“สวัสดีครับป้า” ผมทักทายป้าแม่บ้านที่มารอรับ ส่วนน้องยกมือไหว้ตามคนมารยาทดี
“สวัสดีค่ะ คุณท่านรออยู่ในห้องทานข้าวแล้วค่ะ”
“ครับ ฝากเอานี่ไปจัดใส่ถ้วยด้วยนะครับ” ส่งอาหารที่เตรียมมาให้แม่บ้าน แล้วเดินถือกระเช้าผลไม้ขนาดใหญ่เดินไปที่ห้องทานข้าว หันไปยิ้มเพิ่มควมมั่นใจให้เด็กที่เดินตามหลังผมมาด้วย
“สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ อ้าวดิน มาด้วยหรอ” บนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ปกติจะใช้สำหรับรับแขกคนสำคัญเท่านั้น ซึ่งวันนี้ก็คงจะเป็นเด็กที่ละล้าละลังไม่รู้จะทำตัวยังไงข้าง ๆ ผม “นี่น้องศิครับ พามาแล้วนะครับคุณแม่” ศิยกมือไหว้ทุกคนและคนที่จะปลื้มใจที่ได้เจอนักแสดงที่ตัวเองชื่นชอบคงจะเป็นคุณผกากรองนี่แหละ
คุณแม่ที่กำลังจัดโต๊ะอาหาร บนตัวยังมีผ้ากันเปื้อนผูกอยู่รับไหว้เด็กที่พูดสวัสดีเบาเหลือเกิน
“สะ..สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่...พี่ดิม”
“อันนี้น้องซื้อมาฝากครับ” ผมยกกระเช้าผลไม้วางบนโต๊ะทานข้าวอีกฝั่งที่ไม่มีคนนั่ง
“สวัสดีจ้ะ” คุณแม่รับไหว้ และยิ้มเขิน ๆ “ทำไมดิมไม่โทรมาบอกแม่ก่อนละค่ะว่าใกล้ถึงแล้ว ดูซิแม่ดูไม่เรียบร้อยเลย” ผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าแกะผ้ากันเปื้อนออกแล้วส่งให้ป้าแม่บ้าน ก่อนจะเดินมาหาผมและศิที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ
“แม่ขอจับมือได้มั้ยคะ”
“คะ ครับ ได้ครับ”
“ฮื้อ น่ารักจังเลยค่ะ มองใกล้ ๆ ยิ่งน่ารัก แม่เหมือนจะลอยได้เลย” เธอนำมือทั้งสองข้างแนบหน้าตัวเองที่ขึ้นสีระเรื่อไม่ต่างจากเด็กสาวแรกแย้มที่ได้เจอไอดอลที่ตัวเองชอบ
“ซีรีส์ดิมทำแม่เป็นขนาดนี้เลยหรอครับพ่อ” ดินน้องชายที่นาน ๆ ทีจะกลับบ้านถามขึ้น
“ก็อย่างที่พ่อเล่าให้ฟังนั่นแหละ” ประมุขของบ้านพูดขึ้นด้วยเสียงที่เอือมเล็กน้อย “มา ๆ นั่งเถอะ พ่อหิวแล้วล่ะ อยากกินอาหารฝีมือแม่ที่ทำรอดาราในดวงใจจะแย่แล้ว”
ผมขำในลำคอและชวนน้องนั่งฝั่งตรงข้ามคุณแม่และดิน ส่วนพ่อนั่งหัวโต๊ะ
“ทำไมวันนี้กลับบ้านล่ะดิน” ผมและน้องชายเกิดห่างกันสองปี แต่เราสนิทกันพอสมควรเลยไม่ได้เรียกแทนว่าพี่เหมือนบ้านอื่น
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนดินต้องถามดิมป่ะวะคำถามนี้ พอจะพาแฟนเข้าบ้านหน่อยกลับบ้านบ่อยเชียวนะ” ผมไม่ไดพูดอะไรต่อ ถ้าถามถึงสถิติในการกลับบ้านตั้งแต่เรียนจบ เป็นผมนี่แหละที่กลับบ้านแบบมานอนที่บ้านน้อยที่สุดแล้ว พี่ซันที่งานเยอะกว่ายังกลับมานอนที่บ้านบ่อย
“ไม่ต้องทะเลาะกันค่ะ ลงมือกันเลยดีกว่า น้องศิคงหิวแล้วใช่มั้ยคะ” เด็กข้าง ๆ ยังทำหน้าเหลอหลากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อสักครู่
ป้าแม่บ้านนำซุปเห็ดทรัฟเฟิ้ลที่ศิทำมาเสิร์ฟเคียงกับสเต็กปลาแซลม่อน
“โห มีซุปเห็ดทรัฟเฟิ้ลด้วยหรอครับแม่” ดินตาโตกับอาหารที่มีวัตถุดิบชั้นเลิศ “ลาภปากจริง ๆ ขอบคุณพ่อนะครับที่ชวนผมกลับบ้านวันนี้ ไม่ผิดหวังเลย” ดินยกยิ้มให้คุณพ่อ ก่อนจะจับช้อนและเริ่มตักซุป
“เปล่านี่คะ แม่ไม่ได้ทำ ดิมซื้อมาหรือเปล่า”
“ไม่ได้ซื้อครับ ศิเป็นคนทำ”
คุณแม่ทำหน้าประหลาดใจ “น้องศิทำอาหารด้วยหรอคะ ดีจังเลยค่ะ เด็กสมัยหายากที่ทำอาหารเป็น” ทั้งสามคนรวมถึงผมกำลังลิ้มรสอาหารของเด็กผู้ชายที่นั่งพะว้าพะวงกับปฏิกิริยาของทุกคนในบ้านหลังจากรับประทานอาหารที่เขาทำ
“อร่อยจังเลยค่ะ น้องศิเก่งมากเลยนะคะ”
เขายกยิ้มพอใจ และสีหน้าเริ่มจะมีสีขึ้นหน่อย หลังจากที่ก่อนหน้านี้หน้าซีดเหงื่อซึมตามไรผมตั้งแต่เหยียบเข้ามาในบ้าน
เราห้าคนรับประทานอาหารคาวที่คุณแม่จัดเต็ม นอกจากสเต็กปลาแซลม่อนแล้ว ยังมีสารพัดอาหารตะวันตก ทั้งสปาเก็ตตี้ผัดซอส ขาหมูเยอรมัน อกไก่ย่างบาบีคิว สลัดผักสด บรรยากาศบนโต๊ะมีแต่เสียงของคุณถามไถ่ศิทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และแอบถามซีรีส์ตอนต่อไปอีกต่างหาก คุณพ่อ ดิน และผม ได้แต่กินเงียบ ๆ พูดบ้างถ้าคุณแม่ถามความเห็น ส่วนเด็กที่นั่งข้าง ๆ ก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นหลังจากที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นกันเอง
หลังอาหารคาวแม่บ้านนำชาอุ่น ๆ มาเสิร์ฟ พร้อมกับผลไม้ และคุ้กกี้ที่ศิเอามาฝาก คุณพ่อชอบจิบชาตอนเย็นกลายเป็นว่าพวกเราก็ชอบไปด้วย มันช่วยให้หลับสบายดีเหมือนกัน
“คุ้กกี้นี่ก็ฝีมือน้องศิหรอคะ แม่จำได้”“คะ ครับ ทำไมถึง...บอกว่าจำได้ล่ะครับ”
“ก็คราวที่แล้วที่ดิมเอามาให้ก็รสชาติแบบนี้เลย แค่ไม่มีอัลมอลต์” คุณแม่พูดพลางกัดคุ้กกี้อีกคำแล้วยกชาขึ้นจิบ
“....” ผมและศิมองหน้ากัน คนข้างผมเหงื่อตกอีกรอบหลังจากได้ฟังสิ่งที่คุณแม่พูด เพราะมันหมายความว่าคุณแม่ทราบว่าศิเป็นแฟนของผม ทั้งที่จริง ๆ ผมไม่แปลกใจที่คุณแม่ทราบ เพราะวันนี้ที่เคยบอกว่าจะพาแฟนมาเปิดตัวด้วยแต่ดันมาแค่ศิคนเดียว…
“พ่อครับ แม่ครับ ดินด้วย จริง ๆ แล้วศิไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นแฟนของดิมเอง”
“...”
“ผมอยากจะบอกพ่อกับแม่นานแล้ว แต่คิดว่ารอเวลาที่เหมาะสม อาหาร ขนม ที่น้องฝากมาให้เป็นความคิดที่เขาอยากทำ ผมไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะโอเคมั้ย แต่อยากให้ค่อย ๆ ทำความรู้จักศิได้มั้ยครับ”
“ที่ดิมไม่พาศิมาที่บ้านทั้งที่คบกันมาสักพักแล้ว เพราะแม่ใช่มั้ยคะ เพราะที่แม่พูดวันนั้นหรือเปล่า”
ผมหันไปมองคนของตัวเองว่าเราเป็นอย่างไรกับการพูดความจริงครั้งนี้ เขาได้แต่นั่งก้มหน้ามองแก้วชาที่ยังมีไอร้อนลอยกรุ่น พอหันมามองคุณแม่ที่ยิ้มมีสีหน้ารู้สึกผิดฉายชัดก็วูบโหวงในใจเหมือนกัน
“ดิมคิดมากกับคำพูดของแม่มากเลยใช่มั้ย จริงอยู่ที่แม่เกิดมานานไม่ค่อยทันกับโลกที่ก้าวไปเร็วขนาดนี้” คุณแม่พยายามพูดไปแล้วยิ้มอย่างเอ็นดูส่งไปให้เด็กที่นั่งก้มหน้าไม่สบตาใคร
“แต่สิ่งหนึ่งที่แม่ก้าวทันเสมอคือพร้อมเข้าใจลูกนะคะ” ศิเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบตากับผม เหมือนเรารู้ว่าควรทำอะไรต่อ จึงเดินนำน้องไปหาแม่ที่นั่งอยู่อีกฟากโต๊ะ ก่อนจะคุกเข่าพร้อมกันแล้วกราบลงที่ตักของแม่ ไม่ใช่แค่เราสองคนที่คิดไม่ตก แต่คุณแม่ที่พอจะเดาอะไรหลาย ๆ ออก ก็คงหนักใจอยู่เหมือนกัน และยิ่งเท่าทวีถ้าทบทวนสิ่งที่เธอพูดไปแล้วจะกระทบจิตใจลูกชายของตัวเอง
คุณแม่จับแก้มของศิแล้วลูบเบา ๆ “รู้มั้ยคะว่าแม่รู้ตั้งแต่ดิมเอาสปาเก็ตตี้ไข่เค็มมาฝากแม่ เพราะอีกกล่องที่กินหมดแล้วมีโน้ตของน้องศิแปะหราอยู่ด้านบน ทำอาหารกลางวันให้คนขี้เกียจด้วยหรอคะ เหนื่อยมั้ย” ศิส่ายหน้าเบา ๆ แล้วโผกอดเอวคุณแม่ ก่อนที่เขาจะร้องไห้ออกมา
“อ้าวแม่ไปทำแฟนเขาร้องไห้ได้ยังไงละเนี่ย” คุณพ่อที่นั่งเงียบมาตลอดพูดติดตลก
ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพตรงหน้า มันเกินจินตนาการเหมือนกัน สิ่งที่คิดไว้อย่างดีที่สุดก็คือคุณแม่ทำตัวปกตินั่งทานอาหารอย่างไม่พูดอะไร และสิ่งที่ร้ายที่สุดคือเธอลุกออกจากโต๊ะไป แต่นี่มันเรียกได้ว่าเกินฝัน
ศิผละจากอ้อมกอดของคุณแม่ เช็ดน้ำตาลวก ๆ แล้วพูดขึ้น “ขอบคุณนะครับที่ไม่รังเกียจศิ”
“โถ่พูดอะไรแบบนั้นคะ แม่ยอมรับค่ะว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ แต่เพราะพ่อบอกกับแม่ว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะอยู่กับดิมไปตลอดไม่ใช่เรา และความรักความปรารถนาดีของเราไม่ใช่การวาดชีวิตในแบบที่เราอยากเป็นให้กับเขา แต่คือชีวิตที่เขาเลือกเดินด้วยตัวเอง และแม่เห็นดิมมีความสุข ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ ขอบคุณน้องศินะคะที่ดูแลพี่เขาอย่างดี แม้เขาจะบ้างานไปหน่อย แต่เขาก็ยังบ้างานอีกด้วย”
“อ้าวแม่ครับ…” ทุกคนพร้อมใจกันหัวเราะกับมุกตลกที่แม่เล่น “ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ”
ผมถือโอกาสกอดแม่ และนานแล้วที่เราสองแม่ลูกไม่ได้กอดกัน เธอที่ชีวิตมีแค่สามี และลูก ไม่แปลกอะไรที่จะวิตกกังวลกับความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะทำความเข้าใจ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขที่แท้จริง
“นอนกับแม่สักคืนนะ” คุณแม่นั่งคุยกับศิหลายเรื่องจนดึกดื่น ประเด็นส่วนมากก็เรื่องผมนี่แหละ เผาจนไม้ไปยันกระดูกแล้ว
“ครับ ๆ”
“ดีค่ะ แม่ให้แม่บ้านทำความสะอาดตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว” คิดไว้แล้วนี่นาแม่ผม “กู๊ดไนท์นะคะเด็ก ๆ”
“ฝันดีครับคุณแม่” ศิตอบรับก่อนจะถูกแม่ผมดึงไปกอดอีกที ดูเธอจะชอบสัมผัสเด็กผู้ชายคนนี้เหลือเกิน เหตุผลที่แม่อยากได้ลูกชายตัวไม่โตเพราะจะได้ทำอะไรแบบนี้หรอ
“เฮ้อ” ลูกสะใภ้คนใหม่ของบ้าน ทิ้งตัวนั่งบนเตียงกว้างที่ผมเคยใช้ตั้งแต่สมัยมอปลาย และรีโนเวทไปหนึ่งครั้งสมัยมหาวิทยาลัย อุปกรณ์ ข้าวของ เครื่องใช้ต่าง ๆ ยังถูกจัดวางที่เดิม และสะอาดเอี่ยมเหมือนมีคนเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน
“หายใจโล่งเลยสินะ”
“สุด ๆ! ศิกลัวแทบแย่แหนะ แม่พี่ดิมน่ารักจังเลยนะครับ คุณพ่อด้วย”
“พี่โชคดีที่เกิดมาเป็นลูกท่าน ทั้งที่พี่อาจจะไม่ใช่ลูกที่ดีนัก” สายตาก้มไปมองรูปครอบครัวที่วางอยู่บนตู้หนังสือ มันเป็นสมัยเด็กที่เรายกโขยงไปเที่ยวทะเลในวันครบครอบแต่งงานของพ่อกับแม่ ตอนนี้ผมอยู่มอต้นเองมั้ง เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง
อ้อมกอดรัดด้านหลังมาจากผู้ชายอีกคนในห้อง มันทำให้ผมรู้ว่าความสุขของผมถูกเพิ่มมากอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือเขา เมื่อวาน วันนี้ และในอนาคตเขาจะเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่คิดถึงเมื่อไหร่ก็ยิ้มได้
“พี่ดิมหน้าเหมือนเดิมเลย คนนี้พี่ชายคนโตใช่มั้ย” นิ้วเล็ก ๆ ชี้ไปที่คนที่ดูโตสุดในแกงค์สามพี่น้อง
“ใช่ พี่ซันน่ะ เดี๋ยวคงได้เจอ ช่วงนี้บินไปหาลูกกับเมียที่อังกฤษ”
“การมีพี่น้องนี่ดีมั้ยครับ ศิเกิดมาเป็นลูกคนเดียวไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่อยากมีพี่มากเลยนะ” ผมหันไปกอดตอบเด็กที่ทำท่าเหมือนอ้อนกันโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“ดีสิ ดีมากเลย แต่ก็ไม่ใช่ทุกบ้านหรอกมั้ง ซันเป็นพี่ที่สุขุม ส่วนดินเป็นน้องที่แสบเอาเรื่อง”
“แล้วพี่ดิมล่ะครับ”
“พี่น่ะคนดี”“เหอะ ไม่เชื่อหรอก” เด็กตรงหน้าหรี่ตามองเพราะไม่เชื่อการโกหกคำโตของผม คนดีที่ไหนจะชวนพี่น้องไปว่ายน้ำที่สโมสรหมู่บ้านตอนฝนตกจนป่วยนอนโรงพยาบาลพร้อมกันสามคน แต่ก็ไม่มีอะไรทำให้จำจนกลัวไม่กล้าทำอะไรแผลง ๆ แบบนี้ เพราะคุณแม่ไม่คุยด้วยตั้งสามวัน เป็นสามวันที่ทรมานและอึดอัดที่สุดในชีวิต ดินมาขอนอนด้วยและร้องไห้ทุกคืน คนเป็นพี่อย่างผมรู้สึกผิดจนไม่รู้จะรู้สึกผิดยังไง สุดท้ายก็ไปสัญญากับคุณแม่ว่าจะไม่ทำอีก
“แล้วหนูล่ะตอนเด็กเป็นยังไงครับ”
“อืมมม ศิก็เป็นเด็กธรรมดา ๆ แถมหน้าตาไม่น่าจดจำ ขนาดที่ว่าหลงกับลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกที่ฮ่องกงด้วย”
“ตอนนั้นไม่น่าจดจำสำหรับใคร แต่ตอนนี้น่าจดจำสำหรับพี่คนเดียวก็พอ” “ทำไมต้องเอาหน้ามาใกล้ขนาดนี้เล่า”
“วันนี้ศิน่ารักมาก ๆ เลยนะ” เขยิบหน้าเข้าไปใกล้คนที่พยายามหลบหลีก “ขอบคุณนะครับที่รอ ขอบคุณที่อดทนมาโดยตลอดนะ”
จุ๊บ อดใจไม่ไหวที่จะสัมผัสเขา ใบหน้าขาวผ่อง แก้มนุ่มนิ่ม ปากเล็กกระจับสีชมพูอ่อน รวมไปถึงจมูกเชิดเล็กน้อย ทั้งหมดทั้งมวลอาจจะไม่ได้หล่อเหลา พิมพ์นิยมในสายตาใคร ทุกวันนี้ยังแอบเห็นบางเพจแคปรูปน้องในซีรีส์ไปเบลมว่าโกงบทภามาสมาอยู่เลย แต่แล้วไงเขาน่ารักและดีเกินไปสำหรับคนอย่างผมด้วยซ้ำ
“ฮื้อ พี่ดิม เดี๋ยวก่อนสิครับ จะ...ทำ ที่นี่หรอ”
“เจิมให้ห้องนอนพี่หน่อย อยากมีกลิ่นคนของพี่ติดที่ของพี่” “ทุกทีสิน่าพี่ดิมเนี่ย”
“หนูก็ยอมพี่ทุกทีสิน่า”
“อ๊ะ”
กิจกรรมกิจกรรมกามของผมกับน้องจบประมาณเกือบตีสอง และคนถูกรังแกก็หลับพริ้มไปเรียบร้อย ส่วมผมอะดรีนาลีนหลั่งออกมาเยอะไปหน่อยเลยยังหลับไม่สนิท นอนเขี่ยแก้มนุ่มนิ่มมาได้สักพักแล้ว ความคิดที่เวียนวนอยู่ในหัวมาหลายวัน และมันชัดเจนขึ้นในวันนี้คือผมอยากใช้เวลากับครอบครัวของผมให้มากกว่านี้ ครอบครัวในทีนี้รวมถึงศิด้วย ถ้ายังทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันแบบนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ดี
ผมตัดสินใจที่จะเลือกเพิ่มเวลาในชีวิต มากกว่าทำอีกสิ่งที่ตัวเองชอบ
“ลงมากันแล้วหรอคะ วันนี้แม่ให้ป้าแม่บ้านเตรียมข้าวต้มสำหรับทุกคนนะ ส่วนดิมเบรกฟาสต์แบบคลีนเหมือนเดิมค่ะ” คุณแม่กุลีกุจอพรีเซ็นต์อาหารเช้าหน้าตาน่ารับประทานบนโต๊ะอาหารเล็กที่เราใช้ประจำ
และนี่ก็หมายความว่าศิไม่ใช่แขกของบ้านอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นคนในครอบครัว“สวัสดีตอนเช้าครับคุณแม่” ลูกสะใภ้หมาด ๆ ของบ้านทักทายเจ้าของบ้านตัวจริงอย่างเป็นธรรมชาติ คุณแม่ตาโตเพราะลูกชายห่าม ๆ ทั้งสามคนไม่เคยทำอะไรแบบนี้
“คุณพ่อล่ะครับ”
“กำลังลงมาจ๊ะ”
“สวัสดีตอนเช้าครับพี่ดิน” ดินก็เหวอไปอีกคน
“ทำไมคุณแม่กับพี่ดินดูตกใจล่ะครับ”
“ฮ่า ๆ ที่บ้านเราไม่มีวัฒนธรรมน่ารัก ๆ อะไรแบบนี้หรอกน้องศิ”
“น่ารัก?” ศินั่งลงที่เก้าอี้ข้างผม ด้วยสายตางุนงง
“ก็ที่ทักทายกันยามเช้าอะไรแบบนี้น่ะสิ”
“แม่มีแต่ลูกชายทะโมน ๆ ค่ะ ทำอะไรน่ารักแบบนี้ไม่เป็นหรอก กว่าสามสิบสองปีศิคือดอกไม้บานยามเช้าที่สดใสของแม่นะคะ” คุณแม่เดินมาหอมหัวลูกชายคนใหม่ ผมและดินหัวเราะพรืดออกมา ไม่เคยรู้ว่าคุณแม่เก็บกดที่เป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวในบ้าน
“เอาลูกเขามาเป็นลูกตัวเองขอพ่อแม่เขาหรือยังครับคุณ” คุณพ่อเดินเข้ามาเห็นฉากเด็ดพอดีเอ่ยแซว
“ว่าแต่คุณพ่อคุณแม่น้องศิทราบเรื่องแล้วใช่มั้ย หรือให้แม่กับพ่อไปคุยให้มั้ยคะ”
“เอ่อ ป๊ากับม๊าศิทราบแล้วครับ พวกท่านไม่ได้ว่าอะไร”
“งั้นแม่ก็ควรไปคุยแบบเป็นทางการ ไว้หาวันดี ๆ ไปกันนะคะคุณ” ผู้ชายสามคนในบ้านมองหน้ากันยิ้ม ๆ ที่วันนี้เห็นคุณแม่มีความสดใสอย่างแปลกตา เหมือนตอนที่ไปแม่ไปรับพวกเราสามพี่น้องที่โรงเรียนวันเปิดเทอมแรกเลย และมันก็ผ่านมานานแล้วนับตั้งแต่วันนั้น ผมอยากดูแลท่านให้มากกว่าที่เป็นอยู่ และคิดว่าสิ่งที่กำลังจะตัดสินใจนี้คงถูกต้องแล้ว
“พ่อแม่ครับ ดิมว่าจะเลิกรับงานในวงการ”
“พี่ดิม!” กลายเป็นเด็กที่นั่งข้าง ๆ ตกใจยิ่งกว่าคนที่ผมตั้งใจบอก
“จริง ๆ พี่จะปรึกษาศิหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจ มาแน่ใจเอาเมื่อคืน”
“ทำไมล่ะลูกชาย กว่าจะขอแม่ไปทำได้ไม่ง่ายเลยนะ จู่ ๆ ก็จะไม่ทำแล้วซะงั้น” คุณพ่อนั่งเอามือประสานกัน ตั้งใจฟังเรื่องที่ผมปรึกษา เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง
“อยากมีเวลาใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเขาบ้างครับ เวลาเล่นละครมันดีมากเลยนะครับ มันได้เห็นตัวเองในมุมที่ไม่เคยเห็น ทำแล้วมันคลายเครียดเพราะไม่อยากให้ตัวเองยึดติดกับความเป็นหมอเกินไป”
“ดิมกลัวตัวเองเป็นบ้าอะดิ” น้องชายเอ่ยแซว
“เออจริง ๆ ก็กลัวตัวเองบ้างานเกินไป เลยหาทำอะไรทำเบี่ยงเบนไง แต่ตอนนี้เจอสิ่งที่สร้างความสงบและอยากกลับบ้านมานอนโง่ ๆ แล้วแหละ” ผมมองไปที่จุดเปลี่ยนในชีวิตของผม เขายังงงแถมเอานิ้วชี้ที่ตัวเองอีกต่างหาก
“เรานั่นแหละครับ พ่อกับแม่ก็ด้วย ไม่อยากตายเร็วเพราะทำงานหนักเกินไป อีกอย่างจะได้กลับมาดูแลพ่อกับแม่บ่อย ๆ”
“ดีเลยค่ะ แม่จะได้เจอน้องศิบ่อย ๆ” คุณนายของบ้านยิ้มตาหยีแล้วนั่งทานอาหารเช้าอย่างสบายใจ
“พ่อกับแม่คงแล้วแต่ดิม ยังไงก็ไปคุยกับอาติณณ์ให้เรียบร้อยนะ”
“ครับ”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นน่ะศิ คิดมากอีกแล้วล่ะสิ” เอื้อมมือไปลูบหัวเด็กที่ทำหน้าตาคิดมากอีกแล้ว
“เปล่าครับ แค่ศิทำให้พี่ดิมเลิกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เพื่อที่จะหาเวลามาดูแลศิหรือเปล่า”
“เอ้อ เด็กคนนี้ หาเวลาอยู่กับแฟนว่ายากแล้ว ทำให้แฟนเลิกคิดมากนี่คงยากกว่า” เท้าคางกับมืออีกข้างอย่างปลง ๆ “พี่ชอบอยู่กับศิมากกว่าเล่นละครโอเคมั้ย”
“ดิมนี่มันขิงกันนี่หว่า อะไรคือการมาจีบแฟนต่อหน้าคนโสดอย่างผมวะ”
“งั้นหุ้นของดิมไม่ต้องขายให้น้องนะ เก็บไว้ปันผลเลี้ยงลูกเขาให้ดี ไม่ก็เอาไปลงทุนอย่างอื่น เงินเดือนหมอโรงพยาบาลรัฐกลัวจะไม่พอค่าน้ำค่าไฟเพนเฮาส์”
เสียงหัวเราะจากทุกคน การันตีได้อย่างดีว่าคิดถูกแล้วจริง ๆ ที่ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตกับพวกเขาให้มากขึ้น ทำงานอย่างพอดี
และมีความสุขในแบบง่าย ๆ กับครอบครัวของผม----------------To be continued----------------
เป็นอีกตอนที่ตั้งใจอยากใส่เรื่องความสำคัญของครอบครัวเข้าไป
การมีครอบครัวที่เข้าอกเข้าใจมันเป็นพื้นฐานของคนที่เต็มคนเลยนะ
จบสาระ555555555555555555555555
Congratulations กับลูกสะใภ้บ้านชานยกาญจ์ธำรงค์หน่อยจ้าา
น่าหมั้นไส้มากกกกกก พอมีเมียก็คือจะไม่เล่นละครละ
แถมเหตุผลก็คืออยากมีเวลาอยู่กับแฟนว่ะ งงมาก5555555555
ตอนหน้าก็ last episode ละเด้ออออ
อยากอ่านเมน์เหมือนเดิมงับ
รักเด้อ
บี
#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1