ห า กั น จ น เ จ อ
ตอนที่ #06
‘อย่าทำตัวเสียมารยาทนะดีน’
เพราะข้อความสั้น ๆ จากเพื่อนสาวเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนทำให้ดีนต้องขุดตัวเองจากเตียงมายืนอยู่หน้าไนต์คลับชื่อดังย่านสถานบันเทิงทั้งที่ไม่อยากมาเป็นหนึ่งในสักขีพยานรักเลยสักนิด ถึงจะไม่ใช่งานแต่ง แต่คนที่มาร่วมงานนี้ต่างก็เข้าใจตรงกันไปแล้วว่าตนได้รับรู้ถึงความรักของคนสองคนที่กำลังถึงจุดตกลงจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
เสียงอึกทึกจากอีกฝั่งของร้านดังกลบดนตรีสดที่ดังมาจากฝั่งที่เป็นเป้าหมายของเขาเสียมิด ดีนโล่งใจที่อย่างน้อย ‘ว่าที่เจ้าสาว’ ก็เลือกจัดปาร์ตี้ภายในฝั่งดนตรีสด ไม่ใช่อีกฝั่ง แม้เขาจะพอรู้มาว่าไม่สามารถจองแบบปิดโซนได้ แต่ก็ถือว่าพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นของพวกเขาอยู่ดี
กว่าจะตัดสินใจเดินเข้าไปข้างในได้ เขาก็ได้รับการทักทายจากลูกน้องมากหน้าหลายตา บางคนเขาก็พอจำได้ว่ามาจากแผนกของแม่งาน ขณะที่ก็มีอีกหลายคนที่เขาระบุไม่ได้แม้กระทั่งแผนกที่อีกฝ่ายสังกัดอยู่ ไม่ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจลูกน้อง แต่เพราะพนักงานเยอะจนต้องเลือกจำเอาแค่คนที่เข้าประชุมด้วยในแต่ละครั้งเท่านั้น
ปาร์ตี้สละโสดคืนนี้แทบจะเป็นงานภายในอย่างสมบูรณ์แบบ หากว่าไม่มีคนนอกสำนักพิมพ์ที่ได้รับเชิญเป็นพิเศษเนื่องด้วยความสนิทสนมที่มากกว่าคนทั่วไปอย่างเช่นกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมของดีนที่พากันมาแทบจะครบก๊วนเพราะสนิทกับพี่ชายเขามากทีเดียว
สามหนุ่มเพื่อนซี้นั่งประจำอยู่ตรงบาร์ที่ผู้คนค่อนข้างบางตาและเป็นเอกเทศจากกลุ่มที่มาปาร์ตี้อย่างชัดเจน ดีนรู้สึกขอบคุณใครก็ตามที่เลือกที่นั่งตรงนั้น แม้จะต้องนั่งเรียงหน้ากระดานไม่ได้หันเข้าหากันเหมือนนั่งโต๊ะทั่วไป แต่ก็นับว่าเป็นตำแหน่งที่ปลีกวิเวกจากคนอื่นได้ดี
“ไอ้ธันว์อ่ะ” ถามทันทีที่เห็นว่าหนึ่งในสามไม่มีนายแพทย์เจ้าของใบหน้าสุดน่ารัก
“มาถึงก็ถามหาเมียคนอื่นก่อนเลยนะ” เก่งแซวขึ้นมาก่อนจะตอบคำถาม “มันไม่ว่างเว้ย”
“แต่วันก่อนมันบอกกูว่าไม่มีเวรดึกนะ”
“เออ โทษที กูพูดผิด คนที่ไม่ว่างอ่ะพี่แรม”
ได้ฟังอย่างนั้นก็เข้าใจทันที ถ้าแรมติดงาน อีกฝ่ายไม่มีทางยอมให้คนรักออกมาเที่ยวกลางคืนแน่ แม้จะมากับเพื่อนก็ตาม
“เพื่อนกูจะไม่เป็นผู้ชายอยู่ละ หวงอะไรขนาดนั้นวะ”
“มึงดูเพื่อนมึงด้วยครับ กูเป็นพี่แรมกูก็หวงเหอะ ไอ้ห่าธันว์มันเจ้าพ่อฟีโรโมน ดึงดูดทุกเพศทุกวัย ดื่มเหล้านิดเดียวก็แก้มแดงฉิบหาย ยิ่งพอเมาเข้าหน่อยนะมึงเอ้ย น่ารักเหี้ย ๆ กูยังเคลิ้มเลยสัด” โอมที่นั่งตรงกลางพูดขึ้นมาโดยมีแฝดน้องพยักหน้าสนับสนุนความคิดนั้น
“กูจะฟ้องพี่แรมว่ามึงคิดอกุศลกับไอ้ธันว์” เก่งแสร้งปั้นหน้าจริงจังจนโดนเพื่อนตบหัวคว่ำไปหนึ่งฉาด
“สัด กูแค่อธิบายความน่ารักของมันให้ไอ้ดีนเห็นภาพไหมล่ะ”
ดีนส่ายหน้า สามคนนี้อยู่รวมกันโดยไม่มีธันวาทีไรเป็นไม่มีสาระทุกที แต่ก่อนที่จะได้ลงไม้ลงมือกันไปมากกว่านี้ เสียงหวานใสของหญิงสาวก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน
“กว่าจะมาได้นะคะบอกอ”
ดีนไหวไหล่ก่อนเลือกนั่งเก้าอี้ข้างเก่ง
“ผิงงงงงงง” เก่งลากเสียงยาวทำหน้าเคลิ้มฝันถึงทั้งที่สาวเจ้ากำลังยืนอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ ๆ
ผิงหันไปยิ้มทักทายเพื่อนของดีนที่ตนรู้จักตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกัน ใครอีกคนก็เดินเข้ามาสมทบเสียก่อน
“ไง พวกนาย”
“หวัดดีครับพี่คริส” สามหนุ่มพร้อมใจกันประสานเสียงทักทาย
ผิงที่ยืนหันหลังให้ หันไปมองก่อนจะขยับไปยืนข้างดีนแทน คริสเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะถามไถ่เพื่อนน้องชายต่อ “แล้วธันวาไม่มาด้วยเหรอ”
“คนเขามีการมีงานทำ” ดีนพูดขึ้นลอย ๆ เรียกสายตาติเตียนจากเพื่อนฝูงรอบทิศ แต่เจ้าตัวก็ไม่ใส่ใจ
“ไอ้ห่านี่” เก่งด่าเบา ๆ ก่อนหันไปตอบคำถามคริส “ไอ้ธันว์ไม่ว่างครับ แต่มันฝากมาแสดงความยินดีกับพี่ด้วย”
“ก็แค่ปาร์ตี้สละโสด ยังไม่ทันได้แต่งจริง มันจะรีบยินดีด้วยไปทำไมวะ”
เพี๊ยะ!
“ปากเสีย”
เสียงตีปากพร้อมคำต่อว่าจากหญิงสาวทำให้ทุกคนในวงสนทนาหันมองด้วยความตกใจ
“ยังไม่เลิกเล่นแบบนี้กันอีกเหรอ?” พี่ใหญ่ของกลุ่มถามเสียงเข้มผิดสังเกต ทว่าเพื่อนของดีนต่างก็เข้าใจว่าคริสคงมองว่าเป็นพฤติกรรมระหว่างหนุ่มสาวที่ไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่
ดีนยักไหล่ไม่สนใจ ขณะที่หญิงสาวหนึ่งเดียวของกลุ่มหน้าสลด
“ก็ยังไม่เลิกคบกัน ทำไมจะเล่นแบบนี้ไม่ได้ จริงไหมผิง?”
คนถูกถามความเห็นมองค้อนเพื่อนชายคนสนิทแต่กลับเรียกเสียงโวยวายจากใครอีกคนที่ตามเกี้ยวทุกครั้งที่เจอกัน “เฮ้ย ๆ ไหนบอกว่าไม่ได้คบกันไงวะ ตกลงยังไงกันแน่เนี่ย”
“คนไม่มีหัวใจอย่างเพื่อนนายรักใครเป็นด้วยเหรอเก่ง” พูดจบก็มองค้อนให้อีกหนึ่งทีก่อนจะเดินออกจากวงสนทนาของหนุ่มโฉดกลับไปหาเพื่อนฝูงตนเองโดยไม่มองสบตาคู่คมของใครบางคนที่มองมาอย่างรอคอยคำตอบเลยสักนิด
“งอน? เธองอนมึงเหรอวะไอ้ดีน?” นะโมถามด้วยความสงสัยแต่กลับเก็บท่าทีอยากรู้อยากเห็นได้ดีกว่าแฝดพี่ที่ยังไม่เอ่ยปากถามเสียอีก
ดีนยกยิ้มมุมปาก “แบบนี้น่ะเรียกว่าโกรธเว้ย”
“ไอ้ดีน มึงมาเคลียร์กับกูเลย พูดมาให้ชัด ๆ ไอ้สัด”
“เคลียร์กันไปนะ พี่ขอตัวก่อน”
ดีนกดยิ้มมุมปากลึก มองคนที่ต้อง ‘เคลียร์’ เดินออกไปจากวงสนทนา ขณะที่เพื่อนข้างกายก็ยังรบเร้าไม่เลิก
“กูพูดไม่ชัดตรงไหน ภาษาไทยกูแข็งแรงตั้งแต่ประถมหนึ่งแล้วนะ”
“อย่ามากวนตีน มึงกับผิงคบกันจริงเหรอวะ”
“เมื่อก่อนสถานะไหน ตอนนี้และอนาคตก็สถานะนั้น” ดีนตอบด้วยความมั่นใจก่อนจะมีสีหน้าลังเลเมื่อมองไปยังร่างระหงที่ตกเป็นหัวข้อสนทนา “…ไม่ดิ…ในอนาคตสถานะอาจจะเปลี่ยน เปอร์เซ็นสูงซะด้วยสิ”
.
.
.
หลังจากเจอกันวันนั้นที่ร้านกาแฟช่วงพักกลางวัน รณณ์ก็ไม่มีโอกาสได้เจอคุณดีนอีกเลย ตกเย็นของทั้งวันนั้นและอีกวัน รวมถึงวันนี้ก็ด้วยที่เขาอุตส่าห์ไปรอเจอที่ร้านกาแฟด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะไปนั่งที่ร้านนั้นหลังเลิกงานอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
รณณ์พกพาความผิดหวังกลับหอพักมาสามครั้ง แม้ว่าจะสุขสมหวังในวันพุธด้วยการพบเจอตัวเป็น ๆ ครั้งแรก แต่เพราะหวังว่าจะมีโอกาสได้เข้าใกล้มากกว่านี้ การคลาดกันจากความตั้งใจที่จะเจอจึงก่อให้เกิดความผิดหวังมากกว่าครั้งก่อน ๆ ที่คลาดกันเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกัน
ภายใต้แสงสีสลัว เด็กหนุ่มนั่งท่ามกลางวงล้อมของรุ่นพี่ร่วมแผนกบนโซฟาชุดใหญ่ที่ถูกจำกัดไว้ว่าเป็นโซนของว่าที่เจ้าสาว ที่นั่งตรงนี้จึงมีหญิงสาวยึดครองเป็นส่วนใหญ่ จะมีชายฉกรรจ์บ้างประปราย แต่ที่รณณ์พอจะพูดคุยได้มากกว่าแค่ทักทายตามมารยาทก็เห็นจะมีแต่ทศเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ได้สนทนาอะไรกันมากมายนักเพราะทศสนุกกับแสงสีจนปลีกตัวออกไปตั้งแต่สิบนาทีที่เขาเริ่มนั่งลงตรงนี้แล้ว
หลายวันที่ผ่านมาชีวิตยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลาได้อัพเดทชีวิตของคุณดีนผ่านโลกออนไลน์เลย ไหน ๆ ตอนนี้ก็นับว่าว่างที่สุดในช่วงที่งานเร่งแล้ว ก็ถือโอกาสนี้สร้างสังคมก้มหน้าที่มีสมาชิกเพียงเขาคนเดียวในที่นี้ก็แล้วกัน
DEAN @DEANada . 2d
ยิ้มของเธอแค่ครั้งเดียว ความหมายดี ๆ ที่เราไม่อยากร่ำลา #LunchTime
จะไม่สะดุดใจอะไรกับทวีตนี้เลยหากไม่เห็นแฮชแท็คคุ้นตาที่คลับคล้ายคลับครากับแคปชั่นในอินสตราแกรมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ให้นั่งนับวันตามที่เห็นก็ไม่มั่นใจเสียด้วยว่าทวิตเตอร์นับวันอย่างไร โชคดีที่มีวันเวลากำกับไว้ใต้ข้อความ เมื่อกดเข้าไปดูแล้วก็พบว่าข้อความนั้นถูกโพสในวันและช่วงเวลาที่ได้เจอกันจริง ๆ
รณณ์กำลังยิ้ม
ยิ้มแบบที่รู้สึกตัวได้ว่าแก้มใกล้จะแตกเต็มที หน้าเห่อร้อนทั้งที่เครื่องปรับอากาศไม่ได้ทำหน้าที่บกพร่องสักนิด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องฉีกยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อเผลอคิดว่าข้อความนั้นอีกฝ่ายหมายถึงตน รณณ์ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองในตอนนี้ รู้เพียงแค่ว่าอยากจะยิ้ม…
.
.
.
…คุยกับใคร ทำไมต้องยิ้มแบบนั้น…
ไม่อยากจะยอมรับกับตัวเองว่าเขากำลังหวงรอยยิ้มของคนที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งที่สอง
หลังจากที่หันหลังให้กับฝูงชนมาสักพักใหญ่ ดีนก็ไม่อาจต้านทานความต้องการของเพื่อนฝูงได้ ใบหน้าหล่อคมคายฉบับตี๋อินเตอร์ถึงได้หันออกจากเคาเตอร์บาร์ออกสู่สายตาผู้คนบ้าง
และหลังจากที่กวาดมองไปทั่วร้านอย่างเบื่อหน่ายแล้ว นัยน์ตาคมก็พบกับจุดวางสายตาที่ทำให้ค่ำคืนนี้ดูมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่าคู่หนุ่มสาวที่กำลังจะสละโสด
เด็กหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มที่ติดอยู่ในห้วงความคิดของเขามาหลายวันนั่งอยู่ตรงโซนของว่าที่เจ้าสาว แม้จะนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายมีสัมพันธ์แบบใดกับหล่อน แต่ก็คาใจได้ไม่นาน เพราะจุดโฟกัสของความคิดจดจ่ออยู่แต่กับภาพตรงหน้าเสียมากกว่า
ความหงุดหงิดใจก่อตัวขึ้นเล็ก ๆ เมื่อเห็นว่าร่างโปร่งยิ้มกว้างอย่างที่เขาชอบมองให้กับหน้าจอสมาร์ทโฟน อะไรบางอย่างในนั้นน่าสนใจขนาดไหน เขาเองก็ชักอยากจะรู้ มันต้องเป็นเรื่องราวแบบไหน หรือใครกันนะที่ทำให้เด็กนั่นยิ้มสดใสได้ขนาดนั้น
และไม่รู้เป็นเพราะใบหน้าอ่อนใสหรือรอยยิ้มเจิดจ้านั่นกันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเด็กกว่ามากทั้งที่ความจริงแล้วก็คงห่างกันไม่น่าจะเกินห้าปีเสียด้วยซ้ำ
“มองเหี้ยไรวะ?” นะโมถามมาจากจุดที่ไกลสุดจากเก้าอี้ตัวที่เขานั่งอยู่ คำถามนี้เองที่ทำให้เขารู้ว่าเพื่อนทั้งสามคนได้หยุดบทสนทนาของวงแล้วหันมาสนใจเขาแทน
“ไม่ได้มองเหี้ย”
…เหี้ยอะไรจะน่ารักขนาดนี้วะ…
“สัดนี่กวนตีน”
“แล้วตกลงมึงมองอะไร?” นายแพทย์หนุ่มถามขึ้นบ้าง หัวคิ้วเคลื่อนผูกเป็นปมเมื่อพยายามมองหาจุดโฟกัสของเพื่อนสนิทไปทั่วร้าน แต่ก็ไม่เจออะไรที่น่าจะเข้าข่าย ‘สิ่งที่น่าสนใจ’ สำหรับดีน
“ก็มองไปเรื่อย” เปลือกตาปิดลงหนึ่งครั้งคล้ายกับม่านที่ปิดลงเพื่อเปลี่ยนฉากของละคร และเมื่อยามที่มันเปิดออก นัยน์ตาคู่คมก็ไม่ได้จ้องมองไปยัง ‘สิ่งที่น่าสนใจ’ นั่นอีกแล้ว
“เดี๋ยวนี้หัดแถ? หลายกระทงนะมึงวันนี้ ทั้งเรื่องผิงทั้งเรื่องนี้อีก” โอมสรุปรวบยอดให้เพื่อนอีกสองคนได้พยักหน้าเห็นด้วย
“กูจะฟ้องไอ้ธันว์ว่ามึงโกหกพวกกู มันต้องล้วงความลับมึงออกมาได้แน่” เก่งข่มขู่ เพราะเป็นที่รู้กันว่าดีนมักพ่ายแพ้ให้กับเพื่อนตัวเล็กที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย
“ก่อนที่มันจะมาล้วงความลับกู มึงช่วยจับมันแยกจากไอ้พี่แรมให้ได้ก่อนเถอะ”
“งั้นกูจะล้วงความลับมึงเอง” เก่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง หมายมั่นว่าตนต้องทำให้ได้จนดีนนึกขำ หน้าเพื่อนตอนนี้ดูเครียดกว่าตอนสอบเข้าหมอเมื่อแปดปีก่อนเสียอีก
“ทำได้ก็เชิญ” เอ่ยคำท้าออกไปแล้วก็ซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไว้หลังปากแก้วขณะกระดกขึ้นดื่ม ปล่อยให้เพื่อนทั้งสามจ้องจับผิดด้วยความสงสัยที่มากขึ้นต่อไป
แต่สิ่งที่ดีนลืมคือเพื่อนของเขามีทักษะการเป็นนักสืบกันทุกคน แม้จะไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่อยู่ในความสนใจของเขาได้ แต่จากที่ได้ยินเสียงปรึกษาหารือกันแล้วได้ข้อสรุปออกมาว่าเป้าหมายน่าจะอยู่ในโซนของฝ่ายว่าที่เจ้าสาวนั้นก็ทำเอาคนมาดนิ่งเริ่มสงบไม่ไหว
จริงอยู่ที่โต๊ะนั้นมีแต่สาวสวย ทุกคนโดดเด่นเท่า ๆ กัน ทำให้ยากแก่การชี้เฉพาะเจาะจง แต่พอคิดมาถึงตรงนี้กลับทำให้ดีนได้จมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง ความคิดที่ยังคงหนีไม่พ้นไปจากร่างโปร่งบางเจ้าของรอยยิ้มสดใสที่ยังอยู่ในสายตาของเขา
…นี่เขามองเด็กคนนั้นเหมือนที่ผู้ชายคนหนึ่งมองหญิงสาวอย่างนั้นหรือ?...
แม้ช่วงชีวิตนี้จะไม่เคยมีแฟน แต่ก็ไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนมาก่อนเช่นกัน เขาคิดมาตลอดว่าแม้จะไม่หวั่นไหวกับสาวสวยมากหน้าหลายตาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ตนก็ไม่ได้เบี่ยงเบน
อืม…หรือแท้ที่จริงแล้วก็แค่มองเพราะสงสัยว่าทำไมถึงได้ยิ้มสดใสขนาดนี้ ไม่ได้นึกสนใจอะไรมากมาย
ดีนคิดหาเหตุผลให้กับตัวเองในใจ
“อย่ามัวแต่มองดิวะ มึงไม่เคยเจอคนที่ถูกใจมาก่อนนะเว้ย เข้าไปทักเลย” เก่งยุยง ทว่าดีนรู้ทันว่านอกจากจะต้องการเชียร์เขาแล้ว เหตุผลสำคัญอีกประการคืออยากรู้ตัวคนที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้
ดีนวางแก้วเครื่องดื่มในมือไว้บนโต๊ะ ก่อนลุกจากเก้าอี้ เรียกสายตาของเพื่อนฝูงให้มองมาด้วยท่าทางลุ้นระคนตกใจด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าเพื่อนคนนี้จะยุง่ายขนาดนี้ ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ได้เรียนรู้วาดีนจะทำตามความคิดตัวเองมากกว่าโอนอ่อนตามคำยุยงของเพื่อน
“จะเข้าไปหาเธอแล้วเหรอวะ”
“กูจะไปห้องน้ำ”
.
.
.
กว่าจะพาตัวเองมาถึงหน้าห้องน้ำชายได้ดีนก็ต้องเบียดเสียดกับผู้คนไม่น้อยเพราะต้องเดินผ่านโซนกลางร้านซึ่งเป็นฟลอร์ขนาดย่อมให้เหล่าผีเสื้อราตรีได้ออกมาวาดลวดลายกัน
ห้องน้ำชายมีคนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่นัก ดีนตรงเข้าไปยึดครองซิงค์ล้างมือตรงกลาง ก้มหน้าก้มตาราวกับจดจ่อกับการล้างมือเสียเต็มประดาทั้งที่แทบไม่ต้องมองก็สามารถล้างให้มันสะอาดได้ ต่อเมื่อรู้สึกว่ามีคนมายืนล้างมือข้างกัน ดวงหน้าหล่อคมคายถึงได้เงยขึ้นมองสบผ่านกระจกบานใหญ่ตรงหน้า
“อ้าวคุณ!”
“…”
“เจอกันอีกแล้วนะครับ บังเอิญจัง”
ดีนพยักหน้านิ่ง ๆ ส่งไปผ่านเงาสะท้อนบนกระจกทั้งที่ในใจสั่นรัวจนเกือบจะเกินควบคุมได้ รู้ตัวดีว่าตั้งใจพาตัวเองมาเจอคำทักทายแบบนี้ ใช่จะบังเอิญอย่างที่อีกฝ่ายเข้าใจ
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม
“มาเที่ยวหรือมาปาร์ตี้สละโสดครับ” พอยืนข้างกันแบบนี้ทำให้เห็นความต่างของส่วนสูงชัดขึ้น รณณ์คิดว่าตัวเองสูงมากแล้วแต่ก็ยังสูงแค่ปลายจมูกโด่งของอีกฝ่ายเท่านั้น มิหนำซ้ำความหนาของร่างกายยังห่างชั้นกันอีก ผู้ชายคนนี้ช่างน่าอิจฉาเสียจริง
“ปาร์ตี้”
“เหมือนผม”
ดีนแค่พยักหน้ารับ ทุกท่าทางของเขาถูกส่งผ่านกระจกทั้งสิ้น ต่างกับอีกคนที่หันมองกันเต็มตา…พร้อมรอยยิ้ม
คุมตัวเองไม่ได้เลยที่จะไม่แสดงออกว่าดีใจมากแค่ไหนที่ได้เจอคุณดีนอีกครั้ง และเพราะไม่รู้ว่าจะ ‘บังเอิญ’ ได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ เจอกันครั้งนี้นักศึกษาปีสุดท้ายอย่างเขาจึงไม่ยอมปล่อยให้โอกาสเสียเปล่า
“ตรงที่คุณนั่ง…ยังพอมีที่ว่างไหมครับ”
คนถูกถามนิ่งอึ้ง เผลอชะงักมือที่กำลังถูตามซอกนิ้วอย่างใจเย็นแล้วหันมองใบหน้าอ่อนใสเต็มตา
…อะไรของเขาวะ เจอกันสองครั้งก็ถามถึงที่นั่งทั้งสองครั้ง…
“พอดีโซนผมคนเยอะน่ะครับ ผมไม่ชอบนั่งเบียด”
ดีนครางอือในลำคอเป็นการรับทราบก่อนจะเปล่งเสียงออกมาเป็นคำตอบให้อีกคนได้เผลอยิ้มบางออกมา “ก็ว่าง”
“ถ้าอย่างนั้น…ผมขอไปนั่งด้วยได้ไหมครับ”
รอยยิ้มบางเหนือริมฝีปากได้รูปถูกปิดซ่อนจากสายตาสุกใสยามที่เจ้าตัวก้มลงมองมือตัวเองที่ยังมีน้ำไหลผ่าน
“แล้วแต่คุณสิ”
ดีนอยากจะเห็นหน้าตัวเองตอนที่ตอบออกไปนักว่าเป็นแบบไหน ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ดูยินดีปรีดามากจนอีกฝ่ายจับสังเกตได้ว่าเขาตื่นเต้นกับคำขอนั้นมากแค่ไหน
.
.
.
ผลของการ ‘แล้วแต่คุณ’ คือร่างโปร่งบางตามมานั่งข้างกันได้สิบนาทีแล้ว ดีนไม่ได้แนะนำเด็กหนุ่มให้เพื่อนตนเองรู้จักแม้ว่าสามคนนั้นจะมองมาด้วยความสนใจใคร่รู้ขนาดไหน ด้วยเพราะส่วนหนึ่งคือเขาเองก็ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย แต่ที่สำคัญคือไม่รู้จะแนะนำในสถานะอะไร
…เจอกันในห้องน้ำ เด็กมันเลยตามมานั่งด้วยกัน….อย่างนั้นหรือ?
“นั่งดื่มกันมาตั้งนานแล้ว…แต่เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลยนะครับ” รณณ์โพลงขึ้นในตอนที่เสียงเพลงเงียบลง ตั้งแต่ตามมานั่งข้างดีน มีเครื่องดื่มดีกรีปานกลางติดมือกันคนละแก้ว แต่ก็ยังไม่มีใครดื่มจนหมด ต่างคนต่างนั่งฟังเพลงอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ทว่าโลกที่อยู่ใกล้กันแค่นี้แต่ไม่เคยซ้อนทับกันกลับไม่ทำให้รณณ์รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด แค่คุณดีนยอมให้เขามาอยู่ใกล้ ๆ ก็ถือว่าบุญหัวไอ้รณณ์มากแล้ว
“นึกว่าพอใจที่จะเป็นแบบนี้” ดีนพูดแผ่วเบาคล้ายบ่นกับตัวเอง ทว่าอีกฝ่ายยังจับกระแสเสียงได้
“ครับ?”
“ไม่มีอะไร” จะให้บอกออกไปว่าเขารอโอกาสให้เจ้าตัวเอ่ยออกมาก่อนอยู่นานแล้วอย่างนั้นหรือ? ที่ยอมให้มานั่งด้วยกันไม่ใช่เพราะสงสารเด็กเสียหน่อย เขาไม่ใช่ผู้ใหญ่ใจดี ก็แค่คนที่อยากทำตามใจตนเท่านั้นเอง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมปริปากบอกชื่อ คนเปิดประเด็นจึงต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน “ผมชื่อรณณ์ครับ”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “รน? สะกดยังไง รอเรือ นอหนู น่ะเหรอ?”
เจ้าของชื่อหัวเราะน้อย ๆ “ไม่ใช่ครับ รอเรือ นอเณร นอเณร การันต์ ต่างหาก”
คนฟังคิดตามในหัวก่อนสรุปออกมาเรียบ ๆ ว่า “อืม แปลกดี มันแปลว่าอะไร?”
“ผมครับ”
“หืม? ผมเหรอ?” ชื่อว่าแปลกแล้ว ความหมายยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ นึกสงสัยว่าพ่อแม่อีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ตอนที่ตั้งชื่อลูกแปลว่าผม
รณณ์ยิ้มกว้าง อธิบายอย่างใจเย็น “ไม่ใช่ผมแบบนั้นครับ แต่หมายถึงผมแบบนี้” เจ้าของชื่อชี้นิ้วเข้าหาตัวเองพาให้คนฟังยิ่งฉงน “รณณ์ก็คือผม ผมก็คือรณณ์ ปกติคนเราตั้งชื่อหรือหาคำเรียกให้สิ่งของที่จะทำให้เข้าใจตรงกันทุกคนหรือเพื่อนิยามความเป็นมัน อย่างเช่นในมือผมนี่เรียกว่าแก้ว” คนอ่อนวัยกว่าชูแก้วในมือขึ้นเล็กน้อยประกอบคำพูด “ดังนั้น ผมก็คือนิยามของคำว่ารณณ์ครับ”
คนฟังอดไม่ได้ที่จะร้องเหอะออกมา เผลอคิดในใจว่าถูกเด็กมันกวนประสาทเข้าให้แล้ว ขณะคนที่อธิบายเสียยืดยาวทำเพียงยิ้มบาง ๆ เพื่อยืนยันคำตอบของตัวเองว่ามันคือความจริงทุกประการ ใช่จะตอบเพื่อต้องการก่อกวนกัน
“แล้วคุณละครับ ชื่ออะไร?” ถามออกไปทั้งที่รู้อยู่แล้ว แต่รณณ์แค่อยากได้รับการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการจากอีกฝ่ายเท่านั้น เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราต่าง ‘รู้จัก’ กันและกันแล้ว
“ดีน”
“ชื่อคุณก็แปลก”
“แปลกตรงไหน?”
“นี่ชื่อเล่นหรือชื่อจริงครับ”
“ก็ทั้งสองอย่าง”
“หือ?...เป็นคำที่นิยามตัวคุณได้แปลกหลักภาษาไทยดีจัง”
“ก็เพราะมันไม่ใช่ภาษาไทยไง”
“อ่า…คุณเป็นลูกครึ่งจริง ๆ สินะครับ”
ดีนพยักหน้า แต่ไม่อธิบายต่อ
“ผมขอเดานะ คุณน่าจะมีเสี้ยวจีน ๆ ผสมอยู่ด้วย”
ทั้งที่ไม่ชอบอธิบายเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง แต่กลับไม่รู้สึกรำคาญหรือหงุดหงิดกับการถามหรืออยากรู้เรื่องพวกนี้ของอีกฝ่ายเลยสักนิด ลึก ๆ แล้วชอบเสียด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายสนใจเรื่องของเขาเช่นกัน
“เก่งนี่”
คนได้รับคำชมยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างชอบใจราวกับเด็ก ๆ ได้รับคำชมจากผู้ใหญ่เวลาตอบคำถามถูกหรือทำความดีอะไรสักอย่าง จนคนเป็น ‘ผู้ใหญ่’ ชะงักค้างไปกับรอยยิ้มนั้น
“แต่เชื้อฝั่งตะวันตกของคุณ ผมเดาไม่ถูกแหะ”
“รู้ได้ไงว่ามีเชื้อฝั่งตะวันตก อาจจะเป็นตะวันออกก็ได้นี่”
“หน้าคุณออกทางฝั่งเอเชียก็จริง แต่สรีระคุณ…ไม่รู้สิ ผมแค่เดา”
“ไทย ไต้หวัน แคนาดา”
“ครับ?”
“เชื้อชาติผมไง คุณอยากรู้ไม่ใช่เหรอ”
คนอยากรู้ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนเหน็บอย่างไรก็ไม่รู้จนต้องรีบแก้ต่างให้ตัวเอง “ปกติแล้วผมไม่ใช่พวกชอบอยากรู้เรื่องของคนอื่นนะครับ”
“ผมก็ไม่ได้ว่าคุณนี่”
“…”
“ผมถือว่านี่เป็นการทำความรู้จักกันและกัน”
.
.
.
อย่างกับซินเดอเรลล่า…
เด็กหนุ่มนามว่ารณณ์บอกลาในตอนห้าทุ่มเศษ เจ้าตัวกล่าวอ้างว่าต้องใช้บริการรถไฟฟ้ากลับหอพัก ครั้นจะอาสาไปส่งถึงที่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนเพิ่งรู้จักกันจะทำได้ แม้จะเป็นเพศสภาพเดียวกันแต่ก็ยังดูไม่เหมาะสมอยู่ดี คงไม่มีใครไว้ใจกันง่าย ๆ หลังจากคุยกันแค่ไม่กี่นาที
“กูคิดไม่ออกว่าตอนมึงมีความรักจะเป็นยังไง” เก่งพูดขึ้นหลังจากที่รณณ์ออกไปจากร้านแล้วแต่ดีนยังไม่เลิกมองตามออกไป
“มึงเคยบอกกูแล้ว” ดีนละสายตากลับมาด้วยการหมุนตัวเข้าหาเคาเตอร์บาร์
“ก็ใช่ไง แต่กูว่าตอนนี้กูรู้ละ”
“มึงนั่งทางในเห็น?”
“สัด กูเห็นด้วยตากูเองเนี่ยแหละ”
คิ้วเข้มเลิกสูงแทนคำถามว่าอีกฝ่ายไปเห็นเอาตอนไหน
“มองเขาตาละห้อยเชียวครับเพื่อน” ดูเหมือนว่าคำแซวของนะโมจะเป็นคำตอบให้ดีนได้ดีทีเดียว
“อะไรของมึง”
“ถึงกูจะไม่เคยเห็นมึงสนใจใคร แต่กูรู้ว่าสีหน้าท่าทางมึงตอนนี้มันแปลว่ามึงกำลังสนใจเขา”
“มึงมั่วละ”
“มึงอาจจะไม่รู้ตัวนะ แต่เวลามึงอยู่กับเขา คุยกับเขา มันทำให้กูเลิกสงสัยในตัวมึงกับผิงไปเลย”
“กูเป็นถึงขนาดนั้น?”
“ไม่หรอก มึงไม่ได้แสดงออกอะไรมาก มึงก็เป็นธรรมชาติแบบที่มึงเป็น พวกกูแค่เห็นสิ่งที่มันต่างไปจากปกติของมึงเท่านั้นเอง”
“เช่น?” สิ้นคำถามนี้ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เพื่อนได้ผลัดกันซักถามเสียละเอียด โดยมีเก่งประเดิมถามเป็นคนแรก
“เริ่มจากที่มึงชวนเขามานั่งด้วยกัน”
“เขาขอมาเอง”
“แต่ปกติมึงไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามานั่งใกล้”
“นี่มันที่สาธารณะ”
“มึงไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า”
“เราเคยเจอกันแล้ว” …ครั้งเดียว
“มึงคุยเรื่องส่วนตัว”
“นั่นมันเรื่องผิวเผินสำหรับการทำความรู้จัก”
“นั่นไง! ปกติมึงไม่ชอบทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าที่เจอกันผ่าน ๆ ไม่มีปฏิสัมพันธ์กันในอนาคต”
“ก็บอกแล้วไงว่าเคยเจอกันมาก่อนแล้ว”
“อนาคตมึงจะเจอกับเขาอีก?”
…ไม่รู้…
ไม่รู้ว่าที่แนะนำชื่อกันไปแล้ว เขาจะมีโอกาสได้เรียกชื่ออีกฝ่ายกันต่อหน้าหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ยินชื่อตนเองออกจากปากของอีกฝ่ายด้วยหรือไม่ ดีนไม่รู้อะไรเลย
“ไม่รู้จะได้เจอไหม แต่คนเคยเจอหน้ากันมานั่งข้างกัน ไม่คุยกันบ้างก็เสียมารยาทป่าววะ”
“ถุ้ย! มึงเป็นคนมีมารยาทมากสินะ” คราวนี้สามเสียงประสานกันอย่างพร้อมเพรียง
“ก่อนตอบแบบนั้น มึงนึกถึงตอนที่มึงตอกหน้าพวกผู้หญิงที่เข้าหามึงรึยังครับ” นะโมแทรกขึ้นมาบ้าง
“เออ ปฏิเสธทีพวกกูแทบอยากจะหาปี๊บให้เธอคลุมหัว” แฝดพี่เสริมสำทับ
“และที่สำคัญนะ…” เก่งเกริ่นนำเรียกสายตาทั้งสามคู่ไปจดจ้องกันเป็นตาเดียว “…มึงเหลือบมองเขาบ่อย”
“อันนี้กูก็เห็น” คู่แฝดยกมือเห็นด้วยตรงกัน
“แล้วไอ้รอยยิ้มมุมปากมึงอ่ะ พวกกูเคยบอกใช่ไหมว่าแม่งโคตรกวนตีน แต่ครั้งนี้ไม่เว้ย มึงยิ้มเหมือนเขินเขาอ่ะ ยังไงดีวะ กูอธิบายไม่ถูก” ท่าทางสับสนของแฝดน้องที่เหมือนร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าคงมีแต่แฝดพี่ที่เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย
“กูว่าเหมือนมันพยายามกลั้นยิ้มแต่กลั้นไม่อยู่”
นะโมตบเข่าฉาดที่คนพี่ตอบได้ตรงใจตน แต่คนที่กำลังถูกอ่านการกระทำกลับตอบเสียงเรียบมาว่า “เพ้อเจ้อ”
โอมถอนหายใจแรงด้วยความหมั่นไส้คนปากแข็ง “สรุปว่ามึงไม่สน งั้นกูขอนะ”
“กูไม่ใช่เจ้าของเขา มาขอจากกูไม่ได้”
“ก็บอกมึงไว้ก่อนไง ไม่อยากชอบคนเดียวกับเพื่อน”
“ถ้าเขาจะชอบมึง กูก็ไม่มีสิทธิห้ามอะไรอยู่แล้ว”
“ไอ้ห่านี่ชอบทำเสียเรื่อง” เก่งตบหัวโอมฉาดใหญ่ “พวกกูโอเคนะเว้ยถ้ามึงจะเป็นอีกคนหนึ่งในกลุ่มที่หันไปคบผู้ชาย กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนที่จะรู้สึกรักหรือชอบใครง่าย ๆ ถ้ามึงรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ แม้จะกับผู้ชายก็เถอะ พวกกูก็มีแต่จะยินดีด้วย”
ดีนไม่ตอบคำ ร่างสูงสง่าจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เขากำลังย้อนมองความรู้สึกอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อตอบคำถามของเพื่อนให้กับตนเอง
ดีใจที่ได้เจอเขาอีกครั้ง
อยากรู้จักเขาทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า
ชอบมองรอยยิ้มของเขา
ดีใจที่เขาสนใจเรื่องราวของเรา
รู้สึกผ่อนคลายทั้งที่นั่งข้างกันแต่ไม่คุยกันสักคำ
ใจหายเพียงแค่ได้ยินคำบอกลา
อยากมองไปให้สุดสายตาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไปแล้วจริง ๆ
อยากอยู่ด้วยกันให้นานกว่านี้…
ความรู้สึกแค่นี้ก็เรียกว่าชอบว่ารักได้แล้วหรือ?
TBC.
---------------------------------------------------------------------------
คุณดีนเขาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกเวลาสนใจใครสักคนมันเป็นยังไง ต้องให้เพื่อนสะท้อน
ส่วนน้องรณณ์ก็ยังมองว่าคุณดีนเป็นไอดอลที่ตนชื่นชอบ
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้คุณดีนกันน้องรณณ์ด้วยนะคะ
#ไม่ดิ้นรนหา
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์