ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง ตอนที่ 84(ตอนจบ) (21/1/2559)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง ตอนที่ 84(ตอนจบ) (21/1/2559)  (อ่าน 162546 ครั้ง)

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
ยังไงเนี่ย ป๋าฉัตรตั้งใจพูดอะไรกันนะ  :katai1:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
หวานแหววกันมาสามสี่ตอน กำลังจะบู๊กันแล้วเหรอ

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 75


          “แล้วมันเรื่องใหญ่แค่ไหนล่ะ”

          ฉัตรมองหน้าวัฒน์ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ใจจริงก็อยากจะคุยกันแค่ทางโทรศัพท์แท้ๆ แต่เพราะอีกฝ่ายต้องการรูปถ่ายที่ตนไปรวบรวมมา วัฒน์ถึงได้ถ่อมาหาถึงบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า และถามถึงเรื่องข่าวร้ายเมื่อคืนไปด้วยเลย

          “ก็อย่างที่นายรู้ว่าเดินตามวิธีของคุณสิทธิ์มันก็ลำบากหลายๆเรื่อง…เพราะงั้นเลยมีหลายคนเริ่มชักคิดเหมือนไอ้เวรเดชน่ะสิ” หนุ่มใหญ่ร่างยักษ์เอ่ยก่อนจะเกาหัวอย่างรำคาญใจ “ยิ่งตอนนี้หมอนั่นมันมาทำงานแทนคุณสิทธิ์ ยิ่งทำให้หลายคนเริ่มไขว้เขวไปกันใหญ่…โอเค มันก็แค่โลเล แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ มีหวังคงได้แปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งโน้นกันหมดแน่”

          วัฒน์เพียงแต่นิ่งเงียบคิดถึงเรื่องที่พี่ชายบอก นึกถึงเมื่อคืนที่อีกฝ่ายโทรมาหาแล้วก็อดหงุดหงิดไม่ได้

          “มันจงใจให้คุณสิทธิ์ไปแก้แค้นคุณวินเพื่อซื้อเวลาหาพวกสินะ”

          “หมายความว่าไง”

          น้องชายมองหน้าพี่ด้วยท่าทางเหมือนลังเล ก่อนจะเอ่ยปาก

          “หมอนั่นมันโทรหาฉันเมื่อคืน ก่อนที่นายจะโทรมา” วัฒน์บอกด้วยน้ำเสียงคั่งแค้นเสียเต็มประดา “บอกว่ามันจะจัดการคุณสิทธิ์โต้งๆกับฉัน”

          “หา จริงอะ” ฉัตรร้องถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เดี๋ยวสิ ไหงงั้น หมอนั่นทำตัวเงียบๆอยู่ตั้งนาน แล้วนี่มันนึกยังไงถึงได้ประกาศสงครามกับเราโต้งๆเลยวะ”

          “คงมั่นใจว่ามันต้องฆ่าคุณสิทธิ์ได้แน่ๆละมั้ง...” วัฒน์บอกกลับเสียงเรียบ ก่อนจะมุ่นคิ้ว “ยังไงก็รีบจัดการมันละกัน ไม่อย่างนั้นมีหวังเสร็จมันหมดแน่”

          “เออ ก็รีบอยู่นี่แหละ ดูดิ ฉันอดนอนมาตั้งสามวันแล้วนะ” ว่าแล้วฉัตรก็ชี้หน้าตัวเอง ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตรงหน้าที่อาการแย่กว่าตน “…แต่ฉันจะพยายาม”

          วัฒน์เพียงแต่พยักหน้า เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเรื่องที่อีกฝ่ายบ่น แม้ว่าตัวเขาเองจะได้พักน้อยกว่าก็ตาม เพราะใจจริงเขาก็อยากจะตัดปัญหาด้วยการเปิดสงครามกับเดชตอนสิทธิ์ไม่อยู่เสียเดี๋ยวนี้เลย

          แต่มันจะไปมีค่าอะไรล่ะ ถ้าให้อีกฝ่ายตายโดยที่ยังเป็นคนดีในสายตาเจ้านายอยู่ จะเหยียบมันทั้งทีก็ต้องเอาให้จมจนกลับขึ้นมาไม่ได้เลยสิ

          หลังจากเสร็จธุระ หนุ่มใหญ่ก็ขับรถกลับมาบ้าน ใจจริงเขากะจะเข้าบริษัท แต่พอโทรไปถามเลขาก็พบว่างานที่จะให้ทำในวันอาทิตย์ยังพอจะรอได้อีกวัน เขาจึงกะจะกลับมาพักผ่อนต่ออีกหน่อย อย่างน้อยเขาก็อยากจะอยู่นิ่งๆแล้วใช้ความคิดอย่างเพลิดเพลินไปกับการวางแผนร้อยแปดทรมานคนอยู่บนเตียงสักหน่อย

          แต่พอเข้าไปบ้านก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเนมานั่งหน้าหงิกอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ยิ่งทำให้สะพรึงกว่าตรงที่มันนั่งท่าเดียวกับเมื่อตอนที่หน้ามืดมาปล้ำตนนี่ล่ะ

          “อะไร…” วัฒน์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะดูเนจะหงุดหงิดเสียเหลือเกิน และเขาก็เชื่อว่าต้องไม่ใช่เพราะเขาที่ออกไปจากบ้านโดยไม่พาเด็กหนุ่มไปด้วยแน่ เพราะโน้ตก็ทิ้งบอกเอาไว้บนโต๊ะแท้ๆ

          “เมื่อเช้าผมเจอนี่บนโต๊ะคุณ” วัฒน์มองสิ่งที่อยู่ในมือที่แทบจะทิ่มหน้าตน มันคือแหวนสีเงินทรงเรียบๆที่เขาเอามาใช้เป็นที่ทับกระดาษโน้ตให้เน

          หนุ่มใหญ่นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหน้าแดงแจ๋ ทำเอาคนที่กำลังโมโหถึงกับเลิกคิ้ว

          “มะ…ไม่ใช่ของนายหรือ”

          “ถ้าใช่แล้วผมจะถามหรือครับ” เด็กหนุ่มกลับมาโวยอีกครั้ง “…แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าเป็นของผมล่ะ”

          วัฒน์มองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะหันหนีไปทางอื่นคล้ายกับทนไม่ได้
         
          “ไปคุยกันที่ห้องได้ไหม…”

          แม้ใจจริงจะหงุดหงิดอยู่ แต่ก็ไม่อยากจะโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่โตนัก เขาเลยยอมตามอย่างเสียมิได้

          วัฒน์เดินกึ่งวิ่งนำเข้าไปในห้องนอน หนุ่มใหญ่ไม่ได้แถลงไขสิ่งที่เนข้องใจ หากแต่เดินไปเปิดเก๊ะแล้วหยิบแหวนอีกวงที่สลักคำว่ารักออกมาวางไว้บนโต๊ะ และคราวนี้คนที่กำลังโมโหถึงกับหน้าแดงเถือก

          “คนอื่นเขาบอกฉันหมดแล้วว่าซื้ออะไรให้” วัฒน์บอกเสียงดุ ใบหน้ายังแดงไม่เลิก “ก็นายบอกเองว่าซื้อให้เพราะมันเหมาะกับฉันเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรเกินเลย ฉันก็เข้าใจว่าวงนั้นเป็นของนายนี่หว่า เพราะศาสตร์บอกฉันแค่ว่าให้แหวน ไม่ได้บอกว่าวงไหน ใครมันจะไปคิดว่านายจะให้วงนี้กันล่ะ”

          “กะ…ก็ผม…” คราวนี้เด็กหนุ่มกลายเป็นคนที่โดนไล่บี้แทน “กะ…ก็ตอนนั้นผมเห็นว่ามันเหมาะกับคุณเฉยๆจริงๆนี่”

          “แล้วทำไมต้องวงนี้วะ วงอื่นก็ได้นี่” วัฒน์คาดคั้น เขาไม่เชื่อหรอกว่าตามร้านจะมีแค่แหวนวงนี้วงเดียว ไอ้แบบนี้มันจงใจซื้อทั้งที่เห็นตัวอักษรทิ่มตาแน่ๆ

          “เออ ผมคิด!” เนว้ากลั่น “แต่…ก็ตอนนั้นคิดว่าคำนั้นมันไม่ได้หมายถึงแบบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้นี่นา”

          วัฒน์มองหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน

          “ไอ้ซื่อบื้อ”

          “เออ ผมมันซื่อบื้อ” เด็กหนุ่มยอมรับเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนจะงอนใส่เขาเสียอย่างนั้น “แล้วก็ขี้หึงมากด้วย”

          ว่าจบก็หยิบแหวนเรียบๆขึ้นมาตรงหน้า ทำเอาหนุ่มใหญ่ชะงัก และก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่ออีกฝ่ายโยนมันลงไปในถังขยะใกล้ๆ แต่วัฒน์ก็ไม่ได้โวยวายหรือต่อว่าอะไรเพราะพอจะเข้าใจเหตุผลดี

          เป็นเขาก็ไม่อยากให้คนรักเก็บของที่ได้จากคู่แข่งหรอก ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

          “ผมไม่อยากให้คุณเก็บของที่ได้จากหมอนั่น” เด็กหนุ่มตอบเสียงแข็ง ท่าทางเหมือนจะกลัวโดนดุที่ทำเรื่องเอาแต่ใจ “คุณไม่ต้องบอกหมอนั่นว่าจะทิ้งก็ได้ แต่ขออย่างเดียว อย่าเก็บแหวนนั่นไว้ได้ไหม”

          วัฒน์เลิกคิ้วมองคนที่สั่นเหมือนลูกนก ก่อนจะทำหน้าลำบากใจนิดหน่อย

          “ก็ได้”

          ดูมันยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งเลย

          “แต่ไม่ทิ้งลงถังแบบนี้นะ” วัฒน์บอกก่อนจะเดินเข้าไปล้วงแหวนกลับออกมาจากถังขยะ “เดี๋ยวฉันจะเอาไปคืนศาสตร์เอง”

          “เอ๋...มันจะดีหรือครับ”

          ถ้าคิดว่าไม่ดีจริงก็อย่าระริกระรี้ออกนอกหน้าสิฟะ

          “เออ นายจะได้สบายใจไง” วัฒน์บอก ก่อนจะเหล่มองเจ้าคนที่ตีหางผับๆ “เดี๋ยวเกิดหึงจนหน้ามืดแล้วปล้ำฉันในที่สาธารณะอีกแล้วฉันจะลำบากเปล่าๆ”

          ทำผิดให้เห็นไม่ได้เลยนะลุง กะกัดยันผมหัวหงอกเลยไหม

          “ผมไม่ทำอีกแล้วน่า” เนกดเสียงต่ำพลางก้มหน้างุด “แต่ถ้าคุณยังแขวะผมไม่เลิกอีก ผมจะปล้ำคุณโต้รุ่งเลยดีไหม”

          เฮอะ ตูบ่ยั่นหรอก

          “แล้วนี่คุณจะเข้าบริษัทหรือเปล่าครับ” หลังจากหึงจบ เนก็เอ่ยถามต่ออย่างไม่แน่ใจนัก เพราะเห็นอีกฝ่ายถอดเสื้อเชิ้ตออก

          “คงไม่ล่ะ พักหน่อย เดี๋ยวตาย” ซึ่งนั่นไม่ใช่การประชดแต่อย่างใดเพราะเขาไม่อยากจะหางานเข้าหัวใส่เพิ่มอีกแล้ว

          “ถ้างั้นวันนี้เราก็ว่างใช่ไหมครับ”

          วัฒน์เพียงแต่นิ่วหน้ามองอย่างลุ้นระทึก

          “ผ...ผมไม่ได้จะขอทำนะครับ แค่จะชวนไปเที่ยวเฉยๆ” เนบอกเสียงตื่นทั้งที่หนุ่มใหญ่เพียงแต่มองเฉยๆ “ในหัวผมไม่ได้มีแต่เรื่องพรรค์นั้นนะ”

          “ก็นายเกริ่นแบบนี้ทีไรก็มีแต่เรื่องเซ็กซ์ทุกทีนี่หว่า” วัฒน์โพล่งใส่ก่อนจะถอนหายใจแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “...จริงสิ เรามีนัดพานายไปกินหอยนี่เนอะ...หึๆ...”

          ตาลุงนี่ชอบล้อชาวบ้านไม่เลิกจริงๆ เดี๋ยวจับกินเห็ดตรงนี้ซะเลยนี่

          “แล้วมีแผนจะไปไหนหรือเปล่าล่ะ” หลังจากขำจนพอใจหนุ่มใหญ่ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ใจจริงอยากจะล้อต่อ แต่เห็นอีกฝ่ายหน้าบูดใส่ก็เลยจำใจหยุดเสีย

          “แล้วแต่คุณเลยครับ” เนบอก น้ำเสียงยังงอนไม่เลิก “พอดีผมไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกไปที่ไหนที่เหมาะกับวัยของคุณดี”

          กลับมากัดเก่งเหมือนเดิมเลยนะเอ็ง...โอ๊ย แล้วทำไมตูต้องชอบใจที่โดนมันปีนเกลียวด้วยฟะ

          “งั้นไปวัดเลยไหม แต่นายเข้าไปแล้วจะร้อนหรือเปล่านี่สิ” ปากก็บอกแบบนั้นแต่เอาเข้าจริงๆ ตัววัฒน์เองก็เข้าวัดนับครั้งได้เหมือนกัน “ก็ปกติฉันไม่ค่อยได้เที่ยวนี่หว่า แล้วนายไม่มีที่ที่อยากไปหรือไง”

          เนคิดหนักมาก

          “ก็ปกติตอนเช้าผมหลับนี่นา ส่วนใหญ่ก็ไปแต่บ้านผู้หญิง” ช่างเป็นที่เที่ยวที่ตระการตาเหลือเกิ๊น “ไอ้ไปเที่ยวน่ะ อย่างมากก็แค่ห้างแถวห้องเช่าเท่านั้นละครับ แถมยังไปแค่ดูหนังกินข้าวด้วย ที่เหลือก็แค่เดินตะลอนๆไปเรื่อยเอง”

          “งั้นเอาตามนั้นก็ได้”

          เนชะงักค้างไป

          “ทำไม มีปัญหาหรือไง”

          “ผมก็แค่คิดว่าคุณอาจจะไม่ชอบก็ได้...”

          “ก็ยังไม่เคยไปสักหน่อยจะรู้ได้ไงว่าไม่ชอบ” วัฒน์เอ่ยเสียงขุ่น ก่อนจะใส่เสื้อกลับเข้าที่ “หรือจะเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วก็บอก ฉันจะได้เปลี่ยนเสื้อนอน”

          “ไปสิครับ” เนร้อง แล้วปรี่เข้ามาล็อกแขนคนที่ทำท่าจะถอดเสื้อออก “...ถ้างั้นไปเลยไหม”

          หนุ่มใหญ่เพียงแต่พยักหน้าให้ “เฮ้ย”

          และไม่รู้ว่าเพราะดีใจ หรือกลัวเขาจะเปลี่ยนใจอีก เนถึงได้หิ้วเขาออกมาจากห้องทั้งอย่างนั้นเลย

          “พอได้แล้วโว้ย ฉันเดินเองได้” วัฒน์บอกเสียงหลงหลังจากออกมานอกห้องพร้อมกับดิ้นสุดตัว ชักไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายอายหรืออยากให้ชาวบ้านเขารู้ไปทั่วกันแน่

          “ขอโทษครับ” เนก้มหน้างุดเหมือนสำนึกผิด ก่อนจะกระมิดกระเมี้ยนบอกเสียงเบา “...มันอาจจะดูบ้าๆนะครับ แต่พอเป็นเรื่องของคุณแล้วผมทำตัวไม่ถูกยังไงก็ไม่รู้...”

          จากที่กำลังฮึดฮัดถึงกับไฟยัวะมอดทันควัน

          “เอาเถอะ...ครั้งแรกก็แบบนี้ล่ะ” ว่าแล้วก็อดลูบหัวเจ้าแมวปากหนักตัวนี้ไม่ได้ “ใจเย็นๆก็ได้ ไม่ต้องรีบนักหรอก”

          แต่สีหน้าของเด็กหนุ่มคัดค้านเสียอย่างโจ่งแจ้งจนหนุ่มใหญ่เลิกคิ้ว

          “ผมก็ไม่ได้จะแช่งนะครับ...แต่ผมไม่รู้ว่าคุณจะอยู่กับผมได้อีกนานแค่ไหน” โอ้โห โคตรจะแช่ง กะว่าตูตายก่อนเอ็งแน่ๆ ใช่ไหม “...แล้วงานเราก็ยุ่ง จะมีเวลาให้กันอีกได้สักเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ผมอยากจะใช้เวลากับคุณให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้น่ะครับ”

          วัฒน์ยืนนิ่งมองคนที่ทำท่าสลดใส่ตน หนุ่มใหญ่หันมองไปทางอื่น ได้แต่ขยับปากเหมือนอยากจะพูดแต่นึกไม่ออกว่าจะพูดอย่างไรดี และสุดท้ายก็ดีดมะกอกเข้าไปหนึ่งดอกแทน

          “ให้ความสำคัญผิดไปหรือเปล่า” หนุ่มใหญ่ดุใส่คนที่ยังกุมหน้าผากของตนไม่เลิก “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าใช้เวลานานแค่ไหน แต่ใช้ให้คุ้มมากแค่ไหนต่างหาก”

          สีหน้าของเด็กหนุ่มดูจะยังไม่ค่อยเข้าใจนัก วัฒน์ถึงถอนหายใจให้กับความหัวทึบในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก่อนจะพูดต่อ

          “ถ้าฉันกับนายอยู่ในห้องนี้เฉยๆ ตลอดทั้งวันมันก็ไม่ได้มีอะไรใช่ไหมล่ะ” วัฒน์มองคนที่ยังงงไม่เลิก “อย่างตอนทำงาน ถึงจะอยู่ด้วยกัน นายก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรใช่ไหมล่ะ เพราะเราก็ไม่ได้คุยอะไรกัน หรือทำอะไรกันสักหน่อย จะดีก็แค่ได้อยู่ด้วยกันก็เท่านั้น”

          เนยังดูไม่แน่ใจนัก แต่ก็พยักหน้าให้

          “แต่ถ้าแบบนี้ล่ะ”

          เด็กหนุ่มสะดุ้งนิดหน่อยเมื่ออีกฝ่ายมองหน้าตนพร้อมกับกุมมือแน่น จากที่กำลังงงๆชักเริ่มร้อนขึ้นมาเหมือนคนเป็นไข้ มือที่เข้ามาจับก็ไม่ได้แค่จับเฉยๆ หากแต่สอดนิ้วเข้ามาระหว่างนิ้วของตนแล้วกุมเอาไว้ และไม่รู้ว่าเพราะเนยังคงออกอาการสงสัยไม่เลิกหรืออย่างไร หนุ่มใหญ่ถึงได้ยกมือขึ้นมาเหนือไหล่ โดยที่ยังจ้องตาตนไม่เลิก

          “ห้ามหลบตานะ ไม่งั้นนายจะทำลายเวลาที่มีค่าลง”

          “ดะ...เดี๋ยวสิ ขนาดนั้นเลยหรือครับ” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง ใบหน้าก็แดงเถือกเพราะต้องเล่นจ้องตาแล้วกุมมืออีกฝ่าย จนตอนนี้เขารู้สึกเหงื่อออกเต็มมือหมดแล้ว

          “เทียบกับเมื่อกี้ หรือตอนที่เราทำงานด้วยกัน แบบไหนมันดีกว่าล่ะ”

          เนจ้องคนที่มีใบหน้าแดงไม่ต่างจากตนนัก ก่อนจะผงกหัวให้

          “ดีจนแทบบ้าเลยล่ะครับ...” เขาตอบก่อนจะใช้มือที่ยังว่างปิดหน้าตัวเองทั้งที่รู้ว่าปิดไม่หมดก็ตาม แต่หากไม่ทำมีหวังได้กระอักความเขินตายแน่ “คุณไม่รู้สึกเขินบ้างเลยหรือครับ”

          ที่จริงเขาก็เห็นหลักฐานความอายบนหน้าวัฒน์อยู่หรอก แต่เห็นอีกฝ่ายยังทนมองตนได้ทั้งที่เขาแทบจะกระอักความเขินตายอยู่แล้ว เลยอดถามไม่ได้

          “ก็เห็นอยู่” หนุ่มใหญ่ขึ้นเสียงใส่ และในที่สุดก็หลบสายตาไปทางอื่นสักที ทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องอีกครา แม้อาการของอีกฝ่ายจะทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่ายมากกว่าเดิมก็ตาม “แต่มันรักมากกว่าอายนี่...”

          ติวเตอร์เรื่องรักช่างทำให้นักเรียนเวียนหัวเพราะเลือดสูบฉีดเก่งเสียเหลือเกิน!

          วัฒน์สะดุ้งนิดหน่อยเมื่ออยู่ๆเนก็เข้ามาสวมกอดตนแน่น โดยที่ยังคงกุมมือไม่เลิก

          “เอ่อ...แค่อยากกอดน่ะครับ...ไม่ได้จะทำอะไรหรอกนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยเตือนเสียงเบาพลางแกว่งมือที่กุมมืออีกฝ่ายไปมา “...แบบนี้ใช่ไหมครับที่คุณอยากจะบอก...”

          หนุ่มใหญ่เลิกคิ้วก่อนจะแอบยิ้ม

          “ประมาณนั้น” เขาเอ่ยอู้อี้พลางซบไหล่อีกฝ่าย “หัวไวดีนี่”

          “...ผมอาจจะซื่อบื้อแต่ผมไม่โง่นะครับ” เนบอกเสียงขุ่น

          “ก็ไม่แน่ เห็นรู้สึกตัวช้าเหลือเกิน” อดแขวะไม่ได้จริงๆ “แล้วตกลงจะไปเที่ยวหรือเปล่า”

          “ไปสิครับ” เด็กหนุ่มรีบพูดเหมือนกลัวหนุ่มใหญ่จะเปลี่ยนใจ เขาผละออกจากอีกฝ่าย แต่มือยังคงจับมือวัฒน์เอาไว้แน่น “ไปตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลยนะ”

          หนุ่มใหญ่อดหัวเราะอยู่ในใจไม่ได้ นี่ถ้าเขากับเนอ่อนกว่านี้สักสิบปี คงดูเหมือนลูกที่พยายามคะยั้นคะยอให้พ่อพาไปเที่ยวยังไงยังงั้น



__________________________________________


สุขสันต์วันพ่อจ้า วันนี้ใครไปเที่ยวกับพ่อกันบ้าง >w< คนเขียนคงได้แค่โทรไปแซวพ่อเหมือนเดิม(ได้ข่าวว่าวันอื่นก็แซวทุกวัน)

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ดีใจที่เขาหวานกัน ชอบ ชอบ  :กอด1:

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โอ้ยยย อย่าว่าแต่เนเขินนี่ยังเขินอิลุงมันเหมือนกันหยอดมาแต่ละอันเป็นเคะที่รุกเมะเก่งจริงๆ    :hao3:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
น่ารัก  :katai2-1:

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
 ก๊าวใจมากกก ชอบๆๆๆ  :-[
สรุปแล้วแหวนบอกรักนั่นของเนสินะ ฮิ้ววว~

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 76


          หลังจากเรียนรู้เรื่องคุณค่าของการใช้เวลากันมาอย่างหนักหน่วง ทั้งสองก็ออกไปเที่ยวตามที่ตกลงกันไว้ โดยให้เนเป็นคนนำ ส่วนเงินก็หารเอา แม้อันที่จริงวัฒน์เสนอตัวแล้วว่าเขาจะจ่ายทั้งหมด แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธเสียงแข็งจนน่าประหลาด เพราะเขานึกว่าอดีตแมงดาจะไม่รู้สึกอะไรเสียอีก

          “โอเค ผมเคยเป็นก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าตอนพาไปเที่ยวจะให้สาวเลี้ยงนี่” เนว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายดูจะแปลกใจเสียเต็มประดา “ของแบบนี้มันก็วินๆ ทั้งคู่ มันก็ควรจะหารกันสิ”

          วัฒน์หัวเราะในลำคอ...เอาเถอะ ก็ยังถือว่าคิดได้อยู่

          “ตามใจ” หนุ่มใหญ่ว่า เพราะถ้าให้อีกฝ่ายเลี้ยงหมดเขาก็ไม่ยอมเหมือนกัน “แล้วนี่จะพาไปไหนล่ะ”

          “ก็นี่ไงละครับ” เนซึ่งเดินนำเข้ามาในห้างแลดูภูมิใจนำเสนอเสียเหลือเกิน “ไปดูหนังกัน”

          “อืม...” เห็นอีกฝ่ายดูดีใจเสียเหลือเกินแล้วไม่กล้าสงสัยว่าทำไมการดูหนังจึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นนัก แต่มานึกดูอีกทีตอนอยู่ที่บ้าน เนก็ชอบลงไปดูหนังในห้องนั่งเล่นตอนว่างบ่อยๆอยู่เหมือนกัน

          ท่าทางคงต้องซื้อทีวีมาไว้ในห้องซะแล้วมั้ง...

          เนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดา และยังเป็นช่วงที่ห้างเพิ่งเปิด บริเวณแถวโรงหนังจึงยังมีผู้คนเบาบาง ซึ่งก็สะดวกแก่การซื้อตั๋วดี…แต่มันอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ ในกรณีที่ไม่อยากเป็นเป้าสายตา

          วัฒน์รู้สึกได้เลยว่าเนกำลังออกอาการลุกลี้ลุกลนจนเหมือนโดนผีเข้า เขาเองก็ไม่แปลกใจนักหรอก เพราะมองผ่านๆ อาจจะดูไม่น่าสนใจ แต่พอเห็นเป็นผู้ชายสองคนเดินมาซื้อหนังดูด้วยกัน ก็ต้องมีโดนมองกันบ้างล่ะ

          “สวัสดีค่ะ...” พนักงานขายตั๋วชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเห็นหนุ่มน้อยกับหนุ่มใหญ่ตรงหน้า “...ต้องการรับชมภาพยนตร์เรื่องใดคะ...ตอนนี้มีหนังรักอยู่สองสามเรื่องนะคะ...”

          ที่จริงวัฒน์ก็จะไม่คิดอะไรแล้ว ถ้าเนไม่ลนลานจนชาวบ้านเขาผิดสังเกตเนี่ย

          “บางทีฉันก็ไม่เข้าใจว่านายอยาก หรือไม่อยากให้คนอื่นเขารู้กันแน่” หนุ่มใหญ่บอกเสียงเรียบหลังจากซื้อตั๋วหนังสยองขวัญมาแล้ว ที่จริงเขาก็รู้สึกเขินที่โดนมอง แต่เห็นเด็กหนุ่มออกอาการเหมือนคนบ้ามากกว่า อารมณ์ของตนเลยดับวูบเหมือนไฟโดนน้ำสาด

          “ก็มันเขินนี่ครับ” เด็กหนุ่มบอก ท่าทางเหมือนจะขาดใจเสียตรงนี้ให้ได้ ทั้งที่เป็นฝ่ายชวนออกมาเที่ยวเองแท้ๆ “คุณไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง โดนจ้องเอาๆแบบนี้”

          “ฉันก็เขินเหมือนกันล่ะน่า” วัฒน์โต้กลับอย่างรำคาญ “แต่ถ้าเอาแต่ออกอาการเหมือนนายจะยิ่งเป็นเป้าสายตาซะเปล่าๆน่ะสิ”

          ได้ยินเช่นนั้นแล้ว จากที่ทำท่าเหมือนกำลังเกิดแผ่นดินไหว ก็กลับมานิ่งทันควัน ทำเอาวัฒน์แอบขำไม่ได้

          “นายไม่ได้กลัวผีหรอกหรือ” เพราะก่อนหน้าตอนไปทดสอบความบ้า ได้ยินพวกเด็กๆพูดเรื่องที่เนกลัวผี เลยอดสงสัยไม่ได้ที่เนเลือกที่จะดูหนังสยองขวัญ แทนที่จะเป็นเรื่องอื่น

          “กลัวก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ชอบดูนะครับ” เด็กหนุ่มบอก ก่อนจะลงไปนั่งบนเก้าอี้ “อีกอย่าง นี่มันหนังสยองขวัญ ไม่ได้มีผีสักหน่อย”

          จริงของมัน

          “ว่าแต่...ทำไมต้องเลือกนั่งตรงนี้ด้วย” ในขณะที่จอหนังกำลังฉายโฆษณาอันแสนยาวนาน วัฒน์ก็เอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงเบา ตรงที่ทั้งสองนั่งเป็นที่นั่งตรงกลางในส่วนหน้าของโรง ซึ่งว่ากันตามตรงแล้ว ถึงจะไม่ใช่หน้าสุด แต่นั่งตรงนี้มันก็ใกล้เกินไป ทั้งยังชวนให้ปวดคอตงิดๆด้วย

          “กะ...ก็ผมไม่อยากให้ใครมานั่งแถวเดียวกันนี่ครับ เดี๋ยวก็มาเที่ยวจ้องกันอีก จะดูหนังทั้งทีก็อยากจะดูสบายๆหน่อย”

          หนุ่มใหญ่นิ่วหน้า “อ้อ...นั่นสินะ”

          ไม่อยากจะบอกเลยว่ามานั่งหน้าสุดแล้วมีหัวโผล่แพลมจากพนักพิงกันแค่สองคนแบบนี้ มันเด่นสะดุดตาจะตายห่า

          เนนั่งสั่นเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเพราะแอร์เย็นและเขาก็ใส่มาแค่เสื้อเชิ้ตบางๆตัวเดียว อีกส่วนก็เพราะหนังเรื่องนี้มันทำเอาเขาระทึกและชวนแหวะไปหน่อย ซึ่งหาได้ยากในหนังสยองขวัญสมัยนี้ที่จะทำแนวเครื่องในทะลุจอกันชัดเจนแบบนี้

          เนลอบมองคนที่นั่งข้าง วัฒน์ไม่ได้หลับอย่างที่เขาเข้าใจ ดวงตาเรียวมองหนังอย่างตั้งใจมาก...แต่อีกแง่ ดูแล้วเหมือนกำลังเหม่อมากกว่า ที่สำคัญคือลุงแกดูนิ่งเสียจนไส้ที่กระจัดกระจายออกมาเกลื่อนกลาดพื้นนั้นไม่ได้มีผลอะไรกับเขาเลย

          “ไม่ไหว...” อยู่ๆหนุ่มใหญ่ก็เอ่ยพึมพำออกมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ทำเอาคนที่จ้องวัฒน์แทนที่จะดูหนังถึงกับสะดุ้ง “มีดทื่อๆแบบนั้นตัดคอคนไม่ขาดหรอก”

          “ครับ?”

          “ก็นั่นไง นายไม่เห็นมีดนั่นหรือ ถึงจะเป็นของประกอบฉากก็เถอะ แต่เล่นใช้เล่มบางๆเล็กๆแบบนั้น มันตัดกระดูกสันหลังคนจนขาดไม่ได้หรอกนะ มีหวังมีดทื่อก่อนจะตัดเนื้อหมดด้วยซ้ำ”

          คราวนี้เนสั่นอีกครั้งและมากกว่าเดิม

 

          ถ้าถามเด็กหนุ่ม เขาก็รู้สึกว่าหนังสนุกใช้ได้ อาจจะมีฉากสยองขวัญควักไส้มากไปหน่อยจนให้อารมณ์เหมือนหนังเกรดบี แต่ก็ถือว่าโอเคอยู่ แต่เห็นคนที่มาด้วยดูนิ่งจนไม่รู้ว่าสนุกไปด้วยหรือเปล่า แถมยังแอบบ่นเป็นระยะเรื่องความสมจริงในการแล่เนื้อเถือหนังคนอีกต่างหาก

          “หนังสนุกดีนะ”

          บ่นไปตั้งเยอะเนี่ยนะ

          “ไอ้เรื่องไม่สมจริงมันก็ไม่สมจริงจริงๆนี่ แต่สนุกมันก็สนุกนั่นล่ะ” วัฒน์ร้องเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตีหน้าเหยเกใส่ ก่อนจะชี้ที่ข้อศอกตัวเอง“ถ้าฉันเป็นฆาตกร ฉันไม่ใช้มีดอีโต้หรอก มีหวังหักก่อนตัดแขนขาดพอดี ถ้าตัดข้อนิ้วก็ว่าไปอย่าง”

          พูดงี้นี่คือเคยลองแล้วสินะ...

          “...มันเป็นงาน ก็ไม่ได้อยากจะทำนักหรอก” เห็นอีกฝ่ายออกอาการสะพรึงเลยโพล่งขึ้นอย่างหงุดหงิด “แต่ก็ไม่ได้คิดอยากเลิกหรือชอบหรอกนะ แค่เพราะมันเป็นงานก็เลยทำเท่านั้นละ...ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเป็นฆาตกรโรคจิตนักหรอก”

          “ครับ...” เล่นอ่านใจเสียขนาดนี้แล้วเขาจะพูดอะไรได้ “ถ้าคุณสนุกผมก็พอใจแล้วล่ะ”

          “สนุกสิ” เห็นหนุ่มใหญ่หัวเราะออกมาสักที คนชวนไปเที่ยวก็พลอยดีใจไปด้วย “นี่ก็เที่ยงแล้ว ไปหา...”

          วัฒน์พูดค้างไปแค่นั้นแล้วก็ก้มหน้าหนี ทีแรกเนเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรไปเสียอีก แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอกับร่างที่สั่นกึกๆแล้ว เด็กหนุ่มก็พอจะรู้สาเหตุ

          “เออ จะกี่หอยก็ไปเลยครับ”

          และลุงแกก็ปล่อยก๊ากออกมาจนได้

          แต่สุดท้ายก็ไปจบลงที่มุมขายอาหารในห้างแทน เพราะแต่ละคนก็ไม่รู้จักร้านอาหารในห้างที่มีหอยเป็นส่วนประกอบหลักนัก เลยไม่รู้จะพาไปไหนดี

          “ไว้จบเรื่องไอ้เดชเมื่อไหร่แล้วจะพาไปละกัน ฉันรู้จักร้านดีๆ...” หลังจากซื้อข้าวมาวางไว้บนโต๊ะกันเรียบร้อยแล้ว วัฒน์ก็เอ่ยขึ้นโดยที่ยังขำไม่เลิก “โทษที...หึๆ”

          “อยากขำก็ขำไปตามสบายเลยครับ” เด็กหนุ่มบอก หมดอารมณ์จะโวยวายใส่ “ไว้กลับบ้านค่อยเอาคืนทบต้นทบดอกเลย”

          จากที่กำลังจะตั้งท่าขำถึงกับชะงักทันควัน ใบหน้าขึ้นสีทันที

          “ไอ้เด็กลามก” เพราะไม่รู้จะด่าอะไรดี แต่อยากจะด่าเลยได้แต่พูดคำนี้

          “ตอนนี้ก็ลามกแค่กับคุณเท่านั้นละครับ” เนสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “...พูดแล้วก็ชักอยากขึ้นมาอยู่เหมือนกัน ไหนๆก็ไหนๆ พรุ่งนี้ไปเข้างานสายหน่อยดีไหมละครับ”

          นี่ขู่ตูเรอะ

          “อย่านะเว้ย เดี๋ยวเดือดร้อนกันทั้งบางพอดี” วัฒน์โพล่งเสียงตื่น

          “ถ้าอย่างนั้นเสาร์นี้ทั้งวันเลยได้ไหมละครับ”

          วัฒน์ได้แต่อ้าปากค้าง ท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัด และเนก็รู้ดีกว่าควรจะทำยังไง

          “นะครับ...น้า”

          อ้อนด้วยเสียงอย่างเดียวไม่พอ มีช้อนตาใสมองใส่ให้ใจระส่ำอีกต่างหาก

          “...ถ้าช่วยงานฉันให้เสร็จทันละก็นะ...”

          “คร้าบ” เนยิ้มกว้างก่อนจะจัดการออส่วนของตนอย่างรื่นรมย์ที่ได้เอาคืนอีกฝ่าย แถมยังได้ตั๋วขึ้นเตียงอีก โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าบทสนทนาที่พูดเมื่อกี้ดังจนใครต่อใครหันมามอง และวัฒน์เองก็ไม่รู้ตัวเช่นกันเพราะมัวแต่สนใจเจ้าเด็กบ้าตรงหน้ามากกว่า

          หลังจากกินข้าวเสร็จ เนก็ลากหนุ่มใหญ่เข้าร้านเสื้อผ้าเฉย แม้วัฒน์จะบอกว่าเขามีเนคไทมากพอที่จะใส่ไม่ซ้ำได้ทั้งเดือน แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ยอมท่าเดียว

          “ผมไม่ขอให้คุณทิ้งของคุณศาสตร์ซื้อ แต่อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้ซื้อให้คุณเถอะ” เนต่อรอง ก่อนจะเริ่มใช้วิชามารที่เพิ่งได้เรียนรู้ “น้า”

          “เออๆ” วัฒน์รับอย่างรำคาญใจ ส่วนหนึ่งเพราะใจอ่อนจริงๆ แต่อีกส่วนเพราะเจ้าเด็กบ้านี่ดันมาอ้อนลืมอายใส่เขาทั้งที่มีคนมองนี่ล่ะ

          และก็เหนื่อยใจตัวเองที่แค่เห็นอีกฝ่ายดีใจก็หายหงุดหงิดด้วย

          “ถ้างั้นฉันซื้อให้นายด้วยก็แล้วกัน” ด้วยความที่ไม่อยากรับอยู่ฝ่ายเดียว วัฒน์จึงเสนอขึ้นหลังจากอีกฝ่ายเลือกเนคไทให้กับตนแล้ว “ชอบตัวไหนก็เลือกเลย”

          “เอ๋ จะดีหรือครับ” แต่หางนี่ส่ายผับๆเชียว

          “หรือจะให้ฉันเลือกให้ล่ะ จะได้วินๆไง”

          หน้าแดงเถือกซะขนาดนี้ เลือกเองเลยเหอะ วันนี้ทั้งวันแกทำฉันเลือดสูบฉีดจนหัวใจจะวายอยู่แล้วนะว้อย!

          “สวัสดีค่ะ” แต่ก่อนที่เนจะได้ตัดสินใจ พนักงานร้านก็เข้ามาเอ่ยถามอย่างเป็นมิตรและสุภาพ “เลือกเสื้อให้ลูกชายหรือคะ”

          วัฒน์ถึงกับขำแบบไม่มีกั๊ก จนพนักงานร้านสาวถึงกับงง

          “ครับ” เมื่อเนเอาแต่เงียบ หนุ่มใหญ่จึงเอ่ยรับขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ช่วยหาเสื้อที่เหมาะกับลูกผมหน่อยครับ...ขอแบบเรียบๆแต่สีออกมืดๆหน่อย พอดีแกชอบประมาณนี้น่ะครับ”

          เนถลึงตาใส่ แม้จะสงสัยว่าอีกฝ่ายรู้รสนิยมตนได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะกลัวจะมีพิรุธต่อหน้าคนอื่น นอกจากพยักหน้าแดงเรื่อให้คนขาย

          “อ้อ...ได้ค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ” เธอเอ่ยก่อนจะเดินนำไป ส่วนวัฒน์ที่ตามคนขายก็แอบหันมาหัวเราะในลำคอใส่

          กะว่าไหนๆก็จะโดนแกล้งแล้ว เลยแกล้งผมให้สาแก่ใจเลยใช่ไหม!

          “ค่ะ งั้นลองตัวนี้ไหมคะ” หญิงสาวเสนอพลางหยิบเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีแดงโทนดำมาให้

          “ผมว่ามืดไปหน่อยนะ เราว่าไงล่ะ”

          เนสะดุ้งนิดหน่อยเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนสรรพนามเรียกตน ทำเอาใจเต้นไม่เป็นส่ำกับเรื่องไม่เป็นเรื่องชอบกล

          “ผมยังไงก็ได้...” เด็กหนุ่มตอบก่อนหันหน้าแดงๆของตนไปทางอื่น แอบนึกกลัวว่าหญิงสาวจะรู้เสียเหลือเกิน

          “อ้อ ถ้าอย่างนั้นลองตัวนี้ไหมคะ” เธอเสนอด้วยรอยยิ้มกว้าง ไม่ได้คิดอย่างที่เนกลัวสักนิด เพราะมองผ่านๆแล้วเหมือนลูกชายที่อายเพราะโตป่านนี้แล้วยังมาซื้อเสื้อกับพ่อเสียมากกว่า

          “อ๊ะ ตัวนี้สวยดีนะ เหมาะกับเราเลย ว่าไงล่ะ”

          ปากก็เสนอแนะ แต่สีหน้านี่ชัดเจนว่าชอบและอยากให้ใส่มาก จนคนที่เขินอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งออกอาการกระสับกระส่าย นึกตำหนิอีกฝ่ายที่เอาแต่ทำให้ตนร้อนรนจนอาจจะทำให้คนอื่นจับได้ หารู้ไม่ว่าที่หญิงสาวยิ้มให้ ไม่ได้คิดอย่างที่เนกลัวเลยสักนิด

          “นั่นสิคะ จะลองไหมคะ” เธอเอ่ยคะยั้นคะยอเมื่อคุณพ่อดูจะเห็นด้วย

          “เอ้า ลองสิ”

          เนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหาเรื่องแกล้งตนหรือเปล่า แต่เห็นใบหน้าติดตื่นเต้นของหนุ่มใหญ่ เขาก็ปฏิเสธไม่ลง

          “ถ้ายังไง ลองหาให้อีกสักสี่ห้าตัวหน่อยนะครับ” เมื่อเนรับมาโดยที่ยังไม่ทันจะได้เดินไปห้องเปลี่ยนเสื้อ วัฒน์ก็เอ่ยขอกับคนขายเพิ่มด้วยจำนวนที่ทำเอาเด็กหนุ่มอ้าปากค้าง

          “เอ๋ ผมว่าแค่ตัวเดียวก็พอมั้งครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยเกรงใจ

          “พ่อว่าน้อยไปด้วยซ้ำ” วัฒน์บอกเสียงเรียบ แต่เนรู้ดีว่าอีกฝ่ายกลั้นหัวเราะใส่ตนอยู่ มุมปากมันฟ้อง“ซื้อไปเยอะๆก็ดี อยากเห็นเราใส่เสื้อที่พ่อซื้อให้ทุกวันเลยนี่”

          จากที่อ้าปากจะปฏิเสธถึงกับค้างนิ่งกับเหตุผลนั้น

          เนมองหน้าคนที่ยังคงนิ่งไม่เปลี่ยน ที่จริงก็อยากได้อยู่ เพียงแต่มันดูจะเยอะเกินไปจนเขารู้สึกเกรงใจ เพราะราคาเสื้อแต่ละตัวในร้านนี้ก็ไม่ใช่ถูกๆเสียหน่อย

          “แหม ซื้อเถอะค่ะ คุณพ่ออุตส่าห์ซื้อให้ทั้งที” คนขายช่วยสนับสนุนเมื่อเห็นคุณลูกชายจำเป็นลังเล “ตอนนี้ทางร้านมีโปรโมชั่น ซื้อครบหมื่นบาท ลดสามสิบเปอร์เซ็นอยู่นะคะ”

          “หรือครับ ถ้างั้นก็เอาให้ครบเลยละกัน” ในขณะที่เนสำลักกับราคา วัฒน์กลับเอ่ยขึ้นอย่างง่ายดายและเหมือนเป็นราคาปกติที่ใครๆก็ซื้อได้ง่ายๆ “เอ้า เลือกสิ ไม่งั้นเดี๋ยว ‘พ่อ’ เลือกให้เองเลยนะ”

          เน้นงี้คือจงใจมาก!!

          “ได้ครับ” และไม่รู้ว่าเพราะของขึ้นแล้วหรืออย่างไร ความอายมันถึงระเหิดหายไปจนหมด “เลือกมาให้เยอะแล้ว ขอผมเลือกเองละกันนะครับคุณพ่อ”

          สวนกลับไปเสียงเขียว แต่อีกฝ่ายกลับขำเสียอย่างนั้น

 

          เนชักไม่แน่ใจว่าตัวเองสนุกหรือเปล่า เพราะเหนื่อยกับอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆมาตลอดทั้งวัน ทำเอาเหมือนกำลังจะเป็นไข้ แต่พอมองคนที่เดินอยู่ข้างๆที่ดูจะมีความสุขเลยเหลือเกิน(แม้คนอื่นจะมองไม่ออกก็ตาม) จากที่กำลังเหนื่อยๆถึงกับโล่งใจ

          วัฒน์ชะงัก เมื่ออยู่ๆเนก็เอาหน้าเข้ามาซุกไหล่ตนระหว่างรออยู่ในลิฟท์กันตามลำพัง

          “ไม่กลัวคนอื่นเห็นแล้วหรือไง” หนุ่มใหญ่บอกด้วยน้ำเสียงติดสั่นพลางมองลิฟท์ที่เลื่อนลงไปชั้นใต้ดินด้วยใจระทึก

          “แค่นิดเดียวเอง ตอนนี้ไม่มีคนเห็นนี่ครับ”

          “แต่มีกล้องวงจรปิดนะ ส่องมาทางนี้ด้วย”

          เนเงียบไปพักหนึ่ง

          “ไม่เป็นไร มองผ่านกล้องผมไม่สน อย่ามามองกันโต้งๆก็พอ”

          “มีแบบนี้ด้วย” วัฒน์พ่นเสียงหัวเราะออกมา อยากจะยื่นมือไปลูบหัว เสียแต่ตอนนี้ถือถุงเสื้อเต็มสองมือ เลยได้แต่เอียงคอไปแนบหัวอีกฝ่ายแทน “เที่ยวซะเพลินเลยนะวันนี้”

          “ครับ...แป๊บเดียวก็ค่ำแล้ว” เด็กหนุ่มรับเสียงเบา “ไม่อยากไปทำงานเลยครับ”

          “อย่ารีบขี้เกียจสิวะ” วัฒน์ว่าใส่ พร้อมกับหัวเราะออกมา “เดี๋ยวได้ยกเลิกนัดวันเสาร์หรอก”

          จากที่ทำท่าเหมือนหมดแรงถึงกับฮึดใส่ทันควันจนวัฒน์ชักเริ่มเสียใจตงิดๆที่ออกปากสัญญาไป ท่าทางสงสัยคงได้โดนเอาคืนทบต้นทบดอกอย่างที่ว่าไว้เป็นแน่

          หลังจากเดินมาถึงตัวรถ เสียงโทรศัพท์ของวัฒน์ก็ดังขึ้นเสียก่อนที่จะขึ้นรถ หนุ่มใหญ่นิ่วหน้ามองเบอร์บนจอด้วยความแปลกใจก่อนจะกดรับขึ้น

          “ว่าไงนะ! จริงหรือ”


__________________________________________

พอใกล้จบแล้วมันจะมีอารมณ์อยู่อย่างหนึ่ง อารมณ์เหมือนตอนท้องผูก(?) แบบ...ก็รู้ว่าจะเขียนอะไรนะ แต่เขียนไม่ออก ;w; จะว่าตันมันก็วางพลอตไว้เรียบร้อยแล้ว แต่มันไม่อ๊อกกก

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
 :z13
ขำอิเน  :hao7: :hao7:
อยากกรอข้ามไปวันเสาร์จังเลย  :hao6:
แล้วตอนท้ายเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ยยย  :z3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-12-2015 12:45:58 โดย boboman »

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
คิดไม่ออก ก็ปล่อยให้เขาหวานๆ กันไปแบบนี้ล่ะ ช๊อบชอบบบบบบบบบ  o13

ถ้าข้ามไปคืนวันเสาร์ได้เลยยิ่งดี  :hao7:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
แหม ลุง ได้ทีละแกล้งเนใหญ่เลยนะระวังจะโดนจัดหนักละ 'คุณพ่อ'  o18

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
เหมือนท้องผูกจริงๆด้วยค่ะ

ยังงี้ต้องเพิ่มน้ำ กับกากใยเยอะๆสินะ จะได้ออกมาได้ไง ฮ่าๆๆ  :m20:

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 77


          คนที่นั่งรออยู่ในรถถึงกับหันมองขวับ สีหน้าของหนุ่มใหญ่ดูตื่นตระหนกมาก จนเขาเริ่มกังวลไปด้วย

          “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” เนเอ่ยถามหลังจากวัฒน์ขึ้นรถมา

          “เดี๋ยวก็รู้” วัฒน์ตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะเหยียบคันเร่งมิด ทำเอาเนต้องรีบรัดเข็มขัดอย่างรวดเร็ว

          เนเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นจุดหมายปลายทางเป็นบ้านเช่าที่สิทธิ์อยู่ ทันทีที่จอดรถ วัฒน์ก็ผลุนผลันออกจากรถแล้วพุ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กดกริ่งรัวเสียจนแทบพัง

          คนที่เปิดประตูให้เป็นฤทธิ์ หนุ่มตาตกอ้าปากทำหน้าหมายจะตะโกนด่าพร้อมกับยกหมัดขึ้น แต่พอเห็นหน้าผู้มาเยือน เขาถึงกับชะงักค้างหน้าซีดเป็นกระดาษทันที

          “คุณวัฒน์” คราวนี้เป็นก้องที่เอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่าย ก่อนจะผลักร่างของแฟนตนให้พ้นทางมาร

          “คุณสิทธิ์ล่ะ” หนุ่มใหญ่ถามอย่างร้อนรน และเริ่มอารมณ์เสียเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่นิ่ง “ก้อง! ฤทธิ์!”

          “ขะ…ข้างบนครับ! ขอโทษครับ” ก้องรีบตอบเสียงตื่นเมื่อโดนเรียกอีกครั้งพร้อมกับก้มหัวปะหลกๆ ส่วนฤทธิ์ยังคงค้างไม่เลิก

          “อ้าว อาวัฒน์มาได้ยังไงเนี่ย เมื่อกี้เห็นกริ่งดังผมก็นึกว่าพวกเกรียนที่ไหนซะอีก”

          แต่ยังไม่ทันจะได้เดินขึ้นไป คนที่ตนมองหาก็โผล่ออกมาจากหัวบันไดชั้นสองพอดี วัฒน์ออกอาการเหมือนโลกแตกเมื่อเห็นใบหน้าชอกช้ำของเจ้านาย และรีบปรี่เข้าไปหาเพื่อดูอาการของชายหนุ่มร่างยักษ์ทันที

          “เหวอ คุณสิทธิ์ไปโดนอะไรมาล่ะนั่น ทำไมหน้าปูดบวมแบบนั้นละครับ” เนที่เพิ่งตามมาทีหลังร้องเสียงตื่น ก่อนจะกลับมามองก้องกับฤทธิ์พร้อมแสดงอาการไม่พอใจใส่ “ไหงคุณก้องกับพี่ฤทธิ์ปล่อยให้คุณสิทธิ์เป็นแบบนี้ได้เนี่ย”

          “อ้าวไอ้หนู ฉันตกใจนี่หว่า” ฤทธิ์ว้ากลั่น พร้อมกับตบกะโหลกคนที่เดินเข้ามาในบ้าน เล่นเอาเด็กหนุ่มที่กำลังไม่พอใจถึงกับเอ๋อไปชั่วขณะ “นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ ที่คุณสิทธิ์กับ…วินชกกันแบบนี้น่ะ”

          เนทำหน้าเหมือนเห็นผี ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ถึงจะมีความเป็นไปได้และเกิดเหตุการณ์เฉียดมีเรื่องกันมาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดว่าสองคนนี้จะทะเลาะถึงกับลงไม้ลงมือกันจริงๆ

          “อะไรนะ คุณสิทธิ์…กับคุ…เอ่อ…กับวินทะเลาะกัน” เนระวังไม่ให้เผลอเรียกวินอย่างสุภาพต่อหน้าเจ้านาย “ไหงงั้นละครับคุณสิทธิ์”

          “เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องที่ผมกับมันต้องทำให้ชัดเจน” สิทธิ์อ้อมเสียงอ่อย หลังจากอิดออดอยู่นานเพราะโดนวัฒน์จ้อง “มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่ครับ ผมสัญญา”

          คนฟังแลดูจะไม่อยากเชื่อกันเท่าไหร่นัก

          “จริงๆนะครับ ผมอาจจะเกลียดมันเหมือนขี้หมาติดรองเท้า แต่…อาก็รู้ว่าผมไม่ชอบใช้กำลังกับใครถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมใช้ก่อน เพราะงั้นผมไม่ลงมือก่อนแน่”

          “งั้นถ้าอีกฝ่ายลงมือก่อนก็อีกเรื่องใช่ไหมล่ะครับ” ได้ยินวัฒน์พูดแบบนั้น สิทธิ์ก็แบะปากเหมือนลูกที่พ่อแม่ไม่ยอมซื้อของเล่นที่อยากได้ให้ “ขอร้องเลยล่ะครับ ก่อนหน้านั้นก็ทำผมจะตายทั้งเป็นแล้ว ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องเลวร้ายเหมือนคราวก่อนอีกแล้วนะครับ”

          ที่จริงเขาก็รู้อยู่แก่ใจ รวมถึงตัวเนเองก็เป็นห่วงสิทธิ์เหมือนกัน แต่พอเห็นหนุ่มใหญ่เป็นห่วงเจ้านายตนมากเสียเหลือเกิน มักก็อดน้อยใจขึ้นมาไม่ได้

          “มันไม่เป็นแบบนั้นหรอกครับ เพราะงั้นไงถึงให้พี่ก้องกับพี่ฤทธิ์มาคุ้มกันผม ใช่ไหมล่ะครับ ผมก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนคนเดียวด้วย อย่าห่วงผมเลยครับ ผมห่วงอามากกว่านะครับ” สิทธิ์รีบพูดหวังให้อีกฝ่ายเลิกกังวล “…อาอย่าห่วงเลยครับ อีกไม่นานมันก็จะจบพร้อมกับข่าวดีแล้ว”

          “…ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้น” แลดูวัฒน์จะไม่เชื่อเท่าไหร่นัก แต่พอเห็นสายตามุ่งมั่นของเจ้านาย เขาก็ได้แต่ยอมตกลง “ถ้างั้นผมกับเนกลับก่อนละกัน…พักผ่อนให้เยอะๆนะครับ แล้วก็อย่าไปทำอะไรให้กระทบกระเทือนกับแผลด้วยล่ะ เดี๋ยวมันจะหายช้า ถ้าให้ดี กินยาไม่ก็ประคบด้วยล่ะครับ”

          “ครับ เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มตอนเสียงอ่อน “น่า อาอย่าเป็นห่วงผมนักเลยครับ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ผมว่าอารีบกลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่านะ งานเยอะไม่ใช่หรือครับ เดี๋ยวอานั่นล่ะจะล้มหมอนนอนเสื่อไปเสียก่อน”

          “นะ…นั่นสิครับ งานยังค้างอยู่อีกนี่ครับ เดี๋ยวทิ้งงานนานมันจะไม่ดีไม่ใช่หรือครับ คุณเป็นคนบอกเองนี่ว่าต้องรีบทำให้เสร็จในอาทิตย์นี้น่ะ” เนโพล่งเสียงตื่น ลนลานเสียจนคนมองพากันแปลกใจ เพียงแต่วัฒน์มีความไม่พอใจร่วมด้วย เพราะเด็กหนุ่มออกอาการเหมือนอยากจะรีบกลับเสียเหลือเกิน ทั้งที่หนุ่มใหญ่อยากจะอยู่ต่อให้นานกว่านี้อีกแท้ๆ

          “ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนละกัน” เมื่อแต่ละคนอยากให้ตนกลับ วัฒน์จึงเอ่ยลาด้วยความเสียอกเสียดาย “หายเร็วๆนะครับ”

          “ครับ กลับบ้านดีๆนะ” สิทธิ์โบกมือให้อีกฝ่าย ยืนส่งหนุ่มใหญ่จนกระทั่งปิดประตูบ้าน

          “เป็นอะไรของนาย” หลังจากกลับขึ้นรถแล้ว วัฒน์ก็ถามคนที่ยังนั่งหน้ามุ่ยไม่เลิก เขาไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าเด็กบ้านี้จะพูดเพราะอยากรีบกลับไปทำงานเอาวันนี้

          เนเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีหวาดหวั่น แต่ยังคงแบะปากแสดงอาการไม่พอใจ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

          “ผมก็แค่...ไม่ชอบใจที่คุณเป็นห่วงคุณสิทธิ์”

          “หา” ร้องลั่นรถเลยทีเดียว “พูดบ้าอะไรของนาย แล้วนายไม่ห่วงคุณสิทธิ์เลยหรือไง”

          “ห่วงสิครับ แต่ไม่ได้เวอร์เหมือนคุณสักหน่อย” เด็กหนุ่มกระแทกเสียงใส่ “ผมรู้นะว่ามันบ้า แต่ผมหึงนี่นา”

          เออ โคตรบ้า

          “ผมก็ไม่ได้จะห้ามหรอกนะครับ แต่ผมว่าคุณห่วงคุณสิทธิ์มากเกินไปแล้ว” เนบอกต่อด้วยเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ “คุณกะจะเปลี่ยนผ้าอ้อมให้คุณสิทธิ์ไปตลอดชีวิตเลยหรือไง เขาก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะครับ”

          เปรียบซะไม่กล้าจินตนาการภาพตามเลยทีเดียว

          วัฒน์อ้าปากเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็มีแต่เสียงถอนหายใจออกมาแทน

          “อยู่ๆมาบอกปุบปับแบบนี้ทำไม่ได้หรอก ก็ทำมาตั้งแต่เห็นหน้ากันแล้วนี่ ยังไงฉันก็เห็นคุณสิทธิ์เหมือนลูก จะโตแล้วยังไงก็ห่วงอยู่ดี” วัฒน์บอก รู้สึกยุ่งยากใจยังไงชอบกล “...นายจะขี้หึงเกินเหตุไปแล้วนะ”

          “ก็ไม่ได้อยากหรอกน่า” เนแหววใส่เสียงขุ่น “...ทีคราวก่อนผมโดนไอ้เดชชกเอา ไม่เห็นคุณจะห่วงผมแบบนั้นบ้างเลย”

          วัฒน์เลิกคิ้วเหล่มองเด็กหนุ่มที่ยังนั่งหน้ามุ่ย จากนั้นก็หัวเราะหึหนึ่งทีแต่ดังชัดเจนจนเนหันมาตีหน้ายักษ์ใส่

          “อยากให้ฉันทำกับนายเหมือนกับที่ทำกับคุณสิทธิ์หรือไง”

          ไม่ต้องตอบ แค่เหลือบเห็นคนที่ออกอาการลุกลี้ลุกลนด้วยใบหน้าแดงเถือกก็ชัดเจนมากพอแล้ว

          “เปล่าสักหน่อย ผมไม่เอาด้วยหรอก น่าอายตายชัก” แก้ตัวน้ำขุ่นๆด้วยหน้าแดงๆพรรค์นั้นใครจะไปเชื่อ “แค่บอกให้คุณลดลงก็เท่านั้น”

          “เออๆ จะพยายาม” ฟังน้ำเสียงที่ตอบออกมาอย่างส่งๆแล้ว เนชักไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ มือถือของหนุ่มใหญ่ก็ดังขึ้นอีกแล้ว “อะไรฉัตร...ว่าไงนะ! แล้วทำไมนายไม่ห้ามล่ะ...เออๆ แล้วจะรีบไป”

          เนชักไม่อยากจะถามแล้ว ยิ่งเห็นวัฒน์เหยียบคันเร่งซะเกือบมืด เขาก็ได้แต่นั่งเงียบๆ จับเข็มขัดนิรภัยแน่น และสวดบทสวดอะไรก็ตามที่จะทำให้ไม่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนขึ้น

          คราวนี้วัฒน์ขับมายังผับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในเครือของสิทธิ์ และไม่ต้องถามอะไรให้มากความ แค่เห็นกลุ่มคนสองคนที่ยืนหน้าปูดหน้าบวมกันที่ตรงหน้าทางเข้าก็ชัดเจนแล้ว แต่ละคนต่างพากันหน้าซีดหน้าเซียวทันทีที่เห็นวัฒน์เดินหน้านิ่งเข้ามา เนเลิกคิ้วมองคนทั้งสองกลุ่ม ซึ่งทั้งหมดแต่งตัวเป็นพนักงานของร้าน แต่ในยามนี้ร้านปิดสนิท และไม่มีลูกค้าใดๆเลย จึงทำให้เบาใจขึ้นมาหน่อยเพราะหากมีคนนอกโดนลูกหลงไปด้วย คงเกิดความวุ่นวายบานปลายไปมากกว่านี้เป็นแน่

          วัฒน์มองฉัตรที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างกลุ่มคนสองกลุ่ม โดยมีต่อกับปาล์มอยู่ด้านหลัง คอยระวังไม่ให้เกิดการวิวาทกันอีก สีหน้าของหนุ่มร่างยักษ์ยามนี้ไม่เหลือเค้าความขี้แกล้งเลยสักนิด ใบหน้านั้นนิ่งเรียบเหมือนกับวัฒน์ไม่มีผิด ทำเอาเนเริ่มรู้สึกขึ้นมาว่าทั้งสองหน้าคล้ายกันจริงๆ และก็ได้แต่ด่าตัวเองว่าทำไมถึงไม่สังเกตเห็นตั้งแต่เนิ่นๆกัน จะได้ไม่ต้องไปหน้ามืดทำเรื่องน่าอายอย่างไปหึงวัฒน์กับฉัตรแท้ๆ

          “เอ้า พูดกันสิว่าพวกแกตีกันทำไม” ฉัตรหันไปบอกเหล่าลูกน้อง แต่ละคนพากันสะดุ้งก่อนจะก้มหน้าก้มตา ทำเอาคนถามนิ่วหน้าขึ้นมา “ไอ้ตอนมีเรื่องกล้าทำ แต่พอโดนจับได้มายืนปอดแหกกันเรอะ ถ้าเป็นสมัยคุณมาโนชพวกแกไม่ได้มายืนสำนึกผิดกันอยู่ตรงนี้หรอกนะ”

          ซึ่งแม้เนจะไม่เคยเห็น แต่ดูจากอาการสั่นเป็นเจ้าเข้าของแต่ละคนแล้ว พ่อของสิทธิ์คงจะโหดน่าดู

          “ก็มันไม่ถูกนี่...” ชายคนหนึ่งที่อายุราวสามสิบกว่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดสั่น “ที่คุณสิทธิ์ทำน่ะ”

          วัฒน์เพียงแต่เลิกคิ้วและเงียบมองอีกฝ่ายเพื่อรอฟังต่อ แต่ไม่รู้ว่าสีหน้าของลุงแกเหมือนพร้อมจะชักปืนขึ้นมาเป่าทันทีที่ได้ฟังเหตุผลหรือเปล่า ถึงทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าจะพูดนัก ทำให้ฉัตรต้องจัดการเข้าไปเค้นคอแทน

          “ผมว่ามันแปลกออกนี่ครับ” เขาโพล่งก่อนที่หนุ่มใหญ่ร่างยักษ์จะเดินเข้าไปถึงตัว “ต่อให้พวกเราพยายามเปลี่ยนไปทำให้งานที่เราทำอยู่มันถูกต้องแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเดิมทีมันก็เป็นงานสกปรก แล้วจะเปลี่ยนให้มันครึ่งๆกลางๆแบบนี้ทำไมกันล่ะ สู้ให้มันสกปรกไปเลยยังจะดีกว่านี่ครับ ทำแบบนี้ไปก็ไม่เห็นจะได้อะไรสักหน่อย แถมเงินก็ได้น้อยลงด้วย”

          หนุ่มใหญ่นิ่วหน้าเล็กน้อย และทั้งที่ไม่ได้มีหลักฐานอะไรเลย แต่เขากลับนึกถึงเดชขึ้นมา เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะครอบครองสมบัติของสิทธิ์จริงๆ วัฒน์เริ่มนึกถึงคำพูดของเดช ก่อนที่เขากับอีกฝ่ายจะแตกหักกัน

          ‘นายไม่คิดจะค้านบ้างเลยหรือไง ความคิดของคุณสิทธิ์มันงี่เง่ามากเลยนะ’

          ทีแรกวัฒน์ก็ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจังอะไรกับคำพูดของเด็กสิบขวบ เลยไม่ได้นึกใส่ใจนัก แต่พอมาคิดๆดูถึงการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมาของเดชมันก็ฟังดูเข้าเค้าพอสมควร ทั้งเรื่องที่ชวนเขาไปร่วมด้วยทั้งที่วัฒน์ปฏิเสธมาตลอด ทั้งสันดานเดิมของเดชที่เขารู้จักดี

          จากที่กำลังมีอารมณ์ เมื่อเห็นวัฒน์ที่ยืนนิ่งอยู่เสียนานยิ้มขึ้นทุกคนก็พากันค้างนิ่ง เพราะนั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่น่าดูนัก หากแต่มันน่ากลัวและทำเอาขนลุกเกรียว

          “ถ้าไม่พอใจนัก จะลาออกไปก็ได้นะ” หนุ่มใหญ่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่ยังคงยิ้มอยู่ ซึ่งทำเอาคนมองรู้สึกกลัวมากๆ แม้แต่เนเองยังนึกหวั่นไปด้วย “กลุ่มอื่นที่เขาทำงานแบบที่พวกนายต้องการก็มีเยอะแยะ ทำไมไม่เข้าไปเสียล่ะ พวกเราเองก็รู้จักกลุ่มพันธมิตรที่ดำเนินการแบบนี้อยู่ จะให้ฉันฝากพวกนายให้ก็ได้นะ”

          มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ วัฒน์หันมองคนที่ใจกล้าเอ่ยเหตุผลกับเขา ก่อนจะเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่กลับมานิ่งเหมือนเดิม ชายคนนั้นถึงกับผงะและถอยหนี แต่พรรคพวกที่อยู่ด้านหลังกลับไม่ยอมและผลักกลับให้ไปรับหน้าวัฒน์

          ซึ่งหนุ่มใหญ่ก็หาได้ยกปืนขึ้นจ่อหัวใส่แต่อย่างใดนอกจากยืนมองเฉยๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้คนที่เผชิญหน้าแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว

          “จะกลัวอะไรล่ะ นี่ฉันพูดจริงๆนะ” ซึ่งเนก็เห็นว่าลุงแกพูดจริงนั่นล่ะ เพียงแต่สีหน้าที่ดูภูมิใจนำเสนอของวัฒน์อาจจะดูไม่คุ้นตากับคนอื่นกระมัง แต่ละคนถึงได้ทำหน้าหวาดหวั่นเพราะคิดว่าอีกฝ่ายพูดประชดกันมากกว่า “จะให้โทรไปติดต่อตอนนี้เลยก็ได้ รับรองว่าฝากวันนี้พรุ่งนี้ได้เลยด้วย ว่าไงล่ะ”

          กลายเป็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบเสียอย่างนั้น

          “ฉันไม่โกรธแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรที่พวกนายคิดแบบนั้นหรอกนะ” เมื่อเห็นลูกน้องเอาแต่สั่นไม่เลิก วัฒน์จึงพูดขึ้นต่อ “แต่ ฉันอยากจะบอกให้รู้ไว้ ว่าเหตุผลที่คุณสิทธิ์ทำแบบนี้ ก็เพราะเขาไม่เคยเห็นว่าพวกนายเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่จะคอยบังคับให้ทำตาม สิ่งที่ต้องการ แต่เห็นเป็นคนในครอบครัว ถ้าไม่ชอบหรือคิดว่าเงินมันสำคัญกว่าก็ออกไปได้เลย คุณสิทธิ์ไม่เคยบังคับให้พวกนายอยู่เลยสักคน มีตั้งหลายคนที่ออกไปทำงานอื่น และฉันรับรองให้เองว่าจะไม่มีผลอะไรในภายหลังด้วย”

          ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ หากแต่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความลังเลและหวาดหวั่นนั้นหายไปแล้ว

          “เอ้า สรุปไม่ออกแล้วหรือไง เห็นทีเมื่อกี้ยังตีกันจะเป็นจะตายอยู่เลย” เมื่อแต่ละคนเอาแต่เงียบ ฉัตรจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายียวนกวนส้นเท้าเช่นเดิม “ไง ไม่ไปละเหรอจ๊ะ”

          คนที่ออกปากบอกเหตุผลทำหน้าเบี้ยวเล็กน้อยก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น

          “ฉันไม่เคยพูดสักหน่อยว่าอยากออก”

          “แต่ถ้าอยากออกเมื่อไหร่ก็บอกละกัน ฉันจะได้จัดการให้”

          เนรู้ว่าวัฒน์แค่ตั้งใจจะเสนอทางเลือกให้อีกฝ่ายเฉยๆ แต่สงสัยหน้านิ่งไปกระมัง คนฟังถึงพากันออกอาการกระอักกระอ่วน

          “ไม่ออกหรอกครับ ผมก็ทำงานที่นี่มานาน...เอาเข้าจริงๆ ถึงตอนนี้จะได้เงินน้อยลง แต่ก็มีความสุขกว่าเมื่อก่อนเยอะ” ชายหนุ่มบอกเสียงลนก่อนจะลดเสียงลงทีละน้อย “...พวกผมผิดไปแล้วที่หลงผิดคิดแต่เรื่องเงิน...”

          “ถ้าเดือดร้อนเรื่องเงิน ก็บอกกันก็ได้...ถ้าไม่ได้เอาไปทำเรื่องเข้าตัวเองน่ะนะ” วัฒน์บอกต่อแล้วถอนหายใจ แต่ไม่วายยังพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงต่ำเหมือนขู่กลายๆ จนอีกฝ่ายไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี “แต่ถ้าอยากไปทำงานอื่นจริงๆก็บอก คุณสิทธิ์เขายินดีอยู่แล้ว”

          เนก็อยากจะบอกลุงแกจริงๆว่าถ้าหวังดีนักก็เลิกฆ่าคนด้วยสีหน้าได้แล้ว

          “แหม่ สมกับเป็นพระเอกจริงๆ มาทีเดียวจบเรื่องเลย” หลังจากแยกย้ายกันไปเหลือแค่กรรมการห้ามมวย ฉัตรก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเริงร่า หากแต่คนโดนชมกลับดูไม่ดีใจนัก “เป็นอะไรหรือ”

          “ฉันว่าจะไปดูที่อื่นที่ไอ้แว่นนั่นเป็นคนดูแลอยู่หน่อย” วัฒน์บอกเสียงเรียบ “ฉันก็ไม่รู้ว่าแค่พูดมันจะได้ผลหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็อยากจะบอกให้จบเรื่องไป จะได้ไม่ต้องมาตีกันแบบนี้อีก”

          “ก็จริงของนายละนะ ไอ้เดชคงเที่ยวกล่อมคนอื่นไปทั่ว พูดให้ชัดๆไปเลยก็น่าจะดีกว่า” ฉัตรเปรยเสียงเนือยเพราะนั่นหมายความว่าต้องทำงานหนักอีกแล้ว “ถ้ายังไงก็แยกย้ายกันไปประกาศไหม จะได้เร็วขึ้นด้วย”

          ฉัตรชะงักเล็กน้อยเมื่อรอบนี้อีกฝ่ายไม่ได้หน้านิ่งเหมือนเมื่อครู่ หากแต่กลับเหยียดยิ้มกว้าง ซึ่งทำเอาคนมองหนาวสันหลัง

          “ฝากด้วยล่ะ ให้เสร็จในคืนนี้ยิ่งดี”



________________________________________________
ได้ยาถ่ายละ ฮิ้วว \=w=/ รู้สึกโล่ง ฮา

คง เพราะใกล้จบแล้วมันจะมีอะไรให้คิดเยอะ เลยเกิดอาการเหมือนพอกำลังคิดเรื่องนี้ มีเรื่องอื่นมาตีกันอยู่ในหัว เลยเกิดอาการแลคไปบ้าง ต้องขออภัยด้วยงับ ;w;

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
 :z13: :z13:
------------------------
อิเน 5555 หึงได้น่าตบกะโหลกมาก  :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-12-2015 16:17:18 โดย boboman »

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ฮาเนอะนี่ขยันหึงจริงจัง แล้วพอมาทำง้องแง้งใส่ลุงแกลุงแกก็รับปากแบบส่งๆอีก น่าสงสาร ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :pig4: ไม่รู้จะเม้นอะไรอ่ะ

คาดว่าอยู่ในอาการเดียวกับลูกน้องทั้งหลาย  :mew5: (อย่าจ้องเค้าแบบนั้น เค้ากลัว 555)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
รู้สึกงานจะเข้า

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 78


          “คิดว่ามันจะได้ผลหรือเปล่าครับ”

          วัฒน์หันมองคนที่นั่งอยู่ข้างตนบนรถก่อนจะหันกลับไปมองถนน ซึ่งตอนนี้รถของตนรายล้อมไปด้วยรถมากมายที่กำลังรอสัญญาณไฟเขียวมาร่วมสิบนาทีแล้ว ท่าทีของเนดูกังวลและกระสับกระส่ายเอาการ ซึ่งหนุ่มใหญ่ก็ไม่ได้แปลกใจนัก

          เพราะหลังจากแบ่งหน้าที่กับฉัตร วัฒน์ก็ใช้เวลาตอนกลางคืนส่วนใหญ่ตะลอนไปตามผับ บาร์และอาบอบนวดในเครือเพื่อประกาศเจตจำนงของสิทธิ์ รวมถึงเสนอทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากจะเดินร่วมทางกับสิทธิ์เต็มที่ แต่ไม่รู้เพราะกลัววัฒน์หรืออย่างไร แต่ละคนถึงลังเลและไม่ได้ให้คำตอบกันในทันทีเท่าใดนัก ซึ่งนั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่น่าพอใจเลยสักนิด

          “จะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ช่างปะไร” คำตอบทำเอาเนถลึงตาใส่ “เพราะที่ฉันต้องการคือความปลอดภัยของคุณสิทธิ์ และถ้าตัดกำลังศัตรูไปได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี…ยกเว้นเสียแต่พวกนั้นจะยอมร่วมมือกับไอ้แว่นนั่นน่ะนะ…”

          ฟังจากน้ำเสียงแล้วเนไม่กล้าจะคิดภาพตามเลยทีเดียว

          “แต่ส่วนใหญ่ที่เป็นคนเก่าคนแก่เองก็ไม่คิดจะแทงข้างหลังคุณสิทธิ์นักหรอก เพราะได้รับความช่วยเหลือกันมาเยอะ ถ้าเป็นคนใหม่ๆเองก็เลือกเงินที่ไม่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว ยังไงก็ดีกว่าไปอยู่กับไอ้เดชแน่นอน…คงมีไม่กี่คนหรอกที่จะเลือกทางตายกันน่ะ”

          ลุงแกมั่นมากว่าใครไปเข้าพวกเดชนี่คือไม่รอดแน่นอน…แต่ดูทรงก็คงจะใช่อยู่

          “แต่อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะนะ…” ดวงตาเรียวนั่นดูสงบนิ่ง ราวกับไม่ยี่หระต่ออนาคตที่ดูไม่สู้ดีนัก ทั้งยังฉีกยิ้มพราย ดูชั่วร้ายเสียจนน่ากลัว “ฉันรอให้มันมาถึงไม่ไหวเลยล่ะ…”

          “นั่นสินะครับ” เนได้แต่ตอบอย่างหวั่นใจ ไม่อยากให้มันนองเลือดเท่าใดนัก “ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้วนี่…”

          วัฒน์หันกลับไปมองคนที่หงอยลงอีกครั้ง ก่อนจะเลิกคิ้ว

          “เป็นอะไร” เห็นอีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบแล้วทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เลยอดถามไม่ได้

          เนเหลือบมองมาทางตนด้วยท่าทางเหมือนลูกหมามีความผิด คิดอยู่นานกว่าจะยอมเอ่ย

          “มะ…ไม่มีอะไรหรอกครับ…แอ้ก!” ตอบไม่ทันจบก็โดนคนนั่งข้างจับหน้าหันมาหา พอเห็นสีหน้านิ่งที่ติดไปทางหงุดหงิดของหนุ่มใหญ่ จากที่พูดไม่ค่อยจะออก ยิ่งไม่กล้าพูดเข้าไปใหญ่

          “ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่ามีอะไรก็ให้บอกตรงๆ” วัฒน์เอ่ยเสียงเขียว ก่อนจะบีบหน้าเด็กหนุ่มแน่นเสียจนเจ้าตัวเริ่มรู้สึกระบม “มีอะไรก็พูดมาสิ”

          เนนิ่วหน้ามอง ท่าทางเหมือนยังไม่อยากจะพูดเท่าใดนัก เลยโดนมือที่จับหน้าเปลี่ยนเป็นหยิกแก้มเสียยืดแทน

          “โอ๊ยๆ อู้ดแอ๊วๆ” เนบอกเสียงอู้อี้ ก่อนจะปัดมืออีกฝ่ายออก แล้วจับแก้มบวมๆของตัวเอง “ผมก็แค่คิดว่าตอนนี้พวกเรายุ่งกันมาก…อาจจะไม่ได้พักกันอีกนาน…แต่ผมก็เข้าใจว่างานต้องมาก่อน…”

          วัฒน์มองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะถึงบางอ้อ และนั่นทำเอาคนที่กำลังหงุดหงิดถึงกับหน้าแดง จากนั้นก็หัวเราะแบบไม่มีเกรงใจ

          “อีกวันเดียวก็ทนไม่ได้แล้วหรือไง” แม้อันที่จริงระยะเวลาการงดกิจกรรมบนเตียงก็นานพอสมควรเพราะช่วงนี้ก็ยุ่งกัน แต่เพราะยุ่งมากนี่ล่ะ ถึงได้ไม่ว่างไปคิดเรื่องอย่างว่านัก เขาเลยคิดว่าอีกฝ่ายที่ยุ่งไม่ต่างจากตนก็คงไม่มีอารมณ์เท่าไหร่ด้วย

          “ปกติผมเคยเว้นนานขนาดนี้เมื่อไหร่ล่ะ ทุกวันสามเวลาหลังอาหารด้วยซ้ำ” ได้ยินอีกฝ่ายพูดแล้ววัฒน์ก็เริ่มสยองขึ้นมา เพราะกลัวเด็กหนุ่มจะหน้ามืดอีกเหมือนเมื่อครั้งก่อนๆ “...แต่มันลดลงจนอดทนได้แล้วล่ะครับ...ยิ่งได้คบกับคุณแล้วก็ไม่อยากทำกับใครนอกจากคุณคนเดียวนั่นล่ะ...”

          นี่คือการอ้อนขอทางอ้อมหรือเปล่าฟะ

          “ตะ...แต่ถ้ายุ่งมากจะผลัดไปก่อนก็ได้นะครับ ผมไม่ได้ทนไม่ไหวขนาดนั้น” พอเห็นหนุ่มใหญ่นั่งคิดนาน เนก็รีบตอบเสียงลนด้วยความเกรงใจแต่เสียดายแบบไม่มีปิดบัง “ผมรอได้อยู่แล้วล่ะครับ...”

          อะไรคือบอกว่าไม่เป็นไรแต่ทำเสียงน้อยใจฟะ

          แต่วัฒน์ก็พูดไม่ออกเท่าใดว่า ‘ว่างอยู่แล้ว’ เพราะตอนนี้งานก็เยอะมากจนสามสี่วันมานี้แทบจะกลับบ้านเกือบห้าทุ่ม แม้จะเป็นเพราะต้องมานั่งรอไฟแดงอยู่ชั่วโมงกว่าก็ตาม

          “เน”

          เจ้าของชื่อที่นั่งเป็นหมาเซื่องๆ หันมองคนที่เรียกตน ซึ่งวัฒน์เพียงแต่กระดิกนิ้วด้วยใบหน้านิ่งเหมือนต้องการให้เนเข้าไปหา

          และทันทีที่ชะโงกหัวเข้าไป เนก็เจอการโจมตีทางริมฝีปากแบบไม่ทันตั้งตัว

          “...เอามัดจำไปก่อนแล้วกัน” หนุ่มใหญ่บอกก่อนจะหันไปมองทาง ใบหน้านั้นแดงก่ำเสียจนชัดเจน

          เนที่มีอาการไม่ต่างจากอีกฝ่ายมองวัฒน์อย่างไม่อยากจะเชื่อนัก ก่อนจะหน้าเบี้ยว

          “แบบนี้เขาไม่เรียกว่ามัดจำสักหน่อยครับ เขาเรียกว่ากระตุ้นให้หน้ามืดกว่าเดิมสิไม่ว่า” เด็กหนุ่มกลับโวยวายใส่เสียอย่างนั้น “คนอุตส่าห์ทนมาได้ตั้งนาน”

          “เอ้า นี่ฉันผิดเรอะ” วัฒน์ย้อน แต่ยังไม่ทันจะออกอาการหัวเสีย ก็เงียบลงเพราะโดนอีกฝ่ายดึงตนเข้าไปกอดเสียแน่น “เอ๊ย เดี๋ยวสิว้อย อึก...”

          หนุ่มใหญ่ร้องเสียงหลงเพราะนอกจากกอด อีกฝ่ายยังมาซุกไซ้ซอกคอแถมทั้งดูดทั้งเลียจนสะท้านไปหมด ครั้นจะถอยหนีที่ก็แคบเสียเหลือเกิน บวกกับแรงควายของอีกฝ่าย วัฒน์เลยทำได้แค่ขืนหนีอย่างเสียเปล่าเพียงเท่านั้น...และไปๆมาๆก็ชักจะไม่ อยากสู้กลับชอบกล เพราะเว้นว่างไปนาน เลยทำให้ความรู้สึกคิดถึงมันดึงเข้าหาอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น ทั้งที่บอกตัวเองว่าตอนนี้อยู่ในรถท่ามกลางถนนที่มีรถคันอื่นเต็มไปหมดก็ตาม

          “แบบนี้สิครับ ถึงเรียกว่ามัดจำ” หลังจากเล่นงานเสียจนคนขับระทวย เด็กหนุ่มก็เอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนยังไม่พอใจนัก “แต่วันเสาร์ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะครับ ผมเข้าใจ”

          นี่ขนาดเข้าใจยังเล่นซะฉันเหยียบคันเร่งไม่ออก ถ้าไม่เข้าใจแกไม่ปล้ำฉันบนรถเลยเรอะ

          “ไอ้บ้าเอ๊ย” วัฒน์ไม่รู้จะด่าอะไรดีนอกจากคำนี้ จะไปหาว่ามันฉวยโอกาสก็ใช่ทีเพราะเมื่อครู่นี้ตนก็เป็นคนดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบก่อนด้วย

          เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาก่อนที่วัฒน์จะคิดหาคำด่าอื่นต่อ หนุ่มใหญ่มุ่นคิ้วมองเบอร์ก่อนจะกดรับ “ว่าไง...อืม...อืม...เข้าใจแล้ว...ฝากด้วยละกัน...แล้วเดี๋ยวฉันจะจัดการต่อเอง”

          ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เห็นสีหน้าหมดอาลัยตายอยากของวัฒน์ เนก็รู้สึกไม่ดีเท่าใดแล้ว

          “ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอก” วัฒน์ว่าแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย “ฉัตรแค่มาบอกว่า พวกคนงานหลายคนที่จะไม่อยู่ต่อ รวมตัวกันมาจะขอให้ทำเรื่องย้ายงานให้ แค่นั้นเอง”

          ตอนนี้เนชักเข้าใจความหมายของสีหน้าของวัฒน์แล้ว

          “ท่าทางนัดวันพรุ่งนี้คงต้องผลัดไปก่อน...นะ”

          เนก็เข้าใจอยู่ แต่พอเห็นอีกฝ่ายบอกด้วยท่าทีรู้สึกผิดเสียเต็มทนแล้วไม่รู้ทำไมอยากงอนต่อ เสียอย่างนั้น...ก็ไม่ค่อยจะโดนง้อเท่าไหร่นี่นะ

          “...ผมเข้าใจครับ” เนบอกแล้วพยายามทำเสียงสลดที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะหันไปมองทางอื่น ในใจก็หวั่นกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ว่าตนแกล้งงอน

          ซึ่งวัฒน์ก็สงสัยอยู่จริงๆนั่นล่ะ เพราะน้ำเสียงของเจ้าเด็กบ้านี่มันติดสั่นเหมือนกลั้นหัวเราะมากกว่า หนุ่มใหญ่เลยแอบมองสีหน้าเด็กหนุ่มทางกระจกหน้าต่างรถ ซึ่งก็พบความจริงจนน่าเขกหัวอีกฝ่ายที่ทำตัวไม่เข้าเรื่อง...แต่ในเมื่ออยากให้ง้อนักก็จัดไป

          “น่า ฉันก็ไม่ได้อยากผิดนัดนายนะ อย่าโกรธฉันเลย ฉันขอโทษ” วัฒน์แกล้งง้อด้วยเสียงหวานจนเนนิ่วหน้ากับมิติใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน “หายโกรธฉันเถอะนะ จะให้ทำอะไรก็ได้ น้า”

          ถึงกับหันขวับมาด้วยใบหน้าหมาเห็นเนื้ออย่างลืมตัวทันที และก็โดนดีดมะกอกใส่ทีเผลอจนถึงกับร้องโอดโอย

          “นึกว่าฉันจะไม่รู้หรือไง ว่านายแกล้งงอน” วัฒน์กลับมาทำหน้านิ่งอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจ จากนั้นก็เริ่มสนใจถนนตรงหน้าเพราะไฟเริ่มเขียวสักที “หัดทำสีหน้านิ่งๆหน่อยเถอะ ฉันมองเห็นผ่านกระจกก็รู้หมดว่าคิดอะไรอยู่”

          เด็กหนุ่มหน้าเสียที่พลาดพลั้งกับเรื่องง่ายๆ ก่อนจะทำหน้าหงอยลงจนวัฒน์ขำอยู่ในใจ

          “แต่ชดเชยกับที่ผิดนัด จะให้ทำอะไรก็ได้จริงๆนะ...แต่อยู่ในขอบเขตที่ฉันยอมรับได้เท่านั้นนะว้อย” วัฒน์รีบบอกดักคอเมื่อเห็นอีกฝ่ายกลับมาตีหางผับๆอีกครั้ง
         
          “...อะไรก็ได้จริงๆนะ”

          “เออ เท่าที่ฉันรับได้” วัฒน์ชักกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินข้อแม้เสียแล้ว...ดูตามันนี่เป็นประกายจนน่าสยองเลยทีเดียว

          “ผ...ผมไม่ขอให้ทำอะไรไม่ดีหรอกน่า” แต่ท่าทีลุกลี้ลุกลนจนไม่อยากเชื่อเลยว่ะ “...เอาเป็นว่า เรารีบทำงานให้เสร็จเร็วๆดีกว่าเนอะ”

          ตอนนี้ฉันชักไม่อยากจะให้วันที่ตัวเองว่างงานมาถึงไวๆยังไงชอบกลแล้วว่ะ...

 

          อันที่จริง เดชก็ไม่ได้หวังว่ามันจะสำเร็จอย่างที่วางแผนนัก แต่พอเห็นผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามคาดหมายเลยสักนิด มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้ ยิ่งโดยเฉพาะ ผลงานที่ดำเนินการมาด้วยดีตั้งนาน กลับพังไม่เป็นท่าเพียงไม่ถึงสัปดาห์เช่นนี้ แค่เพราะพวกวัฒน์ไปประกาศเจตนารมณ์ของสิทธิ์กับเสนอทางเลือกให้ไปทำงานที่อื่นหากต้องการเงินมากกว่า ซึ่งหากพวกที่เลือกอย่างหลังเป็นส่วนใหญ่มันก็ดีกับเขาที่จะลดกำลังของอีกฝ่าย แต่ทุกอย่างกลับไม่ใช่เช่นนั้น คนส่วนมากยังคงเลือกที่จะอยู่กับสิทธิ์ ยิ่งคนเก่าคนแก่ยิ่งไม่มีใครแปรพักตร์หรือตีตัวออกห่างจากสิทธิ์สักคน ไม่ต้องพูดเรื่องที่มาทางเขาเลย

          บางที เขาอาจจะดูแคลนความไว้ใจของพวกลูกน้องที่มีต่อสิทธิ์มากไปหน่อย

          “เอาไงดีละครับ มีแต่พวกงี่เง่ากันทั้งนั้น” ลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งเอ่ยถามเจ้านายที่นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะในห้องทำงานของบ้าน “...ถ้าพวกผมพูดเกลี้ยกล่อมให้ดีกว่านี้ละก็...”

          “มันไม่ใช่ความผิดของแกคนเดียวหรอก” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างเย็นเยียบ ดวงตาคมเลื่อนมองเอกสารรายชื่อลูกน้องของสิทธิ์ตรงหน้าตน “ฉันเองก็ไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อนว่าในกลุ่มตอนนี้เหลือแต่พวกที่ยังภักดีกับไอ้ เด็กนั่นจริง แค่เหยื่อล่อตัวเล็กๆ ทำให้พวกมันเอนเอียงมาทางเราไม่ได้หรอก”

          เดชมุ่นคิ้วอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจ เขารู้ว่านั่นไม่ใช่สาเหตุหลักที่แผนของตนล้มเหลวหรอก

          ก็เพราะโดนความจริงใจของไอ้เด็กนั่นเล่นงานเอาน่ะสิ ถึงได้เป็นแบบนี้ ใจคนเรามันหันเหโลเลง่ายจะตาย แต่ถ้าไม่เพราะเสาหลักที่พวกนั้นยึดอยู่ในใจมั่นคงนัก ทุกอย่างก็คงจะง่ายกว่านี้

          เขาลอบยิ้มออกมาทั้งที่แผนไม่เป็นไปตามที่หวัง ทำเอาเหล่าลูกน้องพากันสงสัย แต่รอยยิ้มของเจ้านายนั้นน่ากลัวเกินกว่าที่พวกเขาจะกล้าอ้าปากถาม

          “แล้วตอนนี้ทางฝั่งวัฒน์เป็นไงบ้างล่ะ”

          ลูกน้องที่รับผิดชอบเรื่องนี้ สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก

          “ตอนนี้คุณวัฒน์ทำเรื่องย้ายคนที่จะทำงานที่อื่นไปยังกลุ่มพันธมิตรอยู่น่ะครับ เขาเป็นคนเดินเรื่องกับกลุ่มอื่นเรื่องย้ายคน ส่วนฉัตรกับดิเรกก็จัดการพาคนไปแนะนำกับกลุ่มที่จะไปทำงานด้วยน่ะครับ”

          “งั้นหรือ ก็ดี” เดชเอ่ยอย่างพึงพอใจ แล้วมองไปยังเอกสารบนโต๊ะ แล้วหยิบมันขึ้นมาดูอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะเปิดดูประวัติของเนไปเรื่อย “ตอนนี้ปล่อยให้พวกนั้นคิดว่าเดินเกมเหนือกว่าไปก่อนละกัน”

          ใช่...ปล่อยให้มีความสุขกันไปก่อน...เพราะอีกไม่นานมันก็จะพังทลายลงมาแล้ว

______________________________

รบกวนผู้อ่านที่สนใจเรื่องรวมเล่มช่วยทำโพลเกี่ยวกับตอนพิเศษที่จะใส่ในเล่มด้วยงับ =w=

ที่โหวตงับ

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 79


          เหนื่อย...

          วัฒน์อยากจะตะโกนคำนี้ใจจะขาด เสียแต่หมดแรงเกินกว่าจะเอ่ยคำนั้น...หรือจริงๆเพราะอึ้งกับข่าวดีของเจ้านายจนหมดแรงก็เป็นได้

          เพราะมัวแต่ยุ่งกับงานหลักงานราษฎร์งานหลวง วัฒน์เลยไม่รู้เรื่องที่สิทธิ์พาเดียร์ น้องชายของวิน ไปเปิดตัวว่าเป็นคนรักไปทั่วราชอาณาจักร สร้างความตื่นตระหนกและหวาดผวาไปทั่วแก่ผู้รู้ข่าว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะสิทธิ์ไปคบน้องของคู่กัดนี่ล่ะ จะไม่ให้กลัวและแปลกใจกันได้อย่างไร แม้แต่วัฒน์เองก็อึ้งไม่แพ้กัน เพราะเขารู้ดีว่าการที่สิทธิ์ลงทุนทำขนาดนี้ แสดงว่าจริงจังกับอีกฝ่ายแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการแก้แค้นเท่านั้น

          นั่นก็เป็นเรื่องดีอยู่...ถ้ามองในเรื่องผลประโยชน์มันก็ดีอยู่จริงๆนั่นละนะ แต่มองในแง่ที่ว่าวินจะต้องคัดค้านหัวชนฝาและต้องหาทางขัดขวางแล้ว มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ

          แต่ในเมื่อหัวหน้าแสนดื้อตัดสินใจไปแล้ว เขาจะไปห้ามอะไรได้ อย่างน้อยวัฒน์ก็เชื่อว่าอีกฝ่ายคิดดีแล้วถึงได้กล้าประกาศ เพราะที่ผ่านมาสิทธิ์ไม่เคยพาสาวคนไหนมาออกงานโต้งๆแบบนี้มาก่อนเลย...แต่ไอ้เรื่องหมดแรงก็หมดจริงๆนะ

          และเพราะเห็นเขาใกล้จะตายแล้วอย่างไรก็ไม่ทราบ เหล่าลูกน้องแสนดีเลยพยายามช่วยเคลียร์งานให้วันจันทร์นี้เขาได้หยุดพักเสียบ้าง หลังจากทำงานมาตลอดสองสัปดาห์เต็มไม่มีหยุดพักตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งยันสามทุ่มทุกวัน

          “เอ่อ…ไม่เป็นไรนะครับ” เนเอ่ยถามคนที่นอนพังพาบอยู่บนเตียงอย่างเป็นห่วง ตั้งแต่ตื่นมาและรู้ว่าไม่ต้องไปบริษัท วัฒน์ก็กลับมานอนกลิ้งอยู่บนเตียงตั้งแต่เช้าแล้ว “ผมว่ากินยาหน่อยไหมครับ”

          “...ฉันไม่ได้ปวดหัวสักหน่อย แค่เพลียเฉยๆ พักสักหน่อยก็หายแล้ว” วัฒน์บอกเสียงเนือยพลางโบกมือให้ “ขอโทษนะ...ทั้งที่ว่างแล้วแท้ๆ”

          คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงหน้าขึ้นสีทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะหันไปทางอื่น

          “แค่นี้ผมทนได้อยู่แล้วล่ะน่า คุณก็รีบๆพักสิ จะได้ทำตามสัญญาสักทีไง” เด็กหนุ่มบอกตะกุกตะกักแล้วโยนผ้าห่มตรงปลายเตียงใส่หนุ่มใหญ่

          “จ้าๆ...” ได้ยินเสียงตอบกลับกวนๆที่เหมือนจะหมดแรงนั่น ทำเอาเนเบ้หน้าเพราะมันช่างคล้ายกับเดชเสียเหลือเกิน “นายก็ช่วยดูแลสิ เผื่อฉันจะได้กลับมามีแรงเร็วๆไง”

          เปลี่ยนเป็นปล้ำเลยง่ายกว่าไหม อ้อนแบบนั้นรังแต่จะเพิ่มความหื่นผมเปล่าๆ

          “ผมจำได้ว่ายาที่คุณฉัตรให้มามีวิตามินด้วย เอาสักหน่อยไหมล่ะครับ” เด็กหนุ่มเสนอก่อนจะลุกขึ้นออกไป กลัวใจตัวเองว่าจะเผลอหน้ามืดปล้ำคนหมดแรงจริงๆ

          “ก็ดี”

          “ต้องป้อนให้ด้วยไหมล่ะครับ”

          “ก็ดี”

          “ปากต่อปากเลยไหมครับ”

          “จะบ้าเรอะ!”

          เนหัวเราะในลำคอ ท่าทางหยอกลุงแกจะเพิ่มเรี่ยวแรงมากกว่าให้กินวิตามินอีก

          “ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรหยอดเข้ามือถือผมละกัน เผื่อลุกเองไม่ไหว” ไม่วายยังมีแซวลุงแกหลังจากยื่นแก้วน้ำกับวิตามินให้ ก่อนจะเผ่นแผล็วออกไปจากห้องทันที

          วัฒน์ได้แต่มองเจ้าเด็กช่างปีนเกลียวด้วยความแค้นใจที่ด่าไล่หลังไม่ทัน ก่อนจะกินวิตามินลงคอ และนอนลงอย่างไม่ใส่ใจนักเพราะไม่อยากปวดหัวโดยใช่เหตุอีก

          เนที่เดินละลิ่วลงมาจากชั้นสองหมายจะไปยังห้องครัวถึงกับชะงักเมื่อพบว่ามีแขกอยู่ที่ห้องนั่งเล่น แถมยังมาเป็นแพ็คคู่เหมือนเดิมอีกต่างหาก

          จากที่กำลังระรื่นถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเห็นหน้านิ่งเรียบของศาสตร์ และแม้จะสมหวังแล้ว แต่ว่ากันตามตรง เห็นหน้าสองคนนี้ทีไร เนรู้สึกเหมือนโดนสูบวิญญาณทุกที แถมเจ้าคนหน้านิ่งนั่นยังเคยประกาศสงครามระยะยาวกับตนอีก จะให้สบายใจก็คงจะไม่ไหว อีกทั้งท่าทีของศาสตร์ที่แม้มองเผินๆเหมือนจะนิ่งเฉย แต่เนก็รับรู้ถึงจิตสังหารที่แผ่กระจายมาทิ่มแทงตนยามเมื่อตนเผลอสบตาเข้ากับอีกฝ่าย…เผลอเมื่อไหร่มีหวังโดนเล่นงานเป็นแน่

          “อะไร้ เห็นหน้ากันแล้วยืนนิ่งเลยหรือ พวกฉันไม่ได้จะมาจีบอาวัฒน์สักหน่อยนา” จริงๆพี่แกก็กวนส้นเท้าคล้ายกับฉัตรอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมเนสวนกลับไม่ค่อยจะถูกนัก “โอ๊ะ ลืมไปว่าฉันคนเดียวที่คิดแบบนั้น”

          เนละกลัวว่าศาสตร์จะอัดหน้าโค้กเหลือเกิน

          “มีธุระอะไรหรือครับ ถ้าจะคุยกับคุณวัฒน์ เขาหลับอยู่น่ะครับ”

          “หลับอยู่หรือหวงไม่อยากให้คนแถวนี้ไปหาล่ะ” ได้ยินโค้กแซวแล้วเนไม่แน่ใจว่าตนควรจะโมโหโค้กหรือจะกลัวศาสตร์ดี เพราะตอนนี้พ่อหน้านิ่งแกเริ่มออกอาการทะมึนขึ้นเรื่อยๆแล้ว “ถ้างั้นก็ฝากนี่ให้เขาหน่อย...อ้อ แล้วก็ฝากบอกว่ามีคนคิดทึ้งคิดถึงอยากเห็นหน้าจะชักอยู่แล้ว ฮ่าๆ”

          ว่าแล้วศาสตร์ก็หมัดขวาตรงใส่โค้กจนได้ แต่ไม่โดน เนเลยเสียดายแทน

          “ครับ...” เนตอบเสียงเนือยพลางรับแฟลชไดรฟ์มาจากอีกฝ่าย “ใกล้จะจบเรื่องแล้วสิครับ”

          โค้กเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มกว้าง จากนั้นก็ยักไหล่ให้

          “รับรองว่าหลังจากนี้นายจะว่างจนเล่นได้ครบทุกร้อยแปดกระบวนท่ากับอาวัฒน์เลยล่ะ”

          ท่าทางพี่แกชอบแหย่ชาวบ้านโดยสันดานจริงๆ! ถ้าไม่เก่งกว่าพ่อซัดไปแล้ว ไอ้เตี้ยเอ๊ย

          “แต่ระหว่างนี้ฉันขอเตือนอะไรนายไว้หน่อยนะ” เพราะแอบด่าในใจอยู่นานสองนาน เนเลยสะดุ้งเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเหมือนขู่แบบนั้น “ไอ้กล้ามันก็ดี หรือจะใจร้อนฉันก็เข้าใจ แต่กับไอ้เดช นายต้องมีสติและใจเย็นกว่านี้ ไม่อย่างนั้นนายจะต้องเสียใจแน่”

          เนมุ่นคิ้วใส่ จริงอยู่ว่าเห็นพลานุภาพของศัตรูมาแล้ว แต่พอโดนเตือนกันตรงๆเหมือนตนจะพลาดพลั้งแน่ๆแล้วมันอดเคืองไม่ได้ชอบกล

          “โอ๊ะ แต่ถ้านายมีอันเป็นไป ฉันคงไม่ต้องห่วงอาวัฒน์หรอกเนอะ ก็มีคนรอดูแลอยู่ทั้งคน” หลังจากเอ่ยจริงจังก็กลับมาทำเป็นเล่นต่อ เล่นเอาเนไม่รู้จะทำสีหน้ากลับอย่างไรดี “เอาเป็นว่าพวกฉันกลับก่อนละเน้อ ฉันต้องสะสางงานอีก....หรือจะอู้อยู่นี่สักสองสามชั่วโมงดีน้า”

          ศาสตร์มุ่นคิ้วคล้ายกับไม่พอใจนัก ก่อนจะกระทืบเท้าออกไปจากบ้านโดยไม่พูดอะไรสักคำ...บางทีเนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสองคนนี้คบกันมาตั้งนานสองนานได้อย่างไร...โดยเฉพาะศาสตร์ที่ดูท่าทางจะโดนโค้กแกล้งประจำแบบนี้

          “ฮะๆ เห็นแบบนั้นหมอนั่นก็เสียใจเอาการเลยนะที่อกหักจากอาวัฒน์ ก็แอบรักมาตั้งนานนี่นะ ดันมาโดนตัดหน้ากันได้ แถมยังไปช่วยให้นายกับอาวัฒน์สมหวังกันทั้งที่รู้ว่าต้องอกหักอีก” โค้กเอ่ยด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงจนคนฟังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายแค่พูดขึ้นมาเฉยๆ หรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันแน่ แต่เห็นอีกฝ่ายหันใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่แผ่รังสีสังหารเต็มที่เขาก็พอจะรู้เจตนาของอีกฝ่ายแล้ว “เพราะงั้น อย่าทำให้อาวัฒน์เสียใจเชียวล่ะ ไม่งั้นฉันไม่รับประกันความปลอดภัยของนายนา”

          แต่เนมั่นใจว่าก่อนที่พี่ทั้งสองจะเข้ามากระทืบเขา ลุงแกคงแจกตะกั่วประดับสมองตนก่อนแน่

          “ผมไม่ทำหรอกน่า” เนตอบเสียงตื่น แล้วบอกตัวเองว่าที่สั่นเนี่ย ไม่ได้กลัวคำขู่ทีเล่นทีจริงเหล่านั้นสักนิด

          อีกฝ่ายแค่ยักไหล่ให้ ก่อนจะโบกมือแล้วจากไปพร้อมกับปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย ทำเอาคนที่ยืนหวั่นอย่างไม่รู้สาเหตุถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วแอบบ่นไล่หลังใส่ทั้งสอง ก่อนจะกลับไปยังครัวที่เป็นเป้าหมายเดิมหวังหาอะไรกิน

 

          “เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อยน้า”

          ในระหว่างนั่งพักอยู่ในห้องนั่งเล่นตอนบ่ายกับสาวๆและคนสวน อยู่ๆรุตก็พูดขึ้นมาด้วยใบหน้าโล่งอกอยู่บนโซฟา ทำให้เด็กๆต้องหันมามอง

          “อะไรคะ แค่ไม่ต้องทำงานล่วงเวลาถึงกับโล่งเลยหรือ” แมวแซวเสียงใสก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง แล้วหันมาทางเน “แต่ก็ดีจริงๆนะคะพี่เน นี่เพราะมีพี่ด้วย เลยสบายขึ้นเยอะเลย”

          เห็นน้องยิ้มแบบนี้แล้วพี่ใจคอไม่ดีเล้ย

          “ฉันแค่โล่งใจเพราะไอ้วัฒน์ต่างหาก” ในขณะที่คนพูดไม่ได้คิดอะไร สาวๆกลับมาพาแอบหัวเราะคิกคัก ส่วนเนก็นั่งไม่ติดเก้าอี้เหมือนมีใครเอาไฟมาลนก้น “ถึงช่วงนี้มันจะยังทำตัวเข้าใจยาก แต่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ อย่างน้อยตอนนี้อยู่กับมันก็ไม่เครียดเท่าไหร่แล้ว มีอะไรก็พูด ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องมานั่งเดาใจมันไปเรื่อย นี่ดียิ่งกว่าบ้านเราสงบสุขอีกนะ”

          เนได้แต่นิ่วหน้ากับความสุขที่ดูเล็กๆน้อยๆนั่น

          “แหม หนูเห็นด้วยกับอารุตนะคะพี่เน~~” แมวช่วยเสริมเสียงหวาน “นี่เพราะพี่เนแท้ๆเลยเน้อ”

          แล้วเด็กหนุ่มจะตอบอะไรได้นอกจากยิ้มหวานแบบฝืนๆไปให้

          “นั่นสิ ตั้งแต่นายมา หมอนั่นก็ทำตัวเข้าใจง่ายขึ้นเยอะ” รุตยังคงว่าต่อโดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย “เพราะงั้นก็อยู่ช่วยงานกันนานๆหน่อยนะ ฉันไม่อยากกลับไปกินยาแก้ไมเกรนอีก”

          “แหม ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ พี่เนคงอยู่กับเราไปตลอดชีวิตอาวัฒน์นั่นล่ะค่า”

          “เอ๋ จริงเหรอ” ท่าทีที่ดูดีใจอย่างไม่คิดสงสัยของรุตทำเอาเอมที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้นข้างแมวถึงกับตัวสั่นเพราะกลั้นขำ “ถ้าตัดสินใจแบบนั้นก็ดี แล้วอย่าเปลี่ยนใจเสียล่ะ ไม่งั้นพวกฉันเสียใจแย่”

          “คะ...ครับ” เนได้แต่ตอบเสียงอ่อน ส่วนสองสาวก็เอาแต่นั่งกลั้นหัวเราะไม่เลิก “เอ้อ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ ว่าจะเอาของไปเก็บบนห้องหน่อย”

          ว่าแล้วก็รีบเผ่นออกจากห้องนั่งเล่นไปทันที ถ้ายังอยู่ต่อ มีหวังตัวเขานี่แหละที่จะต้องหลุดพิรุธออกมาต่อหน้ารุตเพราะโดนแมวแซวไม่เลิก...เขาก็ไม่ได้คิดจะปิดหรอกนะ แค่ทำใจยากที่จะต้องบอกตรงๆก็เท่านั้นเอง

          ทันทีที่เข้าห้องนอนไปหมายจะเอาแฟลชไดรฟ์ไปให้วัฒน์ เด็กหนุ่มก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้กลับมานอนต่ออย่างที่เข้าใจ ทั้งที่ตอนลงมากินข้าวเที่ยง วัฒน์ยังดูเพลียอยู่แท้ๆ

          หนุ่มใหญ่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงขอบเตียง และทันทีที่เนเดินเข้ามา เขาก็เงยหน้าแดงก่ำให้ ทำเอาคนมองถึงกับอ้าปากค้าง

          “เป็นไข้หรือครับเนี่ย” เนร้องเสียงตื่น ก่อนจะเดินเข้าไปหาหมายจะดูอาการ “...”

          แต่สิ่งที่ได้รับคือการโดนกระชากเข้ามาจูบเสียอย่างนั้น

          เนเบิกตาโพลงมองคนที่สอดลิ้นเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง แม้จะยังมึนๆงงๆแต่ร่างกายก็ตอบสนองไปโดยอัตโนมัติ จนไปๆมาๆเขากลับเป็นฝ่ายรุกคืบเข้าไปแทน แล้วยังผลักลุงแกลงนอนจากนั้นก็นัวเนียเสียเมามันอย่างลืมตัวอีก

          นี่คือพร้อมจะทำหรือไง...แล้วทำไมไม่บอกไม่กล่าวก่อนฟะเนี่ย มาถึงก็ใส่เอาๆไม่ให้ตั้งตัวกันเลย

          “เน...” เสียงทุ้มเอ่ยเรียก ท่าทางของวัฒน์เหมือนอดรนทนไม่ไหวเต็มทน “ทำเลยได้ไหม...”

          เด็กหนุ่มถึงกับเบิกตากว้าง และแม้จะอยากถามเสียเหลือเกินว่าอยู่ๆไหงลุงแกนึกอยากขึ้นมาเสียดื้อๆอย่างนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายวอนขอมาเหมือนจะชักตายหากไม่ได้ทำในทันที เขาเองก็อดทนมานาน แล้วจะรอช้าอยู่ไย ทำไปก่อนแล้วถามทีหลังเอาก็ได้

          คนที่นอนหงายสะดุ้งเฮือกเมื่อมืออุ่นสอดเข้ามาภายในร่มผ้าด้านล่าง เพียงไม่นานก็จับถอดออกเสียไม่เหลือ ยิ่งกางเกงเป็นแบบยางยืดเลยไม่เสียเวลาถอดนัก มือหนากอบกุมส่วนอ่อนไหวที่ตั้งแข็งขันแบบไม่ต้องปลุกเร้า และเด็กหนุ่มเองก็ไม่รีรอให้เสียเวลา

          “อึก...”

          หนุ่มใหญ่นอนบิดไปมาบนเตียง สะโพกยกรับกับนิ้วชุ่มเจลหล่อลื่นที่สอดใส่เข้ามา แม้จะดูทรมานแต่อาการลงแดงดูจะทุเลาลงไปกว่าเมื่อครู่ ดวงตาเรียวปรือมองคล้ายกับวอนขอ และเนก็ไม่ปล่อยให้รอนานนัก จัดการเตรียมตัวพร้อมเข้าปะทันที

          วัฒน์กำผ้าปูเตียงแน่นเมื่ออีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามาในร่าง อารมณ์หวามที่ซัดเข้ามาราวกับพายุทำเอาหนุ่มใหญ่ครางออกมาอย่างพึงใจ และไม่ต้องเอ่ยขอ อีกฝ่ายก็จัดการให้สมอยากราวกับรู้ดีว่าตนต้องการอะไร

          เพียงไม่นานความต้องการภายในของหลั่งไหลออกมาจนเปรอะตัวไปทั่ว เด็กหนุ่มมองคนที่นอนหอบกระเส่าร้องครวญครางไม่หยุด และแม้อีกฝ่ายจะเสร็จไปแล้วแต่เนก็ยังขยับตัวไม่เลิก กระนั้นก็ไม่ได้เร่งเร้าหรือดึงดังอะไรนักพอให้คนเพิ่งถึงฝั่งได้หอบหายใจบ้าง

          “...ตกลงเป็นอะไรทำไมอยู่ๆถึงให้ทำกันล่ะครับ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายท่าทางจะพร้อมตอบคำถาม เด็กหนุ่มเลยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดสั่น

          คนที่นอนอยู่เบื้องล่างปรือตามองก่อนจะเหลือบไปมองทางอื่นแล้วเม้มปากแน่นคล้ายไม่อยากจะพูด ทำเอาคนที่กำลังมีอารมณ์ถึงกับบึ้งหน้า

          “อ๊ะ เดี๋ยวสิ...” วัฒน์ร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆเนยกตนขึ้นมานั่งตัก พอจะทักท้วงก็ต้องเงียบลงเมื่อโดนเด็กหนุ่มจ้องมองอย่างไม่พอใจนัก และไม่รู้ว่าต้องการแกล้งกันหรืออย่างไร ถึงได้เขย่าตัวเขาขึ้นลงไม่หยุด จนเสียงที่ควรจะออกก็ดันไม่ออก ออกแต่เสียงที่ไม่อยากจะออกแทน

          “อย่าขี้โกงสิครับ ทีตอนผมไม่ตอบคุณก็บังคับเอาจนได้ แล้วพอตาคุณ จะมาเงียบไม่ยอมตอบแบบนี้หรือไง”

          ว่าแล้วก็ขยับตัวอีกฝ่ายแรงขึ้นอีกจนวัฒน์ร้องลั่น มือทั้งสองทั้งผลักทั้งตี แต่มีหรือที่แรงเบาๆของลุงแกจะห้ามความหื่นและความใคร่รู้ของเด็กหนุ่มได้ รังแต่จะยิ่งทำให้เนแกล้งหนักกว่าเดิม

          “ก็จะบอกอยู่ไงเล่า!” วัฒน์ร้องออกมาสุดเสียง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงครางในลำคออย่างสุดทน “แค่...คิดนานไม่ได้หรือไง...อื๊อ”

          เนมองหน้าคล้ายกับยังไม่อยากเชื่อนัก แต่สุดท้ายก็ยอมหยุดเสียที เล่นเอาคนจะเป็นจะตายถึงกับหมดแรงลงไปซบบนไหล่ของเด็กหนุ่มแล้วหอบหายใจระรัว

          “เอ้า หมดเวลาแล้วครับ ตอบเลย ไม่งั้นพรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงาน พักต่ออีกวันได้เลย เดี๋ยวผมโทรไปบอกที่ทำงานให้ว่าคุณป่วยลุกไม่ไหวให้เอง”

          นี่คือความแค้นกับความหื่นที่สะสมมานานใช่ไหมวะ เอาฉันให้ตายเลยเหอะไอ้บ้า!

          “วิตามิน!”

          “หา” เนถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินคำตอบ

          “วะ…วิตามินที่นายเอามาให้ฉันกินน่ะ…” วัฒน์ตอบเสียงแหบแห้งสลับกับเสียงหอบหายใจ “มันไม่ใช่วิตามิน…”

          ซึ่งเนก็ยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ลุงแกต้องการจะพูดอยู่ดี

          “พูดง่ายๆ มันเป็นยาปลุกเซ็กซ์ไงละว้อย!!”

          คราวนี้ถึงกับอ้าปากค้างเลยทีเดียว

          “เอ๋ เดี๋ยวสิ ก็คุณฉัตรเขา…” เนว่าเพียงแค่นั้นแล้วก็ค้างไป ก่อนจะนึกถึงคำแซวของเจ้าลุงถึกนั่น จากนั้นเขาก็หน้าซีดลง

          อย่าบอกนะว่าไอ้หมอนั่นมันจงใจ...นี่น้องมันเลยนะเฮ้ย!!

          “นายไม่เคยเห็นหรือไง…ที่ซองยามันก็มีเขียน…” คนโดนยากัดฟันถาม ใบหน้านั้นแดงเถือกจนไม่แน่ใจว่ามาจากความโกรธหรือความต้องการที่โดนกระตุ้นกันแน่

          “ผมเคยใช้ที่ไหนล่ะ ถ้ารู้ว่าเป็นยาปลุกเซ็กซ์ผมก็ไม่ให้คุณกินหรอก” เนเถียงเสียงแข็ง ก่อนจะออกอาการกระสับกระส่าย “…แล้วนี่เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

          เห็นอยู่ยังจะถามอีก

          “ไม่เป็น…” หนุ่มใหญ่บอกก่อนจะหันไปทางอื่นราวกับทนมองหน้าอีกฝ่ายไม่ไหว “ตะ…แต่ถ้านายยังนิ่งอยู่แบบนี้ ฉันอาจจะเป็น…”

          เนสะดุ้งนิดหน่อย และไม่ต้องถามให้มากความเขาก็รีบกลับมาทำงานค้างต่อทันที

          วัฒน์เผลอครางออกมาเมื่ออยู่ๆเด็กหนุ่มก็เขย่าตัวเขาเสียแรง มือทั้งสองของเนที่บีบสะโพกของตนแน่นจับตนให้ขยับไหวขึ้นลงอย่างรุนแรง แรงเสียดสีสร้างความเสียวสะท้านจนแล่นพล่านไปทั่วกาย สร้างความสุขสมจนแทบบ้า

          และแม้จะคลื่นอารมณ์ที่โหมซัดเข้ามาจะทำเอาหนุ่มใหญ่แทบจะสำลักตาย แต่วัฒน์ก็ทำเพียงแค่กัดริมฝีปากของตนแน่น ไม่ยอมเอ่ยห้ามเนแม้แต่น้อย

          หรือบางที เขาอาจจะแค่อยากโดนกระทำจนหนำใจเพียงเท่านั้นก็เป็นได้

          “เน...เน...” เสียงทุ้มร้องเรียกสั่นระรัว ใบหน้าเรียวขึ้นสีแดงจัดตัดกับผิวเข้ม ดวงตาทั้งสองฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำใสจ้องมองเด็กหนุ่มราวกับเว้าวอนอ้อนขอ ให้กระทำมากกว่านี้ ซึ่งอันที่จริง ถึงไม่ขอเนก็พร้อมจะทำอยู่แล้ว เผลอๆเขานี่ล่ะที่จะหยุดตัวเองไม่ได้

          เจ้าของชื่อเงยหน้ามองวัฒน์ที่หอบกระเส่าบนตักตน ใบหน้าในยามนี้ของหนุ่มใหญ่ช่างยั่วยวนและกระตุ้นอารมณ์หวามของตนเสียเหลือเกิน

          “ฉัน...ฉันจะไม่ไหวแล้ว...” วัฒน์เอ่ยบอกเสียงแหบแห้ง “จะเสร็จแล้ว...”

          เนไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้าให้ ก่อนจะเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น เพียงไม่นานอารมณ์ภายในที่แล่นพล่านดั่งพายุคลั่งอยู่ในกายทลายออกมาพร้อม กับเสียงครางต่ำในลำคออย่างพึงใจของทั้งสอง

          เด็กหนุ่มกอดร่างคนที่เหนื่อยจนก้มลงมาซบไหล่แล้วหอบหายใจระรัว เขาเองก็มีอาการไม่ต่างจากอีกฝ่ายนัก แต่อาจจะเพราะฤทธิ์ยา วัฒน์ถึงได้ดูหมดเรี่ยวแรงกว่าตน

          “เน...” หนุ่มใหญ่กระซิบเรียกข้างหู ก่อนจะเอาแต่หอบหายใจไม่เลิก

          “ครับ” เจ้าของชื่อตอบรับอย่างไม่แน่ใจนัก ก่อนจะจับไหล่อีกฝ่ายหมายจะช่วยพยุงร่างที่อ่อนยวบเยียบเสียจนน่ากลัว ท่าทางของวัฒน์ยังดูไม่สู้ดีนัก ใบหน้ายังคงแดงก่ำไม่เลิก ลมหายใจดังเสียจนน่ากลัว “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

          ดวงตาเรียวปรือมองคล้ายเพิ่งตื่น ก่อนจะหลับตาลงไปอีกครั้ง

          “ฝากโทรลางานให้ฉัน...ก่อนจะต่ออีกรอบได้ไหม...”

          เนได้แต่กะพริบตาปริบๆ จากที่กำลังนึกแค้นฉัตรที่ทำอะไรบ้าๆ ตอนนี้เขาชักอยากจะขอบคุณแทนเสียแล้ว


________________________________

ใครยังสนใจรับ สคส. สามารถลงชื่อที่ลิ้งนี้ได้นะงับ อยากจะให้อวยพรยังไงอย่างไรรีเควสได้เลยนะงับ ^w^\

*กิจกรรมคนครบแล้วขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ร่วมสนุกงับ


และกว่าจะได้เจอกันอีกคงราวๆวันที่ 6 มค. โดยประมาณ เลยขอโอกาสสุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้าเน้อ ^^ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้ผู้อ่านทุกท่านประสบแต่ความสุขและความสำเร็จตลอดปี 2559  คิดสิ่งใดขอให้สมปราถนา ไร้อุปสรรคขวางกั้น งับ =w=

คนเขียนขอไปเที่ยวแพร้บ XD แต่สคส. ทางนี้คงส่งก่อน30 แต่จะได้วันไหน เราก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ (อ้าว) ถ้าเลยไปสักสัปดาห์แล้วยังไม่ได้ รบกวนแจ้งกลับด้วยเน้อ =w=/


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2015 08:38:29 โดย musddmp »

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
 :z1: แอร๊ยยยย ปรบมือให้ลุงฉัตรรัวๆค่า ทำดีมากค่ะลุงจากที่คิดว่าเนจะอดอีกแล้วกลับไม่ใช่ซะนี่ ฮาา แต่ไม่รู้ว่าพอยาหมดฤทธิ์แล้วเนกับลุงฉัตรจะโดนจัดการยังไงบ้างก็ไม่รู้นะ โดนเฉพาะลุงฉัตรระวังเหอะ

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
ใกล้จบเรื่องแล้วสินะ  :katai3:

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ลุงฉัตร...  ทำได้ดีมาก 5555 :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 80


          “ท่าทางมีความสุขเหลือเกินนะ”

          เนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพนักงานบัญชีขาเมาท์เอ่ยแซวในขณะที่ตนกำลังนั่งทำงานใน ห้องของวัฒน์ โดยที่เจ้าของห้องไม่อยู่ แน่นอนว่าหลังจากจัดหนักจัดเต็มชนิดหายอยากให้สมกับที่เว้นว่างไปนาน ต่อให้ถึกทนแค่ไหน แต่เล่นงานซะตัวแห้งไปหลายหนขนาดนั้น แถมยังเพลียจากการทำงานหนักอีก ยังไม่ตายก็บุญเหลือแล้ว

          “เห็นเป็นแบบนั้นหรือครับ” เนยิ้มแห้งๆให้อีกฝ่าย เขาไม่แน่ใจนักว่าต้นรู้เรื่องทั้งหมดแล้วหรือยัง เพราะอยู่ในเหตุการณ์กระหนุงกระหนิงของตนกับวัฒน์ติดขอบสนามเสียขนาดนั้น แถมรองประธานแกยังแสดงอาการอย่างที่ไม่เคยให้ใครเห็นออกมาอีก ไม่รู้สิแปลก

          “ก็เออสิวะ ดูหน้าแกงี้ ระรื่นเชียว” อีกฝ่ายว่าก่อนจะปรี่เข้ามานั่งเก้าอี้ว่างข้างๆ “ว่าแต่...ไหนๆก็มีโอกาสแล้ว ขอถามอะไรหน่อยดิ แกไปทำอีท่าไหนกับคุณวัฒน์วะ ถึงได้สนิทกันขนาดที่เขาถามเรื่องของกินที่นายชอบเลยเนี่ย”

          โอ๊ย ไม่รู้สักเรื่องจะระเบิดตัวตายไหมเฮีย!!...แต่ลองว่าถามแบบนี้แสดงว่ายังไม่รู้แหงมๆ ดีนะที่ไม่ฉลาดในเรื่องที่น่าจะฉลาด

          “แหม ก็ทำงานด้วยกันอยู่ด้วยกันมันก็ต้องสนิทกันบ้างล่ะครับ จะให้ผมกัดกับเขาไปตลอดชีวิตเลยหรือไง” เนพยายามตอบตามปกติ รู้สึกโล่งใจเหลือเกินที่อีกฝ่ายยังไม่รู้ความจริง

          “จริงอะ ฉันว่าไม่มั้ง สนิทกันท่าไหนวะถึงขนาดถามถึงของกินที่ชอบเนี่ย” ความช่างสงสัยของหนุ่มร่างท้วมทำเอาเนอยากจะเอาคลิปไปหนีบปากพี่แกเหลือเกิน “แถมยังทำให้เขาหัวเราะอีก...นี่หายากยิ่งกว่าเกิดสุริยุปราคาเลยนะเว้ย”

          เหอะๆ...วันก่อนที่ไปเดทนี่เห็นจนเบื่อ

          “พี่ต้นคิดมากไปมั้งครับ เขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว แค่พี่ไม่ค่อยเห็นเอง” เนตอบตามตรง ก่อนจะรีบตัดบทเมื่อเห็นสีหน้าเหวอกินของอีกฝ่าย “แล้วนี่มีอะไรหรือเปล่าครับ...อย่าบอกนะว่าเข้ามาเพื่อถามผมแค่เนี้ย”

          “จะบ้าหรือไง ฉันเอาเอกสารมาฝากให้คุณวัฒน์เซ็นหรอก” ต้นรีบพูดลนลานเหมือนโดนจับผิด “เห็นงี้ฉันก็ทำงานนะเว้ย”

          เนเพียงแค่ยิ้มเจื่อนให้

 

          เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เด็กหนุ่มก็เดินไปยังที่จอดรถเตรียมตัวกลับบ้านตามปกติ แต่อาจจะไม่ปกตินิดหน่อยก็ตรงที่ต้องเดินคนเดียวในที่จอดรถที่เงียบเหงาแห่งนี้

          เนบึ้งหน้าเล็กน้อย ทั้งที่ก็ไม่ได้มีสิ่งผิดปกติแท้ๆ แต่กลับรู้สึกใจหวิวๆชอบกล

          อย่าบอกนะว่าเหงาที่มาคนเดียว

          เขาหัวเราะก่อนจะสะบัดความคิดบ้าบอในใจ เด็กหนุ่มไม่เชื่อหรอกว่าแค่ห่างกันไม่ถึงวันจะทำให้ตนรู้สึกว้าเหว่ถึงขนาดนี้

          “เป็นอะไรหรือ ทำหน้าหงอยเชียว”

          เนสะดุ้งโหยงก่อนจะหันกลับไปด้วยความประหลาดใจ แต่ทันทีที่เห็นเจ้าของเสียง เขากลับหน้าเบี้ยวยิ่งกว่า

          “แก...” เนมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ และแม้จะหงุดหงิดจนอยากจะเข้าไปซัดหน้าเดชมากเท่าไหร่ ความกลัวและหวาดระแวงก็คอยรั้งเขาไม่ให้วิ่งเข้าไปหากับดักตรงหน้า เพราะนอกจากเดช ยังมีชายอีกสามสี่คนอยู่ข้างหลังหนุ่มแว่น ท่าทางพร้อมรบเต็มที่

          “ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ” เดชยิ้มกว้างพร้อมกับเอ่ยอย่างเป็นมิตร ซึ่งทำให้เนหัวเสียกว่าเดิมเพราะเสียงที่เหมือนกับคนรักของตนไม่มีผิด “วัฒน์เป็นอะไรไปเสียล่ะ วันนี้ถึงไม่มาด้วย”

          “มันไม่ใช่ธุระอะไรของแกนี่” เนตอบตัดบท ก่อนจะถอยออกมาเว้นระยะ “ถอยไปนะ”

          “จะรีบไปไหนล่ะ ฉันมีธุระกับนายนะ” เดชเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนๆ ก่อนจะสาวเท้าก้าวเข้ามาอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่เนเครียดจนเหงื่อแตกและถอยห่างด้วยความเร็วพอๆกับอีกฝ่าย

          “มีอะไรก็รีบพูดมาสิ” นึกแล้วก็ได้แต่หงุดหงิดตัวเองที่ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้นอกจากหนี

          เดชไม่ได้พูดอะไรนอกจากเหยียดยิ้มกว้าง

          “ช่วยมากับฉันหน่อยสิ”

          สิ้นคำถาม เนรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆเข้ามากระแทกที่ชายโครง และยังไม่ทันจะได้โต้ตอบ ทุกอย่างก็มืดดับลงอย่างรวดเร็ว

          “เอ้า” เดชโยนร่างหมดสติของเด็กหนุ่มให้ลูกน้องด้านหลัง ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา “ไง ทางโน้นล่ะ...งั้นหรือ ดี...”

          หนุ่มแว่นเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินไปมองกล้องวงจรปิดราวกับจงใจ จากนั้นก็เดินตามลูกน้องไปยังรถของตน พลางยิ้มให้กับตัวเอง

          ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับนายแล้วนะวัฒน์...

 

          วัฒน์สะดุ้งโหยงก่อนจะหันมองไปรอบๆ หลังจากนั่งทำงานอยู่ในห้องมาทั้งวัน เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าหัวค่ำเสียแล้ว

          หนุ่มใหญ่ค่อยๆลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ทำงานในห้องนอนของตนอย่างยากลำบาก ได้แต่นึกหงุดหงิดเจ้าพี่ชายงี่เง่าที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้...ถึงจริงๆ ส่วนหนึ่งจะชอบมากและทำตามใจอยากทั้งที่รู้ว่าจะต้องมาปวดสะโพกจนเดินไม่ค่อยจะไหวก็ตามเถอะ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะโดนยา เขาจะกล้าทำขนาดนี้หรือ

          หนุ่มใหญ่เดินง่อนแง่นออกไปจากห้อง แล้วชะเง้อมองตรงระเบียงชั้นสองไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งมีเพียงแมวกับเอมที่นั่งดูละครกันอยู่ นึกแปลกใจว่าป่านนี้แล้วทำไมเนยังไม่กลับมา ถึงแม้ตอนนี้จะงานยุ่งอย่างไร แต่อย่างน้อยก็น่าจะโทรมาบอกกันบ้าง

          วัฒน์กลับห้องไปหมายจะโทรหา แต่ยังไม่ทันจะได้กดเบอร์ก็มีสายโทรเข้ามาเสียก่อน และทันทีที่เห็นว่าเป็นเน จากที่กังวลก็กลับมายิ้มอย่างโล่งอก

          “ให้ตายสิ ถ้าจะกลับช้าก็น่าจะโทรมาบอกก่อน ฉันเป็นห่วงแทบแย่”

          “งั้นหรือ”

          น้ำเสียงที่ตอบกลับมาทำเอาชะงัก ใบหน้าเรียวขึ้งเครียดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเดชออกมาแทนที่จะเป็นเจ้าของโทรศัพท์

          “ไม่ต้องห่วง แฟนนายยังอยู่ดีครบสามสิบสอง” เมื่อวัฒน์เอาแต่เงียบ เดชจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสูงคล้ายกับต้องการจะเยาะเย้ย “แต่หลังจากนี้ก็ไม่แน่เหมือนกัน”

          วัฒน์ยังคงเงียบ แต่แน่นอนว่าในใจนั้นตรงกันข้าม

          “ฉันจะเชื่อได้ไงว่าเนอยู่กับนายจริง” หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดวัฒน์ก็เอ่ยขึ้นมาเสียที ด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไร้อารมณ์ หากแต่เดชรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังโกรธอยู่...และโกรธมากเสียด้วย

          อยู่ๆอีกฝ่ายก็ตัดสายไป แต่ยังไม่ทันจะกดโทรกลับ ก็มีสายเรียกเข้าจากโปรแกรมไลน์เด้งเตือนขึ้นมาเพื่อคุยแบบเห็นหน้า

          ทันทีที่กดรับ เขาเห็นใบหน้าที่ไม่อยากจะมองของเดชซึ่งเหยียดยิ้มกว้างใส่อย่างเหนือกว่า วัฒน์รีบมองฉากด้านหลัง หากแต่นั่นเป็นเพียงพื้นที่โล่งกว้างคล้ายที่จอดรถและมืดทึมจนแทบบอกไม่ได้ว่ามันคือที่ไหน เพียงไม่นานฉากในจอก็เลื่อนไปที่พื้น และนั่นทำเอาวัฒน์ถึงกับเบิกตาโพลง

          “นี่พอจะทำให้นายเชื่อได้หรือเปล่าล่ะ” เสียงของเดชดังขึ้นพร้อมๆกับที่ลูกน้องคนหนึ่งจับร่างที่หมดสติขึ้นมาให้เจ้านายถ่ายหน้าของเนให้ชัดเจน “หรือถ้ายังไม่เชื่ออีกล่ะก็ ให้ฉันลองตัดนิ้วหรือหูมันส่งไปให้ไหมล่ะ เดี๋ยวจะตัดให้เดี๋ยวนี้เลย”

          “อย่านะ!” วัฒน์ห้ามเสียงลนเมื่อเห็นโลหะเงินวาววับโผล่ออกมาในจอ “นายต้องการอะไร”

          “นั่นสินะ...อีกสามวันฉันจะบอกว่าทำไมละกัน” คำตอบทำเอาคนฟังบึ้งหน้า แต่วัฒน์ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรเพราะรู้ดีกว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบแน่ และอาจจะโดนกวนประสาทกลับเสียเปล่าๆด้วย “อดทนรอไปก่อนแล้วกันนะ ระหว่างนั้นฉันจะดูแลไอ้เด็กนี่ให้อย่างดีเลย”

          พูดเพียงแค่นั้นแล้วก็ตัดการสนทนาไป วัฒน์จ้องมือถือในมือตน ใบหน้าของหนุ่มใหญ่นั้นนิ่งเรียบ หากแต่มืออีกข้างนั้นกำแน่นบ่งบอกถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายในที่พร้อมจะระเบิดออกมาเสียเดี๋ยวนี้

          ทำไมอยู่ๆมันถึงกล้าทำกันขนาดนี้...

          ที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยลงมือเองเลยสักที เพราะฉะนั้นเขาถึงหาหลักฐานมัดตัวไม่ได้มาตลอด แต่มาลงมือกับเนตรงๆแบบนี้ เรียกว่าหลักฐานที่พวกเขาสู้เก็บมาเป็นเรื่องเล็กไปเลย

          หรือมันมั่นใจมากว่ายังไงแผนมันก็สำเร็จแน่

          หนุ่มใหญ่กัดฟันกรอด นึกแค้นใจที่โดนเล่นงานง่ายๆเสียได้ วัฒน์เลิกเสียเวลาแค้น เขารีบโทรไปหาฉัตรทันที

          “...เอาจริงดิ...” ฉัตรถามอยากไม่อยากจะเชื่อหูเท่าใดนัก หนุ่มใหญ่ร่างยักษ์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาพอจะนึกออกว่าทำไมเดชถึงจงใจจับเนเอาตอนนี้...และทำไมต้องอีกสามวันให้หลังด้วย

          คงจะกันเหนียวเผื่อวัฒน์จะไปช่วยสิทธิ์ ถึงได้เอาเนมาดึงความสนใจแน่ๆ

          เขาไม่กล้าบอกแผนเสี่ยงอันตรายที่ตนแอบร่วมมือกับก้องเงียบๆหรอก เพราะเขาไม่แน่ใจว่าถ้าบอกออกไป วัฒน์จะเลือกไปช่วยใครระหว่างสิทธิ์กับเน

          “ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองตรวจสอบดูนะว่าไอ้เดชมันเอาเนไปไว้ที่ไหน” ฉัตรรีบเสนอตัว กลัวว่าถ้าวัฒน์เรียกระดมพลช่วยแฟนแล้วมารู้ความจริงว่า พรรคพวกหลายส่วนไปอยู่เฝ้าระวังทางวัฒน์ และอีกส่วนก็เฝ้าฐานเพราะช่วงนี้โดนอริเข้ามาวุ่นวายเหมือนรู้ดี มีหวังเนแย่แน่

          ที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าวัฒน์จะเลือกสิทธิ์แน่ๆหรือเปล่า แต่เพราะทางที่ควรจะระวังจริงๆไม่ใช่สิทธิ์ ฉัตรเลยอยากให้วัฒน์ไปสนใจทางเนมากกว่า เลยเลือกที่จะไม่บอกเสีย แม้ว่าถ้าคุณน้องชายจอมโหดมารู้ทีหลังแล้วตนอาจจะโดนฆาตกรรมก็ตาม

          “แต่ฉันไม่เข้าใจ มันจะจับเนไปทำไม...ที่ผ่านมามันไม่เคยหันเป้ามาทำร้ายฉันเลย...แล้วทำไมต้องให้รอถึงสามวันด้วย” ฉัตรแทบยืนไม่ติดพื้นทันทีที่ได้ยินน้องชาย “เกิดอะไรขึ้นกับคุณสิทธิ์หรือเปล่า”

          จะมาเอะใจอะไรเอาตอนนี้วะเนี่ย

          “เปล่านี่ วันนี้ฉันก็เพิ่งโทรถามไอ้ก้องไปเอง ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกตินะ” ฉัตรพยายามตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะความจริงมันตรงข้ามอย่างสุดขั้ว แถมเหตุการณ์ยังคล้ายกันจนน่าขำอีก “ฉันว่าแกไม่ต้องห่วงคุณสิทธิ์หรอก เอาเวลาไปห่วงไอ้เนเหอะ น่ากลัวว่าเยอะ”

          “นั่นสินะ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง” ได้ยินวัฒน์กลับมากลุ้มเรื่องเน ฉัตรถึงกับร้องไชโยอยู่ในใจ “ฝากนายด้วยละกัน ฉันเองจะหาทางทำอะไรสักอย่างเหมือนกัน ฉันไม่ยอมอยู่รอเล่นเกมตามมันแน่”

          ยังไม่ทันที่ฉัตรจะตอบรับ วัฒน์ก็ได้ยินเสียงปาล์มแทรกเข้ามา และนั่นทำให้เขาต้องนิ่วหน้าเพราะหลานชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกมาก แต่เสียงแทรกนั้นก้องและมีอีกหลายเสียงแทรกเข้ามาด้วย เขาเลยฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดอะไร

          “วัฒน์...” หลังจากเสียงโวยวายสงบลง ฉัตรก็เอ่ยเรียกน้องชายด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก “ท่าทางจะแย่จริงๆแล้ววะ”

          เจ้าของชื่อเพียงแต่นิ่วหน้าและรอฟัง และทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย วัฒน์ถึงกับเบิกตาโพลง

          ไม่จริงน่า...

 

          เนกะพริบตาปริบๆมองเพดานตรงหน้าที่มืดทึม พอจะขยับตัวก็รู้สึกปวดที่ท้องน้อยและต้นคอจนน้ำตาแทบเล็ด มือทั้งสองโดนเชือกมัดไพล่หลังเอาไว้ ขาก็โดนมัดติดกันจนได้แต่ดิ้นดุกดิกเป็นหนอนอยู่บนพื้นคอนกรีตเย็นๆ

          เกิดอะไรขึ้น...

          เด็ก หนุ่มหันมองไปทั่ว แต่บริเวณโดยรอบนั้นมืดมากจนแทบมองอะไรไม่เห็นเลย ที่พอจะบอกได้ก็มีแค่ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ในลานกว้างคล้ายกับที่จอดรถบนอาคาร ที่ไหนสักแห่ง และดูจากวิวมืดสลัวด้านนอกที่บอกให้รู้ว่าเป็นตอนกลางคืน การที่มองไม่เห็นตึกเลย ก็บอกให้เด็กหนุ่มรู้ได้สองอย่างคือ ถ้าไม่อยู่ห่างจากตัวเมือง ชั้นที่เนอยู่ในตอนนี้ก็ต้องสูงเอาการ

          เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมสติพลางทบทวนว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และทันทีที่นึกออก เนก็ได้แต่กัดฟันด้วยความแค้นใจ

          ทั้งที่ตนก็ไม่ได้ประมาทแท้ๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเดช เขาเหมือนกับตุ๊กตายัดนุ่นที่อีกฝ่ายนึกจะทำอะไรก็ทำได้อย่างสบายๆ

          เนพยายามดิ้นเต็มแรงหมายจะกระชากเชือกที่รัดตน แต่นอกจากจะรัดแน่นมากจนระบม ดูเหมือนอีกฝ่ายจะใช้เงื่อนตายอีกต่างหาก เล่นเอาเนได้แต่ดิ้นเป็นหนอนด้วยความแค้นอยู่อย่างนั้น

          “โธ่เว้ย” เด็กหนุ่มอดโวยวายไม่ได้ “ไอ้เวรเอ๊ย อย่าให้หลุดไปได้นะ พ่อจะกระทืบให้จมดินเลย”

          “เลิกโวยวายสักทีน่า”

          เนชะงักเมื่อรู้ว่าตนไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว และน้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นมาด้วยความรำคาญระคนหงุดหงิดทำเอาเนต้องอ้าปากค้าง เขารีบหันไปยังต้นเสียง ซึ่งสิ่งที่เห็นเป็นเพียงเงาคนที่นั่งพิงกำแพงอยู่ไม่ห่าง ดูทรงแล้วคงโดนมัดมือมัดเท้าเหมือนกัน

          “คุณศาสตร์?” เนยังคงเพ่งมองอย่างไม่อยากจะเชื่อนักว่าอีกฝ่ายจะโดนจับมาด้วย

          “...ถ้าไม่เพราะโดนเล่นงานทีเผลอ ฉันก็ไม่โดนจับหรอก” อีกฝ่ายบอกราวกับอ่านใจได้ “ไม่ได้อ่อนเหมือนนาย”

          ทีแรกก็เห็นใจที่ต้องมาร่วมชะตากรรมเดียวกัน แต่ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้นแล้ว เนเปลี่ยนใจอยากจะสกายคิกใส่ไอ้หนุ่มหน้าตายนี่เลยทีเดียว

          “เหอะ ฉันก็โดนเล่นทีเผลอเหมือนกันล่ะน่า” เนเกทับใส่อย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะกลิ้งให้ห่างจากระยะเท้าของศาสตร์ “...แล้วนี่รู้หรือเปล่าว่าไอ้เดชมันจับพวกเรามาทำไม”

          “ไม่รู้ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่” น้ำเสียงของศาสตร์นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด ที่จริงเขาก็พอจะเดาสาเหตุที่โดนจับมาได้ เพราะชายหนุ่มเองก็รู้เรื่องที่สิทธิ์จะไปทะเลาะกับวินตัวต่อตัวเพื่อไปแย่งเดียร์กลับมา เพียงแต่เพราะโดนสั่งให้เก็บเป็นความลับจากเนและวัฒน์ เขาจึงได้แต่อมพะนำและเก็บความหงุดหงิดนั้นอยู่แต่ในใจ แม้ความเป็นจริงจะอยากตะโกนใส่หน้าเนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็ตาม ที่สำคัญคือ บอกหรือไม่บอกมันก็ไม่ได้ช่วยให้เหตุการณ์ดีขึ้นด้วย เผลอๆอาจจะเลวร้ายลงเปล่าๆ

          “นายคิดว่าถ้าตอนนี้คุณสิทธิ์โดนจับตัวไปเหมือนกัน อาวัฒน์จะไปช่วยใคร”

          “อะไรนะ คุณสิทธิ์โดนจับหรือ”

          “แค่สมมติ” ศาสตร์ตะโกนใส่อย่างอารมณ์เสียเต็มทน ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ฉันก็แค่อยากรู้...ว่าถ้าเกิดทั้งนายทั้งคุณสิทธิ์โดนจับไปเป็นตัวประกันทั้งคู่ แล้วถ้าเลือกช่วยได้แค่คนเดียว นายคิดว่าเขาจะช่วยใคร”

          เนนอนนิ่ง ว่ากันตามตรงแล้วเป็นคำถามที่ตอบยากมาก แน่ล่ะ วันก่อนตอนที่วัฒน์รู้ว่าสิทธิ์โดนวินชก ยังรีบปรี่ไปหาเสียจนไม่ทันบอกตนด้วยซ้ำว่าจะไปไหน แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์สมมติอย่างที่ศาสตร์พูดจริง ไอ้เรื่องที่อีกฝ่ายจะมาช่วยตนก่อนเจ้านายคงเป็นไปได้ยากมาก

          “แล้วไม่มีคุณเป็นตัวเลือกด้วยหรือครับ”

          โดนเด็กหนุ่มถามกลับ ศาสตร์ถึงกับชะงักค้างไปนาน ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างที่ไม่เคยได้ยิน และเนกลับรู้สึกโชคดีตงิดๆที่ตอนนี้มืดจนมองไม่เห็นหน้าของอีกฝ่าย

          “อย่าถามอะไรที่รู้คำตอบอยู่เลยน่า” น้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความน้อยใจจนชัดเจน “ฉันมันก็แค่คนบ้าที่แอบรักเขา สุดท้ายก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับอาวัฒน์ด้วยซ้ำ”

          “สำคัญสิ”

          จากที่กำลังตัดพ้ออย่างมีอารมณ์ถึงกับเงยหน้าขึ้นมองหนอนที่ดิ้นขลุกตรงหน้าทันที ซึ่งในความมืดเขามองไม่เห็นสีหน้าของเนเลย แต่ดูจากลักษณะแล้ว ศาสตร์ก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองหน้าตนอยู่

          “ถึงเขาจะเลือกผม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สำคัญสำหรับเขาหรอกนะครับ” แต่น้ำเสียงงี้ดี๊ด๊าน่าเตะมาก

          “แต่ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับนายหรือคุณสิทธิ์” ศาสตร์สวนกลับเสียงต่ำ “ไม่ต้องมาปลอบ ฉันไม่ได้อยากให้ใครมาสงสาร โดยเฉพาะนาย”

          “ผมก็ไม่ได้สงสารสักหน่อย” เนโต้กลับอย่างมีอารมณ์ “จำไอ้แหวนเฮงซวยของคุณได้หรือเปล่าล่ะ เขายังเก็บไว้อย่างดีเลยล่ะ เชอะ”

          ศาสตร์เงียบนิ่งไปนานหลังจากเนพูดจบ เด็กหนุ่มหันมองคนที่ยังนิ่งเฉย ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย

          “ผมทั้งคาดคั้นทั้งบังคับให้เขาเอาทิ้งจะตาย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ยอม ทั้งที่รับปากว่าจะเอาไปทิ้งแล้ว” คราวนี้กลายเป็นเนที่บ่นน้อยใจแทน “ผมมันก็แค่แฟน ไม่ใช่คนที่เขาเห็นเป็นลูกเป็นหลานสักหน่อยนี่”

          ตอนนี้ศาสตร์ชักเริ่มงงแล้วว่าควรจะดีใจกับสถานะในตอนนี้ของตนหรือเปล่า

          “เอาเป็นว่า เขาเห็นคุณสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคุณสิทธิ์ก็แล้วกัน” เนตัดบทอย่างรำคาญก่อนจะหันไปทางอื่น “แต่ผมไม่เถียงหรอกนะว่าถ้าเกิดต้องเลือก ผมเชื่อว่าคุณวัฒน์ก็คงเลือกคุณสิทธิ์อยู่แล้วล่ะ และถ้าเป็นเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ผมก็ไม่เสียใจด้วยถ้าเขาไม่เลือกผม เพราะผมเองก็จะเลือกคุณสิทธิ์เหมือนกัน”

          ศาสตร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะลั่นจนเนต้องหันกลับมามอง

          “ฮะๆ จริงของนาย” หลังจากหัวเราะจนพอใจศาสตร์ก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยังติดสั่น “นั่นสินะ ถ้าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เจ้านายก็ต้องสำคัญที่สุดอยู่แล้ว”

          เนนิ่วหน้า แม้ฟังดูเหมือนน้อยใจแต่น้ำเสียงของศาสตร์ในคราวนี้ไม่ได้ฟังดูเป็นเช่นนั้นแล้ว

          “แต่ผมเชื่อนะ ว่าต่อให้เขาเลือกคุณสิทธิ์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมตัดใจจากพวกเราสักหน่อย”

          ชายหนุ่มเพียงแต่นิ่ง ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ เพียงแค่ยังไม่มั่นใจนักว่าจะเป็นอย่างที่เนพูด แต่ในตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปว่า ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ



________________________________________________________________


กลับมาเครียดเลยทีเดียว


ปีใหม่ไปเที่ยวไหนกันบ้าง =w=

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด