“วะ!! กูพูดก็หาว่ากูเล่นขายของ!! เปิดใจหน่อยได้มั้ยไอ้น้อง!! กูบอกว่ากูไม่มีแฟน และกูก็จะไม่แต่งงาน!”
“แต่ตอนนั้นมึงบอกเองว่ามึงจะมีแฟนและมึงจะแต่งงาน” ภูผานึกหงุดหงิดไอ้คนบนตักเขาจริงๆ ทีเวลาแบบนี้แม่งจำได้จำดี จำกระทั่งคำพูดเขา ทีเรื่องที่ได้เสียกันเป็นผัวเป็นเมียเสือกบอกให้ลืม! ไอ้น้องเอ๊ย!!
“ภู…ถ้ามึงจะทำเพื่อรับผิดชอบ มึงอย่าทำเลย เห็นใจกูเถอะ กูเป็นผู้ชาย จะให้มึงที่เป็นผู้ชายเหมือนกันมา…อ๊ะ!...” นภศรพูดไม่ทันจบ ภูผาก็หยุดริมฝีปากที่กำลังขยับด้วยการประกบปากเข้าจูบ
ร่างโปร่งตาเหลือกโตด้วยความตกใจ ริมฝีปากของภูผานั้นร้อนผ่าวราวเปลวไฟ มันขยับบดคลึงหนักหน่วงก่อนจะถอยห่าง ตาสบตาก่อนที่ภูผาจะลดสายตาลงมองริมฝีปากชื้นและแดงเรื่อน้อยๆเพราะแรงบดจูบ เขายกมือขึ้นสัมผัสมันแผ่วเบา แล้วยิ้มบาง
“เสียดายเวลานะ เรารู้จักกันมาตั้งนาน แต่ไม่เห็นเคยรู้ว่าจูบของน้องจะทำให้ภูรู้สึกดีขนาดนี้…” คนฟังใจสั่นรัวอย่างไม่คาดฝันกับคำพูดอ่อนโยนนั้น ภูผาเหลือบตาขึ้นสบดวงตาตกใจของคนบนตักเขา ก่อนจะส่งยิ้มให้
“น้อง…ถ้าจะรับผิดชอบ ภูไม่ตามมาถึงนี่หรอก…ไอ้เสือเคยพูดว่ามันไม่เคยจูบคุณแยมเพราะมันอัดอั้น แต่มันจูบเพราะรักคุณแยม…ภูเองก็รู้ว่าภูไม่ได้จูบน้องเพราะภูอัดอั้น ภู…จูบน้องเพราะอยากจูบ ที่เรามีอะไรกัน ไม่ใช่เพราะภูอัดอั้น ตอนแรกภูโกรธที่น้องแคร์ไอ้เสือมากกว่า แต่ว่า…หลังจากนั้น…หลังจากนั้น…ภูทำเพราะใจภูอยากให้ทำ…” เหมือนหัวใจอันแหลกเหลวของนภศรจะถูกหลอมเหลวแล้วล่อหลอมให้กลายเป็นหัวใจดวงใหม่
“กลับไปด้วยกันนะน้อง…กลับไปอยู่ด้วยกันนะ…” ภูผาวางหน้าผากลงกับลาดไหล่ของคนบนตักราวกับจะอ้อนวอนขอความเห็นใจ
…นภศรรู้…รู้ทั้งรู้ว่าอนาคตไม่แน่นอน ภูผาอาจตาสว่างขึ้นมาวันใดวันหนึ่ง และวันนั้นเขาก็ต้องระหกระเหินออกมาอีก…แต่หัวใจ…ถ้าหัวใจมันแข็งแกร่งให้ได้กว่านี้สักนิด เขาก็คงไม่…
“นะน้อง…กลับไปอยู่กับภูนะ…”
…ยกให้ภูผาหมดแล้ว ทั้งตัวทั้งหัวใจ สิบปีผ่านมาความรู้สึกที่มีเพิ่มพูนจนไม่เหลือที่ว่าง วันนี้ที่ถูกขอร้อง นภศรจึงได้แต่นิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะลังเลแต่เพราะจำนนกับความรู้สึกของตน
“กลับไปอยู่ด้วยกันแบบไหนล่ะ? แบบเพื่อน หรือว่า…”
“แบบคนรักกัน…ได้มั้ยน้อง กลับไปอยู่ด้วยกันแบบนั้น เราอยู่กันแบบเพื่อนไม่ได้แล้ว เราอยู่กันแบบคนรักนะ ให้ภูได้พิสูจน์ตัวเอง น้องไม่ต้องรักภูก็ได้ แต่ขอให้ภูได้อยู่ใกล้ๆ ให้เราได้อยู่ด้วยกัน อย่าหนีภูไปไหนอีก…”
“ไม่หนีแล้ว ไม่หนีไปไหนอีก” ภูผากอดรัดร่างคนพูดแน่นขึ้น เขายินดี เขาเต็มตื้น ยิ่งกอดรัดแน่นก็ยิ่งรับรู้ถึงการมีอยู่ เขาฝังหน้าลงกับอกแบนเรียบ แล้วหลับตารับรู้ถึงความสุขที่ไหลบ่าเข้ามาในใจเขา
…ความรู้สึกแบบนี้รึเปล่าที่ทำให้ไอ้เสือไม่อยากจากคุณแยมไปไหนนานๆ…อยากอยู่ใกล้ๆ อยากอยู่ข้างๆ อยากอยู่กันแบบนี้เรื่อยไป…
แขนสองข้างของนภศรขยับอ้อมไปโอบกอดร่างของภูผา พวกเขากอดกันแนบแน่น ภูผาเงยหน้าขึ้นสบตา ยืดหน้าขึ้นไปจูบคนบนตักอย่างอ่อนหวานและอ่อนโยน ร่างโปร่งได้แต่หลับตาลงรับสัมผัสที่ทำให้หัวใจหวั่นไหวด้วยความเต็มใจ
พวกเขาจูบกันซ้ำๆ จูบกันเนิ่นนาน จูบ…จนหัวใจแทบหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน…
……………………..
นภศรเดินลงมาจากชั้นสองด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย ข้างหลังคือภูผาที่ยิ้มแก้มแทบปริ มีความสุขจนออกนอกหน้า ในขณะที่ตัวคนเดินนำกำลังคิดว่าจะอธิบายบอกป๊าและเฮียอย่างไรดี
…อยู่ดีๆก็มา แล้วอยู่ดีๆก็จะกลับไปพร้อมไอ้ภู…ป๊าและเฮียต้องสงสัยแน่ๆ…
“มึงอย่าเพิ่งยิ้มระรื่นได้มั้ย ภู…กูยิ่งเครียดๆอยู่…” ร่างโปร่งหันมาว้ากภูผาเบาๆ
“เครียดทำไม ถ้าป๊ากับเฮียหนึ่งว่าอะไรเดี๋ยวกูรับแทนเอง…”
อยากพูดจาจ๊ะจ๋าอยู่หรอก แต่หน้าตาเคร่งเครียดของนภศรตอนนี้ แถมด้วยการที่เจ้าตัวขึ้นประโยคด้วยคำว่า ‘กู’ ก็ทำเอาภูผาต้องคล้อยตามบรรยากาศแบบ ‘เพื่อน เพื่อน’ ไปก่อน รู้ไว้ในใจก็พอว่าตอนนี้คบกันฉันคนรักไปแล้ว…
“พูดเป็นเล่น…อ๊ะ เฮีย…” นภศรหันมาดุ แล้วพอหันกลับไปเขาก็ต้องชะงักกึกเมื่อพบว่านทีออกมายืนที่หน้าซุ้มโค้งของประตูห้องนั่งเล่น
“จะกลับกรุงเทพหรือ?” หน้าตานทีไม่มีวี่แววของพี่ชายที่แสนใจดีเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ซ้ำดวงตาคมกริบยังจับจ้องไปยังภูผาอีกต่างหาก นภศรกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะพูด
“ครับ เฮีย”
“งั้นเข้ามาคุยกับเฮียก่อนสิ…เฮียอยากรู้เรื่องที่โรงแรม…”
คนเป็นน้องถึงกับตาโต ทว่ายังไม่ทันทีเขาจะก้าวขาเดิน ภูผาก็เดินแซงหน้าเขาไปหานทีเสียแล้ว
“ถ้าอยากรู้เรื่องนั้น ต้องให้ผมเป็นคนพูดครับ เฮียหนึ่ง…เพราะเรื่องที่โรงแรม ผมเป็นคนทำเองทั้งหมด”
“เฮีย!...อย่านะเฮีย เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับไอ้ภู…” นภศรรีบวิ่งไปคว้าแขนพี่ชายเอาไว้ ทว่านทีกลับหันมามองด้วยสายตาเย็นเยียบ
“เฮียเพิ่งบอกน้องไปนะ ว่าน้องคือจุดศูนย์กลางของเฮียและป๊า น้องคือดวงใจของเฮียและป๊า …ถ้าจะมีใครมารับช่วงต่อเอาดวงใจดวงนี้ของเฮียและป๊าไปดูแล เฮียก็ต้องมั่นใจว่า ‘ไอ้คนๆนั้น’ จะไม่ทำให้ดวงใจของเฮียและป๊าเจ็บ…เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ขอเฮียกับป๊าคุยกับ ‘ไอ้ภู’ ตามลำพัง”
ร่างโปร่งพูดไม่ออก ภูผาเองก็หันมาพยักหน้าให้เขาวางใจ ก่อนจะเดินตามนทีเข้าไปในห้องนั่งเล่น แล้วประตูก็ปิดลงโดยทิ้งนภศรเอาไว้นอกห้องเพียงลำพัง
………………………………
‘กูจะทำยังไงดีเสือ! ป๊ากับเฮียต้องรู้เรื่องแล้วแน่ๆที่กูไปอยู่โรงแรม…’
สหรัฐแอบปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเองเล็กน้อย ไม่อยากจะบอกเพื่อนรักเลยว่าที่ป๊าและเฮียของมันรู้เรื่องก็เพราะเขานี่แหละยอมคายความลับ
…ไม่คายได้ไง พอเขาทำอมพะนำบอกไม่รู้ ไม่รู้ เฮียหนึ่งใช้วิธีถาม…
‘ได้ข่าวว่ามีคนรักแล้ว ชื่อญาณธรใช่มั้ย ทำงานอยู่ที่ไหนนะ?...บริษัทค้าปลีกรึเปล่า? รู้สึกว่าเฮียจะรู้จักกับเจ้าของพอดี…’
เล่นเอางานของแยมมาพูดถึงแบบนี้ ไอ้เขาก็กลัวเฮียจะไปบีบเอาตรงนั้น เกิดแยมตกงานแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่จะกลายเป็นว่าแยมคิดมากอีก! วู้!! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาแท้ๆ แล้วมันมาซวยได้ไงวะเนี่ย!...
“ใจเย็นๆนะมึง กูว่าแทนที่มึงจะเครียดเรื่องนั้น มึงเครียดว่าไอ้ภูจะพูดอะไรก่อนดีมั้ย…ไอ้บ้านั่นยิ่งปากไม่มีหูรูดอยู่…”
‘พูด?...อ๊ะ…ส…เสือ…นี่…นี่มึงรู้เหรอ?’ น้ำเสียงของนภศรที่ตอบกลับมานั้นเต็มไปด้วยแววตกใจ สหรัฐถอนหายใจเบาๆ
“ก็…ไอ้ภูมันมาโวยวายกับกูว่ามัน…เอ่อ…ได้มึงแล้ว แล้วมึงดันหนีมัน…”
‘ไอ้หอกภู!’
“เอาล่ะๆ กูว่าตอนนี้มึงภาวนาให้ความเกรียนของไอ้ภูเอาชนะใจทั้งป๊าและเฮียมึงให้ได้เถอะน้อง” สหรัฐได้แต่แนะนำเพื่อนไปแบบนั้น นภศรถึงได้ยอมวางสาย แล้วร่างสูงก็เลยถอนหายใจอีกเฮือก
…เขาเองก็ควรภาวนาให้เรื่องทั้งหมดจบลงด้วยดี อย่างน้อยสิบปีของไอ้น้องจะได้ไม่สูญเปล่า ไอ้ภูจะได้มีหลักแหล่งของหัวใจเหมือนที่เขาเองก็มีแยมเป็นหลักยึด…และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด จะได้ไม่มีใครมาถามเขาด้วยน้ำเสียงสดใสแต่แฝงขู่ไว้ในทีทำนองว่าจะทำให้สุดที่รักของเขาตกงาน!!!...ไม่แฟร์นะโว้ย!! เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แล้วใครเอากระดูกมาแขวนคอกูล่ะเนี่ย!!!!...
…………………………..
ภูผาบอกตามตรงว่าตัวเองก็ไม่ใช่พวกกล้าตายอะไรนักหรอก ถึงจะเกรียนเอาโล่ตั้งแต่สมัยเรียน แต่ตอนนี้อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว อีกไม่เกิน 3 ปีก็จะ 30 อยู่รอมร่อ ซ้ำเพิ่งจะได้มี ‘เมีย’ เป็นตัวเป็นตน จะมาตายเอาวันนี้ก็ออกจะไม่คุ้มกับที่เกิดมา
“รู้ใช่มั้ยว่าบ้านนี้รักน้องมากแค่ไหน”
น้ำเสียงของนทีแทบจะกรีดเข้าไปในใจแล้วตัดเส้นเลือดใหญ่ของภูผา เอาให้แดดิ้นตายตรงนี้ คนถูกถามเหลือบตามอง อยากยกมือปาดเหงื่อที่ผุดเต็มหน้าแต่ก็เกรงว่าจะไม่เหมาะกับตำแหน่ง ‘ว่าที่ลูกเขยเจ้าพ่อ’ ก็เลยต้องรอให้เหงื่อมันแห้งเอง
“ทราบครับ…” นทีกระตุกยิ้ม ก่อนจะเดินอ้อมโซฟาที่ภูผานั่ง เล่นเอาเสียวสันหลังวูบ ไอ้จะหันตามก็ไม่ได้ เพราะตรงหน้าภูผาคือเสี่ยสมภพที่นั่งนิ่ง ใช้สายตา ‘ขึงผืด’ เขาให้อยู่กับที่
“ทราบ…แกใช้คำว่าทราบ…ทั้งๆที่ทราบแต่ก็ทำแบบนั้นกับน้อง…” ร้อยวันพันปี นทีไม่เคยใช้สรรพนามว่า ‘แก’ เรียกเพื่อนของน้องชายคนไหน แต่ยกเว้นรายนี้เอาไว้คน
“ผมทำเพราะไม่อยากให้น้องจากผมไป…”
“อ้อ เห็นแก่ตัว…”
“ครับ ผมเห็นแก่ตัวจริงๆ” ด้วยระดับความเกรียนที่มีมานาน ภูผาหน้าด้านพอจะยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าเขาเห็นแก่ตัวกับเรื่องนี้ นทีค้ำสองแขนลงกับพนักพิงของโซฟาตัวที่ภูผานั่งอยู่
“แล้วแกรู้มั้ย…ว่าคนที่เห็นแก่ตัวกับน้อง สุดท้ายแล้วมันเป็นยังไง คนที่ทำให้น้องเจ็บ คนที่ทำให้น้องเสียใจ แกรู้รึเปล่าว่าพวกฉันไม่เคยปล่อยให้มันหายใจนานเกิน 24 ชั่วโมง”
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องมีสักร้อยชีวิตล่ะครับ เพราะตอนนี้ผมกับน้องเป็นคนรักกันแล้ว ความรักก็เหมือนเหรียญ มีสองด้านในตัวมันเอง วันนี้ความรักทำให้มีความสุข วันต่อไปความรักทำให้มีความทุกข์…ถ้าเฮียจะทำอะไรผมทุกครั้งที่ผมทำให้น้องเสียใจ ผมคิดว่าเฮียคงต้องทำแทบทุกวันเลยล่ะครับ…”
“นี่แก…แกคิดว่าพวกฉันจะปล่อยให้น้องได้รักกับแกอย่างนั้นเหรอ?!!” ภูผาหันมองคนถาม ก่อนจะยิ้มบาง
“ไม่คิดหรอกครับ ผมคิดแค่ว่าน้องเป็นดวงใจของทั้งเฮียและป๊า เพราะฉะนั้น เฮียและป๊าคงไม่ขัดใจน้อง” นทีปวดหัวตุ้บ เมื่อเจอไอ้คนตรงหน้าย้อนเอาแบบนี้ เสี่ยสมภพขยับตัวเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าตัวเองจะพูด
“เอาล่ะ…แกพูดถูก ภูผา…น้องเป็นดวงใจของพวกฉัน ไม่มีใครขัดใจเขา ไม่มีใครทำให้เขาเสียใจ ไม่มีใครทำให้เขาเจ็บ…แต่แกก็อย่าลืม…น้องเองก็รักพวกฉันเหมือนกัน และแน่นอน…ถ้าฉันว่าไม่…เขาก็ว่าไม่…” ภูผานิ่งอึ้งเมื่อเสี่ยสมภพพูดแบบนั้น
“…พวกฉันจะไม่บังคับน้องเรื่องนี้ แต่ฉันจะ ‘แค่’ บอกน้องว่า…พวกฉันไม่อยากให้น้องอยู่กับแก…แกคิดว่ายังไงล่ะภูผา น้องจะทำยังไง ดื้อแพ่งหนีไปแก? หรือว่าจะไล่แกกลับไปคนเดียว…” ไม่ต้องถามภูผาก็มีคำตอบในใจ นภศรถูกเลี้ยงมาในครอบครัวที่ทุ่มเททั้งหัวใจและแรงกาย เพราะฉะนั้น นภศรจึงตอบแทนครอบครัวด้วยสิ่งเดียวกัน และนั่นหมายถึงมันจะไม่ขัดใจป๊าและเฮีย
ภูผาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น แล้วยกมือไหว้แทบท่วมหัว
“ป๊าครับ อย่าทำแบบนั้นเลย ผมรู้ว่าน้องไม่มีทางไปกับผม ถ้าป๊าทำแบบนั้น สู้ให้ผมอยู่ที่นี่เถอะ…”
“นี่แกยังกล้าขอ?!!!” นทีร้องลั่น ไม่คิดว่าภูผาจะหน้าด้านแบบนี้ พูดปากเปียกปากแฉะว่าจะไม่ยอมให้นภศรไปกับมัน มันก็ขออยู่ที่นี่ซะเลย! มันคิดว่าที่นี่เป็นอะไร โรงแรมห้าดาวเดินเข้ามาเช็คอินเมื่อไหร่ก็ได้งั้นเหรอ?!!
ภูผาหันมามองคนร้อง แล้วยกมือไหว้อีกครั้ง
“นะครับเฮีย ผมอยู่ที่นี่ในฐานะคนสวนก็ได้ ผมยอม…แต่อย่าพูดแบบนั้นให้น้องต้องเลือก น้องรักป๊ากับเฮียมาก แต่ผมเองก็รักน้องมากเหมือนกัน”
“รักมาก?...ทำไมถึงแน่ใจล่ะ ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ไม่เห็นเคยรักมากนี่” เสี่ยสมภพถาม ภูผาก้มหน้าอย่างจำนนและสำนึกผิด
“ผมมันโง่ครับป๊า ผมไม่เคยรู้ตัวว่าตัวเองมีของดีที่สุดอยู่ในมือ จนกระทั่งวันนี้ที่น้องจะไป ผมถึงได้รู้…น้องคือชีวิตผมทั้งชีวิต น้องคือหัวใจผมทั้งดวง ถ้าไม่มีน้อง ผมก็…ผมก็จะไม่เป็นผมอย่างทุกวันนี้…ผมขอล่ะครับป๊า อย่าพูดแบบนั้นกับน้องเลยนะครับ”
“แกพูดอะไรได้น้ำเน่าดีนะ ภูผา…ฉันเห็นแกมาตั้งนาน นึกว่าแกจะเป็นพวกหยาบๆซะอีก…หนึ่ง ไปตามน้องมา ป๊าจะพูดต่อหน้าน้อง…” ภูผาใจเต้นตุ้มๆต่อมๆเพราะไม่รู้ว่าเสี่ยสมภพจะพูดอะไร จะไล่เขาให้กลับไป หรือว่าจะบอกให้นภศรเลือก
ไม่ถึงอึดใจ นทีก็เดินนำน้องชายเข้ามา นภศรเหลือบมองหาภูผาอย่างห่วงใย
“ไปนั่งกับพื้นทำไมน่ะ ภู”
“ไม่มีอะไรหรอกน้อง มานั่งกับป๊านี่…” เสี่ยสมภพตบลงบนพื้นที่ว่างข้างตัวเป็นสัญญาณ นภศรจึงเดินเข้าไปทรุดตัวนั่งข้างๆ
“น้อง ป๊าจะให้หนึ่งไปส่งที่กรุงเทพคืนนี้เลยนะ…ส่วนภูผา เขาบอกว่าจะมาเป็นคนสวนที่นี่ เพราะฉะนั้นคืนนี้น้องไปนอนกับเสือก่อนแล้วกัน”
“คนสวน?!!” นภศรร้องด้วยความตกใจ หันมองภูผาที่อ้าปากค้างตาโตเพราะถูกว่าที่พ่อตาย้อนศรอย่างเจ็บแสบ
…รับเขาเป็นคนสวนที่นี่ แต่ถีบไอ้น้องกลับกรุงเทพแล้วแบบนี้เขาจะเป็นคนสวนทำไมวะ?!...
“ใช่ ภูผาบอกว่าขอมาเป็นคนสวนที่นี่ จริงมั้ยภูผา…”
“มัน…มันก็จริงครับป๊า แต่แบบ…แบบ…ผมนึกว่าผมจะได้มาอยู่ที่นี่กับน้อง!!” นภศรนิ่งชะงักเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดจาตรงเผงแบบนี้ เขาถลึงตาใส่ภูผาเป็นเชิงให้เงียบ
“อ้าว…เหรอ…ถ้าอย่างนั้นคงไม่ได้หรอก เพราะน้องไม่ชอบอยู่ต่างจังหวัด แกก็รู้นี่ภูผา ว่าบ้านนี้ไม่เคยขัดใจน้อง และแกก็ไม่ควรขัดใจน้องด้วย” เสี่ยสมภพว่าอย่างนั้นทำเอาภูผาถึงกับตาละห้อย
“ส่วนเรื่องคอนโดที่จะหาใหม่ ป๊าจะให้ลูกน้องดูเอาไว้ให้แล้วให้น้องเลือกเอง เอาแบบอยู่คนเดียวก็สบายดีนะ ระบบรักษาความปลอดภัยเข้มๆหน่อย แล้วก็ซื้อห้องข้างๆให้พวกไอ้ตรีมันอยู่ ป๊าจะได้สบายใจ”
“อยู่คนเดียวไม่ได้นะป๊า!!” ภูผาตีซี้ตีสนิทเรียก ‘ป๊า’ ของนภศรได้เต็มปากเต็มคำ แถมคำพูดยังคล้ายๆจะออกคำสั่งอีกต่างหาก
“ทำไมจะอยู่ไม่ได้ น้องโตแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อนหรอก”
“อยู่ไม่ได้ก็คืออยู่ไม่ได้!! ผมไม่ยอมหรอก! น้องเป็นเมียผม แยกผัวแยกเมียแบบนี้มันบาปนะครับ!!” ภูผาไม่พูดอย่างเดียวแต่เจ้าตัวยังถลาไปกอดนภศรเอาไว้ ร่างโปร่งตาโตกว่าเดิมเป็นล้านเท่าเมื่อภูผาแจกแจงสถานะของเขาและมันอย่างออกนอกหน้า
“ผมไม่ยอม! ยังไงๆก็ไม่ยอม!”
“ปล่อยน้องซะไอ้ภูผา!!” นทีเค้นเสียงหนักด้วยเริ่มไม่พอใจ
“ไม่ครับเฮีย!...ผมมาที่นี่เพื่อมาตามน้องกลับไปอยู่ด้วยกัน แต่เฮียกับป๊าพยายามกันผมออกจากน้อง แบบนี้ผมยอมไม่ได้!!! ผมรักน้อง!!และผมก็จะอยู่กับน้องด้วย!!!” นภศรถึงกับชะงัก เมื่อคนที่ยังกอดเขาเอาไว้ดันเปิดปากพูดความรู้สึกออกมา
…ภูผาน่ะหรือรักเขา? ไม่จริงหรอก ไม่จริง…ภูผาจะรักเขาได้อย่างไรกัน ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา มันไม่เคยมีทีท่าจะรักเขาแม้แต่นิด…
“น้อง…บอกเฮียกับป๊าสิ ว่าน้องก็จะอยู่กับภูเหมือนกัน” ภูผารีบผลักดันคนในอ้อมกอดเขาให้เปิดปากพูด แต่เจ้าตัวยังเอาแต่เงียบ
“น้อง…” ภูผาเรียกอีก นภศรถึงได้รู้สึกตัว เขาเหลือบตามองบิดาและพี่ชายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งอยากขอโทษ ทั้งเสียใจ และ…ทั้งอยากดื้อดึงเอาแต่ใจตัวเอง
“ป๊าครับ…เฮีย…น้อง…ทำตามใจตัวเองได้มั้ย…” เสี่ยสมภพมองหน้าลูกชายคนเล็กนิ่งนาน ก่อนจะอ้าแขนออกช้าๆ นภศรก็ปลดแขนภูผาที่กอดรัดตนไว้ ก่อนจะโผเข้ากอดบิดา
“เชื่อคำพูดของภูผาขนาดนั้นเลยเหรอ น้อง” เสี่ยสมภพเอ่ยปากถามบุตรชายต่อหน้าภูผา เล่นเอาร่างสูงเหมือนน้ำท่วมปาก อยากจะเจียระไนว่าเขารูสึกเช่นไร แต่คิดอีกที เขาคงเพิ่งพูดเอาตอนนี้…เพิ่งบอกว่ารัก…ก็คนมันเพิ่งรู้ตัวนี่หว่า เพิ่งรู้ตัวตอนนี้แล้วจะให้บอกปีมะโว้ไหนล่ะ!!...
“ไม่เชื่อหรอก ป๊า”…อ้าว…ภูผาอยากจะอ้าวดังๆ แต่เกรงใจสามพ่อลูกนี่อยู่บ้าง เลย ‘อ้าว’ ในใจพอ
“…แต่ว่า…แต่ว่าน้อง…” นภศรได้แต่อ้ำอึ้งอยู่กับอกบิดา เพราะไม่รู้จะอธิบายเช่นไรดี เขาไม่เชื่อคำพูดภูผา เพราะภูผาไม่เคยทำอะไรให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายรักเขามากกว่าเพื่อน…แต่เพราะตัวเขาเองที่รัก…เพราะเขารัก…เขาถึงอยากให้โอกาสได้พิสูจน์คำพูดนั้น…
“เอาเถอะ…ไม่เป็นไร ถ้าใจน้องอยากจะไปกับเขา ป๊าก็ไม่ว่าอะไร แต่ป๊าขออย่างเดียว เมื่อไหร่ที่ไม่ไหว ให้กลับมา…ที่นี่มีที่ให้น้องเสมอ…” เสี่ยสมภพก้มลงพูดกับบุตรชายอย่างรักใคร่ นภศรได้แต่ยิ้มรับ เขาคลายกอดบิดาก่อนจะหันไปทางพี่ชายที่ยังเอาแต่ยืนนิ่ง ใบหน้าแบบลูกคนจีนติดจะหงุดหงิดและไม่พอใจ แต่เมื่อเขาลุกขึ้นเดินเข้าไปสวมกอด นทีก็คลายคิ้วที่ขมวดปมลง
“เฮีย…น้องรักเฮียนะ เฮียรักน้องมั้ย”
“เฮียจะไม่รักน้องได้ยังไง เฮียเลี้ยงน้องมาตั้งแต่เกิด ชื่อน้อง เฮียก็เป็นคนตั้ง…”
“ถ้าอย่างนั้น น้องขอให้เฮียให้โอกาสภูแบบที่น้องให้ได้มั้ย…นะเฮีย” นทีได้แต่ถอนหายใจ ถูกน้องชายขอร้องเข้าหน่อยเขาก็ใจอ่อนไปหมด ได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำยอม
“แต่ถ้ามีอะไร น้องสัญญาได้มั้ยว่าจะบอกเฮีย ถ้าใครทำน้องเจ็บ น้องต้องบอกเฮีย เฮียจะได้ไม่เอามันไว้” ท้ายประโยค นทีเหลือบตามาจ้องภูผา เล่นเอาชายหนุ่มเสียวสันหลังวูบ แต่ก็ยังใช้สายตาจ้องกลับไป เพราะถือว่าอย่างน้อยเขาก็เป็น ‘ลูกเขยเจ้าพ่อ’ จะมากลัวนั่นกลัวนี่ซี้ซั้วได้ยังไง
“ครับ” นภศรยิ้มรับ แล้วกอดรัดพี่ชายแน่นๆอีกครั้ง ก่อนที่เขาและภูผาจะออกจากคฤหาสน์หลังงามมา
………………………..
คอนโดห้องเดิมที่เคยอยู่มาตลอดสิบปี…นภศรกวาดสายตาไปรอบห้อง ทุกอณูอากาศมีกลิ่นอายของเขาและภูผารวมกันอยู่ทุกมุม ไม่ว่าจะบนโซฟา ที่โต๊ะทานข้าว ในห้องครัว ในห้องน้ำ หรือแม้แต่เตียงนอน…
แรงกอดรัดจากทางด้านหลังทำเอาร่างโปร่งสะดุ้ง หันมองด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันกลับมาเพราะภูผายื่นหน้ามาวางบนไหล่เขาอย่างใกล้ชิด
“อย่าหนีไปจากที่นี่อีกนะน้อง ที่นี่ก็เป็นที่ของน้องเหมือนกัน…”
“ภู…ทำไมตอนนั้นถึงพูดว่ารักล่ะ”
“ก็…มัน…เพิ่งรู้ตัวมั้งว่าอยากพูดมาตลอด มาคิดดูแล้ว…ฉันอาจจะชอบ ‘นายนภศร อาชาอาจ’ มาตั้งนานแล้วก็ได้ จำได้มั้ย แต่ก่อนตอนไปเที่ยวด้วยกัน ฉันโวยวายใหญ่ไม่ยอมเรื่องที่นอน ไม่อยากให้ไอ้เสือนอนใกล้นาย เวลาสาวๆมาขอเบอร์นายจากฉัน ฉันก็ไม่เคยให้สักครั้ง…เอ…หรือว่าฉันจะรักนายตั้งแต่นายมาช่วยฉันตอกตะปูทำคัตเอาท์งานกีฬาเฟรชชี่หว่า…”
ภูผาพยายามนึกย้อนความทรงจำไปถึงช่วงที่เพิ่งเป็นเพื่อนกันใหม่ๆ ทุกเรื่องในรั้วมหาวิทยาลัยของนายภูผา มีนายนภศรร่วมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตอนเรียน ตอนสอบ ตอนทำกิจกรรม หรือแม้แต่ตอนเวลาว่าง
“สิบปี…ฉันมันโง่อย่างที่นายกับไอ้เสือเคยด่าเอาไว้จริงๆ ตั้งสิบปี…แต่ไม่รู้ตัว…จริงสิ ไอ้เสือพูดว่า ‘สิบปี’ อะไรสักอย่างเหมือนกัน มันบอกให้มาถามเอาจากนาย…” นภศรก้มหน้าลงเหมือนไม่อยากพูด และภูผาก็ไม่คาดคั้นให้ตอบ เขายิ้มกับตัวเอง พิงศีรษะกับศีรษะคนที่เขากำลังกอดอยู่
“ไม่เป็นไร ไว้พร้อมเมื่อไหร่ค่อยพูดก็ได้…แต่ว่า…ฉันมีเรื่องอยากจะถาม…จำตอนเราเรียนอยู่ปีสองมั้ย ที่ฉันแอบเข้าไปหลับในห้องชมรมฟุตบอล…” นภศรคิดตาม ก่อนจะหันมามองคนพูด
“นายหนีไปหลับบ่อยจะตาย…”
“ไม่สิ…เอาเฉพาะตอนปีสอง แล้วนายก็เข้าไปตามฉัน วันนั้นน่ะ…นายจูบฉันใช่มั้ย” ร่างโปร่งชะงักตาโตด้วยความตกใจ ก่อนจะละล่ำละลักถาม
“นาย…ตื่นเหรอ ตอนนั้น….”
“ไม่ได้ตื่น แต่สะลึมสะลือ ตอนนั้นฉันเข้าใจว่าฝัน แล้วก็คิดว่าตัวเองฝันมาตลอด แล้วก็ทำเป็นลืมมันไป…แต่ว่า…มานึกได้อีกครั้งตอนที่เราจูบกัน…” นภศรรีบหันหน้าหนีอีกครั้งด้วยใบหน้าแดงจัด ทำเอาภูผานึกอยากแกล้งอีกฝ่าย เขายังกอดแน่น ลอยหน้าลอยตาพูด
“ชักเข้าใจแล้วว่า ‘สิบปี’ ที่ไอ้เสือพูดน่ะหมายถึงอะไร…นายรักฉันมาสิบปีใช่มั้ยน้อง” ยิ่งถามก็เหมือนหน้าของนภศรจะยิ่งแดงมากกว่าเดิม ร่างโปร่งก้มหน้าก้มตาพยายามปลดมือของภูผาที่โอบรอบเอวตนอยู่
“ปล่อยได้แล้ว จะเอาเสื้อผ้าไปเก็บ”
“ไม่ปล่อย ยอมรับมาก่อนว่ารักฉันมาสิบปีแล้ว เร็วน้อง…ไม่งั้นได้ยืนกอดกันแบบนี้ทั้งคืนแน่…”
“ยอมรับว่าตัวเองบ้าน่ะสิที่ไป…เอ่อ…รักนาย…” คำว่ารักของนศรเบาหวิวสมกับที่อีกฝ่ายเป็นคนขี้อาย แต่เพียงเท่านั้นภูผาก็ยิ้มแก้มแทบปริแล้ว เขาขยับเข้าไปจูบที่แก้มของคนพูดแรงๆด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะปลดอ้อมกอดออกแล้วพลิกตัวนภศรให้หันกลับมาประจัญหน้ากับเขา แล้วจึงอุ้มอีกฝ่ายขึ้นแบกบนไหล่
“เฮ้ย!! ภู! ทำอะไรเนี่ย!!”
“เข้าห้องหอน่ะสิ! รอมาตั้งสิบปี ต้องเก็บต้นเก็บดอกเอาให้คุ้มกับสิบปีเลยนะ” เขาพูดแล้วหัวเราะลั่นก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าห้องนอนในขณะที่นภศรได้แต่ทุบไหล่คนหัวเราะด้วยความเขินจัด
“ไอ้บ้า!” เสียงด่าของนภศรเบาลงทุกที เมื่อภูผาพาเขาเดินเข้าห้องนอน และทันทีที่ประตูปิดลง คำสบถด่าก็ถูกปิดกั้น ก่อนที่ภูผาจะปล่อยให้อีกฝ่ายได้แต่ครางเครือแผ่วเบาอย่างหวามไหวแทน
FIN
อิอิ เอามาลงก่อนไปเที่ยวแหละค่า ดอกต่อไปยังไม่สัญญานะ เพราะว่ายังคิดไม่ออกเลยค่ะ
ซีรี่ส์นี้แต่งสดมากมาย ฮ่าฮ่า
เดี๋ยวกลับมาจากไปเที่ยว จะมาบอกพร้อมกับสเปดอกนี้…ทุกคนจะได้เห็นความดีความงามของภูบ้าง ฮ่าฮ่า (และแน่นอน มีภูต้องมีพี่เสือ ขโมยซีนตลอดเว… )
ขอบคุณมากๆสำหรับการอ่าน การเม้นท์ และทุกการติดตามเลยนะคะ ขอบคุณพื้นที่บอร์ดด้วยค่ะ