say-hi ในทวิตเตอร์ ฝากติด #เมื่อหินผาจรดสายน้ำ ด้วยนะคะ
ไม่ขออะไรมาก คอมเมนต์ให้กำลังใจกันหน่อยก็ดีจ้า
อย่าเป็นนักอ่านเงาเลย คนแต่งหมดกำลังใจเนอะ ครั้งที่ | “15”❖ ❖ ❖ ต่อค่ะ 70% ❖ ❖ ❖
เช้าวันสุดท้ายของการเที่ยวพักผ่อนที่เชียงใหม่ ผู้ร่วมทริปทั้งสิบกว่าคนตื่นกันแต่เช้าเพื่อขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น นี่เป็นวันแรกเลยที่สมาชิกทุกคนตื่นกันมาอย่างพร้อมเพียงแบบนี้ เพราะสองวันที่ผ่านมามีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ตื่นขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น
“ตื่นมาดูตั้งสองวันแล้วไม่เบื่อหรือไง” ลูกชายคนเล็กของเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้เดินมาถามสายน้ำที่นั่งมองภาพความสวยงามตรงหน้า
สายน้ำเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นว่าเป็นใคร เจ้าตัวส่ายหน้า “ไม่เบื่อครับ จะให้ผมตื่นมานั่งมองทุกวันเลยก็ได้วิวสวยขนาดนี้”
“ถ้าอย่างนั้นต้องย้ายมาอยู่ด้วยกันที่นี่แล้วล่ะจะได้ตื่นมาดูได้ทุกวัน” หินผาพูดยิ้ม ๆ แต่คนฟังน่ะใจกระตุ้มแก้มร้อนไปหมดแล้วกับคำพูดนั้น
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการพูดเพื่อแซวเล่นเฉย ๆ หรือมีความหมายแอบแฝงอะไรอยู่ในนั้นกันแน่แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหนหัวใจของสายน้ำก็สั่นไหวอย่างรุนแรงด้วยกันทั้งนั้น
“เดี๋ยวผมย้ายมาจริง ๆ แล้วพี่จะหนาวเถอะ” พยายามกลั้นความรู้สึกของตัวเองพร้อมกับตอบกลับไปเชิงหยอกล้อ
หินผาหัวเราะยกมือขึ้นกอดไหล่ของน้องเอาไว้พลางโยกไปมา “มาให้จริงเถอะ อยากให้มา”
สายตาที่หินผามองสบมาตอนพูดนั้นทั้งจริงจัง แน่วแน่แถมยังอ่อนโยนจนสายน้ำไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จะหลบสายตาก็ทำไม่ได้เพราะดวงตาคู่นั้นสะกดเขาเอาไว้ จะให้พูดอะไรกลับไปก็พูดไม่ออกเพราะสมองของสายน้ำตอนนี้มันเบลอไปหมดแล้ว คิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่างเดียว ยิ่งกับหัวใจตอนนี้มันสั่นระรัวจนสายน้ำกลัวว่ามันจะกระเด้งกระดอนออกมาข้างนอก
แต่ที่สายน้ำไม่รู้ก็คือใบหน้าของตัวเองในตอนนี้มันแดงก่ำจนบ่งบอกอะไรให้คนมองรับรู้ได้หลาย ๆ อย่าง ทั้ง ๆ ที่พยายามเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นความเขินตัวเองแล้วแต่ก็ไม่ได้ผลอะไรเลย สองข้างแก้มขึ้นริ้วสีแดงจนทั่ว ท่าทางที่ทำเหมือนไม่เขินแต่จริง ๆ แล้วเขินจนทำอะไรไม่ถูกนั้นดูน่ามันเขี้ยว น่าเอ็นดูสำหรับคนมองเป็นอย่างมาก
หินผานึกอยากจะฝังจมูกตัวเองลงที่แก้มแดงนั้นแต่ก็ทำไม่ได้เลยได้แต่ยกมือขึ้นบีบแก้มของสายน้ำอย่างมันเขี้ยว
“น่ามันเขี้ยว...”
“ผมเจ็บนะ” สายน้ำพูดเสียงอู้อี้เพราะโดนบีบแก้มอยู่
“สายน้ำ ไอ้ไอซ์โทรมา” เสียงตะโกนเรียกของแบงก์ดังมาจากด้านหลังให้หินผายอมละมือจากแก้มแล้วหันไปมอง
“โอเค ๆ” สายน้ำรับคำก่อนจะรีบลุกเดินไปหาเพื่อนที่ชูโทรศัพท์ของเขาอยู่โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ามีสายตาไม่พอใจของใครอีกคนมองตามไปด้วย
“ไอ้คนชื่อไอซ์นี่คือคนที่มึงบอกว่าชอบน้องปะวะ” ป่าไม้ที่นั่งอยู่ไม่ไกลขยับมาใกล้น้องชายตัวเองทันที
“อือ”
“นี่มันเริ่มจีบน้องแล้วเหรอวะ เล่นโทรหาเช้า กลางวัน เย็นเลย นี่ก่อนนอนโทรบอกฝันดีกันด้วยไหมวะเนี่ย” ป่าไม้ยกมือลูบคางตัวเองอย่างใช้ความคิด “แล้วคือห่าอะไรโทรหาน้องตั้งแต่ตะวันขึ้นแบบนี้ โคตรจะพยายามเลยไอ้หมอนี่”
หินผาขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจปนหงุดหงิดในใจ สองวันมานี้เขาได้ยินชื่อรุ่นน้องปีหนึ่งคณะดุริยางค์คนนี้ตลอด เดี๋ยวโทรมาหาบ้าง เดี๋ยวแบงก์กับตั้มถามถึงบ้าง ได้ยินแต่ชื่อไอซ์จนหงุดหงิดใจ แล้วก็ไม่รู้ว่าครอบครัวเป็นเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์หรือยังไง ขยันโทรหาสายน้ำเป็นว่าเล่น วันละไม่ต่ำกว่าสองสามรอบแม้แต่ละรอบจะพูดคุยกันไม่กี่นาทีก็ตาม
คนเป็นเพื่อนกันเขาโทรหากันบ่อยขนาดนี้เลยหรือยังไง
แค่ได้ยินชื่อไม่ว่าจะออกจากปากของสายน้ำหรือใคร ๆ ก็ตาม หินผาก็มักจะรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งไป น่ารำคาญไปหมด แต่ก็เพราะสถานะที่เป็นอยู่จะให้แสดงออกมากก็ไม่ได้เพราะยังไม่มีสิทธิขนาดนั้น
“มึงน่ะ จะทำอะไรก็รีบทำ มัวแต่ชักช้าเกิดน้องเผลอใจไปชอบไอ้เด็กนั้นขึ้นมาจะทำยังไง” ป่าไม้กระแซะน้องชายตัวเอง “นี่ขนาดไม่เจอหน้ามันยังขยันโทรหาแบบนี้ ถ้าเกิดกลับไปมหา’ลัย มันไม่เช้าถึงเย็นถึงเลยหรือยังไงกัน ยิ่งเป็นกลุ่มดาวเดือนกันด้วยแบบนี้อีก กิจกรรมที่ต้องทำด้วยกันก็มีอีกไม่น้อย โอกาสเจอกันก็บ่อย ๆ ไป ระวังนะมึง”
“วันนี้พี่พูดมากจังนะ” หินผาหันไปมองหน้าพี่ชายตัวเอง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบ
ป่าไม้ไหวไหล่ “กูก็แค่พูดให้มึงคิด แต่มึงจะเชื่อไม่เชื่อกูก็แล้วแต่ จะไม่ทำอะไรเลยก็ได้ตามสบาย ถ้าน้องไปชอบคนอื่นก็ช่วยไม่ได้เหมือนกันจ้า”
“รู้แล้วน่า”
ป่าไม้ที่เห็นท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงของน้องชายตัวเองก็ค่อย ๆ ขยับตัวเองออกมาไปรวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ที่นั่งมองมาทางพวกเขา ทันทีที่พ้นจากตัวหินผาคนเป็นพี่ชายอย่างป่าไม้ก็ยกมือปิดปากหัวเราะคิกคักชอบใจที่ไปป่วนน้องชายมาได้สำเร็จ ยกนิ้วโป้งให้ผู้ร่วมอุดมการณ์ทั้งหลายเป็นการบอกว่าแผนการสำเร็จไปได้ด้วยดี
ปั่นหัวน้องชายตัวดีได้แล้ว ทีนี้ก็รอดูกันต่อว่าหินผาจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง แต่พอเห็นท่าทางหัวเหวี่ยงของน้องชายแล้วก็นึกอยากจะแกล้งต่อให้กระอัก นี่เขาไม่ได้เห็นเรื่องความรักของน้องชายเป็นเรื่องตลก แต่การได้แกล้งหินผาแบบนี้ก็เป็นความสุขเล็ก ๆ ของคนเป็นพี่เหมือนกัน
แต่มันก็เป็นการแกล้งเพื่อช่วยนะ คงไม่บาปเท่าไหร่หรอกเนอะ!
สายน้ำที่เพิ่งวางสายจากไอซ์ก็เดินกลับมาหาหินผาที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม เจ้าตัวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อรับรู้ถึงบรรยากาศที่แปลกไปของหินผา ดู... ถมึงทึงอย่างไรบอกไม่ถูก
“พี่หินผา” สายน้ำใช้เสียงนำไปก่อน กลัวว่าเดินเข้าไปนั่งเลยอีกฝ่ายจะหันมางับหัวเข้าให้
พอได้ยินเสียงของน้องคนที่ทำหน้าบูด คิ้มขมวดก็ผ่อนคลายลง บรรยากาศรอบ ๆ ตัวก็ดูเบาบางลงจนสายน้ำกล้าที่จะเดินมานั่งข้าง ๆ ตามเดิม “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมดูเครียด ๆ จังครับ”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” หินผาหันมาส่ายหน้าก่อนจะยิ้มให้กับสายน้ำ
“ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้วล่ะครับ ได้นั่งดูวิวสวย ๆ อากาศดี ๆ แบบนี้ควรจะยิ้มมากกว่าทำหน้าเครียดนะครับ” สายน้ำพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างดันมุมปากของตัวเองให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“หึหึ ครับ ๆ ตามนั้นครับ” หินผาได้แต่หลุดยิ้มเมื่อเห็นท่าทางน่ารักของสายน้ำ นึกอยากจะจับเจ้าตัวมากอดให้แน่น ๆ ให้หายมันเขี้ยว
“ดีมากครับ” ยิ้มกว้างแบบที่ชอบยิ้มให้หินผาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ กลับไปให้อีกรอบ
“น่ามันเขี้ยวจริงเรา เป็นตัวมันเขี้ยวเหรอ” หินผาเอื้อมมือมาบีบแก้มน้องทั้งสองข้าง
สายน้ำได้แต่ร้องเสียงอู้อี้เพราะโดนแกล้ง ส่วนคนแกล้งก็หัวเราะชอบใจ ก่อนที่ทั้งสองคนจะหันไปตามเสียงเรียกชื่อ
“หินผา สายน้ำ ยิ้มหน่อยเร็วเดี๋ยวถ่ายรูปให้” เดียร์ยกโทรศัพท์ขึ้นมาชูให้ดู
ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนที่หินผาจะยอมปล่อยแก้มน้องแล้วจึงหันกลับมาทางเดียร์ด้วยกันทั้งคู่ หินผายกมือกอดคอสายน้ำเอาไว้พร้อมกับยิ้มตอนที่เพื่อนสนิทเริ่มนับเลขเพื่อถ่ายรูป โดยมีภาพของท้องฟ้าที่ทอแสงสีทองยามเช้าและสีเขียวชอุ่มของต้นไม้นานาพันธุ์เป็นฉากหลัง
พวกเขาทั้งสิบกว่าคนนั่งคุยนั่งเล่นกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพนักงานของรีสอร์ทยกถาดอาหารเช้ามาให้ พวกเขาเลือกที่จะนั่งกินมื้อเช้ากันอย่างชิล ๆ ที่ศาลาริมสระว่ายน้ำของบ้านพัก มื้อเช้าที่พนักงานยกมาให้มีทั้งข้าวต้มแล้วก็อเมริกันเบรคฟาสต์ให้เลือกกินกันอย่างจุใจ
เดียร์กับกันต์คอยถ่ายรูปบรรยากาศสนุกสนานของพวกเขาเอาไว้ตลอด มีทั้งแกล้งกัน เล่นกันเต็มไปหมด
“เดี๋ยวตอนกลางวันไปกินข้าวที่บ้านกันก่อนแล้วค่อยกลับ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะให้คนไปส่งพวกเราที่สนามบิน” ป่าไม้พูดระหว่างที่ทุกคนกำลังจัดการกับมื้อเช้าอยู่
“ต้องกลับแล้ว จะว่าไปก็เร็วเหมือนกันนะครับ พอได้มาอยู่แบบนี้แล้วชักไม่อยากจะกลับเลย” ตั้มว่า นึกเสียดายว่าเวลาแห่งการพักผ่อนกำลังจะหมดลงแล้ว
“เอาไว้ปิดเทอมค่อยมากันใหม่ก็ได้ รอให้ว่าง ๆ กันทุกคนแล้วมากัน” หินผาหันไปพูดกับรุ่นน้อง
“ครับ น่าเสียดายที่รอบนี้เบลกับมะนาวไม่ว่างมาด้วย แต่ทั้งสองคนบอกถ้ามีรอบหน้าจะไม่พลาดแล้วแน่นอนครับ”
“เอาไว้รอบหน้าก็มากันอีก มาเยอะ ๆ แบบนี้สนุกดี” ป่าไม้ว่า
หลังจากจัดการมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บของ เก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับในตอนบ่าย ในระหว่างนั้นก็มานั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่ห้องนั่งเล่นจนสิบเอ็ดโมงกว่าพนักงานของรีสอร์ทก็มาช่วยยกกระเป๋าไปขึ้นรถให้ ส่วนพวกเขาทั้งหมดก็พากันไปที่บ้านของป่าไม้แล้วก็หินผา เพื่อร่วมมื้อกลางวันกับพ่อแม่ของทั้งคู่
“อ้าว แล้วไอ้หินไปไหนแล้วล่ะ” ทัชถามหาเพื่อนตัวเองหลังจากที่หันซ้ายหัวขวาแล้วไม่เจอ
ตอนนี้พวกเขามารวมกันอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านหินผากับป่าไม้ ผู้ใหญ่เจ้าของบ้านทั้งสองคนไม่ได้อยู่ในห้องด้วย มีแต่พวกเขาทั้งหมด ตอนนี้ดูเหมือนว่าหินผาจะหายไปไหนอีกคนแล้วก็ไม่รู้
“น่าจะไปคุยกับพ่อแม่ละมั้ง เดี๋ยวมันก็คงมานั่นแหละ” ป่าไม้เป็นคนตอบข้อสงสัยของทัช ซึ่งเมื่อเจ้าตัวได้ยินคำตอบแบบนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ
ทางฝั่งคนที่หายตัวออกมาจากกลุ่มก็กำลังเดินไปยังห้องทำงานของพ่อกับแม่ หินผายกมือขึ้นเคาะประตูสองสามทีก่อนจะเปิดเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาตจากคนข้างใน ผู้ใช้ห้องทั้งสองคนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กเดินเข้ามา
“ว่าไงลูก มีอะไรหรือเปล่า” คนเป็นแม่เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเคร่งขรึม จริงจังของลูกชาย
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับพ่อกับแม่ครับ ผมรบกวนเวลาสักครู่” น้ำเสียงจริงจังผิดแปลกจากเดิมให้ทั้งคู่หันมองหน้ากัน
“ไหน... มีอะไรว่ามาสิ” คนเป็นพ่อลุกจากโต๊ะทำงานมานั่งที่โซฟากลางห้อง แม่ของหินผาก็เช่นกัน
หินผาเดินเข้าไปใกล้แต่เขาเลือกที่จะนั่งบนพื้นแทนโซฟา เรียกสายตางุนงงจากบุพการีทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี
“มีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมไม่มานั่งข้างบนนี่ล่ะ”
“ผมมีเรื่องอยากพ่อกับแม่ครับ” หินผามองทั้งสองคนด้วยสายตาจริงจัง “ผมรู้ว่าเรื่องที่ผมจะบอกพ่อกับแม่นี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจแล้วก็อาจจะยอมรับยาก แต่ผมก็ไม่อยากโกหกหรือปิดบังพ่อกับแม่ ไม่อยากปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยไม่ทำอะไร”
“เรื่องอะไรลูก ทำไมดูซีเรียสขนาดนั้นเลยล่ะ” คนเป็นแม่หัวใจของเริ่มเต้นแรงเพราะไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองจะพูดเรื่องอะไร
“พ่อครับ แม่ครับ” หินผามองหน้าท่านทั้งสองคนด้วยสายตาที่แน่วแน่และจริงจัง “ผมรักสายน้ำครับ ผมรักน้องอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักใครสักคนได้... รักแบบที่ไม่ใช่พี่ชายรักน้อง”
พ่อกับแม่ดวงตาเบิกกว้างขึ้นคล้ายกับว่ากำลังตกใจในสิ่งที่กำลังได้ยิน หินผาไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน มันอาจจะเป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาที แต่มันนานในความรู้สึกของเขากว่าที่พ่อจะหาเสียงของตัวเองเจอ “แกหมายความว่า... แก...”
“ครับ ผมรักน้อง รักแบบคนรักครับ” หินผายืนยันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เดี๋ยวนะลูก... ขอเวลาแม่นิดหนึ่ง”
“ผมรู้ครับว่ามันยอมรับยาก ผมรู้ว่าพ่อกับแม่คงจะผิดหวังกับสิ่งที่ผมเป็น...” หินผาเงยหน้ามองท่านทั้งสอง “แต่ผมก็ไม่อยากปิดบังพ่อกับแม่ ไม่อยากซ่อนความรู้สึกตัวเองกับคนที่ผมรักอย่างพ่อกับแม่ ไม่อยากโกหก ไม่อยากหลอกลวง”
“ที่จริง... ผมรู้ตัวเองมานานแล้วว่าผมเป็นยังไง ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบผู้หญิงเลย ยังไงดี... ผมไม่ได้ยึดติดกับเรื่องเพศ แต่ผมก็ไม่เคยบอกพ่อกับแม่ อาจจะเพราะว่าคนที่ผมคุย ที่ผมคบที่ผ่านมา ไม่มีใครที่ทำให้ผมจริงจังมากขนาดที่จะมองไปถึงอนาคตข้างหน้า แต่พอเป็นน้องน้ำ ผมไม่ได้มองแค่ว่าตอนนี้ผมชอบเขา แต่ผมมองไปไกล มองไปถึงอนาคตอีกห้าปี สิบปี ยี่สิบปีข้างหน้า”
“เมื่อผมคิดและจริงจังขนาดนี้แล้วผมก็เลยไม่อยากที่จะปิดบังพ่อกับแม่อีก ผมรู้ว่ามันค่อนข้างที่จะทำใจยอมรับยาก แต่อย่างที่ผมบอกไป ผมไม่อยากปิดพ่อกับแม่ ผมเลยเข้ามาบอกพ่อกับแม่ครับ”
“บอกแม่ได้ไหม... มันเกิดขึ้นได้ยังไงลูก”
“ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง หรือเกิดขึ้นตอนไหน” หินผาตอบคำถามของแม่ “มันอาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยตอนที่ผมกับน้องยังเป็นเด็กก็ได้ เพียงแค่ตอนนั้นผมไม่รู้และไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ผมคิดแค่ว่าผมชอบเล่นกับน้อง ชอบอยู่กับน้อง อยากปกป้องน้องแค่นั้น”
“ตอนน้องย้ายไปผมเองก็ทั้งเหงา ทั้งเศร้า แต่อาจจะเพราะว่าผมยังเด็กความรู้สึกเหล่านั้นเลยอยู่ไม่นาน แต่พอผมเริ่มโตขึ้น... ผมเริ่มคิดถึงน้องมากขึ้น มองหาน้องตลอดเวลา จนกระทั่งผมได้เจอน้องอีกครั้ง ความรู้สึกที่ผมไม่แน่ใจมาตลอดก็เริ่มชัดขึ้นครับ”
หินผายิ้มยามที่นึกถึงสายน้ำและเล่าเรื่องของอีกฝ่าย “ที่ผมคิดถึง ที่ผมอยากเจอน้องมาตลอด อาจจะเป็นเพราะผมหลงรักน้องมาตลอดก็ได้ครับ”
“แกมั่นใจความรู้สึกตัวเองแล้วใช่ไหม ว่ามันใช่อย่างที่แกพูดจริง ๆ ไม่ใช่แค่เพราะความใกล้ชิดที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง” พ่อของหินผาถามออกมาหลังจากที่เงียบไปสักพัก
“ครับพ่อ ผมมั่นใจ” หินผายังคงยืนยันหนักแน่นในความรู้สีกของตัวเอง
บุพการีทั้งสองหันมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่พ่อจะพยักหน้าเป็นเชิงให้แม่เป็นคนพูด “แม่ยอมรับว่าแม่ค่อนข้างตกใจที่ลูกมาบอกแบบนี้”
“แม่ครับ...”
“แต่แม่ก็ดีใจที่ลูกซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ไม่โกหกพ่อกับแม่ ไม่โกหกตัวเอง” แม่ของหินผายื่นมือมาตรงหน้า ก่อนจะจับมือของหินผาที่ยืนมาเอาไว้ “พ่อกับแม่ย่อมตกใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อกับแม่ยอมรับไม่ได้”
“แม่รู้ดีว่าแม่ไม่สามารถบังคับ หรือฝืนใจลูกได้ ไม่ใช่เพราะแม่ตามใจลูก แต่เพราะแม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของลูก ในทุก ๆ ครั้ง ในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ แม่รักและเคารพการตัดสินใจของลูกนะหิน รวมถึงเรื่องนี้ด้วย”
“อย่างที่แม่เขาพูดนั่นแหละ พ่อดีใจที่แกยอมรับและสารภาพออกมาตรง ๆ ไม่โกหกหรือปิดบังกัน นั่นมันทำให้พ่อเห็นว่าแกตัดสินใจดีแล้ว และมั่นใจแล้วในสิ่งที่แกพูด พ่อไม่ห้าม แต่ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอให้แกคิดเอาไว้ว่ามันเกิดจากสิ่งที่แกเลือกเอง เข้าใจนะ”
“พ่อครับ แม่ครับ” หินผายกมือไหว้ทั้งคู่ “ขอบคุณนะครับที่ยอมรับผมในสิ่งที่ผมรู้สึก”
“แล้วทำไมไม่พาน้องมาคุยกับพ่อกับแม่ด้วยกันเลยล่ะ” แม่ถามไปถึงสายน้ำที่ไม่ได้มานั่งอยู่ในห้องนี้ด้วยกัน
“จริง ๆ แล้วผมกับน้องยังไม่ได้คบกันครับ” คำตอบของหินผาสร้างความแปลกใจให้กับทั้งสองคน
“ยังไงกันเรา”
หินผาหัวเราะก่อนจะอธิบายให้ทั้งสองเข้าใจ “ผมอยากคุยกับพ่อกับแม่ให้เข้าใจก่อนน่ะครับ แล้วถึงค่อยไปคุยกับน้อง เอาจริง ๆ ... ผมก็ยังไม่ได้บอกชอบน้องอย่างจริงจังเลย แต่เพราะผมอยากให้พ่อกับแม่เข้าใจผมก่อน ยอมรับผมได้ก่อน ผมถึงจะคุยกับน้องอีกที”
จริง ๆ แล้วนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หินผายังไม่บอกความรู้สึกของตัวเองกับสายน้ำ เพราะเขาอยากให้ครอบครัวของเขายอมรับได้ก่อน เขาไม่อยากให้น้องต้องมารู้สึกกดดันหรือเป็นกังวลไปด้วย ตลอดที่ผ่านมาเขาถึงยังไม่ได้ทำอะไรจริงจังสักที
“แล้วถ้าเกิดพ่อกับแม่ไม่ยอมรับขึ้นมาแกจะทำยังไง ไม่คบกับน้องเขาเรอะ!”
“ไม่หรอกครับ ผมรักน้องเกินกว่าจะยอมปล่อยน้องไปได้ ไม่ว่ายังไงผมก็จะคบกับน้อง แต่ผมก็ต้องทำให้พ่อกับแม่ยอมรับให้ได้ก่อนเหมือนกัน”
“แล้วนี่ป่าไม้รู้เรื่องหรือยัง”
หินผาพยักหน้ารับ “รู้แล้วครับ พี่ป่ารู้ว่าผมคิดยังไงกับน้องก่อนที่ผมจะรู้ใจตัวเองอีกครับ จริง ๆ แล้วถ้าไม่ได้พี่ป่า ผมอาจจะยังไม่รู้ว่าน้องคือน้องสายน้ำ ไม่รู้ว่าผมคิดยังไงกับน้องก็ได้ครับ”
“เรามันตาถั่ว!” โดนคนเป็นแม่ว่าทันที “ขนาดแม่กับพ่อเห็นน้องครั้งแรกยังรู้เลยว่าเป็นน้อง”
“ผมคงจะตาถั่วอย่างที่แม่ว่าจริง ๆ นั่นแหละครับ” หินผาหัวเราะ
“แล้วยังไงต่อ เราจะขอน้องคบเลยไหม หรือยังไง”
“อาจจะอีกระยะครับ ผมอยากทำอะไรบางอย่างให้น้องมั่นใจก่อนว่าผมเองก็ชอบน้องเหมือนกัน แล้วถึงค่อยขอน้องคบครับ แล้วผมจะพาน้องมาหาพ่อกับแม่อีกรอบ ในอีกสถานะหนึ่งครับ”
หินผานั่งคุยกับพ่อแม่ต่ออีกพักก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดีทั้งสามคนจึงพากันเดินออกมาจากห้องทำงาน เดินไปชักชวนเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องของลูกชายคนเล็กไปกินข้าวที่ห้องอาหารกัน อาหารพื้นเมืองหน้าตาน่าทานวางเรียงอยู่เต็มโต๊ะ พูดคุยกันอย่างสนุกสนานในระหว่างมื้ออาหาร
เป็นอีกมื้อที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วก็เสียงหัวเราะ จนกระทั่งได้เวลาที่จะต้องเดินทาง พวกเขาทั้งหมดก็พากันเดินมาขึ้นรถโดยมีพ่อกับแม่ตามมาส่งที่หน้าบ้านด้วย ทุกคนยกมือไหว้ เอ่ยลา และขอบคุณสำหรับที่พักและอาหารตลอดระยะเวลาที่มาอยู่ที่นี่
“เอาไว้แวะกันมาอีกนะเด็ก ๆ เดี๋ยวแม่จองห้องเดิมเอาไว้ให้พักเลย”
“ขอบคุณนะคะ เอาไว้พวกหนูจะมาใหม่นะคะ” ใยไหมเป็นตัวแทนพูดกับแม่ของเพื่อน ล่ำลากันอยู่ไม่นานก็เดินไปขึ้นรถ เหลือเพียงป่าไม้ หินผาแล้วก็สายน้ำที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
“พ่อกับแม่ก็อย่าโหมทำงานหนักนักนะครับ พักผ่อนกันเยอะ ๆ ด้วย” ป่าไม้พูดกับทั้งสองคนก่อนจะเดินเข้าไปกอดทั้งคู่
“เราเองก็ตั้งใจทำงาน แล้วก็หาสะใภ้มาให้พ่อกับแม่ได้แล้ว”
ป่าไม้หัวเราะ พยักหน้ารับกับคำขอของคนเป็นแม่ “จะพยายามนะครับ ถ้าหาไม่ได้เดี๋ยวผมเอาน้องน้ำมาเป็นสะใภ้ให้แม่ก่อนนะ โอ๊ย!”
คนทะเล้นโดนแม่ตีไปที ไหนจะโดนน้องชายเตะขาเข้าให้อีกคน “พูดไปเรื่อยเลยเรา!”
“ขอโทษคร้าบ” ป่าไม้ว่าพลางหัวเราะ ส่วนคนโดนพาดพิงอย่างสายน้ำก็ได้แต่ยิ้มแหย ปั้นสีหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว
“น้องน้ำก็ด้วยนะลูก แวะมาหาแม่กับพ่อบ่อย ๆ นะ”
“อะ... ครับ ได้ครับ” สายน้ำพยักหน้ารับ แม้จะชะงักไปเล็กน้อยกับคำเรียกแทนตัวของทั้งคู่ แต่เจ้าตัวก็ไม่อยากจะคิดไปเองมากนัก อาจจะเป็นเพราะทั้งสองชินเวลาพูดกับเพื่อน ๆ ของป่าไม้แล้วก็หินผา เพราะทั้งสองท่านก็แทนตัวเองว่าพ่อกับแม่
“เราก็พาน้องมาหาพ่อกับแม่ด้วยนะ” คราวนี้แม่หันไปพูดกับลูกชายคนเล็กบ้าง
“ครับ ได้ครับ”
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทันเครื่อง” คนเป็นพ่อเป็นฝ่ายจบการสนทนาเพราะเกรงว่าพวกลูก ๆ จะไปไม่ทันขึ้นเครื่องบิน
“ครับ อย่างนั้นผมไปนะครับพ่อ แม่ สวัสดีครับ” ป่าไม้ยกมือไหว้ลาทั้งสอง
“ไปนะครับ พ่อกับแม่ก็ดูแลตัวเองดี ๆ เอาไว้ว่าง ๆ ผมจะรีบกลับบ้าน” หินผาเดินเข้าไปกอดทั้งสองคนก่อนจะยกมือไหว้
“สวัสดีครับ ผมจะเกาะพี่หินผากับพี่ป่าไม้มาเยี่ยมอีกนะครับ” สายน้ำเองก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคน
“จ๊ะลูก แล้วเจอกันใหม่นะ”
ทั้งสามคนยกมือไหว้ลาอีกรอบก่อนจะพากันเดินไปที่รถตู่ที่จอดรถอยู่ สายน้ำหันไปมองนอกหน้าต่างรถตอนที่รถเคลื่อนตัวออกมา เจ้าตัวถอนหายใจอย่างนึกเสียดายที่ต้องกลับแล้ว
“เป็นอะไรเรา ถอนหายใจทำไม” หินผาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเสียงถอนหายใจของน้องก็ถามออกมา
“ผมแค่เสียดายน่ะครับที่ต้องกลับแล้ว”
“เอาไว้พี่พามาใหม่ไง พ่อกับแม่ก็บอกอยู่ว่าให้มาหาอีก เอาไว้หยุดยาวครั้งหน้า หรือมีอาทิตย์ไหนว่าง ๆ พี่จะหามาอีก ดีไหม” หินผายกมือวางบนผมของน้องแล้วจับโยกไปมา
“ครับ ดีครับ” สายน้ำพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มกว้าง “พี่ต้องพาผมมาอีกนะ”
“แน่อยู่เลย”
“สัญญานะครับ”หินผาหัวเราะเมื่อเห็นนิ้วก้อยของสายน้ำยื่นมาตรงหน้า “สัญญาเลย”
เขายื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับน้องพร้อมเอ่ยคำสัญญา
“พี่จะพาเรากลับมาบ้านด้วยกันทุกครั้ง สัญญาเลย”❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖
อ๋อออออออออออ
พี่เขามีเหตุผลของเขานะเออที่ยังไม่ยอมขอน้องเป็นแฟน
พี่เขารอคุยกับพ่อแม่ก่อน จะได้ไม่เป็นปัญหาภายหลังเนอะ
ทีนี้ก็สบายใจละ ขอน้องเป็นแฟนได้แล้วจ้า
แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้าค่า
ปล. เค้ามี Line@ แล้วน้า แอดมาคุยเล่น ติดตามข่าวได้เลยนะ
Line@ : @f.gc (มี @ มี . (จุด) ด้วยน้า)
#เมื่อหินผาจรดสายน้ำ