ร้านน้ำชากาแฟของอาแปะคิวยาวเป็นหางว่าว คนึงสั่งไว้แล้วเดินมาดูแผงขายปลาตะเพียนใบลานที่อยู่ไม่ห่างกันนัก หันไปมองทางลูกศิษย์ที่ยืนรออยู่ไกลๆ ก็เห็นหยุดแวะแผงขายน้ำหอมเสียแล้ว
“หอมสนิทติดทนนาน ทาพี่หอมน้อง ทาน้องหอมพี่ ทาผัวหอมเมีย ทาเมียหอมผัว เชิญเลือกดมได้ ดมสักนิดจะติดใจเชิญเลยๆ”
เสียงคนขายป่าวประกาศดังลั่น ยื่นสำลีชุบน้ำหอมให้คุณชายดมก้อนแล้วก่อนเล่า
อาจารย์หนุ่มคลี่ยิ้ม ก่อนหันมาสนใจปลาตะเพียนหลากสีตรงหน้า ทั้งที่แขวนห้อยระย้าและที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ มือใหญ่หยิบเลือกตัวนั้นตัวนี้
“ซื้อเอาไปให้ลูกเรอะครู” หญิงชราถามยิ้มๆ ในมือเหี่ยวย่นยังสานค้างไว้ตัวหนึ่ง
ชายหนุ่มหัวเราะหึ “ผมยังไม่มีลูก” ดวงตาคมหันมองร่างโปร่งบางที่ยืนดมน้ำหอมไกลๆ ดวงตาเป็นประกายยามเอ่ยถึง “ซื้อไปให้เด็ก จะได้ไม่ดื้อไม่ซน ว่านอนสอนง่าย โตเร็วๆ”
“อ้อ” แม่เฒ่าช่วยเลือก มือเหี่ยวย่นหยิบพวงตะเพียนสานยาวระย้าขึ้นชูให้ดู “นี่ไง..แม่ตะเพียนลูกสิบสอง ใหญ่ดีนะ หรือไม่ก็นี่..ลูกหก กำลังดี”
คนึงก้มหน้าซ่อนยิ้ม โหนกแก้มอุ่นวาบจนขึ้นสียามเอ่ย
“ขอเป็นตัวผู้ได้ไหมครับยาย”
************************
เลอมานเดินเตร่อยู่แถวซุ้มยิงปืน กำลังมองตุ๊กตาหลากสีเรียงรายบนชั้น เด็กผู้ชายไปจนถึงหนุ่มๆ พากันมาประลองความแม่นยำ พลาดบ้างโดนบ้าง และพอมีใครยิงไปถูกเป้า ตุ๊กตานางฟ้าในตู้กระจกบนสุดก็จะหมุนเต้นระบำ ไฟสว่างวิบวับ คลอเสียงเพลงสดใส
“อยากลองไหม” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น คุณชายถึงกับสะดุ้ง หันขวับไปเห็นร่างสูงใหญ่ยืนชิดใกล้เสียจนเห็นเงาตัวเองในแววตาคมเข้ม
“นายลอย” เด็กหนุ่มสูงศักดิ์เอ่ยทัก หากก็ถอยห่างออกมาก้าวหนึ่ง
ลอยมองกริยาไว้ตัวเช่นนั้นด้วยแววตาเรียบนิ่ง ดั่งมหาสมุทรสุดลึกล้น คณนา
ร่างกำยำเดินไปหยิบปืนยาวขึ้นประทับบ่า สอดนิ้วในโกร่งไก ดวงตาคมดุจเหยี่ยวหรี่เล็งเป้าหมายตรงหน้า ทุกลีลาดูช่ำชอง ดั่งคนที่คุ้นเคยกับปืนดี
เลอมานได้แต่มองอย่างทึ่งยามกระสุนจุกน้ำปลาพุ่งกระทบตุ๊กตาล้มแม่นยำเหมือนจับวาง ใบหน้าคมสันหันมายิ้มยักคิ้วให้ มีการเป่าปลายปืนโชว์ด้วยท่วงท่าราวพระเอกหนังจิงโก้จังโก้
“แม่นนี่” คุณชายชมเปาะ ตบมือให้อย่างชื่นชม ยื่นมือไปรับปืนที่มือใหญ่ส่งให้ลอง
“ฉันยิงไม่ค่อยแม่นหรอกนะ” เขาถ่อมตัวไว้ก่อน ถึงจะไม่ใช่คนยิงปืนเก่ง แต่ก็เคยยิงเล่นมาบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย หนังคาวบอยก็เคยดูออกบ่อย
เพียงประทับปืนลงบนบ่า ร่างใหญ่หนาก็ประชิดจากด้านหลัง เอื้อมมือมาทำท่าจะจับมือเขายิง เลอมานรีบเบี่ยงตัวหนีจากอ้อมกอดกลายๆ นั้นทันที “ไม่เป็นไร ฉันยิงเองได้”
ลอยยอมถอยออกมา แต่เพียงแวบเดียวที่เข้าใกล้ กลิ่นหอมหวานจากร่างเล็กกว่าก็โชยรื่นกระทบจมูก หมายมั่นเหลือเกินที่จะได้ลิ้มชิมสักครั้ง
พรานหรี่ตามอง เนื้อทรายจอมเย่อหยิ่ง ไว้ตัว.. หวงเนื้อหวงตัว..
ไม่เห็นเหมือนตอนพาไปเที่ยวโรงบิลเลียด ไม่เห็นเหมือนตอนที่เขากับสิงห์พายเรือไปพบยืนตัวสั่นอยู่ริมคลอง
เนื้อเคยชิดเนื้อ.. หากวันนี้ไยเหินห่างนัก..
อ้อ.. ไอ้ลอยนึกขึ้นได้
วันโน้นคุณชายเมา ส่วนวันนั้นก็แทบไม่มีสติ
เมา.. ไม่มีสติ..
....................................
..................
คุณชายยิงแม่นไม่เบา ได้รางวัลเป็นตุ๊กตานางฟ้ามีปีก สวมมงกุฎ กระโปรงสีชมพูติดดิ้นวูบวาบ ตอนแรกเขาตั้งท่าไม่รับท่าเดียว แต่จู่ๆ ก็นึกถึงแววตาใสซื่อของเด็กหญิงตัวน้อยที่แผงขนมของจ้อยขึ้นมาได้ จึงยอมรับมาแต่โดยดี หมายมาดว่าจะเอาไปเป็นของฝากให้แม่หนูตากลมคนนั้น
“เออนี่ นายลอย” เลอมานโพล่งอย่างนึกขึ้นได้ “ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ เนื้อคู่คืออะไรหรือ”
“เนื้อคู่..” ใบหน้าคมสันทำท่านิ่งคิด “เนื้อคู่..ก็คือ.. คนสองคนที่เกิดมาคู่กัน รักกัน ร่วมชีวิตด้วยกัน เอาง่ายๆ.. เป็นผัวเมียกัน”
“งั้นหรือ..” เขาพูดไม่ออก หน้าร้อนผะผ่าว จำไม่ได้ว่าเสียงตะกุกตะกักไหมยามถาม “แล้ว..ม้ายล่ะ”
“หือ?” คิ้วหนาขมวดมุ่น “ม้าย.. ต้นไม้น่ะเรอะ”
“หอ มอ อา ยอ หมาย หมายไม้โทม้าย” เขาสะกดให้ฟัง
“อ๋อ หม้าย” นายลอยแก้ให้ “หม้ายคือ.. คนที่คู่ของตัวเองเพิ่งเลิกราไป หรือตายจากไป ถ้าเป็นผู้หญิงก็เรียกแม่หม้าย เป็นผู้ชายก็เรียกพ่อหม้าย”
ถามเนื้อคู่ คู่เป็นหม้าย ไม่ไกลนัก.. กระจ่างชัดแล้วในความหมาย ราวดอกไม้เบ่งบานอยู่ในอก
“ถามทำไม” ดวงตาคมดำหรี่ตามองวงหน้าอ่อนเยาว์ ยามแย้มยิ้ม.. น่าดู แก้มขาวขึ้นสีเรื่อ น่าหอม.. ริมฝีปากแดง..น่าจูบ..
“อ้อ..เซียมซีน่ะ” คุณชายทำมือไม้เขย่าประกอบ ลอยมองมือขาวแล้วจินตนาการไปไกล.. ถ้าสิ่งที่อยู่ในมือนั้น..เป็นอย่างอื่น ที่มีขนาดใกล้เคียงกับกระบอกเซียมซี
“แม่นนะ เซียมซีวัดนี้ ผมก็เพิ่งไปเสี่ยงมา ได้ใบที่หก” เสียงทุ้มต่ำแหบพร่า สายตาจับจ้องอยู่ที่ปากแดง “ถามถึงคู่ร่วมเรียงเคียงเขนย จะได้เชยชื่นชมสมประสงค์”
“แปลว่าอะไรหรือ”
“หมายปองใครไว้ ก็จะได้เชยชมสมใจ” สายตาลดต่ำลงไปยังลำคอขาว มีเกล็ดทองเปลวติดอยู่บนไหปลาร้า ชายหนุ่มหักห้ามใจที่จะไม่เอื้อมมือไปลูบออกให้
“อ้อ”
ร่างสูงใหญ่ลอบกลืนน้ำลายลงคอ “อย่าลืมเอาไปอวดอาจารย์ล่ะ” เขากล่าวทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนหันหลังเดินจากไป
คุณชายยิ้มให้ตุ๊กตานางฟ้าอีกที
เดี๋ยวพออาจารย์กลับมา เห็นทีจะต้องอวดเสียหน่อยแล้ว
...........................
คนึงเดินยิ้มกลับมาที่ร้านกาแฟ ในกระเป๋ากางเกงมีปลาตะเพียนสานตัวเท่าฝ่ามือเด็กสองตัวนอนสงบนิ่ง ยิ่งนึกถึงคำพูดที่แม่เฒ่าพูดยิ่งอารมณ์ดี
“ซื้อไปสองตัวสิครู มันจะได้ไม่เหงา”
“งั้น.. ผมขอตัวผู้อีกตัวละกัน”
“สีแดงกับน้ำเงินเรอะ เดี๋ยวก็ได้ตีกันตาย”
“งั้นเปลี่ยนเป็นน้ำเงินกับเหลืองก็ได้ครับ” เขาจะยื่นเจ้าตะเพียนน้อยให้กับมือเลยดี หรือว่าจะแอบเอาไปผูกไว้ที่หน้าต่างข้างเตียงเลอมานดี เจ้าเด็กดื้อจะทำหน้าแบบไหนตอนได้รับของขวัญจากเขา แก้มขาวนั้นคงแดงก่ำ เขาจะเป็นตัวสีน้ำเงิน แล้วเลอมานเป็นตัวสีเหลืองดีไหมหนอ..
“อาจารย์!”
เสียงจ้อยตะโกนเรียกเขาดังลั่น คนึงหันขวับไปทางต้นเสียงทันที เห็นลูกศิษย์ตัวเล็กวิ่งฝ่ากลุ่มคนตรงมาหา ท่าทางเหมือนวิ่งหนีใครมา
“อาจารย์ช่วยผมด้วย!”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้จ้อย!”
คำตอบตัวโตวิ่งตามมาติดๆ ชาวบ้านต่างพากันหลบหลีกวี้ดว้าย จ้อยสะดุดหกล้มคางปักพื้นตรงหน้าร้านอาแปะ คนึงรีบวิ่งตรงเข้าไปช่วยลูกศิษย์ทันที แต่ยังช้ากว่าลูกชายกำนันที่ตรงเข้ากระชากแขนผอมบางให้ลุกขึ้น
อาจารย์หนุ่มจึงได้รับรู้ว่านอกจากคางแล้ว จ้อยยังได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า มันแตกถลอกเลือดแดงซึมตัดกับผิวขาวจัด ผู้คนรายล้อมพากันฮือฮา
ทว่าไม่มีใครสังเกตเห็นแววตานักเลงโตสลดวูบ
“เอ็งจะวิ่งหนีทำไม คิดว่าข้าจะทำอะไรเอ็ง!” เสียงห้าวตะคอกลั่นใส่คนตัวเล็กที่พยายามดิ้นรนหนี มือใหญ่เพิ่มแรงบีบจนจ้อยหน้าเบ้ “มาพูดกันให้รู้เรื่อง!”
“หยุดเดี๋ยวนี้!” คนึงเข้าแทรกระหว่างทั้งสอง ร่างสูงใหญ่ทัดเทียมกันดึงแขนเล็กออกจากมืออันธพาล ดวงตาคมกร้าวมองสิงห์อย่างเอาเรื่อง “มีเรื่องอะไรกัน!”
สิงห์กัดฟันกรอดเมื่อเห็นจ้อยอาศัยหลังอาจารย์เป็นที่พึ่งพิง ทีกับข้าล่ะวิ่งหนีจะเป็นจะตาย แต่พอมันมาถึงกับซุกหลังมันเลยเรอะวะไอ้จ้อย!
“มึงไม่ต้องเสือก!” ความโกรธปะทุในอกเหมือนไฟโหม โทสะบันดาลให้คนขาดสติคลุ้มคลั่งไร้เหตุผลและสามัญสำนึกเสมอ แรงหึงหวงปิดตาสิงห์จนมืดบอดไม่รู้ดีชั่วอีกต่อไป
ผลั่วะ!!กำปั้นลุ่นๆ ซัดเปรี้ยงเข้าให้ที่ใบหน้าอาจารย์อย่างแรงจนเซ ผู้คนรอบข้างพากันวี้ดว้าย คนึงได้แต่กัดฟันข่ม หลังมือป้ายมุมปากที่แตกซิบจนได้รสเลือด
ถ้าไอ้นักเลงหมายจะประลองกำปั้นกับอาจารย์ มันคงต้องผิดหวัง เขาไม่มีวันลดตัวลงไปแลกหมัดกับอันธพาลให้เสียเกียรติ
“ได้ชกครูแล้วพอใจหรือยัง” คนึงยังคุมสติได้ดีเยี่ยม ในขณะอีกคนยังคำรามฮึ่มฮ่ำในคอเหมือนหมาบ้า “ถ้าพอใจแล้ว..ก็ปล่อยจ้อยเถอะนายสิงห์”
“กูบอกว่าอย่าเสือก!” นักเลงเลือดร้อนกำหมัดแน่น โถมเข้าใส่อาจารย์อีกครั้ง หากยังช้ากว่าจ้อย มือเล็กคว้าขวดน้ำอัดลมเปล่าบนโต๊ะไม้ของอาแปะ ฟาดเปรี้ยงใส่คนบ้าดีเดือด
เปรี้ยง!!ราวโลกหยุดหมุน ทุกสรรพเสียงรอบข้างเงียบกริบ ทุกคนต่างตะลึงอย่างคาดไม่ถึง หากความตกใจนั้นยังไม่ได้แม้เศษเสี้ยวของคนที่ถูกตี
เลือดแดงฉานปรี่ออกจากปลายคิ้วเข้ม!
“เอ็งตีข้า” ฝ่ามือใหญ่ปาดหยดเหนียวที่ไหลริน กลิ่นคาวข้นปนกลิ่นธูปเทียนจากพระอุโบสถ จ้อยตาวาวโรจน์ ตัวสั่น ในมือยังถือขวดแก้วที่แตกเป็นปากฉลาม
“ไอ้ชาติชั่ว! ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
“ข้าแค่..”
สิงห์พูดไม่ออก..
เขาไม่เคยอยากทำให้ใครเจ็บหรือเสียใจ แต่ทำไมเขาถึงได้ทำในสิ่งที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาแค่อยากมีชีวิตสงบ เรียบง่าย มีรัก ได้รัก ได้เป็นที่รักของใครสักคนที่จะไม่มีวันทำร้ายกัน
นักเลงโตกำนาฬิกาข้อมือในมืออีกข้างแน่นจนแทบทะลุผ่านเนื้อ
ข้อมือจ้อยว่างโล่ง ไม่มีสิ่งใดประดับประดานอกจากสายสิญจน์เก่าๆ ในขณะที่นักเรียนครูคนอื่นเขามีนาฬิกาข้อมือใส่กันทั้งนั้น
อุตส่าห์วาดฝันไว้สวยหรู ว่าคืนนี้จะพาน้องเดินเที่ยวงาน จะไหว้พระด้วยกัน แล้วก็.. มอบนาฬิกาเรือนนี้ให้
ทุกอย่างกลับพังทลายไม่มีชิ้นดี!
“เอ็งตีข้า” ชายหนุ่มพูดซ้ำ แค่นหัวเราะคล้ายจะหยันตัวเอง
“ไอ้ระยำ! จะไปตายที่ไหนก็ไป!” จ้อยด่าไล่ส่งไม่ไยดี
ไอ้หมานไอ้เลิศเพิ่งวิ่งมาถึง สองลูกน้องอ้วนผอมเห็นลูกพี่เลือดอาบคิ้วก็ถกแขนเสื้อหมายมาดเข้าไปจัดการไอ้นักเรียนครูตัวการ หากลูกพี่กลับตะคอกลั่น “อย่า!”
“กลับโว้ย!” สิงห์สั่งเสียงห้วน ก่อนเขวี้ยงนาฬิกาในมือลงพื้นแล้วเตะเปรี้ยงเหมือนเศษขยะ จ้องตาจ้อยเขม็งก่อนหันหลังกลับ
เมื่อรักกันไม่ได้ก็ไม่รัก
ไม่เห็นจักเกรงการสถานไหน
ไม่รักกูกูก็จักไม่รักใคร..“แม่งเอ๊ย..” สิงห์สบถทั้งขอบตาร้อนผ่าว บาดแผลไม่ลึก แต่ที่เจ็บรุนแรงคือหัวใจก้อนเท่ากำปั้น
เอ๊ะ น้ำตากูไหลทำไมฤา?****************************
คนึงพาจ้อยไปหายายช้อยที่โรงลิเก หญิงชราตกใจเมื่อเห็นสภาพหลานรัก เนื้อตัวมอมแมม คางแตกเข่าแตก จากนั้นทั้งสามพากันไปหาเลอมานที่นั่งรออยู่นานแล้ว
คุณชายตั้งใจจะอวดตุ๊กตาที่ได้มาเสียหน่อยถึงกับพูดไม่ออก อาจารย์ก็ปากแตกเหมือนไปแลกหมัดกับใครมา ส่วนจ้อยก็บอบช้ำไปทั้งตัว
“เดี๋ยวครูจะไปส่งจ้อยกับยาย” คนึงห่วงจ้อยนัก เพิ่งมีเรื่องกับพวกนักเลงแบบนี้ กลัวมันจะดักทำร้ายเอาระหว่างทาง “เล็กรอครูอยู่ที่นี่ได้ไหม”
เลอมานก็ห่วงจ้อยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า เขาพยักหน้ารับทันที “อาจารย์ไม่ต้องห่วง” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม “ผมบอกแล้วไงว่ารอได้.. รอได้เสมอ”
กับคนตรงหน้านี้.. ใช่ว่าคนึงจะไม่ห่วง..
ห่วงแสนห่วง.. แทบไม่อยากปล่อยให้คลาดสายตา แต่ติดที่ว่าเรือยายช้อยนั่งได้แค่สามคน
คนึงนึกอยากคว้าร่างเล็กมากอดนัก แต่เขาทำได้เพียงลูบศีรษะทุยสวยอย่างแผ่วเบา
“รอครูอยู่นี่นะ แล้วครูจะรีบกลับมารับ” ดวงตาคมเข้มอ่อนแสงลง กำชับหนักแน่น “ห้ามกลับคนเดียวเด็ดขาด คนแปลกหน้ามาชวนไปไหนก็อย่าไป รู้ไหม”
เลอมานหัวเราะ อาจารย์พูดเหมือนเขาเป็นเด็กไปได้ ดวงตาสีน้ำตาลใสได้แต่มองส่งทั้งสามจนลับสายตา
คุณชายไม่กล้าไปไหนไกล กลัวอาจารย์กลับมารับแล้วจะไม่เห็น ได้แต่นั่งรออยู่แถวโรงลิเกอย่างที่อาจารย์สั่ง นึกในใจว่าคนึงแค่พายเรือไปส่งยายช้อยที่บ้าน แล้วก็พายไปส่งจ้อยที่โรงเรียน หลังจากนั้นถึงค่อยกลับมารับเขา คงใช้เวลาไม่นาน
หารู้ไม่.. จากคลองสระบัว ทะลุคลองเมืองลัดเข้าคลองท่อเป็นการพายเรือทวนกระแสน้ำ แม้คนึงและจ้อยจะช่วยกันพายสุดแรงจนล้า หากกระแสลมและน้ำที่พัดทวนมาก็กินแรงและกินเวลานัก
บุตรชายท่านทูตนั่งดูลิเกจนปิดโรง ผู้คนทยอยกันกลับจนเริ่มบางตา เหลือเขานั่งอยู่ท่ามกลางเศษใบตอง เศษกระดาษใส่ของกินที่ถูกทิ้งไว้กลาดเกลื่อน ก็ยังไม่เห็นแม้เงาของคนที่บอกว่าจะรีบกลับมารับ
สายลมพัดอู้จนเลอมานต้องห่อไหล่ แหงนมองฟ้าไม่เห็นพระจันทร์เพราะถูกเมฆบดบังเสียมิด กลิ่นฝนโชยมากับลมจนพ่อค้าแม่ขายพากันเก็บข้าวของ แสงไฟสว่างไสวค่อยๆ ดับลงทีละดวงๆ เลอมานยิ่งเหลียวซ้ายแลขวามองหาอาจารย์ อดยอมรับไม่ได้ว่าเขาเริ่มใจเสีย
ฝนโปรยสายลงมาดังคาด แม้ไม่แรงนักแต่ก็หนาวสะท้าน เด็กหนุ่มไปนั่งหลบฝนบนเวทีลิเกที่เก็บข้าวของ ดับไฟมืด บรรยากาศเงียบสงัดเปลี่ยนไปจากแสงสีตระการผู้คนเฮฮาเมื่อครู่ราวพลิกฝ่ามือ
นั่งตรงนี้แม้มีหลังคาคุ้มหัว แต่ฝนเปาะแปะก็ยังสาดมาต้องกาย ในมือยังถือตุ๊กตานางฟ้าไม่ปล่อย
หารู้ตัวไม่ ในมุมมืด.. พรานยังคงจับจ้อง เนื้อทรายน้อยพลัดฝูง ถูกทิ้งไว้เดียวดายในป่าเปลี่ยว
จนกระทั่งมีเงาร่มคันใหญ่ยื่นมาบังฝนให้ เลอมานชะงัก เงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าคมคร้าม ดวงตาแวววามจ้องมองมา
“นายลอย!” เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ดีใจราวกับเด็กหลงทางเจอคนรู้จัก
“ผมไปส่งที่โรงเรียนให้เอาไหม” เสียงทุ้มห้าวชักชวน ในแววตาดำดิ่งจับจ้องไม่วางตา
คุณชายนิ่งคิดชั่วอึดใจ ก่อนส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ล่ะ เดี๋ยวอาจารย์มาแล้วไม่เจอ”
ลอยหัวเราะหึ “ผมเอารถเครื่องมา แป๊บเดียวก็ถึงโรงเรียน เผลอๆ ถึงก่อนอาจารย์คนึงจะออกมาอีก” ร่างสูงใหญ่ถือวิสาสะนั่งลงเคียงข้าง พยายามโน้มน้าว แต่อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่ง
“อยู่ที่นี่คนเดียวไม่กลัวหรือ” ชายหนุ่มตัดสินใจใช้ไม้เด็ด ชะโงกหน้าไปใกล้ ลอบสูดกลิ่นหอมเข้าเต็มปอด กระซิบเสียงต่ำพร่า “วัดนี้ผีดุนะ”
คุณชายหันขวับมาจ้องตาโต เขยิบเข้ามาชิดร่างสูงใหญ่โดยอัตโนมัติ
......................................
เลอมานซุกหน้ากับแผ่นหลังกว้างหลบกระแสลมแรงและไอฝน ที่ตีเข้าหน้าจนแสบตาไปหมด จนกระทั่งรถจักรยานยนต์แล่นข้ามสะพานคลองเมือง เด็กหนุ่มจึงเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ
“นายลอย!” เขาเสียงดังแข่งกับสายลมกรูเกรียว “ทางไปโรงเรียนมันต้องเลี้ยวอีกทางไม่ใช่หรือ”
“นี่เป็นทางลัด” เสียงทุ้มห้าวตะโกนตอบกลับมา ใบหน้าคมสันเอี้ยวมามอง “สบายใจได้ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”
“อ้อ”
ลอยหันหน้ากลับไปมองทาง ดวงตาสีนิลวาววับ จุดรอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์แพรวพราย
ถึงแน่.. ไม่ต้องห่วง
ถึงอกถึงใจเลยเชียวล่ะ คุณชายเล็ก!
โปรดติดตามตอนต่อไป-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
* เพชฌฆาตใจ, ประดิษฐ์ อุตตะมัง คำร้อง, ชินกร ไกรลาส ขับร้อง
** กลบทพยัคฆ์ข้ามห้วย, กรมหมื่นไกรสรวิชิต
***สุจิตต์ วงษ์เทศ
ขอบคุณภาพประกอบจาก Chelsea www.2how.com ค่ะ