ครองภพได้ยินเรื่องที่ร่มธรรมตอบรับการเข้าร่วมแคสต์บทในโปรเจ็คใหม่ของผู้กำกับฉาย แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ที่เขารู้เพราะลุงปากโป้งของเขามาเล่าสู่กันฟังตอนแวะเอาของมาให้
องอาจคุยโวว่าเพราะทักษะการแสดงตีบทแตกกระตุ้นให้ร่มธรรมยอมรับงานใหม่ จากที่ว่าจะรับงานแสดงซีรี่ส์เป็นเรื่องสุดท้ายเลยตัดสินใจขยายเวลาออกไป ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่านอกจากเขาแล้ว องอาจก็พูดเช่นเดียวกัน
แต่...ใครจะพูดซ้ำกับใครก็ช่าง หรือร่มธรรมจะตัดสินใจอยู่ในวงการต่อก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา
ทั้งๆที่คิดเช่นนั้น แต่พอเจอร่มธรรมในอีกไม่กี่วันถัดมาที่กองถ่าย รายนั้นก็ส่งยิ้มจางทักทาย ครองภพเพียงแค่มองแล้วเฉยเหมือนทุกที แต่อีกฝ่ายดูไม่จะหยุดแต่เพียงเท่านั้น พอสบโอกาสอยู่กันเพียงลำพังในห้องแต่งตัว เสียงทุ้มนุ่มก็ดังขึ้นอีก
“น้องครอง...ขอบคุณนะ”
ตอนนั้นครองภพกำลังนั่งเล่นเกมโทรศัพท์มือถือจึงเงยหน้ามองอย่างงุนงงปนหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ แต่เจ้าของเสียงกลับยังยิ้มแล้ววางแก้วเก็บความเย็นลงตรงหน้า
“ขอบคุณที่เตือนสติพี่ นี่อเมริกาโน่เย็น เห็นไปทีไรก็สั่ง ก็เลยเอามาให้ ส่วนแก้วนี่เป็นของสมนาคุณของทางร้าน ปกติต้องเป็นลูกค้าเจ้าประจำถึงจะให้นะ แต่นี่...พี่ให้เป็นกรณีพิเศษ”
“เตือนสติอะไร” รายละเอียดประโยคหลังๆนั่น ครองภพไม่ฟังสักนิด
“ก็...เรื่องที่บอกว่าพี่ขี้ขลาด”
คนอายุน้อยกว่าชะงักไปเล็กน้อย อันที่จริงก็ไม่ได้คิดจะพูดจารุนแรงขนาดนั้น เพียงแต่หลุดปากเพราะหงุดหงิดที่เห็นคนที่รักในการแสดง มีความสามารถและตั้งใจจริงอย่างร่มธรรมจะออกจากวงการบันเทิง
ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว นี่จะเดินตามทางซ้ำรอยเดิมเป็นครั้งที่สอง ต่อให้ไม่ใช่คนขี้หงุดหงิดอย่างครองภพ เป็นใครก็ทนสงบปากสงบคำไม่ได้ทั้งนั้น
“พี่ขี้ขลาดจริงๆนั่นล่ะ แต่ไม่เคยมีใครพูดตรงๆก็เลยไม่เคยยอมรับกับตัวเองเลย”
ร่มธรรมยอมรับความจริง เขาไม่กล้าแม้แต่จะคว้าสิ่งที่ตนเองต้องการมาไว้ในมือ ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงบอกให้รุ่งโรจน์รับรู้ว่าเขาต้องการอะไร ไม่กล้า...แม้แต่จะยืนหยัดในสิ่งที่ตนเองรัก
คำว่า ‘ขี้ขลาด’ อาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ
“ทั้งๆที่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่พี่กลับไม่กล้าสู้เพื่อให้ได้มันมา”
“แล้วตอนนี้สู้รึยัง” คำถามดังขึ้นจากข้างกาย ทำเอาคนอายุมากกว่าหันมอง
“ก็...ไปแคสต์งานใหม่แล้วนะ เรียกว่าสู้ได้ไหม” ร่มธรรมพูดแล้วหัวเราะ หน้าตาดูสดใสกว่าก่อนหน้านี้มากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแววไม่แน่ใจปรากฏ
ในยามที่ไม่ต้องสวมบทบาท ครองภพไม่ใช่คนแสดงอารมณ์เก่ง แต่เขากลับเก่งที่จะอ่านความรู้สึกคนอื่น ดังนั้นในหลายๆครั้งจึงทำตัวเฉยชาไปเสีย จะได้ไม่ต้องรับรู้ว่าใครรู้สึกต่อเขาเช่นไร แต่...สำหรับร่มธรรม ไม่เพียงครองภพจะยอมอ่านความรู้สึกที่ปรากฏร่องรอยเพียงเล็กน้อยในแววตาและสีหน้า แต่ยังตั้งคำถามจากสิ่งที่รับรู้ด้วย
“แล้วมีอะไรที่ยังไม่ได้สู้มั้ย”
ร่มธรรมนิ่งไปอึดใจหนึ่ง รอยยิ้มจางหาย แม้จะตัดสินใจแล้วที่จะเดินหน้าในเส้นทางสายนี้ แต่เรื่องรุ่งโรจน์ก็ยังเป็นประเด็นที่เขารีรอ ร่มธรรมยังสร้างความกล้าให้ตนเองเข้าไปพบพี่ชายคนรองเพื่อบอกความต้องการที่แท้จริงไม่ได้เลย
“อ่า...พี่ชายของพี่...เขาไม่อยากให้พี่เป็นนักแสดงน่ะ ก็เลย...”
“คุณรู้ไหม ว่าทำไมพ่อกับแม่ไม่เคยห้ามผมเลย ไม่ว่าผมจะทำอะไร”
จู่ๆ คนไม่ค่อยพูดก็ตั้งคำถามขึ้นมาอีก ร่มธรรมหันไปมอง ก่อนจะส่ายหน้า
“เพราะพ่อผมเสียไปตั้งแต่ยังเด็กน่ะสิ”
คนฟังชะงักกึก กะพริบตาปริบๆ หากมีสติสักนิด เจ้าตัวคงเห็นแววขบขันของคนพูดหน้าตายที่ได้เห็นสีหน้าเด๋อด๋าของหนุ่มรุ่นพี่
“อ...เอ่อ...ขอโทษ...” ร่มธรรมมึนงงกับเหตุผลของคนตรงหน้า เลยพูดผิดพูดถูกบริบทไปหมด
“ขอโทษทำไม คุณไม่ได้ฆ่าพ่อผม”
ใครบอกว่าครองภพเป็นคนสงบปากสงบคำ ร่มธรรมขอเถียง เพราะเวลาคนพูดน้อยคิดจะพูดขึ้นมา เล่นเอาเก้อกันไปข้าง
“เอ่อ...อ่า...จริงด้วย...คือ...”
“แต่ต่อให้พ่อยังอยู่ ผมคิดว่าพ่อก็คงไม่ว่าอะไร ส่วนแม่...ถ้าผมอยากทำอะไร ไม่เคยห้าม”
“โชคดีจัง”
“เพราะผมแสดงให้เห็นเสมอว่าผมจริงจัง” ประโยคต่อมาของชายหนุ่มวัย 22 ทำเอาคนฟังหันมอง
“...ผมจริงจังกับทุกอย่างที่ผมทำ เพราะมันมาจากเรื่องที่ผมชอบ แม่ผมรู้เงื่อนไขนี้”
“...คุณเคยแสดงให้พี่ชายของคุณเห็นรึเปล่าว่าคุณจริงจังกับอาชีพนักแสดงมากแค่ไหน หรือพอเขาบอกว่าไม่ให้ทำ คุณก็เลิกทำ”
ร่มธรรมเป็นคนจริงจังกับงาน ทุกสิ่งที่ผ่านมือเขาล้วนถูกสรรสร้างขึ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่...เขากลับไม่มีแรงจริงจังในการงัดข้อกับรุ่งโรจน์เลย
ชายหนุ่มรุ่นพี่หันมองคนพูดอย่างคาดไม่ถึง ทั้งๆที่ครองภพอายุน้อยกว่าเขาถึง 6 ปี แต่อีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยความตั้งอกตั้งใจและพลังเต็มเปี่ยม ต่อให้เขาเป็นบุพการีของครองภพ หากเจ้าตัวออกปากว่าจะทำอะไร เขาก็คงไม่อยากขัดขวาง
เป็นคนที่ ‘ทำ’ ด้วยความตั้งใจ ‘ทำ’ อย่างจริงจัง และ ‘ทำ’ โดยมีความชอบเป็นฐานสำคัญ
พอคิดได้อย่างนั้น เขาก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว จนคนอายุน้อยกว่าขมวดคิ้ว
“ยิ้มอะไร”
“อ่า...รู้สึกว่าตัวเองโชคดี” ครองภพขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
“ก็...น้องครองบอกเมื่อกี้ว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ชอบ แล้ว...น้องครองก็ไม่ค่อยชอบพูด แต่ก็ยังดุพี่คราวก่อน แล้วครั้งนี้ก็ยังเตือนสติพี่อีก”
ครองภพขมวดคิ้วคิดตาม
...ทำในสิ่งที่ชอบ...สิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ชอบ...
...แต่ทั้งๆที่ไม่ชอบพูด กลับเตือนสติร่มธรรมถึงสองครั้ง…
ดวงตาเรียวเบิกโพลง เลือดลมในตัววิ่งพล่าน คอหูแดงก่ำ เมื่อตีความได้ว่าเจ้าคนอายุมากกว่าเชื่อมโยงไปเรื่อยเปื่อยทั้งๆที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด
“ผมไม่ได้ชอบที่จะเตือนสติคุณ!” เขาลุกพรวดพูดเสียงแข็งหน้าตาถมึงทึง ทว่าร่มธรรมกลับไม่ถือสา มองใบหน้าหล่อเหลาที่ขึ้นสีราวกับจะลุกเป็นไฟในอีกไม่กี่วินาที ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือโกรธกันแน่
“พี่ก็ไม่ได้บอกว่าน้องครองชอบที่จะเตือนพี่ พี่แค่บอกว่ารู้สึกว่าตัวเองโชคดี” ร่มธรรมพลิกลิ้น ทั้งๆที่ความจริงแล้วเขาหยอกอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ แต่เห็นท่าทางขู่ฟ่อแล้วนึกเอ็นดู จะสงสารไม่ให้หน้าแดงหูแดงมากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้
ครองภพมองอีกฝ่ายอย่างเข่นเขี้ยว แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าสะบัดหน้าหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง แต่ไม่วายถูกเรียกไว้อีก
“น้องครอง อเมริกาโน่ล่ะ”
“ผมไม่รับ!”
“แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ” เสียงของร่มธรรมดังไล่หลัง แต่ครองภพไม่คิดหันกลับไปแล้ว
ทว่า...ตอนขึ้นรถกลับคอนโดในวันนั้น อเมริกาโน่จากร้าน ร.รอ ก็ถูกผู้จัดการส่วนตัวของครองภพหิ้วติดมือมาด้วย แถมยังบอกด้วยว่าคนฝากมาบอกว่ายกให้ทั้งแก้วเก็บความเย็นเลย
“พี่ณุเอาไปให้หมดนั่นล่ะ!” คนไม่ค่อยแสดงอารมณ์กลับทำหน้าหงุดหงิดเต็มประดาจนวิษณุยังงุนงง
“แก้วก็ไม่เอาเหรอ”
“ไม่เอา!”
“ร้าน ร.รอ นะ”
“ผมบอกว่าไม่เอา!”
“คุณร่มพูดไว้ไม่ผิดเลย”
คราวนี้คนหงุดหงิดหันกลับมามอง “เขาพูดว่าไง”
“เขาบอกว่ายังไงครองก็ไม่เอา แต่ถ้าครองไม่เอาก็ให้พี่บอกครองว่าแทนค่านายหน้าที่ทำให้คุณร่มรับงานใหม่ ว่าแต่...สรุปคุณร่มแกจะกลับเข้าวงการเต็มตัวแล้วเหรอ พี่ไม่รู้เลยนะเนี่ย”
“ผมก็ไม่รู้!” ครองภพกระแทกเสียงอย่างไม่อยากจะเสวนาเรื่องของคนที่ชื่อร่มธรรมอีก แต่เมื่อรถจอดที่หน้าคอนโดของเขา วิษณุยัดแก้วใส่มือพร้อมกำชับว่าพรุ่งนี้จะมารับตามเวลาที่นัดไว้ ชายหนุ่มไม่ได้เขวี้ยงแก้วทิ้งไป แต่ยอมเดินถือกลับขึ้นห้องของตนเองด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
ไม่รู้ว่าบูดใคร แต่วิษณุคิดว่าไม่ได้บูดตนแน่ หรืออาจจะบูดร่มธรรม
บูดอะไรก็ตามเถอะ ขออย่าให้บูดตกค้างติดตัวไปทำงานวันพรุ่งนี้เลย พระเอกดังตกงานตอนอายุเพิ่งจะ 22 จะกลายเป็นข่าวดังยิ่งกว่าสมัยร่มธรรมลาออกจากวงการบันเทิงตอนอายุเท่ากันซะอีกนะ!
........................
ร่มธรรมรู้ว่าเวลาไม่เคยคอยใคร
หลังจากไปแคสต์บทในซีรี่ส์เรื่องใหม่ของผู้กำกับฉายแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่รอให้ทางนั้นตอบรับ เขารู้ตัวดีว่าต่อให้ผู้กำกับฉายจะปฏิเสธเขา แต่ความต้องการของเขาอยู่ที่เส้นทางสายนี้ เขาบอกรินฤดีแล้วว่าถ้ามีงานใดเสนอมา ให้รับทุกบท อย่างน้อยได้ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อพาตนเองกลับเข้ามาในวงการที่อยากทำ ก็ดีกว่าปล่อยมันให้หลุดลอยออกจากมือ
แต่...เพราะรุ่งโรจน์เป็นคนสำคัญในชีวิต แม้จะรู้ดีว่าทางที่ตนเลือกย่อมทำให้พี่ชายผิดหวัง แต่เขาก็ไม่อาจปิดบังได้อีก ชายหนุ่มตัดสินใจนัดทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาพี่น้อง และเขาเป็นคนเริ่มพูดทุกอย่างเอง
“พี่โรจน์ ผมมีเรื่องจะขอ”
รุ่งโรจน์รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ เห็นสีหน้าท่าทางจริงจังของน้องชายคนเล็กแล้วก็ใจหายวาบ ทว่าพอจะอ้าปากแย้งไม่ให้พูดสิ่งใด ใบหน้าหล่อเหลาของร่มธรรมกลับเต็มไปด้วยความตั้งอกตั้งใจและจริงจัง
...จริงจังเสียจน...เสียงของคนเป็นพี่ไม่อาจเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก
“ผมอยากเป็นนักแสดง”
“เราคุยเรื่องนี้กันแล้ว!” นายตำรวจหนุ่มท้วงเสียงเข้ม
“ใช่...พี่เคยขอผมมาแล้ว ตอนนั้นผมยอมออกจากวงการเพื่อมาดูธุรกิจของพ่อ จนตอนนี้ธุรกิจก็อยู่ตัวแล้ว มันผ่านมาแล้ว 6 ปี วันนี้ผมได้กลับไปเล่นละครอีกครั้ง ความรู้สึกของผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม...ผมรักการแสดง ผมอยากเล่นละคร”
พี่ชายคนรองนิ่งงัน ด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินน้องชายพูดคำนี้
“ให้ผมทำงานในวงการต่อไปได้ไหม”
แม้ปากจะอยากแย้ง แต่สีหน้าจริงจังและความรู้สึกที่ร่มธรรมแสดงออก บอกให้รู้ว่าไม่อาจทัดทานสิ่งใดได้อีกแล้ว
ร่มธรรมโตแล้ว เขามีชีวิตของเขา และเวลานี้...เขาเลือกแล้ว
เขาเลือกที่จะกลับเข้าไปสู่เส้นทางที่เขาต้องการ
…การเป็นนักแสดง...
รุ่งโรจน์หลับตาลง ถอนหายใจยาว
วงล้อโชคชะตา...กำลังหมุน
ทัดทานไม่ได้อีกแล้ว
………………….
นับจากนั้น ร่มธรรมกลับเข้าสู่วงการบันเทิงเต็มตัวอีกครั้งหลังจากห่างหายไป 6 ปี
นอกจากซีรี่ส์ที่แสดงร่วมกับครองภพแล้ว ทีมงานของผู้กำกับฉายเห็นพ้องให้เขารับบทนำ ในขณะเดียวกัน รินฤดีก็ตอบรับให้น้องชายเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัทเครื่องครัวที่เคยปฏิเสธไป
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดเป็นเสียงฮือฮาไปทั่ววงการบันเทิง เมื่อมีกระแสข่าวเกี่ยวกับโปรเจ็คใหม่ของผู้กำกับฉายซึ่งผันตัวจากผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง มาจับงานซีรี่ส์ในแพล็ตฟอร์มใหม่
อดีตพระเอกแห่งชาติหวนกลับเข้าวงการในวัย 28 ปีมารับบทนักแสดงนำในงานของผู้กำกับมากฝีมือ
โปรเจ็คนี้มีนักแสดงนำร่วมอีกคนคือพระเอกหนุ่มยอดนิยมที่ชื่อ ‘ครองภพ’
...โชคชะตา...
ถูกขีดไว้แล้ว และไม่อาจมีใครขัดขวางได้อีก
ไม่มีวันถูกขัดขวางได้อีกแล้ว
...........
...
‘ไม่! ไม่! อย่าขอรับคุณหลวง!!! อย่ากลับไป!!! อย่ากลับไปเจอมัน!!!!’
เสียงตะโกนของชายฉกรรจ์ดังก้องในห้วงความมืด แต่ไม่อาจส่งไปถึงร่มธรรมได้เลย
ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้าค่ะ)
เราควรจะบอกพี่โรจน์ดีมั้ยคะว่ามีเด็กบางคนเสี้ยมให้พี่ร่มดื้อแพ่ง ฮ่าฮ่า (นี่ขนาดออกตัวว่าไม่อยากจะพูดกับพี่ร่มมากนะ ก็ยังเสี้ยมจนเขาลุกขึ้นมาได้ขนาดนี้)
ร่มธรรมเป็นคนประเภทที่มีปัจจัยในชีวิตหลายอย่างเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าเขาไม่จริงจัง แต่เพราะเขาจริงจังกับทุกอย่าง ก็เลยพยายามที่จะให้ความสำคัญกับทุกอย่าง ถ้าเทียบกับครองภพแล้ว ร่มธรรมคือคนที่มองรอบๆ ส่วนครองภพคือม้าแข่งที่มองพุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว การที่ครองภพดุว่าร่มขี้ขลาดก็เลยไม่จริงซะทีเดียวนะ แต่...จะว่าไงดี ผู้ชายปากร้ายอ่ะค่ะ ก็จะน่าตีในทุกๆตอน ฮ่าฮ่า
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตาม และทุกกำลังใจ ขอบคุณพื้นที่บอร์ดด้วยค่ะ
เจอกันพฤหัสหน้าค่ะ