กำนันสิงห์มองด้วยสายตาคนผ่านร้อนผ่านหนาวนั่งคำนวณเหตุการณ์ก่อนลอบโล่งใจขึ้นมานิดหนึ่ง นับว่าไม่เสียแรงที่เอ็นดูมัน ไอ้เทพ
“แล้วทำไมคราวนี้ไอ้ปุ๋ยตัวนี้มันแพงนักล่ะไอ้เทพ ร้านเอ็งขึ้นราคารึไง เมื่อก่อนมันถูกว่านี้ตั้งหลายร้อย” กำนันสิงห์ถามเรื่องปุ๋ยที่สั่งไปวันก่อน
“ต้องขึ้นราคาพ่อกำนัน ทางสายส่งมันขึ้นราคามาเกือบเดือนแล้ว ร้านผมก็ไม่อยากขึ้นนักหรอกเพราะลูกค้าบ่นแถมขายยากขึ้นอีกต่างหาก ช่วงนี้ก็แย่ไปตามๆกัน ยอดขายตกฮวบเลยล่ะครับ”
“งั้นรึ สวนข้าบางอย่างทำเองได้ก็ทำใช้กันเอง แต่บางอย่างมันก็ต้องซื้อเอา หลายตังอยู่ เฮ้อ...ถ้ากระเป๋าไม่หนักพอ ทำเท่าไรก็สู้ค่ายาค่าปุ๋ยไม่ไหว ราคาพืชผักมันผันผวนยังกับอะไร”
“เดี๋ยวนี้ปลูกอะไรก็ต้องดูตลาดด้วยครับ สักแต่ว่าปลูกก็เจ๊งกันมาเยอะแล้ว”
“นั่นสิ ข้ามันก็แก่แล้ว ก็อาศัยถามลูกหลานมันเหมือนกัน ความคิดความอ่านมันกว้างไกลว่าข้าเยอะ ว่าแต่ปุ๋ยกับยาที่สั่งไปเอามาส่งเหมือนเคยนะ”
ข้าวหอมเห็นบิดาคุยกับเพื่อนเป็นงานเป็นการจึงอาศัยจังหวะนี้เข้าไปหาทิเบตในห้อง ไปดูหน้าคุณหมอคนดีจะตามมาแก้ตัวยังไง
ภายในห้องเงียบสงบมีเพียงเสียงสายลมเย็นฉ่ำก่อนฝนพรำพัดผ่านผ้าม่านจนเกิดเสียง ร่างสูงครอบครองเตียงเขาเป็นของตัวเอง ตั้งแต่วันนั้นอีกฝ่ายก็ไม่กลับไปนอนพื้นอีกเลย ไล่เท่าไรก็หน้าด้านหน้าทนผิดหน้าตาจริงๆ ข้าวหอมเดินย่ำเท้าหนักๆเข้าไปใกล้คนนอนหันหลังให้ หากแผ่นหลังกว้างก็ไม่มีทีท่าจะหันมาสนใจกันเลยซักนิด ผิดไปจากทุกที หัวใจพองๆจึงแฟบลงเหมือนลูกโปร่งถูกปล่อยลม ร่างโปร่งยืนตัวสั่นเทิ้ม จ้องคนมีท่าทีหมางเมินชั่วอึดใจ น้ำอดน้ำทนที่มีน้อยอยู่แล้วจึงขาดผึง
อุตส่าห์ใจอ่อนยอมเข้ามาคุยด้วย กลับทำเป็นไม่สนใจ
เออ จำไว้เลย ไม่คุยก็ไม่ต้องคุย!
คนหัวไม่ล้านแต่ใจน้อยเดินกระทืบเท้าโครมๆออกไปจากห้อง ทิเบตจึงลดหนังสือลงต่ำมองประตูที่ปิดดังสะเทือนแก้วหู แล้วหลับตาลงทบทวนความรู้สึกตัวเอง
ต้องการอะไร...
สายฝนพรางพรูลงมาเป็นสายสีขาว กระทบยอดไม้ลู่ลงสู่พื้นดินไหลนองเป็นทางหาที่ต่ำ จากสายเล็กๆหลายๆสายค่อยบรรจบกันเป็นร่องน้ำ ไหลไปรวมกันเป็นคลองบึง จนเกินความต้องการกักเก็บไหลไปสมทบกับแม่น้ำใหญ่ ส่งผลให้ระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทิเบตเขยิบตัวพิงหัวเตียงเสยผมลวกๆเมื่อฝนซาเม็ด จากนั้นจึงเดินออกไปนอกห้อง
สุเทพและป้ายุพากลับไปแล้ว เหลือแค่กำนันสิงห์กับเจ้าแก้วนั่งตรวจเอกสารบางอย่างบนโต๊ะ
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”
“ไม่มีหรอก พ่อทิทำงานมาเหนื่อยๆก็พักให้เต็มทีเถอะ ว่าแต่วันก่อนมีคนมาบอกขายที่หลายสิบไร่แถวที่พ่อทิต้องการพอดีเลย วันรุ่งไปดูมั้ยล่ะ เผื่อถูกใจ”
“ดีเลยครับ” ทิเบตพยักหน้าเห็นพร้อง “จะได้ชวนหอมไปเที่ยวในเมืองด้วย ไม่เคยไปด้วยกันเลย ว่าแต่ตอนนี้ไปไหนซะละครับ”
“สงสัยจะงอนอะไรพ่อทิล่ะมัง เดินโครมๆไปกระท่อมริมน้ำแล้ว พ่อทิไปตามกลับมาทีเถอะ ช่วงนี้น้ำขึ้นเร็ว ไม่ค่อยปลอดภัย ถ้ามันไม่ฟังก็มัดกลับมาเลยก็ได้ ไม่ว่ากัน”
ทิเบตเดินกางร่มลัดเลาะไปตามทางท่ามกลางสายฝนพร่างพรายบางๆ หายลับไปจากสายตาผู้สูงวัย
‘อดทนหน่อยนะพ่อทิ ฉันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรไอ้ลูกหัวดื้อคนนี้มันจะยอมเปิดใจซะที ผิดที่ฉันเองที่เลี้ยงมันมาแบบตามใจ แต่ตอนนี้ฉันยกให้พ่อทิแล้ว ก็ช่วยใจเย็นอบรมมันหน่อยเถอะนะ’
คุณหมอหนุ่มไปถึงกระท่อมน้อยปลายไร่ฝนก็หยุดสนิทได้พักหนึ่งแล้ว ร่างโปร่งนั่งเหม่ออยู่บนแคร่หน้ากระท่อม พอเห็นว่าใครเดินมาก็หันข้างให้ทันที ทิเบตย่ำน้ำเจิ่งนองเข้าไปนั่งข้างๆ ให้ไอ้โก๊ะซึ่งวนเวียนใกล้เจ้านายจ้องมองเหมือนไม่ไว้ใจเป็นระยะ หากรู้ฤทธิ์มันมาแล้วไม่มีทางได้แอ้มน่องเขาหรอก
ร่างสูงนิ่งรอท่าทีคนขี้วีนซักครู่ก็เกิดความรู้สึกอยากกอดคนตรงหน้าขึ้นมาจับใจ
รักเขาหัวปักหัวปำแล้วหรือนี่?
“ข้าวหอม”
ทิเบตทอดเสียงอ่อนพลางโอบไหล่เล็กเข้ามากอด แม้อีกฝ่ายจะแข็งขืนทำปากยื่นขมวดคิ้วอยู่ก็ตาม
“หอมไม่พอใจที่ฉันไม่มีเวลาให้ใช่มั้ย” คนถามมองอีกฝ่ายหน้าคว่ำคางแทบติดอก
“ช่วงนี้มีเพื่อนฉันเข้ามารักษาตัว เจนนี่น่ะ หอมเคยเจอกันตอนไปตรวจสุขภาพไง เขามีปัญหาหลายอย่างเลยต้องเสียเวลาจัดการมากกว่าคนไข้รายอื่นเขา”
“เพื่อน?” ข้าวหอมย้อนเสียงสูง
และเพราะน้ำเสียงสูงๆนั้นก็ทำให้ทิเบตเข้าใจได้ทันทีว่าที่หน้าคว่ำหน้าหงายอยู่นี่เกิดจากอะไร จากที่ไม่แน่ใจเพราะไม่อยากเข้าข้างตัวเอง แต่อาการแบบนี้มันเรียกว่าหึงไม่ใช่เหรอ...ดีใจ เพราะสิ่งที่ทุ่มเทไปได้สะท้อนกลับมาแล้ว แม้จะกลับมาในลักษณะรุนแรงไปหน่อยก็เถอะ ก่อนค่อยๆอธิบายให้ฟัง
“ใช่ เขาเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวเลยต้องวางแผนการรักษากันยาวนะหอม”
ความร้ายแรงของโรคทำให้ข้าวหอมเผลอหันมองดวงตาคู่อ่อนโยนกระจ่างใสพร้อมเปิดเผยทุกเรื่องไร้วี่แววปิดบัง เผลอผ่อนร่างตามแรงโอบกอดของอีกฝ่าย
ร่างสูงพินิจพิจารณาคนหน้าสลดลง จากนั้นจึงเอ่ยน้ำเสียงติดตลก
“แต่เมื่อก่อนก็เคยไปคุกเข่าขอหมั้นเขาไว้ แล้วเขาก็หนีไปแต่งงานกับคนอื่นน่ะ น่าสมน้ำหน้ามั้ย”
“ยังรักอยู่งั้นสิ” ข้าวหอมมองปลายเท้าตัวเองใจตุ๊มๆต่อมๆ
“เอ...” เพราะทำท่าลังเล ร่างโปร่งจึงขืนตัวออกให้คุณหมอใจหายวาบรีบคว้าตัวไว้แทบไม่ทัน “เขาทำขนาดนั้นมันหมดความรู้สึกไปนานแล้วล่ะ ตอนนี้เลยเป็นแค่หมอกับคนไข้เท่านั้นเอง”
“ใจบุญสมกับอาชีพจริงๆเลยนะ นายน่ะ”
ทิเบตยิ้มให้คนช่างประชด หากยังตั้งใจอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างใจเย็น
“หอมรู้มั้ยว่าคนที่เป็นโรคนี้ ต้องอดทนกับการรักษาตัวขนาดไหน”
ร่างโปร่งส่ายศีรษะแทนคำตอบ แต่ก็รอให้อีกฝ่ายอธิบาย
“โรคนี้ผู้ป่วยจะติดเชื้อได้ง่าย มีไข้ เกล็ดเลือดต่ำ ซีด และเลือดออกง่าย บ้างก็ปวดกระดูก การวินิจฉัยก็จะต้องเจาะไขสันหลังเพื่อตรวจเซลล์มะเร็งในน้ำไขสันหลัง ฟังแล้วน่ากลัวมั้ย”
ทิเบตเกยคางกับศีรษะทุย เมื่ออีกฝ่ายยังนิ่งฟังจึงเล่าต่อ
“ต้องใช้เคมีบำบัดในการรักษา ต้องทานยาหรือไม่ก็ฉีดยาทุกวันเพื่อควบคุมโรคให้อยู่ในระยะสงบ แต่ไม่ได้จะหายขาดทุกรายหรอกนะ แถมผลข้างเคียงของยาก็สูงด้วย จะหายขาดก็ต้องปลูกถ่ายไขกระดูกจากพ่อแม่พี่น้องท้องเดียวกัน และต้องมีเนื้อเยื้อเข้ากันได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจอเนื้อเยื้อที่เข้ากันได้แล้วทุกอย่างจะโอเคนะ เพราะหลังปลูกถ่ายเสร็จอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ร่างกายต่อต้าน จึงต้องดูแลกันทุกฝีก้าว ตั้งแต่พอตกลงว่าจะต้องปลูกถ่ายไขกระดูกก็ต้องทำการฉายรังสีทั้งตัวเพื่อเตรียมการปลูกถ่ายไขกระดูก โดยการให้เคมีบำบัดขนาดสูงร่วมกับรังสีเพื่อทำลายเซลล์ หลังจากนั้นจึงนำไขกระดูกของคนปกติฉีดเข้าไป ผู้ป่วยจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลจนกระทั่งร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดได้ เห็นมั้ยว่ามันต้องใช้ระยะเวลาและความอดทนขนาดไหนกว่าผู้ป่วยจะหายจากโรค ผู้ที่เป็นต้องมีกำลังใจดีมากถึงจะผ่านไปได้ หอมคิดดูสิว่าต้องอยู่แต่ในห้องปลอดเชื้อ ติดแหงกอยู่ในโรงพยาบาล ผมก็ร่วง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนตลอด คันไปทั้งตัว เป็นหมันอีกด้วย แล้วจะไม่ให้ผู้ป่วยท้อใจได้ยังไง บางคนคิดฆ่าตัวตายจะได้จบๆกันไปเลยก็มี”
ได้ฟังประโยคสุดท้ายข้าวหอมสะท้านเฮือกกล้ามเนื้อกระตุกขึ้นพร้อมกัน ทิเบตจึงโยกตัวปลอบช้าๆ
“ข้าวหอมเข้าใจรึยัง”
ทิเบตก้มถามคนในอ้อมแขนที่ยังนิ่งเงียบเหมือนไม่รับรู้รับทราบที่เขาเล่ามายาวยืดให้นึกฉุนนิดๆหมั่นเขี้ยวหน่อยๆ
“แต่ที่เล่าก็ไม่ใช่ว่าฉันจะต้องไปดูแลรักษาเจนนี่เขาหรอกนะ พอจัดการเรื่องเข้ารักษาและค่าใช้จ่ายเสร็จ ฉันก็มอบคนไข้รายนี้ให้อยู่ในความดูแลของแพทย์ที่ชำนาญ ซึ่งไม่ใช่ฉัน เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไปฉันก็ไม่ยุ่ง ไม่ต้องรับโทรศัพท์กลางดึก ไม่ต้องกลับบ้านช้า เข้าใจยัง”
ร่างสูงมองคุณภรรยาเม้มริมฝีปากแล้วจึงแกล้งรัดอีกฝ่ายแรงๆ
“ไม่รู้รึไงว่าเป็นเมียหมอต้องอดทนน่ะ”
รู้สึกซาบซึ้งมาตั้งนาน มาพังเพราะไอ้ประโยคหลังนี่เอง ข้าวหอมเขม่นมองร่างสูง “ทนไปคนเดียวเหอะ” พูดไปก็พยายามแกะมือเหนียวหนึบเป็นตุ๊กแกออก
“ไม่เอาน่า อย่าเดินหนีอีกเลย ฉันหมดแรงวิ่งตามแล้ว ตอนนี้ง่วงมาก รู้เปล่าว่าการรีบเคลียร์งานมาตามง้อเมียนี่มันเหนื่อยเอาเรื่องนะ”
“อะ!...นาย”
“น่า...ดีกันเถอะ แล้วพรุ่งนี้จะพาไปเที่ยว”
คำง้อน่าอายทำให้ข้าวหอมหน้าแดงไปถึงหู ทนฟังไม่ได้ทนมองไม่ไหว ก้มหน้าก้มตาผลักอีกฝ่ายด้วยความอึดอัดเก้อเขิน
“บอกก่อนว่าเข้าใจแล้วจะปล่อย ไม่งั้นก็จะกอดอยู่แบบนี้ล่ะ”
“ก็ลองดูสิ”
ร่างโปร่งเงื้อหมัด แต่ก่อนจะได้ทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกครั้ง ฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ ทั้งคู่จึงรีบพากันเข้าไปหลบฝนในกระท่อม
“โอ๊ย...เจ็บนะ ปล่อยได้แล้ว”
ข้าวหอมตะโกนแข่งกับเสียงฝน เมื่อเข้ามาในกระท่อมอีกฝ่ายก็ยังไม่ปล่อย ยื้อยุดกันจนมานอนกองบนแคร่ และดูจะท่าไม่ดีอีกต่างหาก เพราะถูกคร่อมปิดทางหนีไว้ทุกทาง
“ไม่”
“มันเจ็บหลัง ปล่อย”
“ไม่”
ข้าวหอมจ้องหน้าคนยิ้มกริ่มด้วยทั้งโกรธทั้งอาย เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายอ่านความคิดตนเองออก และท่าทางไม่ยอมจบง่ายๆ
“เข้าใจก็ได้ๆ พอใจยัง”
ร่างโปร่งรีบตอบเพราะอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ หากกลับรู้สึกโล่งอกที่ยอมรับออกไป
ค่อยๆยอมรับกันที่ละนิด
“ไม่ค่อยพอใจเท่าไร แต่ก็โอเค”
ทิเบตยิ้มกว้างยอมคลายวงแขน แล้วทอดตัวนอนข้างๆ
วันนี้ได้แค่นี้ก็พอใจแล้ว
ข้าวหอมยอมให้อีกฝ่ายกอดเอวไว้หลวมๆแล้วต่างคนต่างนอนดูสายฝนเทกระหน่ำจนกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่หยุด คนใช้แรงไปกับการโมโหจึงท้องร้องจ๊อกๆ
“หิวข้าวเหรอ” ทิเบตปล่อยมือเมื่อร่างเล็กขยับลุกขึ้นนั่ง
“อืม” ก็กินกับเทพมานิดเดียวเอง เห็นหน้าเศร้าๆเลยกินไม่ค่อยลง
ประโยคหลังติดอยู่ในใจ เพราะไม่อยากเอ่ยชื่อใครอื่นให้เสียบรรยากาศ
“หุงข้าวกินดีกว่า ลองตกอีแบบนี้อีกนาน เป็นลมตายพอดี”
พูดจบก็ลงมือก่อไฟหุงข้าวรวดเร็วจนทิเบตตามแทบไม่ทัน หากก็อมยิ้มเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงเปิดใจให้ตนเองบ้างแล้ว จึงเอาใจด้วยการกุลีกุจอไปหาเครื่องกระป๋องในตู้
“หอม” ทิเบตเปิดตู้ค้างไว้หันมองข้าวหอมนั่งพัดเตา “เหลือแต่ผัดดอง” ชายหนุ่มชูผัดดองกระป๋องเล็กๆเหลือเพียงกระป๋องเดียว
“งั้นหุงข้าวต้มก็ได้”
คนกินง่ายอยู่ง่ายยักไหล่ ไปตักน้ำในตุ่มมาเติมเสร็จก็หันไปถามอีกฝ่าย
“กินได้เปล่า”
“ได้” ทิเบตลากเสียงยานคาง
“ก็ดี” เป็นเขยชาวไร่ก็ต้องอดทนเหมือนกัน รู้ไว้ซะด้วย
ข้าวหอมเผลอย้อนอีกฝ่ายในใจ หากพอรู้ตัวว่ายอมรับอีกฝ่ายเป็นสามีเต็มเนื้อเต็มตัวก็หน้าร้อนผ่าว รีบหันหน้าหนีมองไปนอกกระท่อม ก็รู้ว่าฝนซาไปแล้ว
“อะไรเนี่ย บทจะตกก็ตกไม่ลืมหูลืมตา บทจะหยุดก็หยุดซะง่ายๆเนี่ยนะ”
ร่างโปร่งขยับออกไปดูท้องฟ้าที่ยังครึ้มดำ เมฆลอยต่ำ
“พี่หอม”
เสียงตะโกนของไอ้ขันซึ่งปั่นจักรยานฝ่าละอองฝนดังมาแต่ไกล
“มีอะไรไอ้ขัน”
“พ่อกำนันให้ฉันมาตามกลับเรือนจ้ะ”
“เดี๋ยวจะตามไป เพิ่งหุงข้าวไว้”
“แต่ว่าป้าสาแกเอาเงินมาไถ่โฉนดที่ดินคืน พ่อกำนันหาไม่เจอ พี่หอมไปเก็บไว้ไหนล่ะ”
“จำไม่ได้ว่ะ แต่ปกติมันอยู่ในเซฟนี่ หรือไม่ก็ลิ้นชักในห้องพ่อนั่นล่ะ”
“หาไม่เจอ พี่หอมกลับไปหาคืนเขาเองเถอะ ข้าวไปกินที่เรือนก็ได้ ที่หุงไว้ก็ทิ้งมันไปเถอะ”
“เฮ้ย ทำงั้นได้ไง เสียดายของ” ข้าวหอมขึงตาใส่ลูกสมุน “งั้นนายดูข้าวไว้นะ สุกแล้วยกขึ้น เดี๋ยวกลับไปดูโฉนดให้พ่อก่อนแล้วจะเอากับข้าวกลับมาด้วย โอเคนะ”
ข้าวหอมหันไปบอกทิเบตเสร็จสรรพก็ขึ้นนั่งเบาะท้ายจักรยานให้ไอ้ขันปั่นกลับเรือน
ร่างโปร่งหันมองทิเบตยืนมองตามหลัง ให้รู้สึกอุ่นในหัวใจจนอยากยืดเวลาแบบนี้ไปนานๆ
รีบไปรีบกลับมากินข้าวด้วยกันดีกว่า
เพราะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเองมากไปรึเปล่า ร่างโปร่งถึงไม่ได้สังเกตสิ่งรอบตัวว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
มากจนน่าใจหาย หากทันได้เห็น
TBC
จะเกิดรายขึ้นเนี่ย ม่ายยยยย
เจอกันวันพุธค่ะ