- Eternal Sunshine 20 -เสียงปิดประตูห้องทำให้คนนอนคว่ำหน้าแสร้งหลับลืมตาโพลง แสงสว่างร่ำไรลอดผ่านช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมแคบๆกระทบเตียงนอนให้บรรยากาศอบอุ่นนุ่มนวล
ชวนทอดกายสบายอารมณ์ ทว่ามือเล็กกลับกำผ้าปูที่นอนแน่นแล้วค่อยๆเงยหน้ากวาดตามองไปรอบๆห้อง ไร้เงาร่างสูงดังที่คาดไว้
ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่าลึกๆแล้วก็หวังให้อีกฝ่ายนั่งมองตัวเองหลับอยู่ข้างๆเช่นดังก่อน ที่เมื่อตื่นก็จะเห็นใบหน้าคมคายลอยเด่นกวนอารมณ์ทุกเช้า
และการลับฝีปากก่อนไปทำงานกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน
ทว่าวันนี้การนอนร่วมเตียงกันทุกคืน แต่กลับเหมือนอยู่กันคนละมุมโลก จนอยากระเห็จตัวเองลงไปนอนพื้นเพราะทนความเฉยชาของอีกฝ่ายไม่ได้
“ตื่นแล้วใช่มั้ย”
ทิเบตกลับเข้ามาในห้องหลังจากออกไปรอบหนึ่งแล้ว ก็เห็นร่างโปร่งนั่งชันเข่าทั้งสองข้างบนเตียง ผมเผ้ายุ่งเหยิง หากแววตาติดลอยๆจึงต้องเดินเข้าไปตรวจ
“เป็นอะไรรึเปล่า”
ร่างสูงหยุดอยู่ข้างเตียงแต่ไม่คิดจะเข้าไปสัมผัสเนื้อตัวเพื่อวัดอุณหภูมิอย่างที่เคยทำ นิ่งรอคำตอบคนที่เอาแต่หลุบตา เมื่อไม่ได้ตอบทิเบตจึงยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วขยับเข้าไปใกล้ ทาบมือกับหน้าผากมนพร้อมกับเกร็งตัวรับมือเท้าอีกฝ่ายที่อาจจะดีดมาได้ทุกเมื่อ
ข้าวหอมปล่อยให้ชายหนุ่มสัมผัส ความอบอุ่นอันน้อยนิดจากฝ่ามือใหญ่ทำให้หัวใจที่ร้อนรนสับสนสงบลงอย่างง่ายดาย ดวงตากลมโตช้อนมองใบหน้าคมคายแป๋ว จนชายหนุ่มชะงัก ชักมือออก
“ไม่มีไข้นะ สายแล้วลุกเถอะ แม่เตรียมของเช้าไว้ให้แล้ว แล้วอย่าลืมกินยาด้วย”
ทิเบตมองกิริยาอึกอักของร่างโปร่ง จึงกลั้นใจสะกดความรู้สึกทุกอย่างไว้ในอก ก่อนเดินหลบหน้าอีกฝ่ายไปทำงานเช่นทุกวันที่ผ่านมา
มันต้องอดทนขนาดนี้เชียวหรือ
ข้าวหอมเม้มปากให้กับท่าทีเหินห่างรักษาระยะ ในอกเจ็บยอกบอกไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าตั้งใจทำในสิ่งที่พูดบอกเขาไว้ในวันนั้น ไม่คิดบิดพลิ้ว ทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม
‘ทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม’
ร่างเล็กย้ำบอกตัวเองทั้งที่โพรงจมูกและลำคอแสบร้อน ต้องกะพริบตาถี่ๆไล่หยาดน้ำที่กำลังเอ่อขังขอบตา
แต่ทำไมมันเจ็บแบบนี้ล่ะ
แค่ถูกเมินไม่กี่วันยังทรมานขนาดนี้ หากถึงวันต้องแยกจากกันจริงๆ จะเป็นยังไง
คนตัวเล็กหย่อนเท้าลงพื้น เดินตัวลอยเหมือนคนไร้วิญญาณไปแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อย มองท้ายรถยนต์ของทิเบตขับไปทำงานตาละห้อย
ความทะนงที่มีหายไปจนสิ้น
และหมดแล้วซึ่งความเย่อหยิ่งจองหอง
-----------------------------------------------------------
“พ่อกำนัน พี่หอมเป็นยังไงบ้าง”
ไอ้ขันเดินถือขันข้าวหมามาหาผู้สูงวัยบนเรือน
“ก็สบายดี หมอเขาดูแลอยู่ เอ็งไม่ต้องห่วงมันหรอก”
“พี่เขาไม่อยู่ บ้านมันเงียบๆเนอะพ่อกำนัน”
“เงียบบ้างก็ดี ข้าล่ะปวดกระบาลกับพวกเอ็ง”
“แหม พวกฉันยังวัยกำลังกินกำลังนอน จะให้อยู่เฉยๆก็กระไรอยู่นา”
“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวน ดูแลหมาของลูกพี่เอ็งให้ดีเถอะ กลับมาเจอผอมเห็นซี่โครงอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
“ตัวอื่นยังพอว่า ไอ้โก๊ะนี่สิ มันคอยชะเง้อรอพี่หอมหน้าบ้านทุกวัน น่าสงสารมันนะ”
“ทำไงได้วะ มันจำเป็น เอ็งก็โทรไปบอกให้เจ้าของมันรีบรักษาตัวให้หายแล้วรีบกลับรับขวัญหมามันสิ”
“พ่อกำนันก็พูดไปโน้น มันรีบรักษากันได้ที่ไหน แต่ฉันมีไอเดียเจ๋งกว่านั้นอีก”
“กระเดะมาไอดงไอเดีย อะไรของเอ็ง”
“ก็เดี๋ยวฉันโทรศัพท์หาพี่หอม แล้วให้พี่หอมคุยกะไอ้โก๊ะ บอกให้มันกินข้าว พอมันได้ยินเสียงมันคงหายคิดถึงพี่หอมได้บ้างล่ะเนอะพ่อกำนัน”
“เออ ถ้าเอ็งทำได้ข้าจะจับพวกเอ็งออกงานวัดมันซะเลย”
กำนันสิงห์ขำพรืดกับความคิดความอ่านของไอ้ขัน ก่อนไล่ให้มันไปหาข้าวหาปลาให้เจ้าสุนัขทั้งสามตัว ไม่งั้นเดี๋ยวมันมีไอเดียอะไรบรรเจิดในหัวมันอีก
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้าวหอมนั่งพิงระเบียงติดห้องนอน ปล่อยให้สายลมเย็นโลมไล้ผิวกาย หากไม่ทำให้ร่างโปร่งรู้สึกยินดียินร้ายด้วยใจของเขามันเหน็บหนาวกว่าอากาศภายนอกไม่รู้กี่เท่า
ชีวิตนี้เขาไม่เคยต้องเสียใจในสิ่งที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า คนเรากว่ารู้ค่าของสิ่งที่มีอยู่ก็ต่อเมื่อได้สูญเสียไป จึงไม่เคยซาบซึ้งกินใจไอ้หอมคนนี้แม้แต่น้อย ทว่าวันนี้คำกล่าวนั้นมันย้อนกลับมาทิ่มแทงใจให้นึกสังเวชตัวเอง เมื่อคนที่คอยตามเป็นเงาและอดทนมาตลอดได้เดินจากไปแล้ว จากไปเพราะความทิฐิ สะเพร่า ดูถูกน้ำใจอีกฝ่ายสารพัดของเขาเอง
ทุกวันชายหนุ่มยังคงปฏิบัติกับเขาเช่นปกติ ยังดูแลเอาใจใส่ไม่มีบกพร่อง แต่กลับทำให้ระยะห่างที่ว่าห่างอยู่แล้วยิ่งห่างไกลขึ้นไปอีกโข
ด้วยแววตาคู่นั้นไม่มีเขาอยู่ข้างในอีกแล้ว
ทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำมันคือหน้าที่!
หน้าที่ที่ย้อนกลับมากรีดใจเขาให้ขาดกระจุย
ร่างโปร่งขบฟันแน่น ความเสียใจทิ่มแทงจนพูดไม่ออก บอกใครก็ไม่ได้ ด้วยตัวเองเคยประกาศก้องไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่าต้องการแบบนี้ อยากเลิก อยากไปให้พ้น
แล้ววันนี้จะมากลืนน้ำลายตัวเอง ก็คงมีแต่คนสมน้ำหน้า
เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดในบ้าน ข้าวหอมจึงชะโงกศีรษะดูคนที่กำลังคิดถึงก้าวลงมาจากรถยนต์ ร่างสูงใหญ่รวบเอกสารมาถือแล้วจึงปิดประตูรถเดินเข้าบ้าน หากอยู่ๆก็เงยหน้ามองมาที่ระเบียงติดห้องนอนตนเอง ก็เห็นเขานั่งจับเจ่าอยู่ จึงชะงักประสานสายตาชั่วขณะ
พวงแก้มอิ่มร้อนวูบวาบ รู้สึกถึงดวงตาคู่อ่อนโยนเช่นดังเก่า หากคนข้างล่างรีบละสายตาเดินเข้าไปภายในบ้าน ปล่อยให้คนตั้งท่าจะยกยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น
อยากร้องไห้ชะมัด
ที่เมื่อวันที่เจ็บ ก็คือวันที่รู้ว่าหัวใจต้องการอะไรนั่นเอง
ข้าวหอมลุกขึ้นกลับเข้าไปภายในห้องอบอุ่น ทรุดตัวนั่งบนเตียง ลูบไล้ผ้าห่มเนื้อนิ่มตาลอย ความทรงจำเมื่อตอนที่ชายหนุ่มเอ่ยปากปลดปล่อยพันธะทั้งหมด หัวใจเขาไม่รู้สึกยินดีเลยซักนิดดังปากเคยว่า แต่เป็นความกลัวจับจิตเข้ามาแทนที่
แค่ได้ยินหัวใจก็สะท้านวูบ สูญเสียความควบคุมตนเอง แล้ววันที่ต้องจาก?
แววตาซึมเศร้าคลอขังด้วยหยาดน้ำ
มันสายไปแล้ว...
เสียงประตูที่ถูกเปิดเข้ามาเบาๆ ปรากฏร่างคุณหมอหนุ่มตรงหน้า แววตาคู่หมองหม่นหันมองตรงๆให้ผู้เข้ามาใหม่เจ็บแปลบในอก หากต้องเตือนตัวเองให้อยู่ห่างๆอีกฝ่ายเข้าไว้ ก่อนที่หัวใจตัวเองจะเหลกสลายไปมากกว่านี้ จึงเมินหลบจนไม่เห็นแววตาคู่งามที่จ้องมองอย่างลึกล้ำแปรเปลี่ยน
ความเงียบน่าอึดอัดไม่เป็นอันทำอะไรเข้าครอบคลุม ทิเบตขมวดคิ้วอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองคนบนเตียง รู้สึกเย็นวูบที่ท้ายทอยชอบกลกับประกายตาที่จ้องมองไม่กะพริบ
ยอมทุกอย่างแล้วจะเอาอะไรอีกพ่อคุณ...
คนใจคอไม่ดีเดินไปหยุดหน้าตู้เสื้อผ้า “ไม่ใส่เสื้อคลุม ฝนตกๆอากาศเย็นชื้น เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ” พูดไปก็ปลดกระดุมที่คอเสื้อตัวเองไป หางตาเหล่มองร่างเล็กยังนั่งนิ่งบนเตียง
ข้าวหอมแทบสะอื้นไห้ในอก เมื่อกลิ่นอายของร่างสูงยังคงอวลอยู่รอบตัว ใจว้าวุ่นสงบลงอย่างง่ายดาย
ไม่เอาแล้ว!
เขาไม่ต้องการอิสระบ้าบออะไรอีกแล้ว
เสียงร้องจากก้นบึ้งของหัวใจตะโกนบอกตัวเองสะท้อนดังก้องไปมาในหัว กับการตัดสินใจปุบปับ โยนความงี่เง่าของตนใส่กรุ ตามนิสัยโตมาจากการพะเน้าพะนอของบิดา ไม่เคยต้องรอ ไม่เคยต้องง้อ และไม่เคยต้องผิดหวัง ทุกอย่างได้มาอย่างไม่ยากเย็น จึงหยิ่งผยองพองขนได้ไม่ตะขิดตะขวง ด้วยเดี๋ยวพ่อเคลียร์เอง แต่สิ่งที่ติดมาด้วยกับนิสัยเสียๆคือความตรงไปตรงมา
เมื่อรู้ว่าเจ็บแล้วต้องทำยังไงไม่ให้เจ็บ
ถ้าอยากมีความสุขต้องทำยังไงให้มีความสุข
ไร้การปรุงแต่งหลอกลวง
ดังเวลาเกลียดขี้หน้าใครก็เอาต่อเอาแตนไปต่อยเขา
และถ้ารักชอบใครก็เอากะแช่ให้เขากิน
เมื่อวันนี้เขาเจ็บ จึงไม่แปลกถ้าจะโยนความเจ็บร้าวทิ้งอย่างไม่ใยดี เพราะหัวใจไม่อาจทนรับความเจ็บร้าวเจ็บลึกนี้ได้อีกแล้ว
การชั่งน้ำหนักความทุกข์และสุขจึงได้จบลงดังคนเห็นแก่ตัว
ดวงตาแดงเรื่ออ่อนเพลียจากการจมจ่อมกับความคิดความรู้สึกไม่อยากสูญเสียชายหนุ่มไปเอ่อล้นท้วมทรวงอก เค้นสมองหาวิธียื้อสุดฤทธิ์
เขายังมีเวลา ถึงจะน้อยลงเรื่อยๆแต่ก็ยังเหลือเวลาให้เขาได้ทำอะไรซักอย่าง เพราะหากปล่อยไว้แบบนี้คงต้องจบกันจริงๆ แล้วคราวนี้แม้แต่เทวดานางฟ้าก็ช่วยไม่ได้
นัยน์ตาคู่ท้อแท้เรืองรองด้วยความหวัง ดึงตัวตนที่ถูกความอวดดีจองหองบิดเบือนออกมาอีกครั้ง เหตุที่เกิดในคืนนั้นไม่ว่าใครจะเริ่มก่อน หากสุดท้ายก็กอดกันกลม ทุกคนอับอาย เสียหน้า แต่ทุกคนต่างพยายามแก้ไข มีแต่เขาที่เอาแต่ฟาดหัวฟาดหางไม่ฟังใคร และคับแค้นชายหนุ่ม หาเหตุทำให้อีกฝ่ายอยู่ไม่ได้ บั่นทอนความอดทนอดกลั้นและกำลังใจของผู้ชายที่ยอมเอาตัวเองมาแต่งงานกับเกย์อย่างเขา ทั้งที่รู้ว่าวันข้างหน้าจะต้องพบเจอกับอะไรก็ยังจะเลือกทำ
มันไม่ใช่ความเสียสละหรอกหรือ เขาต่างหากที่ไม่ทำอะไรเลย มันน่าอับอายเสียยิ่งกว่าอะไรดี
ข้าวหอมกะพริบตาถี่ๆตั้งสติรวบรวมแรงไล่ความอ่อนแอที่เกาะกินใจออกไป
คนอย่างไอ้หอมลูกพ่อกำนันสิงห์ ทำผิดแล้วยอมรับผิดเสมอ เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาเขาเป็นคนผิด เขาก็อยากมีโอกาสแก้ตัวบ้าง
ดังนั้น...
เขาไม่อยากเลิก! ก็คือไม่เลิก!
นี่ล่ะไอ้หอม
เสียงคนหัวดื้อร้องบอกตัวเองในใจดังลั่น ก่อนประจันหน้าอีกฝ่ายจริงจัง
ทว่าหัวใจพองโตเมื่อครู่กลับแฟบลงทันทีเมื่อสบสายตาคู่คม
ทิเบตหรี่ตามองท่าทีกระวนกระวายของร่างโปร่ง แววตาลังเลเต้นระริกก่อนค่อยๆสงบลง แต่ยังมองเขาไม่วางตา
“มีอะไรรึเปล่า”
คำพูดร้อยพันอยู่ในหัวแต่กลับไม่รู้จะเลือกคำไหนออกมาใช้ในสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อนี้ดี ก็แยกเขี้ยวใส่กันมาตลอด ตอนนี้จะมาจูบปากดีกันจึงรู้สึกร้อนซู่ไปทั้งใบหน้า
ทำกับเขาไว้สารพัดแล้วจะให้พูดว่า เราดีกันนะ มันดูปัญญาอ่อนชอบกล ใบหน้านวลเหยเกเหมือนกินบอระเพ็ดกำใหญ่
ทิเบตเดินเข้าไปใกล้คนนิ่งเงียบก้มหน้างุด
“นี่ อย่าเงียบ รู้สึกไม่ปกติตรงไหน”
น้ำเสียงห่างเหินติดดุ ทำให้กำลังใจที่ยังป้อแป้กระเจิดกระเจิง
ข้าวหอมส่ายหน้าอึกอัก แก้มแดงเรื่อเมื่อใบหน้าคมคายก้มลงมาใกล้จนต้องเบือนหน้าหนีด้วยไม่กล้าสู้หน้า หากอาการนั้นกลับทำให้ทิเบตตีความหมายเป็นอื่น เม้มปากแน่น แล้วจึงทาบมือลงบนหน้าอกข้างซ้ายผอมบาง
“อึดอัดหรือเจ็บบ้างมั้ย”
เสียงหัวใจเต้นถี่รัวเหมือนหูจะดับ ร่างเล็กกว่าจึงได้แต่ส่ายหน้า กี่วันแล้วที่ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิด เพียงปลายนิ้วอุ่นร้อนที่แตะลงมาก็อยากโผเข้ากอดอีกฝ่ายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำใจกล้าได้แค่ยกมือตัวเองขึ้นทาบมือใหญ่
การแสดงออกมันน่าจะดีกว่าคำพูดเป็นไหนๆ
ร่างโปร่งบางค่อยๆหันหน้าช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างประหม่า ทว่ามืออบอุ่นนั้นกลับดึงออกไปท่ามกลางสายตาว่างเปล่า หัวใจดวงเล็กสะดุด กลั้นหายใจระงับความเสียใจที่กระแทกเข้ามารวดเร็วและรุนแรง
“ถึงจะโมโหไม่พอใจอะไรก็ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้นะ เพราะถ้าปล่อยไว้จะสร้างภาระให้หัวใจทำงานมากเกินความจำเป็น มันไม่เป็นผลดีและทำให้การรักษาลดประสิทธิภาพ” ชายหนุ่มก้าวถอยหลัง
“ฉันอาจจะจู้จี้เรื่องการรักษาและบังคับให้อยู่ที่นี่จนทำให้นายหงุดหงิดโมโหง่าย แต่หายแล้วก็จะได้กลับบ้านแน่นอน อดทนไม่นานหรอก หรือจะแยกห้องนอนมั้ย นายจะได้สบายใจขึ้น” ร่างสูงรับรู้ได้ถึงการเต้นของหัวใจถี่รัวผิดปกติ จึงลงความเห็นว่าเป็นความผิดของตัวเองที่เข้าใกล้อีกฝ่ายเกินความจำเป็นจนทำให้ไม่พอใจ เลือดสูบฉีดแรง
หากเป็นแบบนี้บ่อยร่างกายอ่อนแอตรงหน้าจะรับไม่ไหว
ข้าวหอมมองคนตรงหน้าเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่ได้โมโหอะไร แล้วทำไมต้องแยกห้องด้วย ทำแบบนั้นก็ยิ่งไม่มีโอกาสไถ่โทษสิ “ฉันเปล่าโมโหนะ” ตอบไปพลางถลึงตาใส่ด้วยฉุนที่ทิเบตคิดไปเอง
“เหรอ งั้นก็นอนลง สูดลมหายใจลึกๆให้หัวใจเต้นอยู่ในระดับปกติ ช่วงนี้ต้องระวังหน่อย”
ทิเบตบอกคนที่ยังนั่งนิ่ง จะดื้อให้ได้โล่รึไง จากนั้นจึงเข้าไปกดหน้าอกอีกฝ่ายให้นอนราบบนเตียง “แล้วจะแยกห้องนอนมั้ย ตามใจนายเลยนะ”
ดวงตากลมโตราวแก้วใสหมองลงฉับพลัน ก่อนเม้มปากตวัดผ้าห่มคลุมตัวแล้วหันหลังให้เป็นอันยุติการสนทนาทั้งหมด
ทิเบตยืดตัวมองก้อนกลมเป็นปล้องบนเตียงคล้ายดักแด้ รู้สึกท้อแท้บอกไม่ถูก แค่จะคุยกันธรรมดายังยากเลย เขาคงหวังมากไปอีกแล้ว
หวังว่าจะได้จากกันดีๆ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อคนเกลียดขี้หน้ากัน
ร่างสูงก้าวเท้าเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ กระทั่งเสียงปิดประตูดังขึ้น ก้อนดักแด้ยักษ์จึงเริ่มมีอาการสะท้านไหว และตามมาด้วยเสียงสะอื้นไห้รุนแรง
เพราะมันไม่ใช่แค่เจ็บ แต่มันหมายถึงเยื่อใยที่มีได้ถูกสะบั้นลงแล้ว
ร่างเล็กหัวเราะทั้งน้ำตา สมน้ำหน้าตัวเอง
แค่ครั้งแรกที่ผิดหวังหัวใจก็เหมือนถูกมีดกรีดจนเลือดโชก แล้วที่ผ่านมาหมอนั่นต้องใช้ความอดทนเพียงใด กับความผิดหวังซ้ำๆซากๆเมื่อความพยายามจะญาติดีด้วยถูกเขี่ยทิ้งไม่ต่างกับขยะ
วันนี้จึงไม่รู้สึกถึงเลือดเนื้อจากร่างกายนั้น
ไม่มีแม้กระทั่งความเกลียดชังปรากฏในแววตา
ว่างเปล่า
ถูกต่อยซะยังดีกว่า
ร่างโปร่งเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นไว้สุดกำลัง ดวงตาแดงช้ำชุ่มโชกไปด้วยหยาดน้ำ พยายามฝืนตัวเองไม่ให้น้ำขมๆทะลักทลายออกมาจากคอ
แค่นี้ก็สมเพชตัวเองมากพอแล้ว
--------------------------------------
แต่ถึงจะหดหู่ท้อแท้เพียงใด ข้าวหอมก็พยายามบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะแค่นี้มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาทำกับอีกฝ่าย ถ้าอยากเห็นแววตาว่างเปล่าสะท้อนภาพเขาอยู่ภายในอีกครั้ง เขาก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้ ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อชีวิตของเขาที่กำลังจะก้าวไปสู่ความจริง
ความจริงที่ว่าเขาแต่งงานแล้ว! และยังไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วด้วย
ผัวเมียก็เหมือนลิ้นกับฟันนะลูก หนักนิดเบาหน่อยก็ควรอภัยให้กัน เมื่อรู้ว่าทำผิดก็ควรขอโทษแล้วทุกอย่างมันจะไม่สายเกินไป อย่าดันทุรังตามนิสัยเสียๆของเอ็งให้มากนัก หมอเขาจะเบื่อเอา รู้มั้ย! ท้ายประโยคอวยพรวันแต่งงาน พ่อกำนันแอบกระซิบเสียงเข้ม ย้อนกลับมาให้หวนคิดตรึกตรอง
พ่อ ลูกพ่อกำลังพยายามอยู่นะ
อย่าให้ทุกอย่างมันสายเกินไปเหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันไหลกลับ ฉันรู้ซึ้งแล้วว่าฉันทำผิดกับเขาไว้มาก เพราะฉะนั้นขอให้ฉันได้พิสูจน์ความตั้งใจของฉันเองบ้างเถอะ อย่าให้เขาถอดใจหมดความหวังไปจากฉันเลยนะพ่อ
ฉันไม่อยากเสียเขาไป!
ร่างโปร่งนอนน้ำตาซึมหากจำต้องกลืนมันลงลำคอแห้งผาก เหลือบมองแสงสีทองจับท้องฟ้ายามเช้าตรู่ ร่างสูงที่นอนเคียงข้างทั้งคืนลุกไปตั้งแต่รุ่งสาง พวกเขายังคงนอนร่วมเตียงเดียวกัน ด้วยเมื่อชายหนุ่มกลับเข้ามาอีกครั้งก็ไม่พูดถึงเรื่องการแยกห้องนอนอีกเลย ต่างคนต่างนอนคนละมุมเตียงอย่างเงียบเชียบ ไม่แม้จะดิ้นหรือเผลอต้องมาสัมผัสกันเลยซักที ข้าวหอมพลิกตัวตวัดตามองมองนาฬิกาก็ให้ตกใจเล็กๆเมื่อเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาสายมากแล้ว
น่าแปลกที่เขายังหลับลงได้ คงเพราะยังอุ่นใจที่ได้อยู่ใกล้ ไม่ถูกระเห็จไปอยู่อีกห้องนั่นเอง
จนเมื่อเลยเวลาอาหารเช้าไปมากโข ข้าวหอมก็ยังไม่คิดจะลุก รู้สึกมึนศีรษะนิดๆจากการใช้สมองจับเจ่าคิดอยู่แต่เรื่องเดียว จนรู้สึกอยากคายออกเก่า
แบบนี้ต้องถูกว่าแน่เลย ข้าวหอมหลับตาระบายลมหายใจไม่รู้สึกถึงการเข้ามาของทิเบตซึ่งเดินมาหยุดมองข้างเตียง
วันนี้เป็นวันเสาร์เขาจึงมีเวลาว่างทั้งวัน จะหลบฉากเลี่ยงการเผชิญหน้าอีกฝ่ายเหมือนวันธรรมดาคงไม่ดี ปกติเป็นมารดาหรือแม่บ้านจะขึ้นมาดูแลหลังเขาไปทำงานแล้ว เมื่อเช้าเขาจึงตื่นมาจัดการธุระส่วนตัวแล้วลงไปข้างล่าง ปล่อยให้อีกฝ่ายนอนพักผ่อนมากๆ แต่ว่ารอจนมารดาตั้งโต๊ะอาหารเช้าก็ยังไม่ลงมา เลยต้องขึ้นมาดูเอง ก็เห็นนอนหลับหน้าตาอ่อนเพลียกว่าเมื่อคืน ใจคนใช่ว่าจะหนักแน่นดังปากพูด แค่หน้าใบหน้าขาวๆไร้สีเลือดฝาด หัวใจเขาก็อ่อนยวบ หย่อนตัวเองนั่งลงบนเตียงข้างร่างเล็ก ทาบมือกับหน้าผากมนวัดอุณหภูมิ
ข้าวหอมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความอุ่นร้อนทาบที่หน้าผาก แต่เมื่อรู้ว่าเป็นใครดวงตาไร้ชีวิตก็เปล่งประกายไม่ต่างกับหัวใจที่กำลังอุ่นซ่าน
“ตัวไม่ร้อนนะ ทำไมยังนอนไม่ลุกอีกล่ะ”
ร่างสูงทอดเสียงอ่อน ปัดเส้นผมปกหน้าออกให้เบามือ
“หรือมึนหัว”
ข้าวหอมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ไม่รู้เลยว่าจะทำให้ทิเบตรู้สึกขมขื่นมากกว่าเดิม
ไม่แปลกถ้าจะมีอาการแบบนี้ เพราะมันคือความเครียดที่แสดงออกมาจากการจมจ่อมกับปัญหาคาราคาซังสะสมเป็นเวลานานๆ กระบอกตาร้อนผ่าวก่อนพยายามกลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่มันจะเอ่อล้นลงคอยากเย็น
“วันนี้ต้องไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ถ้าไม่มีอะไรน่าห่วงหอมอยากไปไหนมั้ย อยู่แต่บ้านจะเบื่อเอา”
“ไปโรงพยาบาล? ไม่อะ ไม่อยากไป” ศีรษะทุยเบี่ยงออกจากมือใหญ่
“ไปเถอะ อาหมอนัดไว้นะ ตรวจไม่นานหรอก”
ทิเบตตะล่อมข้าวหอมซึ่งขมวดคิ้วยุ่งอย่างเอ็นดู
“ไปก็ถูกเจาะเลือด”
ข้าวหอมมองร่างสูงหน้าบูดตาแป๋ว
“ต้องเจาะสิถึงจะรู้ว่าหายรึยัง”
“...ไม่อยากเจาะนี่”
คนป่วยตั้งท่างอแง หากในใจกลับรู้สึกอิ่มที่ทิเบตยอมคุยด้วยนานๆไม่ใช่สักแต่ว่าพูดๆแล้วก็ไป ความรู้สึกยินดีจึงเอ่อท่วมหัวใจ ดังนั้นทั้งคำพูดและกิริยาจึงดูเต็มใจออดอ้อนจนทิเบตเองยังนึกแปลกใจ แต่ไม่อยากทำให้ช่วงเวลาที่แสนหายากนี้จบลงในระยะเวลาอันสั้น จึงแกล้งทำเป็นลืมว่าอีกฝ่ายเคยตะโกนบอกว่าเกลียดเขาเข้าไส้เพียงใด
แม้จะลืมตัวไปชั่วขณะหากเขาก็ยินดี
“คราวก่อนก็เจาะไปจนนิ้วพรุน เจ็บจะตาย”
“ไม่...คราวนี้ไม่เอาเยอะหรอก เจ็บนิดเดียว”
“ไม่เอา”
ถึงจะยินดีที่ทิเบตกลับมาคุยเหมือนเดิมแต่ไม่ทำให้คนกลัวเข็มยอมลดราวาศอกเรื่องเจาะเลือด
ยอมก็เจ็บสิ
“หอม...ตรวจแล้วถ้าผลเป็นปกติ ทีนี้อยากทำอะไรก็ไม่ต้องกังวลแล้วนะ”
น้ำเสียงอ่อนล้าทำให้ข้าวหอมอ่อนลงทันที
“มันเจ็บนี่”
ทิเบตคว้ามือเล็กขึ้นมาสำรวจร่องรอยจุดแดงเล็กๆสีจางจากรอยเข็มทิ่มแทง ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเจ็บตัว แต่เขาอยากเช็คให้ละเอียดถึงจะวางใจได้หากอีกฝ่ายโอดครวญร่ำร้องอยากกลับบ้านก่อนกำหนดขึ้นมาจริงๆ ก็ยังเบาใจได้บ้าง
“งั้นเดี๋ยวให้อาหมอตรวจดูก่อนนะ”
ทิเบตยอมประนีประนอมไปก่อน ด้วยถ้าถึงมืออาหมอคนตรงหน้าไม่มีทางปฏิเสธได้อย่างแน่นอน
ข้าวหอมเม้มปาก “แต่นายเป็นเจ้าของ สั่งคำเดียวก็ได้แล้ว”
ปากยื่นๆกับแก้มป่องๆอย่างที่ไม่เคยเห็น ส่งผลให้หัวใจยังไม่แข็งแรงพอของทิเบตไหววูบ ยกมือขยี้ผมอีกฝ่ายเบาๆแล้วยิ้มระอา
“เป็นคนป่วยยังมาต่อรองอีก ไป ลุกไปอาบน้ำเถอะ แม่รออยู่ข้างล่างแล้ว”
“ไม่ไป หายแล้ว”
ร่างโปร่งเอี้ยวตัวกลิ้งให้พ้นรัศมีทิเบต อยากจะตามใจอยู่หรอก แต่เขาเบื่อโรงพยาบาลแค่เห็นก็ปวดหัวตงิดๆแล้ว และที่สำคัญเขากลัวไปเจอผู้หญิงคนนั้น เขาไม่กล้าสู้หน้า
คนถูกตามใจจนเคยตัวยังยืนกรานเล่นแง่
ทิเบตเลิกคิ้วมองกิริยาดื้อแพ่งเหมือนเด็ก ต่างจากการต่อต้านที่เจือความชิงชังอย่างเมื่อก่อนลิบลับ ให้บรรยากาศดังคนคุ้นเคยปนอ่อนหวานอ้อยสร้อยล่องลอยอวลรอบตัว
หรือคำขอของเขาอีกฝ่ายจะยอมรับแล้ว วันนี้ถึงได้ยอมพูดคุยเหมือนพวกเขาไม่เคยโกรธเกลียดกันมาก่อน ชายหนุ่มหาคำตอบกับอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายให้ตัวเอง และมันก็คงใช่ เพราะเขาไม่เห็นเหตุผลอื่นจะทำให้ข้าวหอมเปลี่ยนไป ทิเบตยิ้มขื่น อีกฝ่ายไม่มีวันมีใจให้เขาแน่นอน ก่อนพาตัวเองไปใกล้ร่างเล็กซึ่งหันหลังให้
เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดีกับเหตุการณ์ที่เป็นดังคำขอนี้
“ไม่ลุกเอง เดี๋ยวฉันอาบน้ำให้นะ”
“เชิญ”
ข้าวหอมตอบโดยไม่หันมามอง
เหมือนเห็นเส้นเลือดปูดที่หน้าผากเมื่องัดไม้ตายมาใช้ก็ยังไม่ได้ผล ทิเบตไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืด รวบร่างผอมบางไว้ในอ้อมอกพาเดินตรงไปยังประตูห้องน้ำ
“ดื้อ”
ข้าวหอมผวากลัวตกจึงยึดลำคอคนอุ้มไว้แน่น แต่ที่ยิ่งกว่า คือหัวใจเขากำลังเต้นร้องบอกว่าดีใจ ความห่างเหินที่มีหายวับไปกับอ้อมแขนแข็งแรงและดวงตาดุๆ ทว่าสะท้อนความห่วงใยไว้เต็มสองตา
ทิเบตอุ้มข้าวหอมมาหยุดหน้าห้องน้ำ ใช้เท้าดันประตูให้เปิดออก ก้มมองใบหน้าบึ้งกึ่งแง่งอน
“ว่าไง จะอาบเองหรือให้ฉันช่วยอาบให้”
สองแก้มอุ่นร้อนเมื่อมือใหญ่ลงมือแกะกระดุมเสื้อไม่มีลังเล ก่อนละล่ำละลักหยุดมือนั้นไว้ เพราะถึงอยากจะเข้าถึงอีกฝ่ายแค่ไหนแต่ขนาดแก้ผ้าอาบน้ำให้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
เมื่อร่างโปร่งบางผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำและได้ยินเสียงซู่ของสายน้ำ ทิเบตจึงหลับตาพิงตัวกับประตูที่ขวางกั้นพวกเขาจากกัน
เขากำลังสับสนกับดวงตาใสแจ๋วปราศจากความแค้นเคืองภายใน ความเปลี่ยนแปลงทำให้รู้สึกอุ่นวาบอยากโอบกอดร่างเล็กไว้แนบอก
หากนี่คือบอระเพ็ดอาบด้วยน้ำผึ้ง เขาก็ยินดีที่จะกลืนกินมันลงไป ขอแค่ช่วงเวลานี้ ขอให้เขาได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกอ่อนหวานกำซ่านไปทั้งหัวใจ แล้วจากนี้ไปเขาจะไม่นึกเสียใจเมื่อวันหนึ่งทุกอย่างเป็นเพียงฝัน
ก็เป็นฝันอันแสนสุข
-----------------------------------------------
หลังตรวจร่างกายเสร็จ และข้าวหอมก็ถูกพาไปเจาะเลือดตามระเบียบ หน้างอจนคางแทบติดอกทำให้คนตัวใหญ่อดเอ็นดูไม่ได้ อยากเข้าไปกอดและหอมแก้มป่องๆปลอบใจเสียหลายๆที
“อาหมอบอกว่าผลการตรวจออกมาน่าพอใจ ไม่ต้องมาให้เจาะเลือดบ่อยๆแล้ว”
ข้าวหอมตวัดตามองร่างสูง เขาไม่ได้กลัวเจ็บ แต่มันหวาดเสียวตอนปลายเข็มค่อยๆแทงผ่านเนื้อ แถมยังดูดเลือดออกไปอีก เห็นแล้วอยากเป็นลม ใครชอบก็เอาเหอะ แต่เขาไม่มีวันญาติดีกับไอ้เข็มปลายแหลมเฟี้ยวง่ายๆแน่
“ให้ฉันจิ้มนายมั่งมั้ยล่ะ”
คนเจ็บปากยื่น หากทิเบตส่ายหน้าดิกดึงมือเล็กมากุมไว้
“เพลียรึเปล่า”
“ไม่เลย”
“งั้นอยากไปไหนมั้ย”
“อยากสิ นอนนับจิ้งจกที่บ้านจนจะคุยกับมันรู้เรื่องแล้ว”
ทิเบตยิ้มแห้ง “ที่ห้องมีจิ้งจกเสียที่ไหนกัน แล้วอยากไปไหน ว่ามา”
“อยากไปเดินดูพวกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ในห้างก็ได้”
ข้าวหอมเสียงอ่อน เพราะในห้างสรรพสินค้าผู้คนพลุกพล่าน เสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย และก็จริงเมื่อชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“ไปแป๊บเดียวก็ได้ อยากหาหนังสือไว้อ่านด้วย”
แววตากลมโตเปล่งประกายมีชีวิตชีวาต่างจากวันวานก็จริง แต่ก็ยังเห็นความเหงาซุกซ่อนอยู่ข้างใน คงเพราะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านนานไปจนมีอาการเครียดสะสม ถึงจะเป็นห่วงแต่ก็ต้องปล่อยให้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง ทิเบตระบายลมหายใจ
“งั้นต้องใส่ผ้าปิดจมูกนะ แล้วก็อย่าเดินซื้อของจนเพลินเกินไป ได้ของแล้วก็กลับ”
ทิเบตจับต้นแขนทั้งสองข้างให้หันมาเผชิญหน้า เมื่อเดินมาถึงรถยนต์คันงามจอดรอรับ
“โอเคนะ”
น้ำเสียงห่วงหวงแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบังยิ่งทำให้ร่างเล็กหัวใจพองโตเหมือนได้ของที่หายไปกลับคืนมาอย่างง่ายดายไม่คาดคิด ข้าวหอมพยักหน้ารับ ดวงตาสะท้อนความดีใจชัดเจน
ทิเบตยื่นมือออกไปปัดเส้นผมที่เริ่มยาวปกใบหน้าทัดหูให้อย่างเงียบๆ ก่อนฝืนระบายยิ้ม แล้วจึงก้มตัวลงไปพูดกับลุงสุขคนขับรถ
“ลุงคอยดูหอมด้วยนะครับ อย่าให้เดินมากนัก”
“ครับคุณทิ ไม่ต้องห่วงเลยครับ”
ลุงสุขยิ้มร่าก่อนเผื่อแผ่รอยยิ้มให้ข้าวหอมที่ยืนตะลึง เบิกตากว้างมองหน้าทิเบต
“หนะ...นายไม่ไปด้วยกันเหรอ”
ข้าวหอมรีบคว้าแขนเสื้อชายหนุ่มไว้เมื่อถูกดุนเข้าไปนั่งในรถ
ทิเบตส่ายหน้าช้าๆ “ถ้าฉันไปด้วยเดี๋ยวจะไม่สนุกน่ะสิ ยังไงรีบกลับบ้านนะ คุณแม่คงทำของว่างไว้รออยู่”
“...!”
เหมือนหูดับไปชั่วขณะ เมื่ออีกฝ่ายค่อยๆปลดนิ้วมือออกจากแขนเสื้อ
ประตูถูกดันปิดให้ จากนั้นรถยนต์ค่อยเคลื่อนตัวออกห่างจากร่างสูงไปเรื่อยๆท่ามกลางสายตาแวววาวของคนตัวเล็กที่ตอนนี้ใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
มันไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่เป็นเขา ที่คิดง่ายเกินไปต่างหาก
น้ำตาหนึ่งหยดไหลอาบแก้มให้ลุงสุขที่คอยระแวดระวังถามอย่างเป็นห่วง จนต้องแก้ตัวเป็นพัลวันก่อนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
ไม่เป็นไร เจ็บแค่นี้ไม่ตายหรอก...
TBC
เเจกผ้าเช็ดหน้าคนละ 1 ผืนอย่างต่อเนื่อง
ขอบคุณทุกคอมเมนท์ หน้าใหม่เเละที่ติดตามมาเเต่เเรกๆจ้า
อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะ เป็นกำลังใจให้ทั้งสองก่อน
หมอเจ็บเเล้วจำ(สองครั้งเลย) น้องหอมก็ต้องมีคนดัดนิสัย หึหึหึ
พรุ่งนี้มาต่อตอนเช้าจ้า