ตอนที่ 26
“น้องแฟนอยากได้อะไร อยากกินอะไร บอกได้ทุกอย่างเลยนะลูก เดี๋ยวแม่ให้คนจัดการให้” คนฟังได้แต่ยิ้มบางพลางรับคำตามมารยาท
เช้าวันอาทิตย์ หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จโดยที่หินออกไปคุยธุระเรื่องรถ คนเป็นแม่ก็พาลูกสะใภ้มาเที่ยวเล่นที่ปั๊มน้ำมันเนื่องจากไม่มีใครอยู่บ้าน
แฟนนั่งอยู่ในส่วนของออฟฟิศทำงาน เห็นแม่ของหินคุยกับคนที่แวะเวียนเข้ามาหาอยู่สักพักก่อนอีกฝ่ายจะปลีกตัวมาหา
“วันอาทิตย์เลยวุ่นๆหน่อย แม่เสร็จธุระแล้วเราไปเดินดูรอบๆดีไหมจ๊ะ หรือว่าน้องแฟนอยากนั่งรอหินอยู่ในนี้”
“ไปเดินดูรอบๆก็ได้ครับ” คนเห่อลูกสะใภ้ยิ้มรับจากนั้นจึงพาแฟนออกไปเปิดหูเปิดตาด้านนอก
ปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่มีร้านค้ามากกว่าสิบร้าน ผู้คนแวะเวียนเข้ามาใช้บริการจนที่จอดรถแน่นขนัด
ไม่ว่าจะเดินเข้าออกร้านไหนแม่ของหินก็มักจะมีนู้นนี่นั่นติดมือให้เสมอ และกว่าจะมาจบที่ร้านกาแฟก็เดินจนเหงื่อไหลซึมตามกรอบหน้า
เพียงแค่เจ้าของปั๊มมาเยือน พนักงานหลายคนก็ต่างเข้ามาต้อนรับจนต้องบอกว่าแค่เข้ามาดื่มกาแฟ ทุกคนจึงสลายตัวกลับไปทำงานเช่นเดิม
“เหนื่อยไหมลูก”
“นิดหน่อยครับ” แฟนเอ่ยตอบยามลมเอื่อยๆพัดผ่านใบหน้า
มุมส่วนตัวด้านนอกซึ่งรายล้อมไปด้วยต้นไม้และสวนหย่อมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งยังตั้งอยู่ในมุมที่ลมโกรกจึงทำให้ไม่ร้อนอบอ้าวอย่างที่คิด
“เสียดายที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ แม่เลยไม่ได้พาไปเลือกสร้อยที่ร้าน”
“ไม่เป็นไรเลยครับ แค่นี้ก็รบกวนคุณแม่มากแล้ว”
คนถูกรบกวนระบายยิ้มเอ็นดูยามสายตาจับจ้องมองแฟนอยู่ไม่ห่าง
“เล็กน้อยมากจ้ะ อย่าติดนิสัยหินมามากนักเลยนะ”
เมื่อพูดถึงลูกตัวเองเสียงถอนหายใจเบาๆก็ดังขึ้น ขณะที่แฟนรู้สึกแปลกใจกับคำที่ได้ยิน
ใบหน้าซึ่งคล้ายคลึงกับหินบางส่วนยิ้มอ่อนเมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต
“เมื่อก่อนนี้ตอนหินสักหกเจ็ดขวบ บ้านเรายังลำบากเพราะกู้เงินมาเปิดร้านทอง ตอนเช้าตรู่ก่อนเปิดร้านและตอนเย็นหลังปิดร้านก็ต้องไปขายกับข้าวที่ตลาดเพื่อหารายได้เสริมอีกทาง น้ำกับหินก็ไปช่วยตลอด สองพี่น้องตัวเล็กๆตื่นตีห้ามาช่วยพ่อกับแม่ทุกวัน โดยเฉพาะคนน้องที่ไม่เคยบ่นไม่เคยงอแงเลยสักนิด คนพี่เขาก็ยังมีงอแงบ้างตามประสาเด็กผู้หญิงน่ะนะ”
“...” แฟนนิ่งเงียบ ตั้งใจฟังสิ่งที่แม่ของหินเล่าอย่างตั้งใจ
“เพราะเรามีเงินจำกัด บางทีจะซื้อของเล่นหรือซื้ออะไรให้ตามประสาเด็กก็ต้องแบ่งว่าอันนี้จะให้ใคร แต่หินก็จะให้พี่เขาตลอด พ่อกับแม่ถามว่าจะเอาอะไรไหมก็มักส่ายหน้าปฏิเสธ บอกแต่ว่าให้พี่น้ำ...ของเล่นตอนเด็กเลยมีแค่กลองที่ทำจากกระป๋อง หรืออะไรที่ประดิษฐ์เองขึ้นมา นั่นเลยเป็นสาเหตุที่หินเคยชินกับการทำอะไรด้วยตัวเอง หาทุกอย่างมาด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากรบกวนครอบครัว”
แม้เป็นความทรงจำที่ยากลำบากแต่บนใบหน้าของคนเล่ากลับมีรอยยิ้ม แฟนมองเห็นความภูมิใจฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น และนั่นก็ส่งผลให้คนฟังยิ้มตาม
เป็นคนดีมาตั้งแต่เด็กเลยสินะ
“แม้วันนี้เราจะไม่ลำบากแล้ว แต่หินก็ยังเคยชินกับนิสัยนั้น...บ้านก็เก็บเงินสร้างเอง เครื่องดนตรีทุกชิ้นก็เก็บเงินซื้อเอง ถึงบ้านเราจะมีฐานะดีขึ้นจนมาเปิดปั๊มแต่หินก็ยังมาช่วยงานแลกกับค่าขนม ทำงานเหมือนพนักงานทุกคน เอาเงินเป็นรายวันไปจนขึ้นมหาลัย”
“...”
“พอรู้ว่าหินชอบดนตรี ทุกคนในบ้านก็สนับสนุนเต็มที่ ตอนได้ทุนไปออสเตรียเจ้าตัวก็ไม่ค่อยอยากไป จนพ่อเขาต้องขอร้องถึงได้ยอม ตลอดมาหินไม่เคยเอ่ยปากขออะไรจากพ่อกับแม่เลย พอวันหนึ่งหลังจากเรียนจบมหาลัยเขาก็เข้ามาบอกว่าชอบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย อาจจะมีหลานให้ไม่ได้นะ”
“...”
“ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็ตกใจ อึ้งไปเลยล่ะ แต่แม่ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ถ้านั่นคือสิ่งที่หินขอ ให้เขาได้เลือกทางเดินชีวิตตัวเองทำไมจะให้ลูกไม่ได้ แม่แทบไม่เคยได้ให้อะไรหินเลย ฉะนั้นเลยให้ในสิ่งที่เขาอยากเป็น สิ่งที่เจ้าตัวอยากทำ...เราก็ค่อยๆเรียนรู้และเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องที่แย่ หินยังเป็นหินคนเดิม”
ท่าทีของคุณแม่คนแกร่งยามพูดถึงเรื่องราวของลูกแล้วกลับกลายเป็นอีกคน มุมอ่อนโยนซึ่งแทบไม่เคยแสดงออกกับลูกกำลังถูกเผยออกมาช้าๆ
“...”
“พอแม่รู้ว่าหินคบกับน้องแฟนก็ตื่นเต้นมาก อยากรู้ว่าคนที่ลูกตัวเองรักจะเป็นยังไงจนเมื่อมีโอกาสได้เจอกัน แม่อาจจะตื่นเต้นมากไปหน่อยเพราะมีคนที่จะทำให้แม่ได้ทำหน้าที่ ได้เลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดีบ้าง...น้องแฟนอึดอัดไหมลูก”
“ไม่ครับ ไม่เลย”
เสียงปฏิเสธดังขึ้นทันควันโดยไม่ได้ตอบเพียงเพื่อเอาใจ แฟนส่งยิ้มให้คุณแม่คนเก่งหน้าด้วยความจริงใจและนับถือ
การเลี้ยงลูกทั้งสองคนในสถานการณ์ยากลำบากไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“จะให้อะไรน้ำกับหินทีก็เอาแต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่จำเป็นบ้าง ฟุ่มเฟือยบ้าง บางทีแม่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่แม่อย่างที่ควร พอมีน้องแฟนเข้ามาเลยอยากดูแลเหมือนเป็นลูกตัวเอง”
ไม่ได้ดูแลลูกตัวเองก็ดูแลแฟนลูกแทน
“ไม่เลยครับ คุณแม่ทำหน้าที่ได้ดีมากๆ...การที่ทำให้พี่น้ำกับพี่หินเกิดมาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ทั้งสองคนเป็นคนดี”
คำชมนั้นทำให้คนเป็นแม่ยิ้มรับพลางทอดมองแฟนของลูกด้วยสายตาอ่อนโยน
“น้องแฟนนี่น่ารักสมกับเป็นคนที่หินเลือกจริงๆ เจ้าทื่อนั่นอาจจะปากแข็งไปบ้าง ไม่ชอบพูดบ้าง มีโลกส่วนตัวสูงบ้างก็อย่าถือสานักเลยนะลูก”
แฟนถึงกับหลุดหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยิน เนื่องจากทุกสิ่งที่แม่ของหินพูดมานั้นล้วนเป็นความจริงทั้งหมด
“ตอนนี้ชินซะแล้วแหละครับ”
“นิสัยเหมือนพ่อเขาน่ะ รายนั้นก็เหมือนกันเป๊ะ ไม่มีลูกคนไหนได้นิสัยแม่มาสักคน” พูดแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวเมื่อนึกถึงผู้เป็นสามีตัวเอง
ต้นฉบับของหิน ราวกับโคลนนิ่งกันมา
“นินทาอะไรผมกับพ่อกัน”
คนทั้งสองหันพรึบไปทางต้นเสียงก่อนร่างสูงใหญ่ของคนที่เพิ่งถูกพูดถึงจะเดินตรงเข้ามาหาแล้วทรุดตัวนั่งลงข้างแฟน
“ตายยากจริงๆ”
“นินทาผมอยู่ล่ะสิ” คนเป็นลูกถามกลับ
“ก็เผาแกจนเกรียมนั่นล่ะ” ท่าทางยามอยู่กับลูกกลับมาเป็นปกติโดยทันที
แฟนได้คำตอบแล้วว่าหินเหมือนแม่ตรงไหน
ตรงที่ปากแข็งนี่แหละ
“แล้วเรื่องรถ บอยมันว่ายังไง”
บอยคือเพื่อนของหินซึ่งเป็นเจ้าของโชว์รูมรถ
“ใช้เวลาดำเนินการประมาณสองเดือนกว่า”
“ทำไมนาน” คนเป็นแม่ซึ่งแสนใจร้อนขมวดคิ้วฉับ
“ก็ต้องทำเรื่องเยอะ นี่มันก็พยายามประสานงานกับศูนย์ที่กรุงเทพให้อยู่...อยากได้อะไรดีๆก็ต้องใจเย็นๆสิครับ”
หินอธิบายพลางเอื้อมไปหยิบช็อกโกแลตปั่นซึ่งละลายไปกว่าครึ่งของแฟนขึ้นมาดูด อากาศข้างนอกร้อนจนผิวแทบไหม้
“งั้นระหว่างสองเดือนนี้ก็เอารถที่บ้านลงไปใช้ เอาคันที่ซื้อมาใหม่ไป ฉันจะให้คนขับไปส่งทีหลัง”
“ผมปฏิเสธได้ไหม” คิ้วเข้มเลิกขึ้น
“ไม่ได้”
หินยักไหล่น้อยๆเนื่องจากรู้ดีว่าไม่อาจปฏิเสธความต้องการของแม่ตัวเอง ขณะที่แฟนได้แต่นั่งฟังสองแม่ลูกคุยกันตามสไตล์บ้านคณานนท์ไปเงียบๆ
ใครว่าหินเหมือนพ่อ เหมือนแม่มากเลยต่างหาก
--
“สรุปแม่มึงให้ซื้อรถรุ่นอะไร” เมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองยามนั่งรถกลับบ้านไปกินข้าวเที่ยงแฟนจึงเอ่ยถามขึ้น
เมื่อคืนหลังจากกลับจากบ้านใหญ่ หินบอกเพียงว่าแม่ให้เปลี่ยนรถที่ดูเอาไว้ ตอนเช้าจึงจะลองไปคุยกับเพื่อน คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานนักเลยไม่ต้องให้ไปด้วย
“ไว้ถึงวันรับรถเดี๋ยวมึงจะได้รู้ กูอยากเซอร์ไพร์ส”
รอยยิ้มมุมปากของคนที่กำลังขับรถอยู่ทำให้แฟนเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“บอกสักนิดก็ไม่ได้เลย”
หินส่ายหัวเป็นคำตอบให้คนอยากรู้เลยได้แต่ถอนหายใจ
“เซอร์ไพร์สก็เซอร์ไพร์ส”
ร่างเล็กทิ้งตัวลงพิงกับเบาะ แขนเรียวยกขึ้นมากอดอกพลางเบ้ปากใส่คนชอบเซอร์ไพร์ส ก่อนเสียงหัวเราะในลำคอแกร่งจะดังขึ้นเพราะท่าทางนั้น
“วันนี้แม่กูพาตะลอนปั๊มจนทั่วไหม”
“อืม ได้ของมาเต็มเลย”
ทั้งของกิน เสื้อผ้า และของฝากเต็มไปหมด
“มึงอยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า เดี๋ยวกูบอกป้านางทำให้ เที่ยงนี้คงเป็นส้มตำมื้อใหญ่”
อาหารประจำภาคและอาหารประจำบ้าน มื้อเที่ยงที่รวมตัวกันแบบนี้จึงไม่พ้นส้มตำ ไก่ย่าง ขนมจีน และเครื่องเคียงอีกมากมาย
“ไม่เป็นไร กูกินได้หมด”
“เป็นสะใภ้ขอนแก่นต้องเลี้ยงง่ายอยู่ง่าย” หินหันมายักคิ้วหยอกเย้า
“แล้วกูไม่เลี้ยงง่ายตรงไหน”
“ก็เพราะเลี้ยงง่ายไงเลยได้เป็นเมียกู”
แฟนยักไหล่ใส่คล้ายกับเอือมระอาในคำพูดของอีกคน ทว่าข้างในกลับเกิดความอิ่มเอม สรรพนามที่ไม่เคยคุ้นชินนั้นส่งผลให้แก้มร้อนวูบวาบจนต้องทำทีเป็นเบือนหน้าไปมองข้างทาง
เมีย...
ได้ยินกี่ครั้งก็ไม่ชิน
--
“กูต้องแวะไปเอาของที่บ้านเพื่อนกู อยากไปด้วยหรือเปล่า” หินเอ่ยขึ้นหลังจากมื้อเที่ยงแสนอิ่มหนำสำราญผ่านพ้นไป
อิ่มจนต้องออกมานั่งย่อยหน้าบ้าน
“ไม่ดีกว่า มึงไปเถอะ”
“งั้นรออยู่บ้านนะ ไม่นานหรอก”
ใบหน้าสวยกดลงรับ ก่อนหินจะโน้มมากดจูบบนหน้าผากแล้วหยัดกายลุกขึ้น ทิ้งคนถูกจูบโดยไม่ได้ตั้งตัวเอาไว้อย่างนั้น
“อะไรของเขา” ปากเล็กขยับบ่นพึมพำพลางอมยิ้มให้กับการกระทำที่ไม่คาดคิด
เมื่อเห็นรถคันหรูแล่นออกจากบ้านไปแฟนจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน พ่อกับแม่และพี่สาวของหินพักผ่อนอยู่ในส่วนของห้องรับแขก คนที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรจึงเดินไปทางห้องครัว
“อ้าว คุณแฟน จะเอาอะไรหรือเปล่าคะ” ป้านางเอ่ยขึ้นเมื่อหันมาเห็น
“ไม่ได้จะเอาอะไรครับ ป้านางกำลังจะล้างจานเหรอครับ”
“ค่ะ พอดีว่าเด็กๆไปทำอย่างอื่นอยู่”
คนฟังพยักหน้ารับยามคำพูดของเพื่อนในไลน์ตอนรู้ว่าจะมาขอนแก่นวาบขึ้นมาในหัว
‘ไปบ้านเขาต้องทำให้ครอบครัวผัวรักครอบครัวผัวหลง งานบ้านนี่อย่าให้ขาดตกบกพร่อง’
“งั้นเดี๋ยวแฟนช่วยครับ”
“อุ๊ย อย่าเลยค่ะ คุณแฟนไปพักเถอะนะคะ เดี๋ยวตรงนี้ป้าจัดการเอง” คนแก่รีบปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรครับ แฟนทำได้”
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาตร่างเล็กก็ขยับไปยืนอยู่หน้าซิงค์ จานและถ้วยมากมายจากมื้ออาหารเมื่อสักครู่วางอยู่ในอ่างล้างจาน มือบางเอื้อมไปเปิดก๊อกน้ำเป็นอันดับแรกก่อนจะหยิบน้ำยามาบีบลงบนฟองน้ำ ทว่ายังไม่ทันได้เริ่มลงมือ ป้านางก็รั้งเอาไว้ด้วยการเอื้อมมือมาแตะแขน
“โถ คุณขา ป้าทำเองได้จริงๆนะคะ คุณแฟนไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ เดี๋ยวมือบางๆจะแสบเอา”
“แฟนพอล้างได้ครับ ไม่ต้องห่วง”
จะเอ่ยขอร้องอีกครั้งก็ไม่ทันการเมื่อแฟนหยิบจานขึ้นมาแล้วค่อยๆใช้ฟองน้ำถูทำความสะอาด คนแก่จึงได้แต่ถอนหายใจ ปล่อยให้คนอยากช่วยทำตามความต้องการ ขณะที่ตัวเองก็คอยล้างน้ำสะอาดให้
ผ่านไปเพียงไม่ถึงสิบนาทีความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นกับฝ่ามือทว่าแฟนยังคงอดทน กระทั่งคนที่ยืนอยู่ข้างๆเหลือบมาเห็น เสียงอุทานจึงดังขึ้น
“ตายแล้ว มือแดงไปหมดแล้วค่ะ พอเลยๆ ไม่ต้องทำแล้วนะคะ”
ป้านางรีบคว้ามือที่กำลังจะหยิบจานใบใหม่ไปใต้ก๊อกน้ำ ยิ่งไม่มีฟองของน้ำยาล้างจานปกปิดยิ่งเห็นความแดงนั้นชัดเจน
“ป้าบอกแล้วใช่ไหมคะว่าไม่ต้องทำ คุณแฟนนี่น่าตีจริงเชียว ดูสิคะ มือแดงไปหมดแล้ว”
คนแก่ร้อนรนไปหมดเนื่องจากความเป็นห่วง ขณะที่คนถูกดุได้แต่เม้มปากเข้าหากัน เกิดความรู้สึกเกรงใจที่ทำให้อีกฝ่ายต้องวุ่นวาย
“แสบไหมคะ” แฟนพยักหน้ารับเชื่องช้า
คราแรกแค่เพียงรู้สึกยุบยิบๆจากนั้นจึงค่อยๆรู้สึกแสบขึ้นจนกลายเป็นร้อนไปทั้งมือ
คงเพราะจานมีความแสบจากพริกติดอยู่
“งั้นล้างมือด้วยเกลือก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าต้มน้ำอุ่นให้แป๊บเดียว”
ร่างอวบอิ่มตามอายุกุลีกุจอไปหยิบเกลือป่นมาให้ก่อนจะรีบหันไปหยิบหม้อมาเตรียมต้มน้ำ
“ทำอะไรกันอยู่ครับ”
“คุณหิน”
คนที่แวะไปเอาของบ้านเพื่อนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อสัมผัสได้ถึงความวุ่นวายเล็กๆตรงหน้า และยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นมือของแฟนเต็มไปด้วยเกลือ
“เป็นอะไร”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามเข้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความแดงบนฝ่ามือเล็กนั้นไม่ต้องบอกก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
“คือ...” คนถูกถามทำได้เพียงส่งเสียงอึกอักในลำคอ
“คุณแฟนมาช่วยป้าล้างจานน่ะค่ะ คงจะแพ้น้ำยาล้างจานไม่ก็แสบเพราะพริกจากส้มตำ”
คำอธิบายนั้นทำให้หินส่งสายตาดุๆไปยังคนข้างตัว
“งั้นไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมดูแลแฟนเอง ป้านางไปทำอย่างอื่นเถอะ”
“ค่ะ ป้าตั้งหม้อให้แล้วนะคะ หลังจากถูเกลือเสร็จก็ล้างด้วยน้ำอุ่น หรือถ้ายังไม่หายก็ให้ใช้น้ำมันพืชถูมือแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด”
คนแก่รับคำพลางบอกวิธี หลังจากหินพยักหน้ารับจึงรีบปลีกตัวออกไปให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันอย่างเป็นส่วนตัว
และเมื่อห้องครัวเหลือเพียงสองคนหินก็ดุคนตรงหน้าขึ้นทันที
“รู้ว่ามือตัวเองบางแล้วทำทำไม”
ปากดุแต่มือหนากลับเอื้อมไปจับมือเล็กมาถูด้วยเกลือเบาๆ ฟันซี่ขาวกัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่นเมื่อความแสบร้อนแผ่ไปทั่วเหมือนผิวกำลังจะไหม้
หินทำอย่างนั้นอยู่สักพักก่อนจะหันไปผสมน้ำอุ่นแล้วยกกะละมังใบเล็กมาให้แฟนล้างมือ ทว่าพอล้างเสร็จแล้วความแสบร้อนก็ยังไม่จางหาย
“ดีขึ้นไหม” แฟนส่ายหน้าตอบ น้ำตาเริ่มคลอเพราะความทรมาน
“งั้นลองใช้น้ำมันพืช”
ร่างสูงหันไปหยิบขวดน้ำมันพืชมาเทใส่มือให้แล้วถูไปมา ใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่ามือที่แดงจะค่อยๆรู้สึกดีขึ้น แม้จะยังไม่หายแสบทั้งหมดแต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่
ดวงตาคู่สวยจับจ้องอยู่บนใบหน้าเรียบนิ่ง กระแสความดุจากหินยังไม่จางหาย หัวคิ้วเข้มไม่คลายออกจากกันเลยแม้แต่นิด
“ถ้ายังไม่หายก็ไปหาหมอ”
“เริ่มดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นไปหาหมอหรอก” แฟนตอบเสียงเบา
“งั้นก็ไปนั่งพักข้างนอกไป”
ร่างสูงลุกขึ้นเอากะละมังน้ำอุ่นไปเทแล้ววางไว้ให้คนมาจัดการต่อ หากแต่เพียงหมุนตัวกลับมาแฟนก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ช้อนสายตามองกันเหมือนกำลังจะออดอ้อน
“ทำไมต้องดุด้วย”
“แล้วจะไม่ให้ดุได้อย่างไง ดื้อจนตัวเองเป็นแบบนี้”
“กูแค่อยากช่วย”
“จะช่วยอะไรก็ต้องดูตัวเอง เป็นอะไรขึ้นมากูจะทำยังไง พามึงมาแต่ดูแลมึงได้ไม่ดีนี่ใช่เรื่องไหม”
ท่าทางของหินดูเกรี้ยวกราดราวกับกำลังหงุดหงิดแต่คนที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงแอบอมยิ้มอยู่ข้างใน พลันหยุดความร้อนทั้งหมดลงด้วยการขยับเข้าไปกอด ซบหน้าลงกับอกกว้าง
“มึงดูแลกูดีที่สุดแล้ว กูแค่แสบมือ ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”
เสียงถอนหายใจเฮือกดังตามมา ไม่นานนักหินก็เลื่อนแขนขึ้นมากอดตอบ รัดคนตรงหน้าแน่นจนแทบจมหายไปกับอกเป็นการทำโทษกลายๆ
“เก่งนักเรื่องทำให้กูเป็นห่วง ปล่อยเอาไว้คนเดียวไม่ได้เลย”
“กูก็แค่ไม่อยากอยู่เฉยๆ มารบกวนบ้านมึงทั้งที”
“เป็นเด็กดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เป็นตั้งนานแล้วเถอะ” แฟนผละใบหน้าออกห่างแล้วเงยหน้ามองคนสูงกว่าด้วยสายตาขุ่นๆ
“หึ จะดีกว่านี้มากถ้าทำตัวให้กูเป็นห่วงน้อยลง”
“เป็นห่วงกูมากเพราะรักกูมากเอง ให้ทำไง”
ท่าทางเชิดหน้าขึ้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงและสายตามั่นอกมั่นใจทำให้หินหมั่นไส้จนต้องส่ายหน้า นิ้วแกร่งยกขึ้นมาเคาะลงบนหน้าผากเล็กหนึ่งที
“หลงตัวเอง”
“ไม่ใช่แค่หลงตัวเอง คนแถวนี้ก็หลงจนโงหัวไม่ขึ้น”
ประโยคซึ่งคล้ายกับว่าตัวเองเคยเล่นไปแล้วดังขึ้นให้คนฟังเลิกคิ้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่าย
ก็เป็นความจริงอ่ะนะ
“หรือจะให้หลงคนอื่น?”
“ก็ลองดู กูจะตามไปเผาบ้านมัน...แล้วก็บ้านมึง” คำสุดท้ายแฟนเน้นเสียงจนคนตั้งใจพูดกวนรู้สึกร้อนๆหนาวๆ
“โหดจังวะ”
หินพึมพำกับตัวเองพลางส่ายหน้าไปมา แต่ก่อนจะพูดอะไรมากไปกว่านั้นเสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นให้ต้องผละออกจากกัน
“น้องแฟนเป็นยังไงบ้างลูก เห็นป้านางบอกว่ามือแพ้พริกเหรอหืม”
หินถอนหายใจเมื่อเป็นแม่ตัวเองที่เดินเข้ามา
มากกว่าเขาที่ห่วงแฟน ก็แม่นี่แหละ...
--
“อันนี้เป็นสร้อยคอ ส่วนทางนี้สร้อยข้อมือ มีจี้ให้เลือกด้วย น้องแฟนชอบแบบไหนก็เลือกเลยนะลูก”
กล่องสร้อยทองสีแดงกำมะหยี่วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะจนละลานตา ดวงตาคู่สวยกะพริบปริบเนื่องจากไม่คาดคิดกับสิ่งของตรงหน้า
ก่อนจะบินกลับกรุงเทพไฟล์ทค่ำ แม่ของหินก็จัดการทุกอย่างให้เยอะแยะไปหมด
“จริงๆก็มีแหวนด้วย แต่แม่ว่าเอาเป็นแหวนเพชรดีกว่าเนอะ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่คนแถวนี้ไปแล้วกัน”
คนแถวนี้ซึ่งนั่งกินแอปเปิ้ลอยู่ข้างแฟนสำลักจนต้องรีบคว้าแก้วน้ำขึ้นมาจิบ เสียงไอดังคลุกคลักจนมือบางต้องเอื้อมไปลูบหลังพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับ ให้คนแถวนี้มีเวลาเก็บเงินก่อนก็ได้”
แฟนหันไปยักคิ้วใส่คนข้างตัวยามเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มพราย ขณะที่คนซึ่งถูกทั้งแม่และแฟนตัวเองรุมก็ถอนหายใจพรืด
แค่นี้ก็จนจนไม่รู้จะจนยังไงแล้ว
“เชิญคุณทั้งสองเลือกสร้อยตามสบายเลยครับ” หินเบี่ยงหัวของลูกธนูไปทางอื่นก่อนมันจะปักเข้าตัวเองให้เป็นแผลมากไปกว่านี้
ขนาดนั่งอยู่เฉยๆยังมิวายโดน
“ไหน น้องแฟนชอบแบบไหนลูก” คนเป็นแม่ปรายตามองลูกตัวเองเพียงนิดก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับลูกสะใภ้ต่อ
จากนั้นจึงเป็นเวลาคุยกันเรื่องสร้อยของสองแม่ลูก(?) ทิ้งหมาหัวเน่าที่ราวกับไม่ใช่ลูกเจ้าของบ้านให้นั่งฟังและนั่งมองโดยไม่มีใครสนใจ
หินได้แต่ส่ายหัวน้อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกอบอุ่นใจกับความเข้ากันได้ของคนทั้งสอง
แม่คงอยากมีลูกแบบแฟน เข้ากันทั้งไลฟ์สไตล์ และนิสัย
หลังจากเลือกสร้อยคอและสร้อยข้อมือได้เรียบร้อย ก็เป็นเวลาเก็บของเตรียมตัวกลับ ทันทีที่เข้ามาในบ้านไม้แฟนก็ทิ้งตัวลงบนพื้นด้วยความเหนื่อยอ่อน การตื่นแต่เช้าไปทำนู้นทำนี่ตลอดทั้งวันทำให้รู้สึกหมดพลังงานจนอยากนอนอีกรอบ
“เป็นอะไร” หินนั่งยองๆลงถาม
“ง่วง” คนตอบเอียงหัวซบลงกับเข่าของคนถาม
“จะนอนรึเปล่า ตอนนี้เพิ่งสี่โมงเย็น บินหกโมง ยังมีเวลาสักชั่วโมง”
“หึ กลัวจะไม่อยากตื่น”
หินมองเด็กน้อยหมดสภาพตรงหน้าแล้วยกยิ้ม สุดท้ายจึงเป็นหน้าที่ตัวเองที่ต้องอุ้มแฟนขึ้นทั้งตัวแล้วพาไปยังโซฟา
“มาบ้านกูสนุกหรือเปล่า” เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือหัวเมื่อแฟนกำลังนอนอยู่บนตัวหินทั้งตัว
“สนุกมาก อยากมาอีก”
ใบหน้าสวยที่เอียงซบเปลี่ยนเป็นตั้งตรง ปลายคางวางอยู่บนอกแกร่ง สบสายตากับคนที่ทำหน้าที่เป็นเบาะรองนอนใต้ร่าง
“ไว้ว่างๆค่อยมา”
“ได้ไปเที่ยวไม่กี่ที่เอง อยากมาอีก มาหลายๆวัน”
“ห่วงเที่ยว?”
“อะไร ก็อยากมาหาครอบครัวมึงด้วย”
คนฟังยกยิ้มกับคำตอบของแฟน ภาพที่ไม่เคยจินตนาการเอาไว้ได้เกิดขึ้นแล้วด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก
การพาใครสักคนซึ่งเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตให้มารู้จักกับครอบครัว...ไม่เคยคิดเอาไว้มาก่อนกระทั่งเจอแฟน
“คราวหน้าก็ชวนครอบครัวมึงมาด้วย”
“แน่นอน นี่พ่อกับแม่ตื่นเต้นกว่ากูอีกมั้ง ไลน์มาถามใหญ่ว่าบ้านมึงเป็นยังไงบ้าง”
คิดถึงพ่อแม่ตัวเองแล้วแฟนก็ได้แต่ส่ายหัวอ่อนใจ คนที่ตื่นเต้นมากกว่าคนจะมาคือพ่อกับแม่ที่พร่ำบอกให้ทำตัวดีๆ ทั้งยังคอยส่งข้อความและโทรมาถามข่าวเป็นระยะ
“แล้วมึงตอบว่ายังไง”
“ก็บอกว่าดีมาก พ่อ แม่ พี่ แล้วก็ทุกคนในบ้านมึงใจดีกับกูมาก ดูแลดีมาก”
คำว่ามากถูกลากเสียงยาวเหยียด ท่าทางการพูดน่ามันเขี้ยวจนคนมองอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวไปจูบ แฟนใช้เวลาตั้งสติไม่กี่วินาทีปลายลิ้นเล็กก็ขยับเกาะเกี่ยวตอบกลับ แม้จะไม่เข้าใจถึงสาเหตุของการจูบนักแต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องหาคำตอบ
เสียงจูบดังคลอในความเงียบ จูบอ่อนหวานที่ไม่ได้ลึกซึ้งไปมากกว่านั้นดำเนินต่อไปหลายนาทีกระทั่งต้องหยุดลงเนื่องจากรู้สึกเมื่อยปาก
“เมื่อย”
แฟนผละออกแล้วหลุดหัวเราะยามริมฝีปากได้รูปเลื่อนขึ้นไปกดจูบแก้มเนียนซ้ำๆ
“หายเจ็บหรือยัง” จุดที่โดนถามถึงถูกมือหนาเลื่อนลงไปลูบไล้ ขยายความให้รู้ความหมาย
“ใกล้ได้เวลาแล้ว ห้ามหื่น”
ปากบอกว่าห้ามแต่กลับไม่มีส่วนใดของร่างกายขยับหนี ยังคงปล่อยให้มือของหินเลื้อยเข้ามาทางขอบกางเกงแล้วสัมผัสส่วนล่างโดยมีเพียงชั้นในบางๆขวางกั้น
“ถามเผื่อจะกลับไปหื่นที่กรุงเทพ”
เรียวปากร้อนเคลื่อนลงมาตามกรอบหน้า ก่อนจะเลื่อนต่ำลงไปดูดกลืนผิวเนื้อบริเวณซอกคอบางโดยที่แฟนก็ให้ความร่วมมือด้วยการเอียงคอเปิดทาง การกระทำซึ่งสวนทางกับคำว่าห้ามหื่นเมื่อสักครู่
“ดีขึ้นแต่ยังไม่หายทั้งหมด มึงต้องเบามือ”
“กูเบาได้มากสุดแค่ไหน”
“มึงไม่เคยเบาได้เลย”
หินหลุดหัวเราะให้กับคำตอบที่ได้ยินขณะมือเริ่มซุกซนเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อเปลือยเปล่าของบั้นท้ายเล็ก จนคนถูกรุกล้ำต้องเอ่ยห้ามเสียงหลง
เผลอคุยแป๊บเดียวเอง!
“อื้อ พอเลย ก่อนที่มึงจะห้ามตัวเองไม่ได้” มือเล็กเอื้อมไปจับท่อนแขนใหญ่ทางด้านหลังเอาไว้
“นิดหน่อยน่า” ใบหน้าคมผละออกจากซอกคอของแฟนแล้วเงยขึ้นตอบ
“นี่ไม่นิดแล้ว มากกว่านี้ก็สอดนิ้วเข้ามาแล้วไหม”
คนฟังยิ้มพรายก่อนจะแกล้งบีบก้อนกลมๆในมือหนึ่งทีแล้วยอมดึงมือออกจากพื้นที่อันตรายในที่สุด
“ไอ้หื่น” ทางด้านคนถูกแกล้งก็เอาคืนด้วยการกัดคอกลับจนขึ้นรอยเล็กๆ
ไม่ใช่รอยรักแต่เป็นรอยฟันนี่แหละ
“กัดมากๆระวังตอนกูเอาคืน”
“มึงก็อย่าแกล้งกูสิ” ลูกหมาขี้ยั่วเงยหน้าขึ้นมาพูด
“ไม่ให้กูแกล้งมึงแล้วจะให้แกล้งใคร ไม่ให้หื่นกับมึงแล้วจะให้หื่นกับใคร...ก็มีเมียคนเดียว” ไม่เพียงแค่คำพูดแต่รอยยิ้มมุมปากและดวงตาที่ทอประกายวิบวับทำให้คนมองสั่นไหวจนต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากัน พ่ายแพ้ให้กับหินเพียงเพราะประโยคห่ามๆและความกรุ้มกริ่มบนใบหน้า
เจ้าเล่ห์นัก
“ลองมีหลายคนสิ”
“พี่ไม่มีใครหรอกน่า” เสียงทุ้มตั้งใจเอ่ยอย่างอ่อนโยนหวังแกล้งให้แฟนแพ้ราบคาบ
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดเพราะ!”
แน่นอนว่าแผนการของหินมันย่อมได้ผล แต่แฟนยังคงพยายามป้องกันตัวเองด้วยการทำทีเป็นไม่สนใจ
อย่าให้อีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้ใจกำลังเต้นแรงแค่ไหน
“หึหึ”
แต่เพราะความใกล้ชิดที่แทบหลอมรวมเป็นหนึ่ง จึงไม่อาจรอดพ้นจากการถูกหินจับได้
เด็กน้อย--
“ไว้กลับมาอีกนะลูก มาบ่อยๆ มาทุกอาทิตย์เลยก็ได้” คนถูกกอดยิ้มรับขณะกอดตอบอีกฝ่ายก่อนจะผละออกห่าง
ครอบครัวของหินมาส่งที่สนามบินอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศอบอุ่นก่อให้เกิดความวูบโหวงเล็กๆเมื่อต้องจาก
เพียงแค่ไม่กี่วันก็ผูกพันเสียแล้ว
“สัญญาว่าจะมาอีกครับ”
“ใครไม่มาก็ไม่ต้องไปสนใจ น้องแฟนบินมาแป๊บเดียว พอถึงแล้วก็โทรบอกแม่ แม่จะให้คนมารับทันที”
ผู้เป็นสามีและลูกสาวคนโตเหลือบมองหน้ากันพลางยกยิ้มอ่อนใจ
เห่อลูกสะใภ้มาก
“ถ้ามีเวลา แฟนจะมาแน่นอนครับ” คำตอบนั้นทำให้คนฟังยิ้มรับด้วยความชื่นใจ
“เช็กดูแล้วนะ ไม่ลืมอะไรใช่ไหมลูก”
เอ่ยถามแฟนแต่ไม่แม้แต่จะสนใจหันไปถามคนเป็นลูกซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกัน หินถอนหายใจแผ่วจากนั้นจึงหันไปคุยกับพ่อและพี่สาวของตัวเอง
“แม่ติดแฟนหินคัก หย่านแอบขึ่นไปหาอยู่เด้อ” (แม่ติดแฟนหินมาก กลัวแอบขึ้นไปหาอยู่หรอกนะ) คนเป็นพ่อพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“กะวายุ” (ก็ว่าอยู่)
“มีลูกใหม๊กะเห๊อเป็นธรรมดา ปล๊อยแม่ไปเถิ่น” (มีลูกใหม่ก็เห่อเป็นธรรมดา ปล่อยแม่ไปเถอะ)
วารินเอ่ยขึ้นด้วยความเข้าใจ ลูกทั้งสองนิสัยคล้ายพ่อ พอแฟนซึ่งมีสไตล์คล้ายแม่เข้ามา คนแก่จึงเห่อเป็นธรรมดา
“กะบ่อได่ว่าหยัง เห็นแม่มีความสุขกะดีแล้ว” (ก็ไม่ได้ว่าอะไร เห็นแม่มีความสุขก็ดีแล้ว)
คนเห่อยังคงล่ำลาลูกสะใภ้อยู่อย่างนั้นกระทั่งเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ดังขึ้นจึงจำต้องตัดใจจาก แต่ยังมิวายเข้ามากอดแฟนแน่นทิ้งท้ายอีกครั้ง
“เดินทางปลอดภัยนะลูก ถึงแล้วโทรบอกแม่ด้วย”
“ครับ” แฟนรับคำด้วยรอยยิ้ม
“ประโยคนั้นแม่ต้องบอกผมหรือเปล่า” หินถามขึ้น
“แกกับน้องแฟนก็อยู่ด้วยกัน ใครโทรมาก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“งั้นเดี๋ยวผมโทร”
“ไม่ต้อง ฉันจะคุยกับน้องแฟน”
คนสองคนที่ยืนฟังอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะ ส่วนลูกซึ่งกลายเป็นส่วนเกินก็แสร้งถอนหายใจให้คนเป็นแม่ได้ยิน
“ได้เวลาแล้ว ไว้ผมกับแฟนจะพยายามกลับบ้านบ่อยๆ” ร่างสูงยกมือไหว้ทั้งสามเป็นการบอกลา ขณะที่แฟนก็รีบทำตาม
“ขับรถกลับบ้านๆดีครับ”
หินขยับเข้าไปกอดพ่อ แม่ และพี่สาวของตัวเองก่อนจะโบกมือลาทิ้งท้ายแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน เมื่อพ้นเขตที่ไม่สามารถมองเห็นคนมาส่งได้ แฟนก็สอดมือเข้าหาฝ่ามือใหญ่
“แล้วพากูมาอีกนะ” หินหันมามองคนข้างกาย
“อืม” แฟนระบายยิ้มเมื่ออีกคนรับคำพร้อมทั้งกระชับมือที่จับกันตอบ
สัญญาว่าจะกลับมาหาคุณแม่บ่อยๆ
สัญญาว่าจะกลับมาขอนแก่นอีก
TBC.