องย้ำบ่อยๆ ว่าเขาไม่ได้ขโมย แค่เท่าที่เคยพูดกันก็เพียงพอแล้ว เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาพูดกับเขาเพราะเขาเป็นคนรักของเจ้าชายรามิเรสหรือไม่ หรือว่าชักจะเริ่มเชื่อเขาแล้ว ว่าเขาไม่ได้ทำจริง แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร แค่พูดคุยกันตามประสาเพื่อนร่วมงานได้เหมือนเดิมก็ดีแล้ว
เพราะคิดแบบนี้ ฟีเรียสจึงไม่เคยหวังว่าวันหนึ่งอีกฝ่ายจะมาขอโทษ แล้วสารภาพว่า
“ข้าลืมไว้ในกระเป๋าเสื้อที่บ้าน แม่ข้าเป็นคนเจอ”
“เจอตั้งแต่เมื่อไรครับ”
วิลอึกอัก แล้วก็บอกเวลา ซึ่งเป็นเวลาหลังจากเกิดเรื่องประมาณหนึ่งสัปดาห์
“ข้าไม่ได้บอกเจ้าเพราะว่าข้าละอายใจ ขอโทษจริงๆ ว่ะที่มาบอกเอาตอนนี้”
“...ไม่เป็นไรครับ” ถึงจะเสียความรู้สึก แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะซ้ำเติมคนผิดที่สำนึกตัวและมาขอโทษ เพียงแต่ยังมีเรื่องที่สงสัยอยู่
“แล้วท่านเอาแหวนวงไหนไปหมั้นคนรัก”
“วงเดิม” มองหน้าองครักษ์รุ่นน้องแล้วก็นึกรู้ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายอยากจะรู้จริงๆ คือเรื่องไหน แล้วก็จริงเสียด้วย เพราะเมื่อเขาไม่พูด อีกฝ่ายก็ถาม
“แล้ววงใหม่ที่เจ้าชายหกประทานให้ล่ะครับ”
“ข้าถวายคืนไปแล้ว” ไม่ใช่แหวนเพชร แต่เป็นแหวนลม
“คืนตั้งแต่เมื่อไรครับ”
“เอ่อ... ข้าจำไม่ได้” ตอนที่เขาได้รับพระบัญชาผ่านคุณลีโตมาว่าให้มาสารภาพกับฟีเรียส ผ่ายนั้นก็ไม่ได้บอกเหตุผลหรือรายละเอียดอะไรกับเขาเลย “ข้ามาบอกเจ้าแค่นี้แหละ ไปก่อนนะ”
ไม่ต้องเป็นคนคิดมากก็เห็นได้ชัดเจนว่าอีกฝ่ายมีพิรุธ ฟีเรียสตัดสินใจขอเข้าเฝ้าเจ้าชายหกเพื่อทูลถาม ถึงจะอยู่ตำหนักเดียวกับอีกฝ่าย แต่ก็ใช่ว่าเขานึกอยากจะเข้าเฝ้าเมื่อไรก็ทำได้ตามใจ ต้องทำตามขั้นตอนต่างๆ เหมือนกับองครักษ์คนอื่นๆ จึงได้พบที่ห้องทรงงาน
“เขาบอกเจ้าว่ายังไง”
นี่ก็มีพิรุธอีกเหมือนกัน เขาทูลถามก็แค่ตรัสตอบมาตรงๆ ทำไมจะต้องถามกลับ
“บอกว่าจำไม่ได้พระเจ้าค่ะ”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ก็คงจะเป็นทันทีที่เขารู้ว่าเข้าใจผิด”
“แล้วทำไมฝ่าบาทถึงไม่รับสั่งบอกกระหม่อมพระเจ้าค่ะ” ทั้งที่ทรงทราบว่าเขาเครียดเรื่องนี้มาก เขาเกลียดการถูกใส่ความทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด และเรื่องนี้ก็รู้กันทั้งพระตำหนัก ยังไงก็ต้องมีคนคลางแคลงใจในความบริสุทธิ์ของเขาบ้าง
“เจ้าคิดไม่ออกหรือ ว่าทำไม”
ฟีเรียสมองสบสายพระเนตร และคิด คิดจนหัวแทบแตกแล้วก็หาคำตอบได้แค่อย่างเดียว เป็นคำตอบที่หลงตัวเองมากเสียด้วย
“ฝ่าบาทรับสั่งบอกมาเถิดพระเจ้าค่ะ”
“เพราะข้าอยากให้เจ้ามาอยู่ใกล้ๆ”
อย่า...อย่าได้ทรงคิดเชียวนะ ว่ารับสั่งแค่นี้แล้วจะทำให้เขาหายโกรธ
“ฝ่าบาทเป็นคนตรัสสั่งไม่ให้เขาบอกความจริงกับกระหม่อมใช่ไหมพระเจ้าค่ะ”
“นั่นก็ใช่ แต่คนอื่นๆ ก็รู้ความจริงกันหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครหลงเข้าใจผิดอยู่”
ทรงทราบว่าเขากังวลเรื่องอะไร ทว่า...อย่าได้ทรงคิดว่าเขาจะหายโมโห
“ตอนนี้ก็คงเป็นฝ่าบาทอีก ที่รับสั่งให้เขามาบอกความจริงกับกระหม่อม”
“ใช่”
“เพราะอะไรพระเจ้าค่ะ ทำไมถึงโปรดให้มาบอกเอาตอนนี้”
เพราะ ‘เพลิน’ กับการเป็นฝ่ายไล่ต้อน ฟีเรียสจึงไม่ได้คาดคำตอบเอาไว้ล่วงหน้า ครั้นอีกฝ่ายตรัสตอบกลับมาว่า
“เพราะข้าอยากจะรู้ว่า เมื่อเจ้ารู้ว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำหนักข้าอีกแล้ว เจ้าจะขอกลับไปอยู่ที่ตึกพักองครักษ์รึเปล่า”
เขาก็เกือบจะหาทางไปต่อไม่เจอ
ฟีเรียสนิ่งเงียบไปนาน จะไม่มีสักครั้งบ้างเลยรึไงนะ ที่เขาชนะเจ้าชายรามิเรสได้ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้พระองค์เป็นฝ่ายผิดแท้ๆ อันดับแรกต้องรับสั่งขอโทษเขาก่อนสิ ทำไมถึงมาลงเอยตรงนี้ได้ มันจะลัดขั้นตอนเกินไปรึเปล่า
“ถ้ากระหม่อมไม่กลับไป...” ทำไมเสียงเขามันเบาๆ ล่ะเนี่ย ฟีเรียสปรับสีหน้าให้เรียบเฉย และกราบทูลเสียงดังขึ้นในประโยคถัดไป
“คนอื่นๆ คงจะคิดว่ากระหม่อมอาศัยฐานะ...พิเศษอื่น หาอภิสิทธิ์ให้ตัวเอง”
เพื่อความดูดี ว่าไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเองคนเดียว องครักษ์หนุ่มจึงแถมไปอีกประโยคหนึ่ง
“แล้วฝ่าบาทก็อาจจะทรงถูกนินทา ว่า...หลงกระหม่อมจนไม่สนพระทัยกฎระเบียบ”
เจ้าชายรามิเรสทรงพระสรวล สายพระเนตรเป็นประกายพราวอย่างเอ็นดูคนพยายามดิ้นรน
“เรื่องนั้นเขาคิดกันตั้งแต่สองสามวันแรกที่เจ้าเข้ามาอยู่กับข้าแล้ว” เว้นไปครู่จึงรับสั่งเสริม “ดีไม่ดีอาจจะคิดไปถึงว่าข้ากับเจ้ามีความสัมพันธ์ก้าวหน้ากันทุกคืน”
อะไรคือความสัมพันธ์ก้าวหน้า แน่จริงก็รับสั่งมาให้ชัดเจน...แต่คิดอีกทีก็อย่าดีกว่า
“มันไม่ใช่เรื่องจริง พวกเขาไม่ควรเข้าใจผิดๆ”
“เจ้าโกรธเพราะพวกเขาคิด หรือโกรธเพราะมันไม่จริง”
ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ทำไมตรัสถามอะไรงงๆ มันต่างกันตรงไหน เป็นเรื่องเดียวกันแท้ๆ คนระดับเจ้าชายนี่บางทีก็พูดอะไรที่คนทั่วไปเข้าใจง่ายๆ ไม่ได้สินะ เอาเป็นว่ามีให้เลือกเขาก็เลือกก็แล้วกัน
“โกรธเพราะมันไม่จริงพระเจ้าค่ะ” ดูร้ายแรงกว่า เพราะถ้าทูลตอบว่าโกรธเพราะพวกเขาคิด พระองค์ก็จะทรงแย้งได้อีกว่ามันเป็นแค่ความคิด ในเมื่อไม่มีใครพูดออกมา เขาจะไปเดือดร้อนทำไม
“ถ้าข้าทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา เจ้าก็จะหายโกรธใช่ไหม”
องครักษ์หนุ่มใช้เวลาคิดไม่นานก็เข้าใจ ยิ่งมองเห็นสายพระเนตรก็ยิ่งเข้าใจได้เร็วเป็นพิเศษ ยังไม่ทันหาคำอะไรมาทูลตอบ อีกฝ่ายก็ตรัสชวน
“คืนนี้ไปดูต้นใยรักที่ห้องข้ากันไหม”
“...” ให้ตาย...
“ออกดอกเต็มต้น สวยมากนะ”
“...” เขาถูกพามาเรื่องนี้ได้ยังไง...
“นานไปมันจะโรยหมด”
“ไม่ไปพระเจ้าค่ะ”
องครักษ์หนุ่มเสียงแข็ง หน้าแดงก่ำ
****************************************
ถึงแม้ว่าเรจินจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่ในเมืองหลวงมีข่าวสำคัญอะไรเขารู้หมด ข่าวที่ไม่สำคัญแต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าชายหกอยู่บ้างเขาก็รู้เร็วเช่นกัน ดังนั้นเจ้าชายรามิเรสจึงทรงทราบว่าคุณชายใหญ่บ้านเสนาบดีกลาโหมรับเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาอุปการะ ก่อนที่เจ้าตัวจะกราบทูลเสียอีก
“เป็นลูกชายของผู้หญิงในหอบุปผาพระเจ้าค่ะ เพิ่งจะอายุสิบสี่” มิทรอสกราบทูลอย่างไม่ปิดบัง พลางดื่มเหล้าไปด้วย พระตำหนักของเจ้าชายหกแห่งไมซีนเป็นแหล่งสะสมบรรดาสุราและไวน์ชั้นเลิศที่สุดที่เขาเคยรู้จัก ยิ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าพระองค์จะทรงดื่มน้อยลงเรื่อยๆ เขายิ่งอยากจะหาเรื่องมาเข้าเฝ้าบ่อยๆ เพราะจะได้ช่วยดื่มให้หมด คนอยากงดเหล้าเอาใจคนรักจะได้ทรงดื่มแต่นมสมพระทัย
“แม่ไม่รัก คนอื่นๆ ในหอก็ใช้งานหนัก ลงโทษเสียยับไปทั้งตัว กระหม่อมเห็นแล้วสงสาร”
“เจ้ารู้จักเขาได้ยังไง”
คุณชายหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่ง หน้าขาวๆ ขึ้นสีเล็กน้อยอย่างหาดูได้ยาก
“กระหม่อมไปเที่ยวมาพระเจ้าค่ะ” เว้นไปสักอึดใจจึงค่อยทูลต่อ “บอกไปว่าอยากจะได้ผู้ชาย เด็กๆ หน่อย ผิวขาว ชอบความรุนแรง แต่ให้แกล้งทำเหมือนไม่เคยมาก่อน คนดูแลเลยส่งเขามาปรนนิบัติกระหม่อม ตอนแรกกระหม่อมก็คิดว่าเด็กมันแค่แสดงเหมือน ก็เลย...หนักไปหน่อยพระเจ้าค่ะ ตอนหลังพอเลิกต่อต้านแล้วเปลี่ยนมาร้องไห้จะเป็นจะตาย กระหม่อมก็เลยเอะใจ”
ถึงจะ...ช้าไปหน่อย เอ่อ...สายเกินไปแล้วก็ตาม
“เจ้าชอบแบบนี้หรือ”
“ฝ่าบาท” มิทรอสแทบจะโอดครวญ “อย่าทอดพระเนตรกระหม่อมอย่างนั้น นานๆ ทีกระหม่อมก็อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แต่ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายไม่เต็มใจ กระหม่อมก็ไม่บังคับหรอกพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มทรงพยักพระพักตร์ เป็นอันทรงทราบว่ารสนิยมของพระสหายห่างไกลจากของพระองค์มาก
หลังจากนั้นมา การสนทนาระหว่างเจ้าชายหกกับคุณชายบ้านเสนาบดีกลาโหม เก้าในสิบจะต้องมีเรื่องเด็กในอุปการะของคุณชายหนุ่มรวมอยู่ด้วย
หัวข้อก็...หวานแหววขึ้นทุกที เป็นต้นว่าเด็กผู้ชายวัยสิบสี่จะอยากได้ของขวัญวันเกิดแบบไหน...หัวข้อนี้ทำให้เจ้าชายรามิเรสทรงทราบว่าที่พระสหายเคยกราบทูลว่า ‘สิบสี่’ นั้น ที่แท้แล้วคือยังไม่เต็มสิบสี่ พออุปการะได้ครบเดือน ก็มาทูลถามว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญวันครบรอบดี...ทำราวกับจะฉลองอายุครบหนึ่งเดือนของเด็กทารก หรือไม่ก็ของขวัญครบรอบแต่งงาน
ความกระตือรือร้นของมิทรอสไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเจ้าชายหนุ่มมากนัก ก็แค่...โปรดให้พ่อบ้านประจำพระตำหนักไปหาวันเกิดของฟีเรียสมา
คำตอบที่ได้คือผ่านมาแล้วสามเดือน
ส่วนวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ก็อีกแปดเดือนข้างหน้า
ถ้าอยากจะให้อะไรสักอย่าง ไม่ต้องมีโอกาสพิเศษได้ไหม...แล้วจะให้อะไรดี
...สิ่งที่คนหยิ่งในศักดิ์ศรีเหลือเกินอย่างฟีเรียสจะไม่ปฏิเสธ...
************************************
“อะไร”
เจ้าชายรามิเรสตรัสถาม เมื่อองครักษ์ใหม่ของพระองค์วางซองสีน้ำตาลซองหนึ่งไว้บนโต๊ะทรงงาน
“เงินพระเจ้าค่ะ”
คนรอคำตอบเกือบจะแย้มพระสรวลออกมาแล้ว ถ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นสีหน้าเรียบเฉยจริงจังของคนยืนตัวตรงอยู่เบื้องพระพักตร์
“กระหม่อมขอใช้หนี้งวดแรกพระเจ้าค่ะ เดือนที่แล้วเป็นเงินเดือนเดือนแรก กระหม่อมจึงให้แม่ทั้งหมดพระเจ้าค่ะ แต่ตั้งแต่เดือนนี้ไป กระหม่อมจะผ่อนใช้คืนเป็นจำนวนเท่านี้ทุกเดือน” หยุดคิดนิดหนึ่งจึงเสริม “บางเดือนอาจจะมากกว่านี้ แต่จะไม่น้อยไปกว่านี้พระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายเจ้ากรมสรรพาวุธทรงหยิบซองมา
“กระหม่อมเขียนจำนวนไว้บนซองด้วยพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มพลิกซองเพื่อทอดพระเนตร ไม่ได้มีพระดำริที่จะหยิบเงินในซองออกมาดูเลยเพราะคิดว่าการไม่นับดูหมายถึงความเชื่อใจ ทว่าเมื่อทอดพระเนตรเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังรอคอยอย่างจริงจังของคนรัก จึงได้ทรงดึงเงินออกมานับ
การนับเงินไม่ใช่เรื่องถนัดของเจ้าชายหกแห่งไมซีนเลย พระองค์แทบจะไม่ทรงจับเงินเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่ทอดพระเนตรเห็นทุกเดือน ก็คือตัวเลขในสมุดบัญชีประมาณยี่สิบเล่ม และตัวเลขแต่ละแถวในสมุดก็ไม่ได้เล็กน้อยอย่างนี้
“ครบไหมพระเจ้าค่ะ” คนทูลถามทำหน้าเหมือนลุ้นสลากรางวัลใหญ่
“อืม ครบ” เจ้าชายหกแย้มพระสรวลละมุน
“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมทูลลาพระเจ้าค่ะ” ตั้งแต่เดินเข้ามา องครักษ์หนุ่มเพิ่งทำสีหน้าผ่อนคลายให้เห็น เจ้าของห้องไม่ทรงปรารถนาจะทำให้เขากลับไปเคร่งเครียดเหมือนเดิม แต่ก็อยากจะรับสั่งบอกอยู่ดี
“ฟีเรียส” พระสุรเสียงค่อนข้างระมัดระวัง
“พระเจ้าค่ะ”
“เจ้าอาจจะตั้งใจไว้อย่างหนึ่ง แต่ว่าไม่ต้องถึงกับตั้งกฎเกณฑ์ให้ตัวเองอย่างเคร่งครัดมากเกินไปก็ได้ เผื่อบางเดือนมีรายจ่ายจำเป็นเพิ่มขึ้นมา เจ้าก็อาจจะคืนข้าน้อยหน่อย และไม่ต้องคอยอธิบายกับข้าทุกครั้ง ว่าทำไมจำนวนเงินถึงไม่เท่าเดิม”
เวลาพูดเรื่องเงินกับฟีเรียส พระองค์ทรงกลัวอยู่อย่างเดียว คือกลัวว่าเขาจะคิดว่าพระองค์ทรงดูถูก
“...พระเจ้าค่ะ”
ไอ้พระเจ้าค่ะของเขานี่มันหมายความว่ายังไงกันล่ะ บางทีพระองค์ก็ทรงเดาความรู้สึกจากสีหน้าของเขาไม่ได้
“ฝ่าบาท”
เจ้าชายหนุ่มทรงรอฟัง
“ทรงมีงานมาก เรื่องหนี้ของกระหม่อม จะโปรดให้กระหม่อมนำไปให้กับคุณธอมัส คุณเรจิน หรือคนอื่นที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัยแทนก็ได้พระเจ้าค่ะ”
อา...นี่เป็น...ประเด็นใหม่สินะ เอาเป็นว่าพระองค์จะไม่ทรงแย้ง จะได้ไม่ต้องเถียงกัน
“อืม”
อืม...แค่นี้ ไม่มีการรับสั่งบอกว่าจะให้เขาเอาไปจ่ายกับใคร แปลว่าอะไร หรือว่าจะทรงคิดดูก่อน ที่จริงไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้เวลาคิดนานเลยแท้ๆ แต่ก็ช่างเถอะ ฟีเรียสขยับปากจะทูลลาอีกหน
“กินกลางวันด้วยกันก่อนนะ”
องครักษ์หนุ่มอึกอัก เขารู้ว่าทุกคนในพระตำหนักรู้แล้วว่าเขากับเจ้าชายหกเป็นคนรักกัน แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่อยากทำอะไรที่ดูแปลกแยก แตกต่างจากองครักษ์คนอื่นๆ อยู่ดี
“...กระหม่อมคิดว่าจะไปกินที่โรงครัวพระเจ้าค่ะ” ทูลไปแล้วก็กังวล ทว่าเจ้าชายรามิเรสไม่ได้ทรงทำให้เขาลำบากใจเลย
“อย่างนั้นก็ตอนเย็น หนึ่งทุ่มที่ห้องเล็ก”
“พระเจ้าค่ะ”
ถ้าเป็นตอนเย็นเขาไม่มีปัญหา
ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่ฟีเรียสอยู่ในห้อง กำลังนั่งอ่านหนังสือที่เขาหยิบมาจากห้องหนังสือของเจ้าชายหกอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“ครับ” ถ้าไม่ใช่คุณธอมัส หรือคุณเรจิน ก็คงจะเป็นมหาดเล็กคนใดคนหนึ่ง
องครักษ์หนุ่มใช้ที่คั่นหนังสือคั่นหน้าเอาไว้ วางลงบนโต๊ะอย่างเบามือแล้วเดินไปเปิดประตู
“ฝ่าบาท”
“ขอเข้าไปได้ไหม”
“...พระเจ้าค่ะ”
เจ้าของห้องเปิดประตูออกกว้าง เบี่ยงตัวให้เจ้าของพระตำหนักเข้ามาได้สะดวก ก่อนจะปิดประตู
“ลงกลอนด้วย”
ชักจะ...น่าสงสัยเกินไปแล้ว แล้วหัวใจของเขานี่มันอะไร ทำไมต้องเต้นผิดปกติด้วย
ฟีเรียสลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะทำตามรับสั่ง คิดว่าบางทีเจ้าชายหกอาจจะรับสั่งอะไรที่เป็นความลับกับเขาก็เป็นได้ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเท่าหนังสืออ่านเล่นเล่มหนึ่งที่ทรงถือมา
เพราะเคยถูกติเรื่องมารยาทที่เคร่งครัดเกินไปมาก่อน องครักษ์หนุ่มจึงเดินมานั่งลงตรงข้ามกับคนที่ประทับอยู่ก่อน โดยไม่พูดขอประทานพระอนุญาต และไม่ได้ค้อมศีรษะถวายความเคารพก่อนนั่งอย่างที่ควรจะทำ
...เวลาเราอยู่ด้วยกันตามลำพัง ข้าก็ไม่ใช่เจ้าชาย ส่วนเจ้าก็ไม่ใช่องครักษ์แล้ว...
ถึงจะเคยรับสั่งอย่างนั้น แต่พอมีพระประสงค์จะให้เขาทำอะไรตามพระทัยเมื่อไร ก็ทรงใช้สิทธิ์ของ ‘เจ้าชาย’ เสียทุกที
“ข้าให้”
คนเข้าเรื่องได้รวดเร็วทรงเลื่อนกล่องไม้เนื้อดีประทานให้ ฟีเรียสมองพระพักตร์อย่างสงสัย แล้วก็รับมา มันเป็นกล่องที่ใช้วิธีเลื่อนเปิดเหมือนลิ้นชัก ข้างในบุผ้ากำมะหยี่สีขาว ตรงกลางที่ลึกลงไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีสมุดเล่มหนึ่งวางอยู่ ข้างๆ กันเป็นที่ใส่ปากกาสีเงินด้ามสวย...ดูมีราคาแพง
ฟีเรียสมองพระพักตร์อีกรอบหนึ่ง ครั้นอีกฝ่ายทรงพยักพระพักตร์ให้ เขาจึงหยิบสมุดออกมาดู
เป็นสมุดเล่มขนาดเท่าฝ่ามือของเขา ปกแข็ง หุ้มด้วยผ้าสีม่วงสวยและลื่นมือ ตรงกลางฝังสัญลักษณ์สีเงินที่เกิดจากการเอาตัวอักษร ร. และ ฟ. มาผสมกันอย่างสวยงาม เมื่อเปิดหน้าแรก ดอกไม้ดอกหนึ่งก็ร่วงลงมา
เป็นดอกใยรักสีฟ้าที่สวยและสมบูรณ์มาก กลีบดอกที่ถูกทับจนเรียบดูเป็นรูปหัวใจอย่างชัดเจน
บนหัวกระดาษหน้าแรกที่อยู่ขวามือมีอักษร รฟ. ดุนนูนขึ้นมา ถัดลงมามีการลงบันทึกเอาไว้แล้ว บรรทัดแรกเป็นจำนวนเงินทั้งหมดที่เขาติดค้าง บรรทัดต่อมาเป็นวันที่ จำนวนเงินงวดแรกที่เขาใช้คืน และมีพระนามาภิไธยของเจ้าชายรามิเรสกำกับ
“เอาไว้จดบันทึก เวลาเจ้าเอาเงินมาให้ข้าก็เอาสมุดเล่มนี้มาด้วย เขียนวันที่กับจำนวนเงินมาได้เลย ข้านับดูว่าครบแล้วจะเซ็นชื่อไว้ให้เป็นหลักฐาน แบบนี้เจ้าจะได้ไม่ลืม” แย้มพระสรวลนิดหนึ่งจึงรับสั่งต่อ “ข้าจะได้โกงเจ้าไม่ได้ด้วย”
องครักษ์หนุ่มมองสบสายพระเนตร เขาพอจะรู้ว่าหนี้สินของเขาเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยมากสำหรับคนที่รวยมากอย่างเจ้าชายรามิเรส คนอย่างพระองค์คงไม่เห็นว่าเรื่องแค่นี้เป็นเรื่องสำคัญ
เพราะอย่างนั้น พอพระองค์ให้ของอย่างนี้กับเขา รับสั่งแบบนี้กับเขา เขาก็เลย...
“ของข้าก็มีเหมือนกันเล่มหนึ่ง จะได้จดเอาไว้ดูว่าเจ้ายังติดหนี้ข้าอีกเท่าไร แต่ของข้าเป็นสีเขียว เพราะข้าเกิดวันพุธ”
ฟีเรียสพูดอะไรไม่ออก คนประทับตรงข้ามจึงตรัสถาม
“ชอบไหม”
“...พระเจ้าค่ะ”
“ชอบอะไร ชอบสมุด หรือว่า...ชอบข้า”
ให้ตายสิเจ้าชายพระองค์นี้ เขากำลังตื้นตัน อยากจะขอบพระทัยสักประโยค แต่พอเจอรับสั่งถามอย่างนี้เข้าทำเอาอารมณ์เขาเปลี่ยนทันที
“ก็...”
องครักษ์หนุ่มเว้นวรรคนาน เจ้าชายหกจึงทรงเลิกพระขนงขึ้นนิดๆ เป็นเชิงเร่ง
“ก็ทั้งสองอย่างพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหกแห่งไม่ซีนบอกพระองค์เองว่า พระองค์โปรดสีหน้าแบบนี้ของอีกฝ่ายเหลือเกิน ดูอิหลักอิเหลื่อ ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง เขินอาย แต่พยายามจะทำเป็นไม่รู้สึกอะไร จะว่าไป ก่อนจะได้เป็นคนรักกัน ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนที่ทำอะไรก็จริงจังไปเสียทุกเรื่องจะทำหน้าแบบนี้เป็น
“เล่มของข้า เจ้าต้องเป็นคนเซ็นชื่อเวลาคืนเงิน แต่ว่าข้าไม่ได้เอาลงมาด้วย เจ้าจะไปเซ็นเลยไหม”
“แล้วแต่จะโปรดพระเจ้าค่ะ”
“งั้นก็ไปที่ห้องข้าเลย เจ้าจะได้เห็นใยรักด้วย มันร่วงเกือบจะหมดต้นแล้ว”
“...”
“อ้าว ไม่ลุกหรือ”
“กระหม่อมคิดว่า เอาไว้วันหลังก็ได้พระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายรามิเรสทรงพระสรวล แล้วก็ประทับลงดังเดิม
หนึ่งเจ้าชายกับหนึ่งองครักษ์สนทนากันด้วยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าคนรักอยู่ในอารมณ์ที่ดี เจ้าชายเจ้ากรมสรรพาวุธก็ทรงเท้าความหลัง
“ข้าอยากถามอะไรเจ้าสักอย่าง”
ฟีเรียสตั้งใจฟัง เมื่อเห็นว่าสีพระพักตร์ของอีกฝ่ายดูจริงจังขึ้น
“คืนนั้น ที่บ้านท่านทีมัส” ทรงหมายถึงผู้อำนวยการโรงเรียนองครักษ์ “ข้าทำให้เจ้าเจ็บมากไหม”
คนถูกถามลำบากใจขึ้นมาทันที เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องคืนนั้นนัก แต่เมื่อเห็นพระพักตร์ที่ดูกังวลระคนห่วงใย เขาก็ทูลตอบไปตามตรง
“กระหม่อมไม่สบายอยู่สามวัน”
เจ้าชายหกดูจะทรงรู้สึกผิดมาก
“ฟีเรียส”
“พระเจ้าค่ะ”
“...”
“...”
.
.
.
.
.
“คืนนี้ ข้าขอแก้ตัวเรื่องคืนนั้นได้ไหม”
*******************************************
มีคนถามเรื่องรวมเรื่องสั้นมา หาไม่เจอเหมือนกันค่ะ แม้จะใช้ google หาแล้วก็ตาม
แต่ไม่ได้ลบนะคะ ไม่รู้หายไปไหน
ถ้าสะดวกอ่านเป็น e-book ก็แนะนำให้โหลดมาเก็บไว้นะคะ
โหลดฟรี ตาม link นี้เลยค่ะ
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=16564