END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)  (อ่าน 186932 ครั้ง)

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
สงสาร....ทุกอย่างมันบีบคั้นจิตใจละเกิน

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ Dezzerr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 547
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
เราเสียใจ แอบอยากให้สมหวังกัน แต่ถ้าสุดท้ายควมเจ็บช้ำมันทำให้ไม่กล้าลืมจนกลับไปคบกันอีกไม่ได้ เราก็เข้าใจ

ออฟไลน์ 19august

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
    • https://twitter.com/19august___
แอบอยากให้กลับไปนะ แต่บางทีเวลามันอาจจะช่วยอะไรได้มากกว่า
ถ้าสุดท้ายแล้วจะใช่เดี๋ยวมันก็คงใช่แหละ ตอนนี้ทุกคนก็แค่ต้องรับผิดชอบกับการกระทำในอดีต

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เมฆนกแล้วใช่ไหมคะ จะได้ปักถูก หนึ่งวินาทีก็ช้าไปจ้าาา อันนี้คือถ้าไฟนอลแล้วอาโปไม่เลือกเมฆจริงๆจะเด็ดมาก คนเขียนนี่แหล่ะค่ะใจเด็ด เจอแต่เรื่องที่ถ่านไฟเก่ากลับมาร้อน ถ้าอันนี้จุดไม่ติดนี่สุดๆเลย ชอบบบ คนใหม่ขอให้ดีๆนะคะ  :hao7:

ออฟไลน์ 。Atlas

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
อย่างน้อยถ้าจะจบกันจริง ๆ ก็เคลียร์กันให้รู้เรื่อง ให้เข้าใจตรงกัน เปิดอกคุยกันเถอะค่ะพี่น้อง
มันจะได้แฟร์ ๆ ทั้งความรู้สึกของเมฆและอาโป จะได้ไม่ต้องติดค้างให้อึดอัดอะไรกันอีก  :เฮ้อ:
อันนี้ความรู้สึกมันครึ่ง ๆ กลาง ๆ โปเริ่มใหม่กับเพทายในขณะที่ก็ยังต้องเจอเมฆ ยังไม่เคยเคลียร์กันแบบสบายใจได้จริงเหรอ?
เมฆจะเริ่มใหม่ได้จริงเหรอ ? เวลาไม่ได้เยียวยาได้เสมอไปสำหรับหลาย ๆ คน ในกรณีเมฆนี่ก็ไม่รู้สินะ ถึงจะเริ่มคิดได้ช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่คิดเลยอ่ะนะ ในความรู้สึกเรา

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อึมครึมไปอีก

ออฟไลน์ sailom_orn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
 :katai2-1: กะมาเจิมเเบบผ่านๆก่อน แต่ติดแล้วอ่ะ เนื้อเรื่องสนุกค่ะ บรรยายฉากต่างๆดี ภาษาก็สวย มาต่ออีกน้า  :mew1:

ออฟไลน์ maplub_oyaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ miwmiwzaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ LomaPakpao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
นานเหลือเกิน
พลัดรึเปล่าเอ่ย
ต้องทบต้นทบดอกนร้าาาา
เรางก

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.22 Fix You


Lights will guide you home
And ignite your bones
And I will try to fix you



ไม่รู้ว่าตัวเองถูกพาเข้ามานอนในห้องตอนกี่โมง แต่คิดว่าน่าจะใกล้สว่าง และตื่นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่คนเดียว ไร้คนที่พาเข้ามานอนเมื่อรุ่งสาง พยายามลืมตาต้านแสงแดดที่ส่องผ่านผ้าม่าน เพื่อมองนาฬิกาแล้วบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบสิบโมงเข้าไปแล้ว ถึงว่าพี่ดิมไม่อยู่ที่นี่เพราะมีเข้าเวรตอนแปดโมงเช้า แล้ววันนี้เห็นว่ามีเคสผ่าตัดช่วงเย็นคงกลับมาดึก

พี่สั่งข้าวไว้ ตื่นแล้วโทรไปบอกให้เขามาส่งนะ

ความน่ารักของพี่ดิมแหละนะ ใครที่บอกว่าผมดูแลพี่เขาดีมาก ๆ เอาจริงยังไม่ได้ครึ่งนึงที่พี่ดิมดูแลผมเลย


เดินลงมาชั้นล่างแล้วพบว่าเพื่อนที่หอบหิ้วตัวเองมาหากลางดึก ยังคงหลับสนิทบนเตียงในห้องนอนแขก กลิ่นบุหรี่คละคลุ้งอบอวนรอบห้อง มันมาจากผู้ชายตัวสูงอัดเข้าปอดเมื่อคืน คงเยอะมากทีเดียวล่ะมั้งเนี่ย

“เมฆ” ผมเรียกจากข้างเตียง

“หื้อ” คนตัวสูงนอนเหยียดกายเล็กน้อยหลังจากมีการรบกวนเกิดขึ้น

“จะไปเรียนตอนบ่ายมั้ย”

“หื้อ อื้อ ๆ ไป ๆ”

“แน่ใจหรอ ไหวเปล่า วันนี้โดดสักวันก็ได้นะ”

เมฆค่อย ๆ หยัดตัวขึ้นนั่ง แล้วประคองสติ สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเคราหนาขึ้นกว่าวันก่อนพอสมควร สภาพชุดนักศึกษาตัวเดิมที่สวมเมื่อวานยับยู่ยี่ ไม่เหลือเค้าคนที่ถูกขนาดนามว่าหล่อกว่าเดินมหาลัยเมื่อสามปีที่แล้วเอาเสียเลย

“ไปเถอะ กูไม่อยากให้โปไม่สบายใจ”

“แล้วมึงสบายใจหรอ”

เมฆส่ายหน้าแทนคำตอบ สายตาเหม่ลอยของเขาที่มองไปข้างหน้า ไม่ใช่อาการของคนง่วงงุน แต่เรื่องราวของเมื่อวานคงกำลังย้อนไหลเวียนเข้าไปในหัวอย่างพรุ่งพรู

“กูจะพยายามเป็นปกติให้ไวที่สุด ไม่อยากให้เขารู้สึกผิดหรือมีความรู้สึกติดค้างอะไรกับกูอีก อยากให้เขาเริ่มใหม่โดยที่ไม่พันธะอะไรเลย”

“เฮ้อ ทำไมมึงไม่เคยบอกกูเลยว้า มึงปล่อยให้มันนานขนาดนี้ได้ไง”

“กูก็ถามตัวเองอยู่ศิ หึ บางทีกูกับมันอาจจะไม่ใช่ของกันและกันมั้ง”

“อย่ามาทำเป็นเชื่อเรื่องพรหมลิขิต เพราะมึงไม่เชื่ออะไรพวกนี้น่าเมฆ”

“ลองเชื่อบ้างก็ดีไม่ใช่หรอวะ กูจะได้ยอมรับความจริงในความเชื่อที่กูไม่เคยเชื่อบ้าง”

เมฆยกยิ้มเหมือนเยาะให้ตัวเอง แล้วถามหาผ้าเช็ดตัวเพื่ออาบน้ำ รวมถึงขอยืมใช้ที่โกนหนวดอันใหม่ของพี่ดิม เพื่อกำจัดเคราครึ้มของตัวเอง เพราะมันบอกว่ามองกระจกแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเองชอบกล เออมึงควรรู้ตัวตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว

ผมกับเมฆนั่งกินข้าวที่พี่ดิมสั่งห้องอาหารที่คอนโดไว้ให้เงียบ ๆ ตอนนี้ประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่งก็เลยไม่ได้เร่งรีบมากเท่าไหร่ เมฆเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาที่เคี้ยวอาหารเข้าปาก เลยเป็นเหตุให้ผมอ้าปากกินข้าวมากกว่าจะถามไถ่อะไรออกไป เพราะคิดว่าเมฆน่าควรจะได้คิดอะไรเงียบ ๆ คนเดียวหลังจากมรสุมที่ถาโถมเมื่อคืน ไหนวันนี้จะต้องไปเผชิญหน้ากับต้นเหตุอีก

ไม่อยากคิดว่าถ้าเฌอรู้จะช็อคแค่ไหน

เพราะผมยังช็อคจนสติหลุด ถ้าไม่มีพี่ดิมอยู่ด้วยเมื่อคืน คนไร้หลัก กับคนเสียขวัญอยู่ด้วยกันสองคนจะเป๋ไปทิศทางไหน



@มหาวิทยาลัย C

วิชาที่เราลงเรียนวันนี้เป็นเซคชั่นเล็ก ๆ ที่มีจำนวนผู้เรียนแค่ยี่สิบกว่าคน และห้องเรียนก็ไม่ได้ใหญ่มาก จัดโต๊ะเรียนแบบกลุ่ม ซึ่งทำให้กลุ่มของเรานั่งหันหน้าเข้าหากัน แน่นอนเมฆและอาโปยังคงมีท่าทีกระอักกระอ่วนใจ และเหมือนพยายามสงบนิ่งทำตัวเหมือนวันก่อน ๆ ทั้งที่มึนตึงกันอยู่แล้ว

“ศิ เมฆกับอาโปยังไม่คุยกันอีกหรอวะ” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มถามอย่างกระซิบกระซาบ เพราะเธอนั่งทางขวาของผมส่วนเมฆนั่งทางซ้ายผม ส่วนอาโปนั่งถัดไปจากเฌออีกที

“อืม มั้ง ตอนกลางวันเฌอก็ถามดิ”

“จะไม่ดูเสือกไปใช่ป่ะ”

“แล้วตอนนี้ไม่เสือกหรอ”

“อิศิ!”

เฌอหันกลับไปสนใจสไลด์ของอาจารย์ ผมเลยทำได้แค่ยิ้มบาง ๆ ไปให้เมฆ เพราะหันไปเจอทางนั้นมองมาก่อนอยู่แล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจคือคนที่ควรเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนในกลุ่มอีกคนรับรู้ ก็ควรจะเป็นเมฆนี่แหละ

เลิกคลาสตอนประมาณเกือบสี่โมง ปกติคลาสนี้จะเลิกสามโมงสิบห้า แต่เพราะอาจารย์สอนเผื่อคาบต่อไปที่หยุดไปด้วย เนื่องจากอาจารย์มีประชุมวิชาการที่ต่างประเทศพอดี แถมวิชานี้เป็นวิชาคล้ายกับการโต้วาที ต้องพูดคุยและสื่อสารกันภายในกลุ่ม บรรยากาศการเรียนของพวกเราวันนี้เลยอึมครึมอย่างมาก จนอาจารย์เดินมาถามตั้งสองครั้งว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เฮ้อ

อึดอัดแทนจัง

[MY SUN : วันนี้พี่ไม่ได้กลับคอนโดนะ]
[MY SUN : พอดีพี่ต้องแวะไปที่บ้านครับ]

เปิดไลน์มาเจอข้อความของพี่ดิมเมื่อชั่วโมงที่แล้ว

อ่า อยู่ด้วยกันทุกวันจนลืมไปเลยว่าพี่ดิมก็มีบ้านที่ต้องกลับเหมือนกัน เสียดายวันนี้ว่าจะทำอาหารไทยศึกษาสูตรจากยูทูบมาแล้ว แต่ไม่เป็นไรไว้วันหลังก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ดิมก็คงกลับ

[Si : ครับ แล้วพรุ่งนี้กลับกี่โมงหรอ]

ไม่ได้หวังให้พี่ดิมตอบเร็ว เพราะคงติดงานหลายอย่าง แต่แปลกแฮะ คราวนี้เปิดอ่านทันทีเลย สงสัยว่างพอดี

[MY SUN : อาจจะเย็น ๆ หลังพี่ออกเวร]

[Si : อื้อ ศิจะทำข้าวเย็นรอนะ พรุ่งนี้มีเรียนแค่เช้า]

[MY SUN : เมฆเป็นยังไงบ้าง ได้ไปเรียนหรือเปล่า]

[Si : มา แต่ว่าบรรยากาศอึมครึมมากเลยพี่ดิม ศิอึดอัด]

[MY SUN : ให้เวลาเขาหน่อย พี่ไปทำงานต่อแล้ว ดึก ๆ จะโทรหานะ]
[MY SUN : คิดถึงหนูนะครับ]

[Si : งื้อ ศิก็คิดถึง รีบกลับมาไวไวนะ]
[Si : sent a sticker]

เงยหน้าขึ้นมาอีกทีพอร์ชคันเดิมก็มารับตุ๊กตาหน้ารถคนเดิมอีกแล้ว พอมองไปที่เมฆก็เห็นเขาเบือนหน้าหนีฉากตรงหน้าทันที เพราะไม่เพียงแค่รถหรูจอดรับตุ๊กตาหน้ารถเท่านั้น แต่คราวนี้สารถีเดินลงมาเปิดประตูรถและยิ้มแสนอบอุ่นให้เพื่อนของผม พร้อมทั้งรับสัมภาระและจัดการไปวางไว้ด้านหลังให้อีกต่างหาก นี่มันฉากสวีทไม่ใช่หรอวะ เมฆทนเอาหน่อยนะมึง




@ห้าง S

“เอาล่ะเล่าให้กูฟังทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกมึง” เฌอได้ทีถามอย่างคาดคั้น หลังจากที่เรากินมื้อค่ำด้วยกันที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ในห้างแถวมหาลัย เรามาที่นี่กันบ่อยเหมือนกัน เพราะคนไม่ค่อยรู้จักมาก และมันก็เป็นส่วนตัวดี

ผมยกมือผายไปทางเมฆ เพื่อให้คนที่รู้เรื่องดีที่สุดเป็นคนเอ่ยปาก

“เฮ้อ นี่มึงจะรู้มั้ยว่ากูเจ็บหนักมาเฌอ มึงต้องร้องไห้แน่ ๆ”

“อยากร้องไห้ กูรอแล้ว มา!” เฌอทำหน้าจริงจังเพื่อตั้งใจฟังกับสิ่งที่จะได้


และเป็นไปตามคาด ผู้หญิงที่ภายนอกอยู่แกร่ง เข้มแข็ง ร้องไห้กับประโยคบอกเลิกสุดแสนจะเจ็บแสบของเมฆที่บอกกับอาโปสมัยมัธยม ทั้งยังด่าทอคนเล่า แต่ไม่นานเมื่อเมฆเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเฌอก็สวมกอดเพื่อนตัวโตทันที คือมันพลิกไปพลิกมายิ่งกว่าซีรีส์สืบสวนเสียอีก

“ทำไม ฮึก มึงไม่เคยบอกพวกกูเลย” เฌอถามขึ้นด้วยเสียงสะอึดสะอื้น เมฆก็พลอยน้ำตารื้น เพราะเหมือนสะกิดแผลสดของตัวเองอีกครั้ง

“เพราะกูไม่อยากให้พวกมึงอึดอัด อาโปมันก็คงคิดแบบเดียวกัน”

“กูไม่อยากถามคำถามนี้เลย แต่ก็ต้องถาม แล้วมึงจะเอาไงต่อ” เมฆไม่ได้พูดอะไร มันยกมุมปากเหมือนยิ้ม คล้ายกับให้ผมตอบคำถามนี้แทนมันที

“มันบอกว่าจะพยายามเป็นเหมือนเดิมให้ได้เร็วที่สุด”

“เชี่ยยยย ไม่มีทางเมฆ กูเนี่ยไม่มีทางมองพวกมึงเหมือนเดิมได้อีก อิห่าเอ้ย ทำไมเรื่องแม่งอิรุงตุงนังขนาดนี้วะ” เฌอเช็ดน้ำตาที่แขนเสื้อผมอีกครั้ง แถมยังพยายามจะสั่งขี้มูก แต่ผมผลักหัวมันออกทัน ผู้หญิงอะไรเนี่ย

“ฮืออออออ เรื่องพวกมึงแม่งเศร้าฉิบหายเลยอะ”
“มึง’งงงง ทำใจมองอาโปมีคนใหม่ได้จริง ๆ หรอวะ”

“ก็ต้องทำให้ได้ เพราะกูทำได้แค่นี้” ผู้ชายตัวใหญ่ตรงหน้า ตอนนี้ขนาดตัวเล็กลงไม่ต่างจากตุ๊กตาปั้นไร้ชีวิต นัยน์ตาของเขามันไร้ซึ่งความหวัง และไร้หนทาง

“อาโปเป็นความรักที่ดีที่สุดของกูแล้ว”

“แต่ความรักดีดีไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวเปล่าวะ”

ไม่รู้สิผมว่าคนเราเกิดมามีชีวิตเดียวก็จริง แต่โอกาสในชีวิตมีได้เป็นหมื่นเป็นพันครั้งที่เราจะเริ่มต้นใหม่ อยู่ที่เราจะเจอโอกาสนั้นมั้ย หรือกระทั่งเราให้โอกาสตัวเองมากแค่ไหน ซึ่งถ้ามันมากพอ เราก็จะมีความสุขกับมันได้เอง แค่เปิดใจเท่านั้น

“กูเห็นด้วยกับศินะเมฆ มึงจะต้องได้เจอคนอีกตั้งเยอะ คนเราไม่ตายตอนยี่สอบสองหรอกจริงป่ะ”

“อืม มั้ง”

“มั้งพ่อง อย่าบอกว่ามึงเคยคิดฆ่าตัวตายนะ ไหนกูสำรวจอาการซึมเศร้ามึงหน่อยซิ” เฌอกระวีกระวาดหาเครื่องมือในกระเป๋า

“เดี๋ยว ๆ เปล่ากูไม่มีความคิดนั้น แม้จะรู้สึกดึ่งดาวน์แค่ไหน แต่กูรับมือไหว”

“เฮ้อ กูโล่งอก” เฌอยกมือทาบอก ผมก็รู้สึกโล่งใจไปด้วย เพราะถ้าเมฆมีอาการซึมเศร้าคงต้องพาไปพบอาจารย์หรือไม่ก็ไปโรงพยาบาลด่วนเลย

“ขอบคุณนะพวกมึง”

“ขอบคุณทำไมวะ” ผมเอ่ย เฌอก็พยักหน้าตาม สงสัยว่ามันขอบคุณอะไร อยู่ ๆ จะมาทำซึ้ง

“ขอบคุณที่ไม่เกลียดกู ทั้งที่กูทำกับอาโป...เข้าขั้นเลว” น้ำเสียงแผ่วเบาของเมฆ ทำผมใจห่อเหี่ยวไปด้วยอีกครั้ง

“อาโปเคยบอกว่าเกลียดมึงหรือเปล่า” ผู้หญิงคนเดียวถามขึ้น แต่คนถูกถามกลับส่ายหัว

“งั้นมันก็ไม่ได้เกลียดมึงหรอก พวกกูก็ไม่มีสิทธิ์เกลียดมึง เพราะนี่เป็นเรื่องของพวกมึง คนที่ตัดสินได้มีแค่พวกมึง ซึ่งพวกมึงก็เลือกแล้วว่าจะให้มันจบแบบนี้”

เราพูดคุยกันตลอดจนลืมว่ามีเสียงเพลงจังหวะสบาย ๆ เปิดคลอในร้าน และเมื่อเฌอพูดประโยคยาวนี้จบเราสามคนถึงถึงได้ยินว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่ร้านเปิดเพลง แต่มีผู้ชายวัยรุ่นหน้าตาน่ารักร้องเพลงด้วยกีตาร์โปร่งตัวเดียว เขามองมาที่กลุ่มของเราแล้วยิ้มผ่านนัยน์ตามาให้ ผู้ชายที่นั่งหันหลังอย่างเมฆคงไม่เห็นว่าจริง ๆ มีอีกหนึ่งคนที่ให้กำลังใจเขาผ่านเนื้อเพลงอยู่

When the tears come streaming down your face
'Cause you lose something you can't replace
When you love someone but it goes to waste
What could it be worse?
Lights will guide you home

*Fix You - ColdPlay*

ตกดึกเบียร์และไวน์เริ่มตีกันรวนในกระเพาะ แต่คิดว่าตัวเองไม่ได้เมาเท่าเมฆและเฌอ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ไลน์ไปบอกพี่ดิมตั้งแต่เย็นว่ามากินข้าวกับเพื่อน แต่เลยเถิดเป็นกินเบียร์ไปซะงั้น จนสี่ทุ่มได้โทรไปคุยสั้น ๆ ว่าคงไม่ได้คุยโทรศัพท์ก่อนนอนเหมือนที่นัดไว้แล้ว ซึ่งคนปลายสายก็เข้าใจดี แต่ก็ย้ำว่าถ้าเมาหรือกลับกันเองไม่ได้ให้โทรมาหา เพราะพี่ดิมจะมารับ ใจดีอีกแล้วแม้บ้านจะอยู่ไกลจากตรงนี้มากก็ตาม

ตัวเองคออ่อนมากรู้นะ แต่อดไม่ได้ที่จะจิบนิดหน่อยให้กับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะกินทุกวันหนิจริงมั้ย ส่วนสองคนที่คอแข็งกว่าไวเบรเลี่ยม ตอนนี้คอพับคออ่อนกับโต๊ะ เพราะถ้านับจำนวนขวดของมึนเมาตรงหน้า น่าจะเลี้ยงคนทั้งคณะได้เลย

“เมฆ ๆ กลับกันเถอะ เฌอ ไหวมั้ยกลับกันร้านปิดแล้ว” ทั้งสองคนที่เมามายพยายามตั้งสติและหาจุดโฟกัสของตัวเอง

“อื้อ กูไหว ๆ กลับ ๆ ป่ะ เมฆ ไปเร็ว” เป็นเฌอที่ลุกขึ้นจากโต๊ะ แต่ก็โงนเงนไปมาจนผมต้องรีบไปพยุงไว้ สรุปใครกันแน่ที่อกหักวะเนี่ย

“อือ ไปดิ” คนถูกเรียกก็เหมือนจะไหว แต่ไม่ไหวเลย ก้าวหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังไปสอง และสภาพผมก็ไม่สามารถแบกเพื่อนทั้งสองคนเพื่อไปที่รถได้

“ผมช่วยครับ” ผู้ชายที่ร้องเพลงคนนั้น เดินมาเข้ามาพยุงเมฆช่วยผม ที่จะตอนนี้แขนซ้ายกำลังจะเดี้ยงเพราะเฌอเล่นทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงมาที่ตัวผมเต็มที่

“ขอบคุณครับ รบกวนด้วย” ผู้ชายคนนี้ดูท่าจะเด็กกว่าพวกเราหลายปี แต่ท่าทางทะมัดทะแมง แม้จะตัวเล็กกว่าเมฆทว่าแข็งแรงสามารถพยุงผู้ชายตัวโตกว่าได้

ท่าทางผมทุลักทุเลจนผู้จัดการร้านที่เป็นผู้หญิงมาช่วยพยุงอีกแรง ผมต้องควักหากระเป๋าเพื่อจ่ายเงินค่าอาหารและของมึนเมา พอทำการเช็กบิลเสร็จก็มุ่งไปที่ลานจอดรถทันที แถมเฌอก็บ่นอยากอ้วกอีกต่างหาก อย่าเพิ่งนะเว้ย แค่นี้ก็ดูไม่ได้อยู่แล้วเฌอลักษม์

“รถทะเบียนอะไรครับ” เด็กผู้ชายมีน้ำใจถามขึ้น

“9889 ครับ”

“เบ๊นซ์คันนั้นใช่มั้ยครับ สีดำ”

“ครับ”

เรามาถึงรถของเมฆที่วันนี้อาศัยรถมันมา ซึ่งดีแล้วที่ผมไม่ได้ขับรถมา ไม่งั้นล่ะลำบากพี่ดิมให้มารับแน่นอน ล้วงหากุญแจรถจากกระเป๋าเพื่อนชายที่พูดพร่ำเพ้ออะไรซักอย่างอย่างหมดมาดคุณชาย แล้วรีบกดกุญแจอย่างไม่รีรอเพื่อให้คนที่ช่วยได้วางผู้ชายร่างหมีที่ที่นั่งข้างคนขับ ส่วนเพื่อนหญิงหนึ่งเดียวนอนราบที่เบาะหลัง

“ขอบคุณมากเลยนะครับที่อุตส่าช่วย”

“ไม่เป็นไรครับ คุณไม่เมาใช่มั้ย ขับรถกลับดีดีนะครับ”

“ครับไม่เมา ขอบคุณอีกทีครับ” เห็นเพื่อนเมาขนาดนี้ก็สร่างเสียดื้อ ๆ

เขายิ้มรับและเดินหันหลังกลับไปทางที่เรามา ก่อนที่จะหยุดชะงักแล้วหันกลับมาพูดบางอย่าง

“ถ้าไม่สบายใจมาที่นี่อีกนะครับ”


 ผู้ชายที่อายุน้อยกว่าผมยิ้มกว้างให้ จนยิ้มตามและพยักหน้ารับ ผมยืนมองเด็กผู้ชายที่ไม่รู้จักชื่อจนเขาเดินลับสายตา และแอบเห็นว่าเขาลอบมองเพื่อนตัวโตที่โดนแบกมาจนเสี้ยววินาทีสุดท้ายเหมือนกัน จู่ ๆ ก็ยิ้มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะขับรถหรูของเมฆไปที่คอนโดของตัวเอง เพราะถ้าไปส่งบ้านทั้งสองคนในสภาพนี้พ่อแม่คงตกใจน่าดู




--------------------



“แม่ลองคิดตามเรื่องที่คุยกันเมื่อคืน ก็ยังแอบกังวลว่าคนจะมองลูกยังไง” คุณผู้หญิงของบ้านที่กำลังปอกผลไม้ใส่จาน เพื่อเป็นของหวานหลังมื้อเช้าของลูกชายคนเดียว ซึ่งก็คือผมที่กำลังจิ้มอกไก่ย่างเข้าปาก ถึงกับต้องชะงักกับประโยคที่แม่พูด เพราะเมื่อคืนก็เหมือนจะพูดเรื่องนี้กันเข้าใจแล้ว

ตามคาดที่คุณแม่อยากให้ผมกลับบ้านเพราะคงเห็นข่าวที่กระหน่ำลงทุกสำนัก และเจ้าแม่โซเชียลอย่างคุณผกากรอง ที่ทุกวันนี้ลงรูปในเฟซบุ๊กมีคนกดไลก์มากกว่าผมอีกด้วยซ้ำ เธอเลยเป็นกังวลว่าลูกชายจะถูกมองผิดเพี้ยนจากเจตนาที่อยากจะสื่อต่อสังคม ก็เลยได้อธิบายกันยืดยาว ตามประสาคนเป็นแม่ที่เป็นห่วงและกังวลแทนลูก ทั้งเรื่องหน้าที่การงาน ทั้งเรื่องชื่อเสียง และทำให้เห็นว่าแม่ผมยังไม่ได้เปิดใจต่อความรักของเพศเดียวกันมากเท่าผมประเมิน

“โถ่ คุณแม่ครับ อย่ากังวลไปเลย ไม่มีทางที่เรื่องแค่นี้จะกระทบกับงานใหญ่ระดับประเทศที่ผมทำหรอก”

“แต่แม่กังวลนี่คะ”

“อะไรกันคุณ นี่เรื่องเมื่อคืนยังไม่จบอีกหรอ” คุณพ่อเดินเข้าครัวมาเพื่อรับประทานอาหารเช้าก่อนออกไปทำงานพูดขึ้น
ดร.ชัชชาติ นักธุรกิจและที่ปรึกษาด้านการเงินให้กับสถาบันการเงินของประเทศหลายแห่ง คุณพ่อเป็นคนอัจฉริยะคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จัก ไม่ว่าจะเรียนจบปริญญาตรีตั้งแต่ 17 จบโทตอน 19 และจบด็อกเตอร์ตอน 23 พร้อมทำงานไปด้วย ใช่อยู่ที่ท่านเกิดมาในตระกูลเชื้อเจ้าเชื้อกษัตริย์ แต่ก็ใช่ทุกตระกูลจะร่ำรวยนี่นา คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าคุณย่าที่เป็นหม่อมหลวงแต่งงานกับคุณปู่ที่เป็นพ่อค้าชาวจีน เลยทำให้คุณพ่อกลายเป็นหลากนอกตระกูล ยังดีที่คุณปู่เป็นคนขยันทำมาหากินเลยสามารถสนับสนุนการเรียนในสมัยนั้นได้ แต่ก็ทำได้แค่ช่วงมอปลาย หลังจากนั้นก็ต้องสอบชิงทุนให้ได้ต่อเนื่องเพื่อจะได้เรียนหนังสือสูง ๆ จนกลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่หลายคนนับถือเช่นทุกวันนี้

“ก็คุณคะ ฉันเป็นห่วงลูกนี่” กีวี่ แก้วมังกร และฝรั่ง ถูกปอกจนเสร็จและจัดเรียงบนจานสีใสอย่างสวยงาม จนคิดถึงเด็กที่หนีไปเที่ยวกับเพื่อนเมื่อคืน คุณแม่ตื่นแต่เช้ามาเตรียมอาหารใส่บาตรและข้าวเช้ากับสำหรับคนในบ้าน และแม่รู้ดีกว่าใครว่าผมกินมื้อเช้าเยอะปริมาณไหน แต่ตอนนี้มีอีกคนที่รู้แล้วเหมือนกัน


เออเห็นแม่ก็คิดถึงเมียเฉยเลยว่ะ




ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“ดิมจะสามสิบแล้วนะ ปล่อยมันไปเถอะ” แม่บ้านเดินเอาข้าวต้มกุ้งมาเสิร์ฟพร้อมกาแฟดำให้คุณพ่อ ท่านพูดพร้อมพยักเพยิดมาทางผม “เดี๋ยวมันก็ไม่กล้าพาเมียเข้าบ้านพอดี”

พอคุณพ่อพูดคำนี้ถึงกับสำลักอาโวคาโด้ที่กำลังเคี้ยวอยู่เฉย เหมือนพ่อจะรู้ความคิดของผม ผมว่ากำลังคิดถึงเมียแล้วก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

มันถึงเวลาหรือยังที่จะพูดเรื่องสำคัญนี้กับคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบใด แต่นี่จะเป็นอีกขั้นของการก้าวไปเป็นผู้ใหญ่แบบเต็มตัว นั่นคือ การให้เกียรติคนที่รัก ทั้งครอบครัวผม ครอบครัวศิ และตัวศิ คนที่ผมรู้สึกแล้วว่าอยากใช้ชีวิตและอยากให้เขาวางชีวิตให้ผมดูแล และสุดท้ายเราจะดูแลกันและกัน

ลองหยั่งเชิงดูจะได้เตรียมรับมือถูก

“พ่อครับแม่ครับ” หลังจากผมเช็ดปากและวางช้อนก็รวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยเรื่องสำคัญให้ท่านพอจะได้ทราบ

“ผมมีแฟนแล้วนะ”

“แฟนหรือเมียวะลูกชาย ฮ่า ๆ” คุณพ่อแซว แต่คุณแม่ยังคงมีสีหน้าอึ้งอยู่เล็กน้อย

“ใครหรือคะ ใช่คนที่หนูเกลบอกแม่หรือเปล่า”

“ครับ คนนั้นแหละ”
“ไว้ผมจะพามาเจอนะ เขาทำอาหารเก่งเหมือนแม่เลย”

“ทำอาหาร? นี่ไปนอนที่คอนโดลูกแล้วหรอคะ?” คนเป็นแม่ยังซักไซร้ต่อ ส่วนคุณพ่อซดข้าวต้มกุ้งแบบประมาณว่ากูไม่เกี่ยวแล้วนะ โถ่พ่อ

“ก็บ้างครับ ส่วนใหญ่ผมไปนอนคอนโดน้องมากกว่า” ผมตอบไปตามตรง เพราะเรื่องแบบนี้พวกท่านรู้ดีว่ามันเป็นปกติของคนในยุคนี้ ไม่ใช่ยุคก่อนสมัยพ่อแม่จีบกัน

“มีรูปให้แม่ดูมั้ย อยากเห็นแล้วสิ”

“ไว้ผมพามาเจอเลยดีกว่า”

แม้จะยังไม่สามารถบอกความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับน้องได้ เพราะคิดว่าพ่อแม่คงตกใจไม่น้อยกับรสนิยมของลูกชายที่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ผมเชื่อว่าพ่อแม่มีเหตุผลมากพอที่จะรับฟังความรู้สึกของผมและคนที่ผมรัก อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย ศิที่ทำให้ผมใจระทวยกับความน่ารักของเขาได้ ก็คงไม่อยากที่จะทำให้พ่อและแม่ถวายหัวใจให้อีก

“ถ้าสมมติผมมีแฟนเป็นผู้ชายพ่อกับแม่จะว่ายังไงบ้างครับ”

คุณพ่อไม่ได้ตอบรับอะไรเพียงแต่ยกไหล่ขึ้นที เชิงว่าเรื่องของแกเจ้าลูกชาย ส่วนคุณแม่ทำตาโต อย่างไม่อยากเชื่อว่าเมื่อสักครู่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากปากลูกชาย

“เดี๋ยวนะคะ อันนี้เป็นเรื่องสมมติใช่มั้ย” ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แม่มีท่าทีเช่นนี้ เพราะมันคงน่าตกใจไม่น้อยสำหรับผู้หญิงยุคเจนเอ็กซ์ที่รับรู้มาตลอดว่าผมมีแฟนเป็นผู้หญิง ทั้งที่เปิดตัวกับที่บ้านและที่แม่สืบเสาะจนรู้

แต่คุณแม่คงคิดไม่ถึงว่า ผมมีผู้ชายน้อยใหญ่เข้ามาตามจีบบ่อยเหมือนกันนะ

“ครับ”

“เฮ้อโล่งอกค่ะ แต่ถ้าลูกมีจริง ๆ…เอ่อ...แม่ก็คงต้องขอเวลาหน่อยนะคะ แม่รู้ว่าลูกแม่เลือกใครก็คือคนนั้นดีจริง ๆ แต่จะให้คนยุคโบราณแบบแม่รับเรื่องทันสมัยแบบนี้ปุบปับคงไม่ได้หรอกค่ะ” คุณแม่ใช้น้ำเสียงพูดที่ดูออกว่าเป็นกังวล ทั้งสีหน้าของเธอก็แสดงออกชัดเจนว่ากำลังคิดหากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริง แต่กระนั้นก็พยายามกลั่นกรองคำพูดเพื่อทำให้ผมไม่รู้สึกโดนทำร้ายจิตใจ

แม่ก็ยังคือคนที่รักและเป็นห่วงเราอยากจริงใจที่สุด

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ค่อยเป็นค่อยไปนะคะ

“ส่วนพ่อแล้วแต่ดิม เคยบังคับแกได้ด้วยหรือไง ให้ไปเรียน MBA ก็เรียนหมอ ให้ไปต่อเฉพาะทางที่อเมริกาก็ต่อที่ไทย จะแบ่งหุ้นให้ก็บอกยกให้ดินไปเถอะ”

ผมยิ้มกับการรู้จักลูกชายของตัวเองดียิ่งกว่าตัวผมเองเสียอีก

“แต่ที่พูดไม่ใช่เพราะประชดนะ เพราะพ่อพิสูจน์มาแล้วว่าสิ่งที่ดิมเลือก ดิมคิดแล้วคิดอีก คิดมาดีแล้ว สิ่งที่ดิมเลือกคือสิ่งที่ดิมรักและทำมันได้ดีจริง ๆ”
“ทีนี้จะให้พ่อว่าอะไรอีก”

“ครับ” ผมตอบรับพ่อสั้น ๆ เพราะสายตาที่เราประสานกันมันสื่อสารเป็นพัน ๆ ประโยคไปแล้ว และผมคิดว่าพ่อก็รู้ว่าสิ่งที่ผมสมมติมันมักจะเกิดขึ้นจริงเสมอในชีวิตลูกชายคนกลางของบ้าน ตั้งแต่ผมสมมติว่าจะสอบในโครงการของกสพท. สมมติว่าจะไปใช้ทุนที่ต่างจังหวัด และตั้งแต่ผมจะไปเป็นนักแสดง ทุกการสมมติที่เกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น

รวมถึงครั้งนี้ที่ผมสมมติว่าจะมีคนรักเป็นผู้ชายด้วยเหมืนกัน

ผมออกจากบ้านพร้อมพ่อ ถามว่าระดับผู้บริหารทำไมต้องไปทำงานแต่เช้าขนาดนี้ นั่นก็เพราะวิสัยทัศน์แบบง่าย ๆ ถ้าอยากให้พนักงานทุ่มเทกับงานแบบไหน เราก็ควรทำเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะทุกคนคือฟันเฟืองและแรงขับเคลื่อน ไม่ใช่บริษัทจะมีแค่คุณพ่อและดินมันคงจะขับเคลื่อนต่อไปได้

ซึ่งผมก็ได้คุณพ่อในเรื่องนี้มาเต็ม ๆ ล่ะมั้ง การตรงต่อเวลามันทำให้เรารู้จักคุณค่าของเวลา ผมไม่เคยโกรธเพื่อนที่นัดแล้วมาสาย แค่จะไม่ทำแบบนั้นเท่านั้นเอง




เย็นวันนี้นัดน้องมาหาที่คอนโดผม เพราะไม่ได้กลับมาหลายวัน กลัวห้องจะลืม พอเปิดประตูไปเท่านั้นแหละกลิ่นอาหารลอยเตะจมูกทันที

บ้านไม่ใช่สถานที่ แต่คือผู้คนในบ้านสินะ
คิดว่าถ้าศิไปอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็คงจะกลายเป็นบ้านของผม


“พี่ดิม วันนี้ศิทำปลาหมึกผัดไข่เค็ม แล้วก็ต้มข่าไก่ มีน้ำพริกปลาทูด้วยนะครับ แต่อันนี้ศิไม่ได้ทำเองซื้อมาแหละ หรือว่าพี่ดิมจะกินคลีนมั้ย ศิจะได้ทำเพิ่ม..” ผมจับเด็กที่เจื้อยแจ้วสาธยายเมนูที่อยากนำเสนอมาหอมหัวแรง ๆ มันชักจะน่ารักขึ้นทุกวันเลยนะ

“หัวเหม็นมั้ย” ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เขาชอบกังวลว่าตัวเองจะไม่สมบูรณ์แบบ กลัวตัวเหม็นบางล่ะ กลัวหน้าตาดูไม่ได้บ้างล่ะ ผมแอบสังเกตว่าศิโกนขนขาตั้งแต่ที่ผมกับน้องชัดเจนเรื่องความสัมพันธ์และผมโหมกระหน่ำฟัดน้อง จำได้ว่าครั้งแรกที่มีอะไรกับยังจับเจอขนขาอ่อน ๆ ได้เลย หลัง ๆ มานี่เนียนกริบ

หรือผมยังทำให้ศิมั่นใจในตัวเองไม่ได้กันนะ

“ศิ พี่คุยกับพ่อแม่เรื่องของเราแล้วนะ” ศิดูตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน แน่ล่ะ เด็กขี้กังวลอย่างเขาก็คงไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะรวดเร็วและประเดประดังขนาดนี้

“จะ..จริงหรอ แล้วเอ่อ พ่อแม่ของพี่ว่ายังไงบ้าง”

“แต่พี่ยังไม่บอกนะว่าลูกสะใภ้เป็นใคร” น้องตีแขนผมเบา ๆ ที่ผมเอาเรื่องซีเรียสมาล้อเล่นอีกแล้ว “พี่เกริ่นไปแล้ว แต่แม่พี่ขอเวลาน่ะ”

“หมายถึง...ถ้าคุณแม่พี่ดิมไม่โอเค เราจะต้อง…”

“พี่ก็จะอยู่กับศิเหมือนเดิม” ผมกอดเด็กตัวเล็กเข้าอ้อมแขน หวังจะเพิ่มความมั่นใจ

“แต่นั่นแม่พี่ดิมเลยนะครับ”

“พี่เชื่อว่าแม่พี่จะเข้าใจ เหมือนที่แม่ศิเข้าใจ เพียงแค่เราต้องทำให้ท่านเชื่อมั่นว่าเราจะดูแลกันได้จริง ๆ อีกอย่างพี่ก็รับปากกับหม่าม้าศิแล้ว ไม่ว่ายังไงก็จะดูแลศิให้ดีที่สุด”

“...” คนที่ถูกกอดเอวในตอนแรก กอดตอบผมแน่น

“ศิเชื่อใจพี่ใช่มั้ย ไว้ใจพี่หรือเปล่า” คนตัวเล็กผละตัวออกมาเพื่อมองหน้าผม และสายตาคู่ตรงหน้ามีแววสับสนในที เหมือนเขางงว่าทำไมผมถึงถามอะไรแบบนี้

ไม่ใช่เขาหรอกที่คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ผมต่างหากที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับเขา

“ทำไมพี่ดิมถามแบบนี้ล่ะครับ” ฝ่ามืออุ่นนาบที่ใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา “ศิทำอะไรให้รู้สึกว่าพี่ดิมคิดว่าศิไม่เชื่อใจอย่างนั้นหรอ”

“ศิไม่จำเป็นต้องกลัวว่าตัวเองจะมีกลิ่นเหม็นอะไร ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะชอบทมผมที่ศิไปตัดมามั้ย ศิไม่ต้องโกนขนรักแร้ หรือโกนขนขา และไม่ต้องทาครีมบำรุงอะไรมากมายทั้งที่ตัวเองไม่ชอบ แต่ต้องทำเพราะอยากให้พี่ชอบหรอกนะ”

แตะมือตัวเองทาบกับมือเล็กที่ยังลูกไล้แก้มสากของผม แล้วดึงมือนั้นมาจุมพิตที่ข้อมือขาวเต็มจูบ

“เพราะพี่รักทุกอย่างที่เป็นศิ ทุกอย่างเลย” 

“พี่ดิม…”

“ไม่ต้องน่ารักไปมากกว่านี้ แค่นี้พี่ก็รักศิจนหัวใจจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว รู้มั้ยหนู”

จุ๊บ

ศิรัสเขย่งตัวมาเพื่อทาบริมฝีปากของตัวเองแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากของผม กดและนาบลงมาเต็มพื้นที่ ไม่ปล่อยให้เด็กรุกนาน ปฏิบัติการจูบอย่างที่ชอบทำและรับรู้ด้วยว่าเขาก็ชอบที่ผมทำเช่นกัน ริมฝีปากของสองเราบดเบียดกันจนไม่มีพื้นที่ให้น้ำลายได้หล่อลื่นด้วยซ้ำ กำลังจะใช้ลิ้นแต่ก็ต้องหยุดเพราะเด็กตรงหน้าหายใจไม่ทันและผละตัวก่อนที่มันจะเลยเถิด เพราะมือผมดึงผ้ากันเปื้อนลายริลัคคุมะจนหลุดรุ่ยไปเสียแล้ว

“พอก่อนเลย ศิตัวเหม็น”

“นี่ไงเพิ่งบอกไปเอง ยังจะมาคิดแบบนี้อีก”

เด็กปากแดงเจ่อตรงหน้าก้มหน้างุดกับออก ก่อนจะพูด “ก็อยากให้พี่ดิม...รักไปนาน ๆ นี่นา”

“ข้าวไว้กินหลังกินเมียก่อนแล้วกัน” คิดว่าผมได้ยินคำพูดยั่วยวนแบบนี้แล้วจะปล่อยเด็กขี้อ่อยไปง่าย ๆ หรอ ในเมื่อผ้ากันเปื้อนหลุดแล้วก็ไม่ต้องใส่อะไรเลยก็แล้วกัน


ความคิดพิเรนทร์ไหลทะลักเข้ามาทุกทีเวลาอยู่บนเตียงกับเด็กคนนี้ คนที่บอกว่าตัวเองน่ะไม่มีเสน่ห์ไม่มีอะไรให้น่าหลงใหล อยากให้เขาเข้ามาอยู่ในสายตาของผมแล้วจะได้เห็นตัวเองว่าเขาโคตรจะเซ็กส์แอพเพียลสูงลิบลิ่วติดเพดาน ขนาดใส่เสื้อผ้าครบและเป็นชุดใส่อยู่บ้านธรรมดา ๆ มีผ้ากันเปื้อนลายริลัคคุมะมาทาบบนตัวอีกที ก็ยังน่าขย้ำให้จมเขี้ยว

จัดการถอดผ้ากันเปื้อนและชุดที่ว่านั้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่ทันใจผมอยู่ดี ศิที่ตอนแรกดูจะปฏิเสธเพราะอยากอาบน้ำให้ดีเสียก่อน แต่ตอนนี้เจ้าตัวดูอยากจะหนีไปจากตรงนี้ เพราะผมผูกผ้ากันเปื้อนสีเหลืองเข้ากับเนื้อตัวที่เปลือยเปล่าของเขา แถมยังกดจูบเพื่อป้องกันการกล่าวคำปฏิเสธ มือใหญ่กำลังลากผ่านเนื้อผ้าร่มบาง ๆ ทำให้คนใต้ร่างตัวกระตุกเพราะอารมณ์ที่เสียวสะท้าน ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา

“อะ พี่ดิม จะ จะทำอะไรครับ” ผมยกตัวให้เปลี่ยนให้น้องคล่อมบนตัวผม เพราะอยากเห็นเด็กตัวแดงในชุดผ้ากันเปื้อนสีเหลืองลายหมีให้เต็มตา

“อยากนอนมองเด็กหมีชัด ๆ”

“ฮื้อ ทำไมต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยอะ มันน่าอายนะเว้ย” คนตัวแดงทำท่าทีจะโวยวาย แต่ไม่ทันได้ตามใจ ผมผงกตัวกดจูบหนัก ๆ ที่ริมฝีปากบาง แล้วจัดการถอดเสื้อเชิ้ตและเนกไทที่เกะกะออก

“หนูหันหลังหน่อยครับ”

ศิที่ดูจะกำลังงง ค่อย ๆ เปลี่ยนท่านั่งตามที่ผมบอก

“ถอดกางเกงให้พี่หน่อย”

“พะ ดิมจะทำอะไร” ผมไม่ตอบได้แต่กดจูบตามแผ่นหลังเนียน ที่ยังคงความแข็งแรงของผู้ชายวัยรุ่นได้อย่างดี พอผมไม่ตอบน้องก็จัดการกับกางเกงสแล็คขายาวออกพ้นตัว แต่ยังเหลือปราการชิ้นสุดท้ายไว้ หึ ยังจะยื้ออีกมาถึงขั้นนี้แล้ว เลยเลื่อนใบหน้าไปใกล้กกหูของคนที่นั่งหันหลังตัวสั่นงันงกและพูดขึ้นเบา ๆ

 “หนูถอดให้พี่เถอะ มันอยากมาหาหนูจะแย่แล้ว”

คิดว่ามันยังดูโรคจิตไม่พอ เลยไล้ปลายจมูกผ่านต้นคอเรื่อยมาถึงแผ่นหลัง มือสากลากผ่านกระดูกสันหลังที่นู้นขึ้นเล็กน้อยขณะที่เขาก้มไปจัดการชั้นในของผม และสังเกตว่าเขาผอมลงอีกแล้วเพราะไขมันส่วนเกินที่เคยมีตอนนี้แทบไม่เหลือ ลากมือเอื้อมไปถึงหน้าท้องแบนราบผ่านไรขนอ่อน และก็เลยเถิดไปจนถึงส่วนที่รู้สึกไว กอบกุมมันเต็มมือพร้อมรูดเบา ๆ มืออีกข้างก็ไม่อยู่เฉยสะกิดต่อมไตที่หน้าอกเพิ่มความรู้สึกให้คนตัวบางขึ้นไปอีก

“อ๊ะ อื้อ”

ดุนแผ่นหลังเล็กไปข้างหน้าเล็กน้อย ขณะนี้เด็กใต้ร่างอยู่ในท่าล่อแหลมเต็มที ขาสองข้างของเขาพยายามจะหุบเข้าหากันแต่ไม่ได้สิถ้าขาชิดกันแล้วมันจะเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ยังไง เลยจัดการแทรกตัวเองเข้าไปหว่างขาก่อนจะก้มลงไปที่ส่วนนั้นและใช้ลิ้นสัมผัสมันเบา ๆ

“อ๊ะ พี่ดิม อย่า! ไม่เอา!” ศิสะดุ้งเมื่อรู้ว่าสัมผัสที่ตัวเองได้รับมันเกิดจากอวัยวะส่วนใดของผม

“ศิไม่เคยสกปรกสำหรับพี่ และพี่จะพิสูจน์ว่าพี่รับทุกอย่างของศิได้”

“ฮื้อ มันสกปรกครับ”

ไม่ได้ฟังเสียงทัดท้านยังคงยืดยันจะทำต่อ และใช้ก้านนิ้วยาวของตัวเองเบิกช่องทางรักอีกที จะได้พร้อมรับร่างกายที่มันพร้อมโคตร ๆ ของผม ทั้งที่ยังไม่ได้ไปสัมผัสอะไรมันเลย แต่มันแข็งขืนเพียงเพราะอยู่ใกล้เขา เมื่อคิดว่าศิพร้อมแล้วก็ส่งสารกดจูบที่ต้นคอเขาแรง ๆ น้องสะดุ้งเมื่อรู้ว่าอะไรถูกไถที่ช่องทางของเขา และผมก็วนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่เข้าไปซะที

“ไหนบอกว่ามันอยากมาหาไง why you do this!!” เขาเหวใส่ผมด้วยเสียงแข็ง

“หึ I want to hear that!”

และนั่นเหมือนคำอนุญาตที่ให้ผมเข้าไปในตัวน้อง แน่นอนครั้งนี้ไม่มีเครื่องป้องกัน ไม่ใช่ว่าไม่มีแต่ผมนิสัยไม่ดีเองแหละ

“อ๊ะ” ยังไม่ทันได้เข้าไปสุดทางน้องก็ส่งเสียงสุดแสนสยิวหัวใจ มือเล็กดันต้นขาผมไว้เหมือนจะบอกว่าอย่าเพิ่งพยายามเข้ามามากกว่านี้ “เจ็บหรอ”

“ฮื้อ ฮะ ครับ ทะ ทำไมมันขยายกว่าทุกครั้ง”

พอได้ยินแล้วเหมือนหูดับยิ่งพยายามดันมันเข้าไปให้สุด และค่อย ๆ ขยับเข้าออก จนสุดท้ายเด็กคนดีก็เลิกเอามือมันยั้งขาผมไว้ แต่เปลี่ยนไปกำผ้าปูเตียงจนยับยู่ยี่ไปหมด พอจังหวะทุกอย่างลงตัวก็เลยเปลี่ยนท่าทางตามที่วางแผนไว้ในหัวว่าวันนี้จะต้องได้เห็นฉากนี้ พาตัวเองนอนลงแล้วให้น้องหันหน้าโดยที่ยังคล่อมผมไว้ สีเหลืองของผ้ากันเปื้อนกระแทกเข้าตาผมอย่างจัง แต่ที่กระแทกกว่านั้นคือสีหน้าในยามนี้ของคนรัก มันหลากหลายอารมณ์ปะปนกันไปหมด เขายังคงหอยหายใจถี่กระชั้นและปวกเปียกจนผมสามารถให้เขาอยู่ในท่าไหนก็ได้

“ฮาา คิดมาแล้ว ชะ ใช่มั้ย”

ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำสายตาแบบไหน แต่มันคงชัดเจนบนใบหน้าเลยแหละว่าผมต้องการอะไร ไม่รีรอเริ่มขยับกระตุ้นให้คนด้านบนขยับสักทีและเมื่อเขาขยับผ้ากันเปื้อนสีสดใสก็เลิกขึ้นลงพอให้เห็นส่วนนั้นของเขาวับ ๆ แวบ ๆ  เซ็กซี่ชะมัด หัวใจเต้นแรงเหมือนโดนกระตุ้นด้วยไฟฟ้าเลย

น้องคงมองว่าผมโรคจิตไปแล้วแน่ ๆ  กับการแอบใช้มือเลิกผ้ากันเปื้อนเพื่อที่จะมองร่างกายของเราเชื่อมกัน และถูกขยับขับเคลื่อด้วยคนรักของตัวเอง คนด้านบนบดเบียดและโยกขยับด้วยสีหน้าและท่าทางที่ผมไม่เคยคุ้นชินกับมันได้สักครั้ง เหงื่อชื้นที่ปลายเส้นผมและใบหน้าแดงระเรื่อ ให้ตายเหอะว่ะ มันจะอยู่ในทุกความคิดของผมแน่ ๆ เออยอมเป็นไอ้โรคจิตที่เสพติดศิก็ได้วะ

น้องขยับอีกไม่นานเขาก็ปลดปล่อยออกมาเลอะเต็มผ้ากันเปื้อน ส่วนตัวผมก็พลิกตัวกลับมาที่ท่าเบสิกและอดใจไม่ไหวจริง ๆ ที่จะปลดปล่อยลงบนผ้ากันเปื้อนสมทบ ก่อนจะจับลูกชายกลับเข้าไปช่องทางนั้นอีกครั้ง และบทรักที่สองก็เริ่มขึ้นอีก

สงสัยผ้ากันเปื้อนอันนี้ต้องถูกน้องทิ้งลงถังขยะแน่ ๆ เลย

และผมถูกน้องตั้ง AKA ให้ (ที่น้องอธิบายตั้งนานว่ามันคืออะไร เพราะยอมรับว่าก็เกิดมานาน)
คือ Pornny Daddy เดี๋ยวคราวหน้าว่าจะแต่งไรม์ตอนน้องอยู่บนตัวให้สักสองบาร์ Yeah






-------------------------------------To be continued-----------------------------------------





ขอโทษทุกคนก่อนเลย หายไปเกือบสามอาทิตย์
ตอนนี้ใช้น้ำเสียงดูขึงขัง ไม่พูดจาออ่อนหวาน เพราะมีคนติดตามเข้าหน่อย
จริง ๆ อยากใส่มุกนี้ลงในเรื่องมากแต่ว่าก็กลัวนิยายติดเชื้อในกระแสเลือดอะน้อออ
เป็นยังไงงงง หายไปนานก็เข้มข้นคนเขียนไม่จางละเน้ออ
#ประกาศคัมแบ็คอย่างเป็นทางการ #โปรเจ็กต์ใหญ่ที่ทำคนเดียวเสร็จแล้ว #เฮฮฮฮ้
ตอนนี้หลายอารมณ์มากหน่อย เข้าพาร์ทชีวิตครอบครัวแล้ว มาดูว่าน้องศิจะฝ่าด่านแม่ผัวดั้ยมั้ยยยยย
กด 99 ให้กำลังน้องด้วยนะ

รออ่านคอมเมนท์จากเหล่าลูกหมีทั้งหลายจ้า
#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1
@mifengbeexx



 :hao7: :hao7: :hao7:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2018 14:19:47 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ LomaPakpao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
นเรารอการชดเชยจากคุณค่ะ //ข่มขู่
รอการทบต้นทบดอกแบบดอกเบี้ยค้างชำระ //ขูดรีด

ออฟไลน์ maplub_oyaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ SuwaNNa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ผ้ากันเปื้อนในตำนาน

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
หอบกำลังใจมาให้น้องศิ..คุณพ่อคงเข้าใจแต่คุมแม่นี่..เอาใจช่วยอีกแรง   :call: :call: :call:

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.23 no body perfect
[/size]

You're the only one who runs my world




1 เดือนผ่านไป

ทางทีมงานแจ้งทางในกรุ๊ปไลน์ของนักแสดงทุกว่าจะมีการเลี้ยงปิดกล้อง หลังจากที่เลื่อนมาแล้วหนึ่งครั้ง เพราะติดที่ผู้กำกับไม่สะดวก เลยมาเป็นวันนี้ตรงกับวันที่ซีรีส์ออกอากาศเป็นวันแรกพอดี

ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ผมเสนอให้พี่ดิมกลับบ้านบ่อยขึ้น เพราะอยากฝากอาหาร ขนม เล็ก ๆ น้อย ๆ  ที่ตัวเองพยายามหัดทำ เพื่อไปให้คุณพ่อคุณแม่พี่ดิม ผมไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พวกท่านยอมรับ สิ่งนี้มันเป็นความคิดเด็ก ๆ ของผมเองที่อยากให้ท่านรับประทานอาหารดี ๆ  แม้จะรู้ว่าบ้านพี่ดิมมีแม่บ้านจัดการให้ทุกอย่าง แต่นี่คือสิ่งเดียวที่คิดว่าผมจะทำได้ ในระหว่างที่แม่พี่ดิมขอเวลา

เมื่ออาทิตย์ก่อน ป่าป๊าของผมนัดพี่ดิมไปรับประทานเย็นที่บ้าน โดยมีผมและม๊าเป็นคนเข้าครัวเอง ซึ่งเป็นแผนของม๊า เพราะอยากให้ป๊าได้คุยกับพี่ดิมแบบจริงจัง ถ้าผมอยู่ด้วยป๊าจะทำท่าขึงขังไม่ได้ ม๊าบอกแบบนี้

พอถามพี่ดิมว่าคุยอะไรกับป๊าบ้างเขาก็อ้อมแอ้มบอกแค่ว่าเป็นคำพูดของลูกผู้ชายชายชาติลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ ผมสังเกตตอนที่นั่งกินข้าวป๊าไม่ค่อยพูดอะไร ส่วนใหญ่จะถามถึงเรื่องสมัยเรียนมัธยมเพราะเราสามคนเรียนที่เดียวกันหมด เรื่อยไปจนงานของหมอโรงพยาบาลรัฐเป็นอย่างไรบ้าง เห็นว่าป๊ากำลังจะร่วมหุ้นสร้างโรงพยาบาลเลยถามความต้องการจากคนอยู่ที่นั่นทุกวัน แต่สิ่งที่แปลกตาคือป๊าดูขรึมและมีมาดที่ลูกชายอย่างผมไม่เคยเห็น

จากที่ประเมินก็น่าจะเป็นไปในทางที่ดีนะ และคืนนั้นป๊าก็บังคับให้ผมนอนที่บ้าน บอกว่าไปนอนบ้านคนอื่นรบกวนเขา ทั้งที่จริง ๆ หาเรื่องคุยกับผมในแบบที่ไม่มีพี่ดิมมากกว่า

“ป๊าอ่านเขาไม่ออก”

“แล้วป๊าจะอ่านอะไรพี่ดิมอะ”

“ก็อ่านแบบทีผู้ชายมันอ่านกันออกไง”

“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะครับ”

“ก็ไม่รู้นี่ไง ฮ่าๆๆ เขาก็ดูสุขุมดี เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ มีชั้นเชิง อีกอย่างไม่ใช่แค่ฉลาดแต่เฉลียว ดูคนออก”

“นี่ขนาดไม่รู้ยังมองได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย”

“แหม่ไอ้ลูกหมา ป๊าก็อายุอานามขนาดนี้ก็พอมองออกเว้ย หายากนะคนที่ฉลาดแล้วเฉลียวด้วย” ป๊ากอดอกพูดพลางคิดไปด้วย

ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจคำพูดของพ่อเท่าไหร่ “ยังไงอะ”

“ก็ฉลาดพูด ฉลาดแสดงออก เลือกพูดในสิ่งที่คนฟังอยากได้ยิน และเลือกจะฟังเมื่อต้องฟัง มิน่าล่ะลูกถึงติดเขาแจขนาดนี้”

“โถ่ ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย” ผมยู่ปากไปที แต่ผู้เป็นพ่อก็เบะปากใส่ เออยอมรับก็ได้ว่าติดเขาจริง ๆ นั่นแหละ “แล้วผ่านป่ะ?” ผมเอ่ยถาม

“กำลังคิด ไว้พามาอีก นี่ยังอยากรู้เรื่องห้องหับในโรงพยาบาลอยู่เลย”

“แหม่ป๊า”

พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ยิ้มกริ่มกับตัวเอง ตอนแรกก็กังวลว่าป๊าจะรับไม่ได้กับความรักของผม แต่ทุกอย่างกลับเป็นไปในทางที่ดีกว่าที่คิด แม้ป๊าจะไม่ได้ยอมรับเสียทีเดียวตามมาดของพ่อที่(ทำท่า)หวงลูกชาย แต่กระนั้นป๊าก็ยอมรับในความน่าเชื่อถือของพี่ดิมพอสมควรล่ะนะ

“ศิ ไหงมานั่งคนเดียววะ พี่หมอไม่มาหรอ” เสียงผู้ชายตัวใหญ่ที่ไม่ได้เจอนานนับตั้งแต่ปิดกล้อง พี่ภัทรดูดีเหมือนเดิม และคิดว่าดีกว่าเดิมยังไงแปลก ๆ เขานั่งลงตรงข้างโต๊ะสำหรับสองที่ที่ผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว

“พี่ดิมติดเคสเดี๋ยวตามมาน่ะครับ คงมาทันตอนเริ่มงานพอดี” ยกน้ำผลไม้ที่ทางพนักงานเอามาเสิร์ฟให้จิบไปพลาง ๆ

“ก็ว่า เขาไม่น่าให้ศิมาคนเดียว แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ อาโป? พูลล์? ไปไหน”

“กำลังมาน่ะครับ จริง ๆ คนอื่นในทีมนักแสดงก็ยังไม่มาป่ะ” ผมมองไปรอบ ๆ ร้านอาหารกึ่งบาร์ ที่วันนี้ถูกจองเพื่อเลี้ยงปิดกล้องและฉลองการออกอากาศวันแรก “มีแค่เราสองคนนี่แหละที่รีบ”

“เออว่ะจริงด้วย”

“นี่พี่ภัทรไปทำไรมาอะ ทำไมดู...แปลกตา”

“เนี่ยตาถึงนะน้องชาย ทำสีผมใหม่เว้ย แล้วก็ผิวแทนขึ้น”

“เออว่ะจริงด้วย เฮ้ย! เออจริงด้วยพี่! ดีอะ!!” ผมตื่นเต้นกับสิ่งที่พี่ภัทรบอก และเหมือนมันเป็นความรู้สึกที่เราสงสัยแล้วถูกคลายปมอะ จริง ๆ ไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ก็ได้ แต่กับพี่ภัทรมันต้องเล่นใหญ่ไว้ก่อน ฮ่าๆๆๆ

“ศิเล่นใหญ่กว่าแม่พี่ที่เห็นพี่กลับบ้านหลังจากหนีไปเที่ยวเดือนนึงอีกอะ”

“ฮ่าๆๆ ก็อยากเล่นใหญ่อะ เออศิเห็นพี่ภัทรไปเที่ยวตลอดเลย โคตรอิจฉา”

“เนี่ยก็บอกให้คบกับพี่ คบกับหมอเขาจะมีเวลาพาไปเที่ยวที่ไหน”

“อย่ามาขิงน่า” หรี่ตามองคนที่นับว่าตัวเองเป็นพี่ชาย

“พี่หมอเขาดีใช่ป่ะ ยังเหมือนตอนแรก ๆ มั้ย”

“ครับ ก็ดีเหมือนเดิม แต่นั่นแหละ  ไม่ค่อยอยากให้เขาพาไปไหนแค่นี้เขาก็เหนื่อยแล้ว” พี่ภัทรหยักหน้ารับ พร้อมเอามือมาลูบผมผมไปด้วย ผมยิ้มรับกับความห่วยใยที่พี่ภัทรมีให้ ตั้งแต่คบกันมาเรายังไม่เคยได้ไปที่ไหนไกลเกินกว่าแถบปริมณฑลเลยมั้ง แต่ผมไม่ติดอะไรนะ อย่างที่เคยบอกว่าก่อนหน้านี้ตัวผมเองก็ไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้ว เรื่องนี้เลยไม่ได้เป็นปัญหา แค่ได้เจอหน้ากัน กินข้าวที่ห้อง หรือเอาปิ่นโตไปให้พี่ดิมที่โรงพยาบาลก็มีความสุขดี

 “แล้วพี่ภัทรมีคนให้ไปจีบยัง”

“หึ พูดกับใครอยู่วะน้อง มีดิระดับนี้” พี่ชายตรงหน้าพูดอย่างภาคภูมิใจ “คือไปเจอเด็กไทยเว้ย ตอนไปเที่ยวเขาที่อิตาลี โคตรอินดี้ไปคนเดียว บอกว่า gap year ก่อนเข้ามหาลัย คุยไปคุยมาเรียนที่เดียวกับพี่สมัยมอปลาย ก็เลยขอคอนแท็กตีเนียนคุยเรื่องมหาลัยซะเลย นี่เป็นไง”

“เฉียบขาด” ผมยกนิ้วโป้งให้เขาพร้อมยักคิ้วให้ด้วย ก่อนตบบ่าเบา ๆ “เอาใจช่วยนะพี่ชาย”

นั่งคุยกับพี่ภัทรได้สักพัก ก็เริ่มมีเพื่อนนักแสดงคนอื่นทยอยมาสมทบ รวมถึงพี่ ๆ ทีมงานด้วย สถานที่เริ่มคึกคักก็ตอนที่พี่ปาล์ม พี่นิว น้องเงิน ตัวแสบ ๆ เดินทางมาถึง ก็รีบปรี่เข้าไปจับเครื่องขยายเสียงและบรรเลงร้องคาราโอเกะกันก่อนเลย เพิ่งรู้วันนี้ว่าน้องเงินเล่นกีตาร์ได้ดีมาก ทำเอาทุกคนที่มาในงานแล้วปรบมือให้มือกีตาร์มากกว่านักร้องอย่างพี่ปาล์มเสียอีก

เกือบสามทุ่มทุกคนก็มาพร้อมหน้าพร้อมตา ยกเว้นแฟนผมไว้คน เพราะตอนนี้เพิ่งออกจากโรงพยาบาลและอีกสักพักกว่าจะมาถึง แต่อีกไม่ถึงสิบนาทีซีรีส์ตอนแรกของเราก็จะออกอากาศกันแล้ว

“ก็คือพระเอกของเราตอนนี้ก็ยังมาไม่ถึงนะครับ”

“ครับผม ก็ต้องเข้าใจคุณหมอหนุ่มไฟแรงกันหน่อย ผ่าตัดไปไฟลุกไปนะฮะ”

พี่ภัทรและพี่ปาล์มแต่งตั้งตัวเองเป็นพิธีกรในคืนนี้เอ่ยแซว แถมมองมาที่ผมอีกด้วย คนพวกนี้นะ จริง ๆ เลย

โดยปกติเวลามีกิจกรรมปิดกล้อง มักจะมีนักข่าวติดต่อเข้ามาขอเก็บบรรยากาศ วันนี้ผมก็เลยถูกสัมภาษณ์จากนักข่าวของช่องต้นสังกัด และนักข่าวออนไลน์อีกสองสำนัก และนอกจากนั้นเป็นการสัมภาษณ์รวม เพราะพี่ใบชาที่วันนี้ไม่ได้มา ฝากทางเออาร์ที่มาร่วมงานอนุญาตให้ผมสัมภาษณ์แค่นี้ ด้วยเหตุผลความเหมาะสม โดยทางเพจหลักของช่องไลฟ์บรรยากาศงานวันนี้ไปด้วย มีแฟน ๆ นิยายเข้ามาชมบรรยากาศเยอะจนน่าตกใจ และแน่นอนส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับพี่ดิมและพูลล์ ของผมก็มีนะแต่ว่าไม่ยอะเท่าสองคนนั้นหรอก

ขณะนี้ทางร้านสวิชต์เสียงเพลงให้เป็นเสียงจากทางทีวีแทน กิจกรรมโหวกเหวกเมื่อสักครู่หยุดชะงัก เพราะเสียงเพลงประกอบซีรีส์ รวมถึงโลโก้ ต่าง ๆ ทยอยเลื่อนขึ้นมา พอไตเติ้ลแนะนำชื่อนักแสดงคนไหนก็จะมีเสียงปรบมือ กระทั่งเสียงแซว และต้องยอมรับว่าไตเติ้ลทำได้สวยและเหมาะกับละครกึ่งพีเรียดได้ดี ทั้งโทนสี ฟ้อนต์ รวมถึงเพลงที่ได้นักร้องชื่อดังเสียงดีในค่ายมาร้องประกอบให้ ถ้าเอ่ยชื่อทุกคนในประเทศน่าจะรู้จักเขาดี

ฉากแรกที่ฉายบนจอคือฉากความฝันในอดีตของผม เป็นภาพตัดสลับฉายทับกับสิ่งมีชีวิตที่ขมวดคิ้วบนเตียงซึ่งก็คือผมนั่นเอง

“เล่นเก่งจัง” ผมถึงกับสะดุ้ง เพราะเสียงกระซิบคุ้นเคยใกล้กกหู พี่ดิมโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ไหนว่าอีกสักพักถึงจะมาถึง

“ทำไมมาเร็วจังครับ” ผมกระซิบตอบ เพราะตอนนี้บรรยากาศในร้านดูเงียบลงโข เพราะทุกคนต่างตั้งใจดูผลงานของตัวเองที่ออกอากาศอยู่

“พี่ตัดสินใจแว้นมา เพราะรถยังติดอยู่เลยตอนนี้”

พี่ดิมตอบผมแล้วหันไปสวัสดีผู้ใหญ่หลายท่านที่นั่งถัดจากโต๊ะที่ผม ตอนแรกนั่งอยู่สองคนกับพี่ภัทร ก็ได้ขยับขยายมานั่งโต๊ะกลมใหญ่รวมกับเพื่อน ๆ คนอื่น โดยที่ไม่มีที่ให้พี่ดิม แต่เขานั่งเบียดผมที่แขนเก้าอี้แขน เปิดเผยมากไปแล้วนะคุณหมอ

“ศิขึ้นกล้องนะ”

“หรอครับ ศิว่าตัวเองแปลก ๆ ยังไงไม่รู้”

“ไม่ต้องเขินหรอกน่า ตอนนี้คนดูทั้งประเทศละ” พูลล์นั่งใกล้ผมพูดขึ้น “สีหน้าพี่ดิมชัดเจนเลยนะครับ หึ” ไม่วายกระแซะผู้ชายตัวโตที่นั่งเบียดผมอยู่ แถมยังขโมยแก้วน้ำอัดลมผมไปซดเข้าคออึก ๆ แล้วก็ยักคิ้วใส่พูลล์ไปด้วย กวนดีเหมือนกันพี่ดิมเนี่ย

“พี่ดิมหิวมั้ย กินอะไรดี มีของกินอยู่ตรงนู้นเป็นบุฟเฟ่ต์แหละ”

“หิวมากเลย มีเวลากินข้าวกลางวันแค่แป๊บเดียวเอง”

“งั้นเดี๋ยวศิไปตักมาให้นะ ไปรอที่โต๊ะเล็กนะ จะได้นั่งกินสบาย ๆ” ผมทำท่าจะลุกไปตักข้าวให้พี่ดิม แต่ถูกคนตัวโตดึงแขนไว้

“ไม่เป็นไรพี่ทำเองได้ ศิมานั่งเป็นเพื่อนได้มั้ย”

“ฮิ้ววววว พระนายเขาดู๋ดี๋กันนอกจอว่ะเฮ้ย” เสียงพี่ช่างภาพคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง แล้วทุกคนที่นั่งตั้งใจดูซีรีส์ก็หันมามองผมกับพี่ดิมเป็นตาเดียว แน่นอนล่ะมันค่อนข้างที่จะเอ่อ ดูสวีทล่ะมั้ง ผมคิดเอาเองว่าทุกคนในทีมเดาได้ว่าเราทั้งคนมีความสัมพันธ์เกินกว่าเพื่อนร่วมงาน (จริง ๆ เกินไปเยอะเลย)

ได้แต่มุดหน้างุดเข้ากับแขนของพี่ดิม ก่อนเขาจะค่อย ๆ ลุกแล้วไปที่โซนอาหาร ผมจึงลุกตามไปเพื่อไปนั่งเป็นเพื่อนเขาทานอาหาร พี่ดิมไม่ชอบกินข้าวคนเดียวสักเท่าไหร่ถ้าเลือกได้ ทว่าเวลาเลือกไม่ได้ก็จะต้องจำใจกินคนเดียว เขาเล่าให้ฟังบางวันเลิกงานไม่ดึกมากก็จะขับรถกลับไปกินข้าวที่บ้าน จะได้ไม่ต้องเหงากินข้าวคนเดียวที่คอนโด

เขานั่งกินข้าวเงียบ ๆ กับอาหารฟิวชั่นทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง และอาหารญี่ปุ่น ซึ่งพี่เขาเลือกกินแต่อะไรที่ย่อยง่าย แต่ก็กินเยอะเท่าเดิม ฮ่า ๆ

เมื่อทีวีตัดเข้าโฆษณาโฆษกที่แต่งตั้งตัวเองก็ลุกขึ้นมาจับไมค์ทำกิจกรรมอีกครั้ง โดยพุ่งเป้ามาที่ผมและพี่ดิมที่นั่งกินข้าวในมุมเล็ก ๆ ภายในร้าน ไม่พอยังวิ่งเอาไมค์มาจ่อปากพี่ดิมทั้งที่เขายังเคี้ยวข้าวอยู่เลย ส่วนพี่ดิมก็ขำ ๆ ร่วมสนุกไปด้วย

“รู้สึกยังไงกับฉากเมื่อสักครู่นี้ครับ” เป็นพี่ปาล์มที่ใจกล้า

“ก็ดีครับ มีคนเขิน” เสียงโห่ฮิ้วจากทุกสารทิศ เพราะฉากที่เพิ่งผ่านไปคือฉากในความฝันที่ผมนุ่งโจงกระเบนให้คุณชายพันแสงน่ะสิ “ผมหมายถึงคนในที่นี้เขินกันหมดครับ” พี่ดิมตอบกลั้วหัวเราะไปด้วย เพราะเข้าใจดีว่าคนที่ถามต้องการคำตอบแบบไหน และพี่ดิมก็คือคนที่เล่นเกมเก่งคนหนึ่งเลยล่ะ

“แล้วตอนที่ถ่ายทำล่ะครับรู้สึกยังไง”

“ก็แปลก ๆ ดีครับ ไม่เคยแต่งชุดไทย แล้วก็..ตั้งแต่โตมาก็เพิ่งเคยมีคนมาแต่งตัวให้แบบนี้”

“โห นี่น้องศิก็ถือเป็นคนแรกของพี่หมอเลยสิครับ”

“ครับ คนแรก”


เสียงกรี๊ดกร๊าดโหแซวดังแซงแซ่ขึ้นอีกรอบ ผมไม่รู้จะทำหน้าแบบไหน เลยได้แต่ยิ้มเขินอยู่ที่เก้าอี้ แล้วยิ่งเป็นพี่ปาล์ม ไว้ใจได้เรื่องลามกเนี่ย ไม่อยากคิดถ้าพี่ดิม พี่ปาล์ม พี่ภัทร อายุใกล้กันกว่านี้แล้วอีกสองคนไม่เกรงใจหน่อยก็คงจะเป็นแก๊งปากแมวเหมือนที่ป๋าตั้งให้พี่ปาล์มแหง่ ๆ

คิดไว้ไม่มีผิดช็อตเมื่อสักครู่มีเพื่อน ๆ พี่ ๆ ทีมงานถ่ายลงไอจีสตอรี่แล้วแท็กผมกับพี่ดิมเต็มไปหมด เรียกได้ว่าดันแท็กของซีรีส์ในทวิตเตอร์ได้มากทีเดียว เพราะเพียงแค่ออกอากาศวันแรกคนก็ทวิตข้อความร่วมห้าแสนกว่าไปแล้ว

“เช็กเรตติ้งอยู่หรอ”

“อื้อ มีแต่คนแคปที่พี่ดิมถอดเสื้อเต็มไปหมด” ผมยู่ปากใส่เขาไปที ตอนนี้ซีรีส์จบไปแล้วตามเวลาออกอากาศ บรรยากาศในร้านก็เลยกับมาครึกครื้นด้วยเสียงเพลงและแสงไฟที่ถูกหรี่ลง ผมและพี่ดิมก็ได้ย้ายกลับมานั่งที่โต๊ะตัวเดิม โดยที่พี่ภัทรเสียสละไปนั่งอีกโต๊ะข้าง ๆ เขามากระซิบบอกว่ากลัวพี่หมอเหม็นขี้หน้า

“ทำใจมีแฟนหุ่นดีก็แบบนี้” เสียงทุ่มกระซิบข้างหู เขานั่งเอาแขนพาดพนักพิงผมไว้ ไม่ต่างจากโอบเลยไม่ใช่หรอ

“เชอะ เดี๋ยวจะไปฟิตกล้ามบ้าง ที่พี่ใบชาบอกว่าแอทติจูดติดต่อจะให้ผมไปถ่ายแบบอะจำได้มั้ย ลืมหรอ”

“ไม่ให้ไปครับ ลืมหรอ” เขาย้อน  แถมยังเอาหน้ามาใกล้ ๆ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นี่อีก แพ้ทุกทีสิน่า

“คุยกับคนอื่นบ้างเห๊อะ ไม่เคยคุยกันหรอ” อาโปกระแทกตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างผม ส่วนคนอื่น ๆ โชว์สเต็ปหน้าเวทีที่พี่ปาล์มเปิดคอนเสิร์ตอีกแล้ว “เหมือนไม่เคยเจอกันอะพี่หมอ”

“หึ” พี่ดิมยกยิ้ม แล้วกระดกเครื่องดื่มสีอำพันลงคอ ตอนแรกผมก็ท้วงตอนที่ร่างสูงสั่งเครื่องดื่มกับบริกร แต่เขาบอกว่าพรุ่งนี้ไม่ได้เข้าเวร มีแค่ไปประชุมย่อยเรื่องวิจัยกับอาจารย์ตอนบ่ายเท่านั้น ก็เลยปล่อยให้เขาสนุกให้เต็มที่อย่างไรเราก็กลับแท็กซี่กันอยู่แล้ว

“ทำมาเป็น กูเห็นว่าพอร์ชมารอรับมึงเลยหนิ ทำไมไม่ชวนเขาเข้ามาด้วยล่ะ”

“มึงไม่เห็นนักข่าวหรือไง”

“เฮ้ย จริงด้วย พี่ดิม!” ลืมไปเลยว่ามีนักข่าวมาด้วย แล้วที่เราสองคนแสดงออกว่าสนิทกันมาก ๆ ล่ะ เขาจะเอาไปเขียนอะไรให้เป็นเรื่องใหญ่โตอีกหรือเปล่า

“ช่างเขาเถอะ ซีรีส์ออนแล้ว เขียนเยอะ ๆ สิดี คนจะได้พูดถึงเยอะ ๆ โฆษณาจะได้เข้าเยอะกว่านี้ เนอะอาโป”

ผมสงสัย มองพี่ดิมสลับกับเพื่อนตัวเอง “มันหมายความว่ายังไงอะ”

“ถ้าโฆษณาเข้าเยอะใช่ป่ะ มึงก็อาจจะได้ค่าตัวเพิ่มไง ในสัญญาก็บอกนี่หว่า ไม่ได้อ่านอีกแล้วอะดิ” อาโปส่ายหน้าให้ เพราะจริง ๆ ผมก็อ่าน แค่อ่านไม่หมด แฮะ ๆ รู้แค่ว่าจะได้ค่าตัวหลังจากที่ซีรีส์ออน ส่วนราคาค่างวดอะไรผมก็จำไม่ได้ด้วยอะ

“ก็ถ้าสมมติมึงโดนหลอกให้เซ็นสัญญาทาสมึงก็แค่ตายศิรัส ดูแฟนพี่ดิพี่หมอ” อาโปโบ้ยมาให้คนที่โตกว่ามองผมแบบยิ้ม ๆ

“ก็ตอนนั้นกูตื่นเต้นนี่ เป็นสัญญาสำคัญฉบับแรกเลยนะเว้ยโป อีกอย่างวันนั้นก็มีหลายคนที่ไปด้วยอะ กูเห็นเขาอ่านกันเสร็จแล้ว แต่กูอ่านหนังสือช้ามึงก็รู้ ก็เลยเซ็นต์ ๆ ไปเลย”

“เฮ้อ” อาโปถอนหายใจใส่กับความไม่รอบคอบของผม

“ทีหลังต้องอ่านดี ๆ นะ ดีที่เป็นที่นี่ไม่งั้นศิอาจจะโดนหลอกได้”

“ครับผม” หงอยไปเลย เหมือนโดนพ่อดุแต่ยังดีที่มีแฟนปลอบ อิอิ

ตกดึกหลายคนเริ่มกรึ่ม บางคนโงนเงนยืนไม่ตรงไปเสียแล้ว ไม่เว้นแม้แต่พี่ ๆ นักข่าวในงาน แอลกอฮอล์นี่ทำให้คนสนิทกันไวดีจริง ๆ ล่าสุดน้องเงินนั่งกอดคอพี่ดิมแล้ว ตอนแรกเห็นคุยกันเรื่องรถอยู่ดี ๆ ก็เข้าเรื่องสาวที่เด็กหน้าใสตามจีบอยู่แต่คู่แข่งดันเป็นคนครึ่งค่อนมหาลัย คนมากประสบการณ์อย่างพี่ดิมก็ได้ถ่ายทอดวิทยายุทธให้เด็กปี 1 ไปหลายกระบวนท่า ไป ๆ มา ๆ พี่ดิมก็ถูกเด็กกอดคอแบบนี้แหละครับ ทั้งที่พี่เขาไม่ได้เมามายขนาดนั้น เพียงแค่กรึ่มๆ เท่านั้น แต่คงไม่อยากขัดการสนทนาที่ลื่นไหลนี้

ส่วนผมนั่งฟังป๋าและพี่ปาล์มคุยกัน รวมไปถึงพี่ ๆ ทีมงานฝ่ายเทคนิค ส่วนตัวเองดูจะง่อยด้านนี้ที่สุด แต่ดูเป็นโต๊ะที่น่าจะได้สาระที่สุด ทว่าสุดท้ายแล้วกลับมานั่งหัวเราะจนกรามจะค้างเพราะการเล่นมุก ตบมุกกันไปมา บางมุกก็ไม่เข้าใจดีเลย์หัวเราะหลังคนอื่นเขาก็มี

“นี่ไอ้ตัวเล็ก ถ้าอยากเข้าวงการตลกจริง ๆ ต้องฝึกเยอะ ๆ จะมานั่งขำอย่างเดียวไม่ได้นะเว้ย”

“ทำไมอะป๋า” พี่ปาล์มถาม

“เพราะกูไม่ใช่ขัน”

“ขำขัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ” ทั้งที่มันดูเป็นมุกแป้ก ๆ แต่เพราะทั้งวงหมดเหล้าไปหลายกลมแล้ว ไม่ขำทุกมุกได้ยังไง





มีต่อ


ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“ศิ ๆ ไปข้างนอกเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ” นั่งขำขันยังไม่ทันได้เช็ดน้ำตาหมด ก็รู้สึกมีคนสะกิดไหล่ เป็นอาโปนั่นเอง หน้ามันแดงตามฤทธิ์แอลกอฮอล์เป็นปกติ ไม่ว่าจะกินมากกินน้อยก็ตาม

อาโปพาเดินออกมาตรงระเบียงของร้านที่ถูกตกแต่งด้วยต้นไม้แขวนระโหงระยาง มีโคมไฟเล็ก ๆ พอส่องสว่างไม่ให้มืดจนเกินไป เพื่อนตัวสูงของผมควักบุหรี่ยี่ห้อนอก ที่นาน ๆ ทีจะเห็นมันสูบ ครั้งสุดท้ายก็ตอนปั่นวิจัยกลุ่มกัน ผมไม่ได้ถามอะไรแต่คิดว่าตัวเองเดาถูกว่าเพื่อนกำลังเครียดเรื่องอะไรอยู่

“มันเป็นยังไงบ้าง เมฆน่ะ”

“ก็อย่างที่มึงเห็น”

“ดูเหมือนสบายดีอะนะ มันอยากให้กูเห็นแบบนั้นมากกว่า” อาโปพ่นควันสีเทาลอยฟุ้งไปในอากาศ เขี่ยขี้เถ้าลงกับจานเขี่ยบุหรี่ที่วางไว้ “มันเล่าอะไรให้มึงฟังบ้าง”

“เอาจริง ๆ เรื่องนี้พวกมึงน่าจะคุยกันเอง”

“มึงก็เห็นว่ามันยากขนาดไหนศิ ไม่ใช่ว่ากูไม่ให้เวลา ไม่ใช่ว่ากูไม่ให้โอกาส กูรอมันมาตลอด รอให้มันพร้อม รอให้มันพยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่มึงก็เห็นว่ามันเมินเฉยแค่ไหน แสดงเป็นเพื่อนกูมาได้ยังไงตั้งหลายปี แล้วจะกลับมาตอนที่กูจะเริ่มใหม่แล้ว มันไม่ทันแล้วหรือเปล่าวะ” มันไม่ใช่การระบายแต่มันคือการตัดพ้อ ผมเข้าใจดีในฐานะคนรอ ไม่ว่าจะเร็วจะช้ามันก็ทรมานอยู่ดี

“กูไม่รู้ว่าถ้ามันอยู่ตรงนี้ มันจะตอบอะไรกับมึง แต่กูรู้แค่ว่ามันละอายใจที่ทำให้มึงเจ็บ”

“เออกูเจ็บ! ไม่ใช่เจ็บเพราะยังรอมัน แต่กูเจ็บที่มันกลับมาในวันที่กูเริ่มใหม่ไปแล้ว!” อาโปพูดอย่างเหลืออด

“มึงเลือกพี่เพทายเพราะมึงรักเขาใช่มั้ย ไม่ใช่เพราะมึงแค่อยากหลุดพ้นอยากเมฆ”

อาโปสูดควันเข้าปอดครั้งสุดท้าย ก่อนจะทิ้งก้นบุรี่ลงที่ทิ้ง แล้วพ่นลมหายใจออกจากปอดแรง ๆ ควันสีเทากลุ่มใหญ่ลอยเคว้งขึ้นไปในอากาศ และสลายหายไป

“กูว่ากูจะรักเขาได้ในสักวัน” อาโปหันมามองหน้าผม สายตาหม่นหมองของอาโปมันชัดเจนว่าที่ผ่านมาความบอบช้ำไม่ได้เกิดกับเพื่อนตัวโตอย่างเมฆเท่านั้น แต่มันกัดเซาะหัวใจเพื่อนตัวบางตรงหน้าผมด้วย “เขาดีกับกูมาก กูรู้สึกดีมากที่เขาเข้ามาในชีวิต มันไม่ยากไม่ใช่หรอวะที่กูจะรักเขา”

“ถ้ามึงมั่นใจ มึงก็ไม่ต้องมานั่งหาเหตุผลแล้วไม่ใช่หรอวะ”

“...” ความเงียบของอาโปทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจไม่ต่างจากคนข้าง ๆ สายตาของเขามองไปยังรถพอร์ชที่จอดนิ่งสนิทอยู่ที่ลานจอดรถด้านนอก

“มึงก็ควรเดินต่อเหมือนอย่างที่มึงอยากให้มันเป็นดิ บางอย่างมันอาจจะเลยจุดที่เราแก้ไขมันได้แล้วหรือเปล่า หรือถ้ามึงยังรู้สึกกับเมฆอยู่มึงปล่อยให้พี่เพทายเข้ามาในชีวิตมึงทำไม ทั้งที่มึงรอเมฆมาได้ตั้งหลายปี”

“....”

“ใช่มั้ย...แสดงว่าเขาทำลายกำแพงในหัวใจมึงได้ขนาดนี้แล้ว มึงยังจะมานั่งคิดถึงสิ่งที่มันผ่านไปแล้วทำไม คิดมั้ยว่าพี่เพทายเขาจะรู้สึกยังไง”

“กะ กู…”

“มึงถามตัวเองดี ๆ ถ้าสิ่งที่มึงทำเพื่อจะเอาชนะเมฆ มึงชนะแล้วแหละ แล้วพี่เพทายล่ะ มึงดึงเขาเข้ามาเกี่ยวทำไม”

“กูไม่ได้อยากเอาชนะ! กู กูชอบเขา กูไม่รู้ แต่ว่ามัน...ยากมากที่จะ...ไม่คิดถึงเมฆอีก”

“มึงไม่คิดถึงมันสิแปลก มึงรู้สึกกันมากี่ปี ความผูกพันมันเกี่ยวรัดจนทำให้มึงหายใจไม่ออกมาตั้งนานนี่ อยู่ที่มึงต้องปล่อยมันไปอย่างที่มึงต้องทำซะที” ตบบ่าเพื่อนตัวสูงกว่า ผมรู้ดีถึงความรู้สึกที่ต้องตัดขาดจากสิ่งที่คาดหวังมันยากแค่ไหน “มึงจะทำได้อาโป มึงเคยทำมันได้มาแล้ว”

อาโปจุดบุหรี่อีกมวนแล้วยืนสูบมันเงียบ ๆ ผมทำได้แค่ยืนข้าง ๆ เพื่อให้รู้ว่ามันไม่ได้ผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปด้วยตัวเองคนเดียว

“กูจะบอกเขา กูจะเล่าให้พี่เพทายฟัง”

“...” ไม่ได้เป็นประโยคคำถาม แต่เหมือนอาโปอยากจะบอก ไม่ก็กำลังหาทางออกด้วยตัวเอง

“ถ้าเขารับไม่ได้ เขาก็แค่ไปใช่มั้ยวะ...แต่กูไม่อยากให้เขาไป” ผมโอบอาโปเขาสู่อ้อมกอด แม้จะตัวเล็กกว่าก็ตาม แต่ทว่าตอนนี้คนที่กำลังรู้สึกแตกสลายอีกครั้งตัวเล็กกว่าผมอีก

“ก็ทำให้เขารู้ว่ามึงชอบเขาจริง ๆ กูว่าเขาโตพอที่จะเข้าใจ”

“เอ่อ...ขอโทษที่มารบกวน” เสียงพูลล์ผมจำได้ดี เลยหันไปหาเพื่อนอีกคนที่หน้าแดงเพราะแอลกอฮอล์เหมือนคนอื่น  “แต่คือ...พี่ ๆ เขาจะกลับกันแล้ว...อาโปร้องไห้หรอ” พูลล์กระวีกระวาดเข้ามาจับหน้าจับตาอาโป ด้วยความที่เป็นคนห่วงเพื่อนพ้อง

“อื้อ น่าอายว่ะ”

“ทำไมร้องไห้ เป็นอะไรหรือเปล่า เรื่องเมฆหรอ”

“พูลล์ก็รู้?” ผมถามพูลล์เพราะไม่คิดว่าเรื่องนี้เขาก็รุ้เหมือนกัน

“จริง ๆ กูบอกพูลล์คนแรกว่ะ มึงจำวันที่ถ่ายซีนสุดท้ายได้มั้ย” ผมพยักหน้ารับ “วันนั้นแหละ มันสุด ๆ หลายเรื่อง อีกอย่างพูลล์ก็ดูอึดอัดกับเรื่องเขาอยู่ด้วย”

“อ่า จริง ๆ ก็เคลียร์แล้วแหละ แต่ยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังน่ะ” พูลล์เดินมายืนแทรกผมและอาโอที่พิงระเบียงอยู่ “เราคบกับพี่ภีมแล้วนะ”

“ว่าละ” ผมและอาโปแทบจะพูดขึ้นพร้อมกัน สิ่งที่ได้ยินมันไม่ได้เกินจากที่คาดการณ์สักเท่าไหร่ พูลล์เล่าให้ผมฟังเรื่องเขาและพี่ชายข้างบ้านกับปัญหาอิรุงตุงนังภายในครอบครัว และการแอบรักกับพี่ชายคนนี้มาหลายปี สุดท้ายแล้วก็จบแบบแฮปปี้สินะ ดีแล้วล่ะพูลล์ไม่เหมาะที่จะมานั่งทุกข์ใจกับอะไรแบบนี้

“ฮึยย ฟังเราก่อนน่า ก็จริง ๆ บ้านเรากับพี่ภีมต้องร่วมหุ้นกันน่ะ เพื่อจะได้เป็นต่อในการประมูลงาน แล้วทีนี้มีหลายฝ่ายจับตามองว่าสองครอบครัวไม่มีความสัมพันธ์ที่น่าจะร่วมงานกันได้ตลอดรอดฝั่ง ก็เลยให้พี่ภีมหมั้นกับพี่เภตราน่ะ แต่เพราะไม่อยากให้เราต้องเครียดหรือรับรู้ปัญหาทางธุรกิจ พ่อแม่และพี่สาวเราก็เลยปิดเราไว้ ท่านบอกว่าเรายังเด็กเกินที่จะมาแบกรับปัญหา ทั้งที่บริษัทของครอบครัวเรากำลังจะตกไปเป็นของคนอื่นถ้าไม่ได้โปรเจ็กต์นี้ สุดท้ายแล้วพอมันค่อย ๆ ดีขึ้น พี่ภีมก็แอบถอนหมั้นกับพี่เภตราเงียบ ๆ แล้วเดินไปบอกพ่อกับแม่เราที่บ้าน เรายังตกใจเลย แล้วก็นั่นแหละพ่อกับแม่เรารักพี่ภีมเหมือนเป็นลูกชายอีกคน ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”

“เห็นนี่หมายถึงแหวนที่นิ้วนางข้างขวานี่ด้วยป่ะ”

“อย่าแซวซี่ กว่าจะได้ เราตีกับพี่ภีมตั้งหลายรอบแหนะ เขาบอกจะใส่ข้างซ้าย ๆ อะไรของเขาก็ไม่รู้ เฮ้ย ทำไมกลายมาเป็นเรื่องเราเฉยเลยอะ” พูลล์เหวใส่ผมสองคน ได้แต่ยืนอมยิ้มกับพฤติกรรมที่จะเรียกว่าน่ารักก็ได้ จริง ๆ เขาทำอะไรก็น่ารักไปหมดนั่นแหละ ผู้ชายอะไร

อาโปเตรียมจะจุดบุหรี่อีกมวน แต่ผมแย่งมาถือไว้ เขาสบถเบา ๆ แต่แล้วก็ถอนหายใจยอมแพ้ แล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้น“ก็เรื่องของเรามันไม่ต้องเดาว่าจะเป็นยังไง มันเป็นในแบบที่มันควรจะเป็น”

“ป่ะ เข้าไปลาผู้ใหญ่กันเถอะ” เป็นอาโปอีกนั่นแหละที่เลือกจะเดินนำหน้าผมและพูลล์ออกไป คนข้างหน้าเช็ดน้ำตาที่เปียกชื้นใบหน้าออกอย่างลวก ๆ แผ่นหลังที่ลู่ลงเมื่อครู่ผายขึ้นจนคิดว่าน่าจะยืนหยัดกับปัญหาและผ่านมันไปให้ได้อีกครั้งหนึ่ง



เป็นครั้งแรกที่พี่ดิมเมาว่ะ ผมแบกผู้ชายที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรขึ้นลิฟท์ที่คอนโดชั้นสามสิบ ถามว่าผมแบกคนเดียวไหวหรอ ก็ต้องไหวแหละนะแฟนทั้งคนแม้ตอนนี้ขาจะสั่นก็ตามที

พอเดินกลับเข้ามาในร้านสภาพพี่ดิมที่ผมเห็นคือถูกล้อมรอบไปด้วยทีมนักแสดงและทีมงานที่กำลังยุยงให้พี่ดิมเล่นเกมใบ้คำในมือถือ สงสัยคงโดนทุกคนรุมแกล้งเลยตอบไม่ได้จนดื่มเพียวหลายช็อตจนน็อคไปนี่แหละ คอแข็งแค่ไหนโดนวิสกี้แรง ๆ ติดกันหลายแก้วก็ล้มช้างได้เหมือนกันนะ

“ตอบเสือ...ข้อนี...เฮ้ย...ไอ้น้องเงินมึงโกงกูแล้ว” เสียงพูดแทบฟังจับใจความไม่ค่อยได้ของเขาทำให้พี่ดิมคนเท่หมดมาดไปเลย

“พี่ดิมถึงห้องแล้ว วันนี้นอนข้างล่างแล้วกันนะ ศิแบกขึ้นชั้นสองไม่ไหว”

“จะ จะอ้วกอะ”

“เฮ้ย ฉิบหายแล้ว!!”

“เดี๋ยวก่อนนะๆๆ” ผมกระวีกระวาดวิ่งหาถังขยะในห้องนอน แต่ไม่มี! ไม่มีเลย! ต้องพุ่งตัวด้วยความเร็วแสงไปหาสิ่งที่มีในครัวก่อนจะไม่ทันการณ์

เพิ่งเคยเห็นพี่ดิมสภาพนี้ ใจนึงก็อยากจะถ่ายรูปเขาไว้แกล้งเหมือนกันนะ แต่พอมาคิดดูแล้วมันดูไม่ค่อยให้เกียรติเขาเท่าไหร่ คงไม่ได้ชอบให้ตัวเองอยู่ในสภาพนี้หรอก นั่งเสิร์จหาวิธีที่จะทำให้เขาไม่แฮงค์พรุ่งนี้เช้า ได้ข้อมูลว่ากินน้ำอุ่น ๆ ช่วยได้ แต่จะปลุกเขาขึ้นมากินได้ยังไงล่ะ อีกอย่างแค่เช็ดตัวเขาก็หมดเรี่ยวแรงแล้ว

“ศิ ศิ”

“ครับ พี่ดิมจะเอาอะไรมั้ย”

“ขอน้ำให้พี่หน่อย”

“นี่ครับ” พยุงตัวพี่ดิมขึ้นกินน้ำจากแก้วเทเตรียมไว้ให้แล้ว “พี่ดิมปวดหัวมั้ย” เขาส่ายหัวก่อนจะนอนลงที่เดิม สายตาฉ่ำเยิ้มจากแฮลกอฮอล์ยังไม่จางลง แต่เขามีสติกว่าตอนที่มาถึงคอนโด

“พี่ขอโทษที่ทำให้ลำบาก” ร่างสูงพยายามพูดแม้จะดูงง ๆ ง่วง ๆ แถมหมดแรงเพราะอ้วกออกหมด

“ไม่เป็นไรครับ พี่ดิมมุมนี้ก็ดู...เรียลดี”

“ถ้ารู้จักพี่ก่อนหน้านี้สักสิบปี จะรู้ว่าฉายาดิมคอทองแดงไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะ…” พี่ดิมตาปรือลงและใกล้จะหลับอีกรอบ “ขอบคุณที่ดูแลนะครับ” ผมยิ้มให้คนผู้ชายตรงหน้าลูบเส้นผมนุ่มเบา ๆ ไม่บ่อยหรอกที่จะกล้าเล่นหัวเขาแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาเหมือนเด็กที่เพิ่งเมาเหล้าเป็นครั้งแรก

คงไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะได้เห็นเขาในสภาพแบบนี้

คุณหมอที่ใครต่างก็ยอมรับในศักยภาพและความเชี่ยวชาญ ผู้ชายวัย 28 ที่ความคิดโตกว่าอายุ ไหนจะเป็นนักแสดงที่ใครก็ต่างจับตามอง ยังไม่รวมกับเป็นตัวแทนแพทย์คนไทยร่วมงานระดับนานาชาติ เขาคือบุคคลที่เพอร์เฟ็คต์จนแทบหาที่ติไม่ได้

แต่วันนี้เขาเมามายจนเดินเองไม่ได้ อ้วกจนหมดไส้หมดพุง ผมเพ้าที่เซตอย่างดีตอนนี้รุงรังไม่เป็นทรง เสื้อผ้าก็ยับยู่ยี่ ต่างจากคนเมื่อเช้าที่เจอราวกับคนละคน

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรังเกียจ แม้จะไม่เคยปรนนิบัติให้ใครขนาดนี้มาก่อน

เพราะเป็นพี่ดิม ไม่ว่าเขาจะเวอร์ชั่นไหนผมก็ยังรักอยู่ดี

“ทั้งในยามทุกข์และยามสุขนะครับ จะอยู่ด้วยกันแบบนี้” ผมกดจูบหน้าผากเนียนที่อุณหภูมิร้อนขึ้นนิดหน่อยเพราะแอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนร่างกาย แม้จะมีกลิ่นเหล้าติดกายของคนที่หลับพริ้มไปแล้ว หน้ามันเยิ้มเพราะทำได้แค่เช็ดน้ำอุ่น หรือแม้แต่เขาจะเละเทะมากกว่านี้ก็อยากเห็น อยากเห็นทุกมุมในชีวิตของเขา เรียนรู้ ปรับเปลี่ยน แก้ไข และประคองให้ความรักของเรามันเดินไปได้ไกลขึ้นเรื่อย ๆ

I never want to stop memories with you - Pierre Jeanty



-------------------------To be continued---------------------------

ตอนนี้มาสั้นโหนยยยยยยยยย แต่ไขความกระจ่างเรื่องเมฆอาโปได้นิดนึง
สรุปใครคือคู่หลักวะ555555555555555 /เสียงคนอ่าน
ในมุมเรานะ คนรักที่จะเดินไปด้วยกันได้ นอกจากจะมีความรักให้กัน
การให้เกียรติคนรัก ครอบครัว ตัวเอง คือสิ่งสำคัญ
ต่อมาคือการยอมรับ เสียสละบางอย่าง แม้ว่าเราไม่ได้ชอบไม่ได้อยากทำมัน
แต่ถ้าวันหนึ่งคุณยอมปรับเพื่อเขา นั่นแหละความรัก
วันนี้มีสาระนะมาแนวปรัชญา

ที่สำคัญ! อย่าปล่อยให้เป็น#ใต้ตานักเขียนข้นคนอ่านจาง
อย่าลืมเม้นท์เน้อออ รออ่านอย่างใจจดใจจ่อ /ขมวดคิ้วแบบเฮียอี้

รักเหมียนเดิม

#กาลครั้งที่รักคุณ #youaremyday1

@mifenbeexx

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
สงสารอาโป อีเมฆนี้นะ

ออฟไลน์ 。Atlas

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนักเขียนแล้วว่าจะให้เมฆอาโปเป็นแบบไหน  :hao5:
แต่งดีจนอินกับทั้งความรู้สึกคนทั้งคู่เลย ไม่สงสารมากสงสารน้อยไปกว่ากัน
เพราะต้นเหตุมันไม่ได้มาจากคนทั้งคู่อย่างเดียว สิ่งเร้าอื่น ๆ การกระทำของคนอื่นส่งผลต่อคู่นี้เต็ม ๆ
เสียดายตรงก็ยังรู้สึกรักกัน ผูกพันกันอ่ะนะ เห้อ เหนื่อยจังความรัก

ปล.ดิมศิหวานกันจนเหลือแค่จดทะเบียนสมรสเป็นเรื่องเป็นราวละจ้า เหม็นความรัก ส่วนภีมพูลนี่ก็คราวนู้นยังป๊องแป๊งกันอยู่เลยย มาอีกทีสวมแหวนเลยนาาา :hao3:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
อยากอ่านพี่ภีมกะน้องพูลล์  :call:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เอาใจช่วยน้องศิต่อไปค่าาา เพิ่งเคยเห็นพี่ดิมแบบนี้ ตลก  :hao7:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ทั้งรักทั้งหลงกันจริงๆพี่ดิมน้องศิ น่าร๊ากกกกก :mew2:

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ต้องขอบอกว่าเสียน้ำตาตอนเมฆกับอาโปจริงๆ มันก็อึดอัดนะแต่ก็เข้าใจว่าไม่ง่ายเลยที่จะคุย คู่อื่นก็หวานๆกันแล้ว คือถ้าอาโปจะเริ่มใหม่กับเพทายก็ขอให้มีความสุขและเข้าใจกัน ส่วนเมฆก็ถ้าจะเริ่มใหม่อย่าลืมหันไปทางเด็กกีตาร์คนนั้นนะดูเหมือนจะชอบเมฆ น่ารักดี ขอบคุณคนเขียนนะเพิ่งมาอ่าน

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.24 เข้าบ้าน

I got a bad boy, I must admit it
You got my heart, don’t know how you did it
[/i]



“คุณแม่นั่งยิ้มอะไรครับ”

“คะ อ๋อ แม่ดูซีรีส์ที่ลูกเล่นอีกรอบน่ะสิคะ” ผู้หญิงวัยกลางคนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาตอบผม เพราะไม่อยากละสายตาจากไอแพดเลยแม้แต่วิเดียว

วันนี้ผมกลับบ้านเอาขนมสังขยาหน้ากุ้งที่ศิทำมาให้คุณแม่ และว่าจะมาคุยกับคุณแม่เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ไม่อยากปล่อยให้มันคาราคาซังอยู่แบบนี้อีก ศิก็ดูจะกังวลใจ ส่วนผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หรือเพิกเฉยกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย ดูท่าคุณแม่ก็อยากเห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้เต็มแก่ เฝ้าถามว่าเมื่อไหร่จะพามาเจอ เทียวฝากคำชม และคำแนะนำจากของคาวหวานที่คนตัวเล็กหมั่นทำมาให้สม่ำเสมอ

ฝากสิ่งของที่หอบหิ้วมากับแม่บ้านให้เขาจัดใส่จานมาให้คุณแม่ที่ดูจะเพลิดเพลินกับการรับชมผลงานลูกชายและว่าที่ลูกสะใภ้(ที่ยังไม่รู้)

“ลูกมาดูสิ เนี่ยน้องมาสน่ารักจริง ๆ ดิมเขินน้องหรอคะหูแดงด้วยค่ะ” อาการแม่นี่จะบอกว่า ‘ฟิน’ ได้มั้ยนะ

“ครับ น้องน่ารักจริง ๆ นั่นแหละ คุณแม่อยากเจอน้องมั้ย เดี๋ยวดิมพามา”

“จะดีหรอคะ แม่เขิน” คุณแม่ยกไหล่เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมเพิ่งบอกไป “แต่ว่าก็ดีนะคะ แม่เป็นแฟนคลับน้องศิ ทำไมลูก ๆ ไม่เป็นเด็กผู้าชายน่ารักแบบน้องนะ ทำไมลูกแม่ต้องตัวใหญ่เป็นยักษ์กันหมด”

“อ้าว ผู้ชายตัวใหญ่นี่สิครับคูลจะตาย” ผมนั่งลงที่โซฟาตัวใหญ่ข้างคุณแม่

“แม่ไม่น่าแต่งงานกับผู้ชายตัวสูงใหญ่เลยสิน่า”

“อ้าวแม่ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ เหอะ พ่อผิดใช่มั้ยเนี่ย” คุณพ่อเดินถอดสูทให้แม่บ้านก่อนจะมานั่งที่โซฟาว่างอีกตัว ท่านมักกลับถึงบ้านเวลานี้เสมอ หลายปีแล้วที่คุณพ่อเลิกทำงานหนัก ๆ เพราะพี่ซัน และดินเข้าไปช่วยบริหารบริษัท เพราะผมไม่สามารถเข้าไปทำงานในบริษัทได้อย่างที่ทุกคนรู้กัน ท่านเลยมีเวลามานั่งทานข้าวกับคุณแม่ทุกเย็น แทนลูกชายสามคนที่แยกออกไปอยู่ข้างนอกตามภาระหน้าที่

“แม่แกน่ะติดละครจนไม่เป็นอันทำอะไร คะยั้นคะยอให้พ่อโทรหาอาติณณ์บอกให้เพิ่มเวลาออกอากาศซีรีส์จากสองเป็นสามวัน”

“ก็คุณคะ ฉายแค่เสาร์ อาทิตย์ อีกอย่างแค่หนึ่งชั่วโมงเองนะคะ โปรแกรมวันศุกร์ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนอกจากลุงพูดกับหนังเก่า ๆ น่ะค่ะ น่าจะเอาเวลาตรงนี้ยกให้ซีรีส์ไปเลย”

“โถ่ คุณแม่” ผมส่ายหัว ไม่คิดว่าคุณแม่จะเป็นขนาดนี้ “ถ้าออกอากาศหลายวันก็จบเร็วนะครับ อีกอย่างโฆษณาก็ขายได้ประมาณหนึ่งเองด้วย ถ้าขายได้เยอะคงได้เวลาเพิ่มกว่านี้มั้ง แม่ก็ไปซื้อโฆษณาสิครับ”

“ฮ่า ๆ ๆ ไอ้ดิม แกนี่มาขายของให้แม่ชัด ๆ”

“พ่อเดี๋ยวเอาเบอร์การตลาดเรามาเลยค่ะ พรุ่งนี้ให้เขาไปซื้อโฆษณาไปเลยจบ ๆ”

“แม่เอาจริงหรอ” คุณพ่อถามพลางขำในลำคอไปด้วย ปกติพ่อจะค่อนข้างตามใจแม่ พ่อเคยบอกว่าแม้ว่าแม่จะไม่ได้ออกไปทำงานข้างนอก แต่งานบ้านนี่แหละคืองานที่ยิ่งใหญ่ ไหนจะดูแลบ้าน ดูแลสามี และดูแลลูก การจัดการบ้านหลังใหญ่ให้สะอาดเรียบร้อยจะใช้แค่คนงานไม่ได้ เพราะคนที่รู้จักบ้านหลังใหญ่นี้ดีที่สุดคือคุณผกากรองนี่แหละ และนี่คือความเสียสละอย่างหนึ่งของชีวิตผู้หญิงที่เพรียบพร้อมทั้งรูปสมบัติ และทรัพย์สมบัติ รวมถึงมีหน้าตาในสังคม จะยอมกลายเป็นแม่บ้านทั้งที่เรียนจบบัญชี เกียรตินิยมเหรียญทอง สถาบันเดียวกับผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ในสมัยนั้นถือว่าโก้และเธอควรไปทำงานบริษัทเอกชนดี ๆ หรือไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ก็แต่งงานกับคุณพ่อ เพื่อที่จะสร้างครอบครัวและเป็นคุณแม่ที่ให้เวลากับลูกอย่างเต็มที่

“นี่จริง ๆ แม่อยากไปเจอคุณนักเขียนด้วยนะคะ แม่อยากเลี้ยงข้าวดี ๆ สักมื้อ ตอบแทนที่เขียนนิยายที่ดีมากค่ะ”

“ตกลงแม่ผมเป็นสาววายไปแล้วหรอ หื้อ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เด็กผู้ชายกับเด็กผู้ชายรักกันก็น่ารักดีนะคะ พูดแล้วก็เขินจังเลย” แม่เอามือจับแก้มตัวเอง เพราะฉากที่ผมเห็นฉายบนไอแพด คือฉากที่ผมจูบศิขณะที่เขาหลับ เป็นฉากที่เล่นจริงโดยที่ไม่ได้บอกศิไว้ก่อน

ขณะนี้ซีรีส์ออกอากาศไปได้เกือบครึ่ง และกระแสดีอย่างต่อเนื่อง มีงานอีเวนท์ติดต่อให้นักแสดงไปร่วมงานดึงเหล่าแฟนคลับให้ตามไปเจอคนที่ตัวเองชอบมากมาย ศิเองก็ไปร่วมงานมาแล้วหลายงาน ส่วนผมยังไม่มีโอกาสได้ไปตามคำเชิญ ด้วยภาระหน้าที่งานหลักที่ปลีกตัวไปไม่ได้ อีกอย่างกำลังจะประเมินงานวิจัยแล้วด้วยช่วงนี้ก็เลยยุ่งมาก ๆ ไหนจะต้องเข้าเวรอีก เวลาว่างถ้าไม่คลุกอยู่กับศิ ผมก็จะแวะมาบ้านบ้างตามคำสั่งของแม่(เมีย)อีกคน

“ไว้ผมพาน้องมาหาคุณแม่นะครับ จะได้ไม่ต้องไปงอแงให้คุณพ่อไปซื้อเวลาโฆษณา”

“ค่ะ ดีเลยค่ะ แม่จะเตรียมตัวให้พร้อมเลย”

“มาพร้อมกับแฟนดิมเลยนะ”

“จริงหรอคะ! ดีเลยค่ะ แม่จะได้เตรียมอาหารชุดใหญ่ หนูเขาทำให้แม่มาเยอะมาก ๆ แม่ต้องจัดเต็มบ้าง”

“ครับ”

ผมยิ้มกริ่มกับสิ่งที่จินตนาการไว้ในหัว ขนาดแม่ยังไม่ได้เจอศิตัวเป็น ๆ เห็นผ่านภามาส แม่ยังหลงรักในเสน่ห์ที่หาตัวจับยากอย่างเขาเลย ถ้าเจอตัวจริงก็คงไม่ยากที่จะทำให้คุณผกากรองหลงรัก




“ห้ะ!! พี่ดิมจะพาไปเจอคุณแม่หรอ”

“ครับ วันนี้เลยนะ” หลังจากวันที่ผมบอกคุณแม่ไป กว่าสัปดาห์ก็เพิ่งจะได้มีวันหยุดเหมือนคนอื่นเขา เลยโทรไปนัดแนะคุณแม่ว่าจะพาน้องไปหาที่บ้าน

“เดี๋ยวก่อนสิ วันนี้! ศิยังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรเลย พี่ดิมทำไมมันกะทันหันขนาดนี้ล่ะครับ ของฝาก! ของฝากก็ยังไม่มีเลย”

เด็กผู้ชายตรงหน้าลุกลี้ลุกลนกับสิ่งที่ผมบอกไป เขาเด้งตัวโหยงจากกองหนังสือเพราะเมื่อครู่คนตัวเล็กนอนกลิ้งเกลือกกับหนังสือที่วางระเกะระกะบนพรมหน้าทีวี เนื่องจากจะสอบไฟนอลในอีกสองวันข้างหน้า เมื่อคืนเขาก็เพิ่งไปติวกับเพื่อน ๆ มา ตกดึกก่อนกลับคอนโดนยังซื้อของกินปให้ผมที่โรงพยาบาลอีกด้วย

“ไม่ต้องเตรียมอะไร เพราะแม่พี่บอกจะตอบแทนที่ศิทำขนมกับอาหารไปให้”

“ไม่ได้ๆ ๆ ไปหาผู้ใหญ่ทั้งทีจะไปตัวเปล่าได้ไงล่ะ ทีตอนพี่ดิมไปหาป๊า พี่ดิมยังหิ้วไวน์ขวดละตั้งหลายพันไปฝากเลย”

“อ่า งั้นศิอยากซื้ออะไรล่ะครับ แวะซื้อก่อนเข้าบ้านก็ได้ พี่บอกแม่ไว้ว่าเราจะไปถึงประมาณหกโมงเย็น”

“ฮือ พี่ดิมอะ ทำไมต้องบอกกะทันหันแบบนี้ด้วยอะ แบบว่าศิจะใส่เสื้อตัวไหนดี แล้วใต้ตาศิดำมั้ย เมื่อคืนก็นอนดึก”

ผมดึงเด็กที่ยังไม่เลิกกับนิสัยขี้กังวลมานั่งตัก ลูบเส้นผมที่เหนียวเล็กน้อยคิดว่าไม่ได้สระมาหลายวัน เพราะช่วงนี้เขาอ่านหนังสือหนักมาก เห็นว่าอยากทำคะแนนให้ดีจะได้ดึงคะแนนเมื่อตอนปี 1 และปี 2 ที่ทำไว้ได้ไม่ดีนัก แม้มันอาจจะช้าไปแต่เขาก็อยากตั้งใจให้มากขึ้น

“ไม่ต้องกังวลนะครับหนู”

“กลัวแม่พี่ดิมจะ...รับไม่ได้นี่” สายตาแห่งความกังวลฉายชัดในนัยน์ตากลมตรงหน้า “กลัวทำให้ท่านผิดหวังในตัวพี่”

คว้าเด็กตรงหน้าเข้ามากอดแนบอก เขาไม่ได้กังวลว่าตัวเองจะไม่ถูกยอมรับ แต่กลับคิดเกินกว่านั้นคือกลัวครอบครัวผมผิดหวังในตัวผมงั้นหรอ ตัวก็แค่นี้แต่ทำไมคิดใหญ่กว่าตัวนักนะ แถมยังแบกมันไว้มานานเท่าไหร่แล้ว

“ศิครับ พี่รักศินะ ศิรักพี่มั้ย”

“อื้อ รักสิ” เสียงอู้อี้บนอกตอบรับเบา ๆ

“งั้นทุกอย่างที่ศิกังวล ศิแบกรับมันไว้ แบ่งมาให้พี่บ้างได้หรือเปล่า” ผมกอดกระชับเขาให้แน่นขึ้น ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะเก็บทุกอย่างมาคิดและยังไม่ค่อยพูดถึงความทุกข์ที่ตัวเองเก็บงำไว้ “ถ้าพ่อแม่พี่จะผิดหวังในตัวพี่ เพียงเพราะพี่มีความรักกับผู้ชาย ผู้ชายที่คิดถึงพี่มากกว่าตัวเอง พี่ก็ยินดี และพร้อมพิสูจน์ตัวเองว่าความรักแบบไหนก็คือความรักเหมือนกันทั้งนั้น”

“พี่ดิม…”

“พี่รู้ว่าที่ศิพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่างมันไม่ใช่เพื่อตัวศิเลย แต่เพราะศิกลัวใช่มั้ย กลัวจะไม่ถูกยอมรับ กลัวถูกดูถูกอีก”

“จริง ๆ ยังมีอีกอย่าง...ศิกลัว...ไม่ดีพอจะอยู่ข้าง ๆ พี่ดิม”

“ก็เลยพยายามทำอะไรพวกนี้หรอ” เด็กที่กอดผมแน่นพยักหน้ารับ เขาไม่ได้ร้องไห้อย่างที่ผมกังวล เพราะทุกครั้งถ้าพูดเรื่องที่แบบนี้เขามักจะอ่อนไหวเสมอ ไม่รู้ว่านี่ก็เป็นอีกสิ่งที่พยายามทำมันอยู่หรือเปล่า “คนที่จะตัดสินว่าเราเหมาะสมกันหรือเปล่ามันไม่ใช่พวกเราหรอครับ ต้องให้คนอื่นตัดสินเราหรอ” ประคองไหล่เขาเพื่อสบตากลมโตที่มีน้ำใส ๆ ปริ่มที่หางตา

“ศิฟังพี่ดิมนะครับ หนูไม่ต้องพยายามทำให้ตัวเองดีเหมาะสมกับพี่เพื่อลบข้อครหาของใคร เพราะความเหมาะสมเราสองคนตัดสินใจกันเองได้ แล้วเราใจตรงกันแล้วว่าเราอยากอยู่ด้วยกันจริงมั้ย พี่อยากให้ศิเป็นตัวของตัวเอง ความพยายามที่มีน่ะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่อยากทำจริง ๆ มันจะกลายเป็นฝืน รู้หรือเปล่า” ใช้มือใหญ่ของตัวเองแนบแก้มอุ่น ๆ ของคนตรงหน้า “พี่ไม่อยากให้มีความรู้สึกฝืนในความสัมพันธ์ของเรา”

มือเล็กที่อุณหภูมิสูงกว่าผมเล็กน้อย แนบทับหลังมือของผม ก่อนจะพูดขึ้น “ศิไม่ได้ฝืนเลย ศิเต็มใจทำ ศิอยากให้ตัวเองดีกว่านี้ ส่วนเรื่องที่อยากให้ที่บ้านพี่ดิมยอมรับ...จริง ๆ ก็นิดนึง แต่ศิไม่ได้ฝืนนะ ศิอยากทำจริง ๆ”

“เอาเป็นว่าพี่ไม่อยากให้แฟนของพี่เหนื่อยเกินไป เพื่อที่จะทำให้ใครต่อใครยอมรับในความสัมพันธ์ของเรา เราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยซ้ำว่าเราประสบความสำเร็จ เราดี เรามีเงิน แม้เราจะเป็นกลุ่มชายรักชาย พี่ไม่แคร์ว่าใครจะพูดยังไง ขอแค่พี่ไม่ได้ยินจากหูพี่ก็พอ ไม่งั้นก็รู้กัน”

“เป็นคุณหมอทำไมนังเลงจังเลยล่ะครับเจ้าแด๊ดดี๊” มือเล็กย้ายมาแนบแก้มของผม ไม่พอยังใช้นิ้วนวดที่คิ้ว สงสัยผมคงทำสีหน้าซีเรียสเกินไป “อื้อ ศิเข้าใจแล้ว”

“งั้นต่อไปนี้มีอะไรก็บอกพี่ อย่าเก็บไปคิดคนเดียว ไหนว่าเราจะมีทั้งช่วงที่ทุกข์และสุขไง”

“ครับ ๆ ศิจะบอกพี่ดิมทุกเรื่องเลย แม้เรื่องอาหารกลางวันไม่อร่อย หรือศิโดนเฌอด่าเวลาแอบงีบในคลาส ดีมั้ย”

“มันควรจะเป็นแบบนั้น”

เรากอดกันอีกครั้ง และมันเต็มไปด้วยความสบายใจจากคนตัวเล็ก บ่าที่หนักอึ้งเมื่อครู่ดูผ่อนคลาย และผมก็รู้สึกดีที่น้องไว้วางใจและเป็นที่พึ่งให้เขาได้ มันอาจจะปรับไม่ได้ในทันที แต่เชื่อว่าทั้งน้องและผมจะสามารถค่อย ๆ ทำมันได้ดีขึ้น


ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมง น้องชวนผมมาเดินวิลล่าไม่ไกลคอนโดของเขา ตอนแรกก็ถามว่าทำไมไม่ไปห้างจะได้มีตัวเลือกเยอะกว่า เขาว่าจะใช้เวลานานทั้งรถติดทั้งหาที่จอดรถ อีกอย่างที่นี่ก็มีของนำเข้าหลากหลายดี

“พี่ดิมว่าศิควรทำซุปเห็ดหรือว่าซุปข้าวโพดดี”

“แม่พี่ไลน์มาบอกว่าจะทำสเต็กปลาแซลม่อนนะ งั้นทำซุปเห็ดดีมั้ย จริง ๆ พี่ชอบ ขอเป็นเห็ดทรัฟเฟิ้ลนะ”

“ได้หมด เพราะพี่ดิมจ่ายอยู่แล้ว ฮี่ๆ”

เดินเข็นรถตามผู้ชายตัวเล็กตรงหน้า เขาไม่ได้มีความชำนาญในเรื่องอาหารมากมาย แต่สองสามเดือนที่ผ่านมาเจ้าตัวพยายามหาความรู้ ฝึกปรือ จากเมนูง่าย ๆ ก็แอดวานซ์ไปถึงพวกเบเกอรี่ ตอนนี้คอนโดของผมเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำอาหารจำนวนมาก จนคิดว่าน่าจะเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ได้เลย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีใช้เป็นข้ออ้างให้น้องมานอนกับผมที่คอนโดได้บ่อยขึ้น เพราะคอนโดเขาเล็กกว่าเวลาอบขนมแล้วมันระอุในห้องซึ่งไม่ดีต่อระบบอากาศภายในห้องเท่าไหร่

ศิพิถีพิถันในการเลือกผลไม้นำเข้าเพื่อให้พนักงานจัดใส่ตะกร้า รวมถึงของตกแต่งด้วยตัวเอง แม้จะเป็นเด็กผู้ชายแต่ความรู้เรื่องศิลปะศิดีกว่าผมมาก เขารู้ว่าสีไหนเข้ากัน ผลไม้สีนี้ตัดกับผลไม้สีนั้นต้องวางคู่กัน ถ้าพ่อกับแม่ผมมาเห็นคงดีใจที่เขาตั้งใจขนาดนี้ แม้มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อย และราคาของที่ให้ไม่ได้สูงค่ามากมาย มีแต่ความตั้งใจอันเปี่ยมล้นยิ่งกว่าผลไม้นานาชนิดในกระเช้าใหญ่นี้

พอกลับมาถึงคอนโดของศิ เขาก็จัดการทำอาหารง่าย ๆ ตามที่ผมบอกใส่กล่องทัปเปอร์แวร์อย่างดี ก่อนที่เจ้าตัวจะไล่ผมไปอาบน้ำแต่งตัว ไม่ใช่มานั่งมามองเขาบนโต๊ะกินข้าว ที่คอนโดศิมีโต๊ะกินข้าวเล็ก ๆ สำหรับสี่คนบริเวณห้องครัว ไม่ได้แยกเป็นสัดส่วนเหมือนคอนโดผม ถ้าวันนี้ผ่านไปด้วยดีคงต้องคุยกับเขาเรื่องนี้จริงจังให้เขาย้ายไปอยู่กับผมถาวร ที่เขาติดไม่ใช่เพราะป๊ากับม๊า แต่เพราะเรื่องที่บ้านผมมากกว่า

“พี่ดิมว่าศิใส่เสื้อตัวนี้หรือตัวนี้ดีกว่ากัน”

“ไม่ต้องใส่ดีที่สุด” ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกโยนจากห้องแต่งตัวมาอย่างแรง ผมกำลังเช็ดผมอยู่บนเก้าอี้หน้ากระจกสะดุ้งเล็กน้อย เห็นเขาขมวดคิ้วใส่แล้วอารมณ์ดี ศิอาบน้ำเสร็จก่อนผมนานแล้วแต่ยังเลือกชุดไม่ได้ว่าจะใส่ตัวไหนดี เอามาทาบแล้วก็เอาใส่เก็บเข้าตู้เหมือนเดิม เขาเป็นเด็กผู้ชายที่แต่งตัวดี แต่ไม่ได้หวือหวามากมาย ลุคส่วนใหญ่ก็ตามวัยรุ่นนิยมใส่ ก็เลยแทบไม่มีเสื้อผ้าแบบทางการสักเท่าไหร่ เวลาออกงานทางทีมงานก็จะจัดการหามาให้ไม่ได้ซื้อเอง เขาก็เลยหัวเสียที่ผมไม่ได้บอกล่วงหน้าจะได้ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่

“แต่งแบบที่เคยแต่งเถอะน่า ไม่เป็นไรหรอก”

“ได้ยังไงเล่า เฮ้อ พี่ดิมนี่แย่จริง ๆ” เขาเหวใส่ผมอีกแล้ว วันนี้โดนน้องหงุดหงิดใส่กี่ครั้งแล้วนะนับไม่ถ้วนเลย “จะให้ใส่ยีนส์ขาด ๆ กับเสื้อยืดตลาดนัดหรือไงล่ะ”

“พี่บอกแล้วว่าให้หนูเป็นตัวเองไงครับ ให้มันดูเรียบร้อยหน่อยก็พอ เสื้อที่เราใส่ไปดินเนอร์วันนั้นไงครับของ burberry หนูใส่ไปครั้งเดียวเองนะ”

“อ่า จริงด้วย” อาจจะเพราะผมใช้น้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่ยังยิ้มคุยกับเขา เด็กที่ดูพะว้าพะวงก็กลับมามีมีสติ และตั้งใจฟังสิ่งที่ผมพูด บางทีก็ต้องใช้โหมดนี้คุยกับเขาบ้าง แม้ว่าศิจะโตในระดับหนึ่งแต่ความเป็นเด็กในตัวเขาก็ยังมีอยู่เวลาที่ต้องจัดการปัญหาที่จวนตัว

ส่วนผมเลือกใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีกรมที่หาเจอในตู้เสื้อผ้าของน้อง ไม่มั่นใจเหมือนกันว่ามาลืมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ใส่อะไรก็ใส่ได้เพราะแค่กลับบ้านเองนี่นะ ไม่คิดมากเหมือนเด็กที่โดนผม(แอบ)ดุไปเมื่อครู่นี้หรอก

ศิแต่งตัวเรียบร้อยวันนี้เพียงแค่หวีผมแต่ไม่ได้เซตอะไร เพราะไม่รู้จะทำทรงไหนเลยตัดสินใจไม่ทำ พอจะง่ายก็ง่ายดีแฮะ เขาหิ้วกล่องซุปที่ทำ และขนมคุกกี้ที่อบเมื่อวานก่อนไปด้วย ส่วนผมถือเสื้อผ้าของตัวเองเพราะจะเอากลับไปให้แม่บ้านที่คอนโดซัก ถ้าทิ้งไว้ที่นี่ไม่พ้นน้องจัดการให้อีก

ตลอดทางที่นั่งรถมาศิยังคงมีสีหน้ากังวล มือเล็กกุมที่หน้าขาตลอดเวลา เลยใช้มือข้างที่ว่างไปกุมมือเขาหวังจะคลายความกังวล น้องเอนตัวมาพิงไหล่ผมอย่างหาที่พึ่ง

พอรถเลี้ยวพ้นรั้วบ้าน เขาบีบมือผมแน่นจนเหงื่อเริ่มชื้นเต็มฝ่ามือ

“ไม่เป็นไรนะ เกิดอะไรขึ้นพี่จะอยู่ด้วยตลอดเวลา” น้องพยักหน้ารับ แล้วยิ้มให้ผม ก่อนที่เราจะเปิดประตูออกจากรถไป “พร้อมมั้ย”

“ครับ”





มีต่อ

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“สวัสดีครับป้า” ผมทักทายป้าแม่บ้านที่มารอรับ ส่วนน้องยกมือไหว้ตามคนมารยาทดี

“สวัสดีค่ะ คุณท่านรออยู่ในห้องทานข้าวแล้วค่ะ”

“ครับ ฝากเอานี่ไปจัดใส่ถ้วยด้วยนะครับ” ส่งอาหารที่เตรียมมาให้แม่บ้าน แล้วเดินถือกระเช้าผลไม้ขนาดใหญ่เดินไปที่ห้องทานข้าว หันไปยิ้มเพิ่มควมมั่นใจให้เด็กที่เดินตามหลังผมมาด้วย

“สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่ อ้าวดิน มาด้วยหรอ” บนโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ปกติจะใช้สำหรับรับแขกคนสำคัญเท่านั้น ซึ่งวันนี้ก็คงจะเป็นเด็กที่ละล้าละลังไม่รู้จะทำตัวยังไงข้าง ๆ ผม “นี่น้องศิครับ พามาแล้วนะครับคุณแม่” ศิยกมือไหว้ทุกคนและคนที่จะปลื้มใจที่ได้เจอนักแสดงที่ตัวเองชื่นชอบคงจะเป็นคุณผกากรองนี่แหละ

คุณแม่ที่กำลังจัดโต๊ะอาหาร บนตัวยังมีผ้ากันเปื้อนผูกอยู่รับไหว้เด็กที่พูดสวัสดีเบาเหลือเกิน

“สะ..สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่...พี่ดิม”

“อันนี้น้องซื้อมาฝากครับ” ผมยกกระเช้าผลไม้วางบนโต๊ะทานข้าวอีกฝั่งที่ไม่มีคนนั่ง

“สวัสดีจ้ะ” คุณแม่รับไหว้ และยิ้มเขิน ๆ “ทำไมดิมไม่โทรมาบอกแม่ก่อนละค่ะว่าใกล้ถึงแล้ว ดูซิแม่ดูไม่เรียบร้อยเลย” ผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าแกะผ้ากันเปื้อนออกแล้วส่งให้ป้าแม่บ้าน ก่อนจะเดินมาหาผมและศิที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ

“แม่ขอจับมือได้มั้ยคะ”

“คะ ครับ ได้ครับ”

“ฮื้อ น่ารักจังเลยค่ะ มองใกล้ ๆ ยิ่งน่ารัก แม่เหมือนจะลอยได้เลย”  เธอนำมือทั้งสองข้างแนบหน้าตัวเองที่ขึ้นสีระเรื่อไม่ต่างจากเด็กสาวแรกแย้มที่ได้เจอไอดอลที่ตัวเองชอบ

“ซีรีส์ดิมทำแม่เป็นขนาดนี้เลยหรอครับพ่อ” ดินน้องชายที่นาน ๆ ทีจะกลับบ้านถามขึ้น

“ก็อย่างที่พ่อเล่าให้ฟังนั่นแหละ” ประมุขของบ้านพูดขึ้นด้วยเสียงที่เอือมเล็กน้อย “มา ๆ นั่งเถอะ พ่อหิวแล้วล่ะ อยากกินอาหารฝีมือแม่ที่ทำรอดาราในดวงใจจะแย่แล้ว”

ผมขำในลำคอและชวนน้องนั่งฝั่งตรงข้ามคุณแม่และดิน ส่วนพ่อนั่งหัวโต๊ะ

“ทำไมวันนี้กลับบ้านล่ะดิน” ผมและน้องชายเกิดห่างกันสองปี แต่เราสนิทกันพอสมควรเลยไม่ได้เรียกแทนว่าพี่เหมือนบ้านอื่น

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนดินต้องถามดิมป่ะวะคำถามนี้ พอจะพาแฟนเข้าบ้านหน่อยกลับบ้านบ่อยเชียวนะ” ผมไม่ไดพูดอะไรต่อ ถ้าถามถึงสถิติในการกลับบ้านตั้งแต่เรียนจบ เป็นผมนี่แหละที่กลับบ้านแบบมานอนที่บ้านน้อยที่สุดแล้ว พี่ซันที่งานเยอะกว่ายังกลับมานอนที่บ้านบ่อย

“ไม่ต้องทะเลาะกันค่ะ ลงมือกันเลยดีกว่า น้องศิคงหิวแล้วใช่มั้ยคะ” เด็กข้าง ๆ ยังทำหน้าเหลอหลากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อสักครู่

ป้าแม่บ้านนำซุปเห็ดทรัฟเฟิ้ลที่ศิทำมาเสิร์ฟเคียงกับสเต็กปลาแซลม่อน

“โห มีซุปเห็ดทรัฟเฟิ้ลด้วยหรอครับแม่” ดินตาโตกับอาหารที่มีวัตถุดิบชั้นเลิศ “ลาภปากจริง ๆ ขอบคุณพ่อนะครับที่ชวนผมกลับบ้านวันนี้ ไม่ผิดหวังเลย” ดินยกยิ้มให้คุณพ่อ ก่อนจะจับช้อนและเริ่มตักซุป

“เปล่านี่คะ แม่ไม่ได้ทำ ดิมซื้อมาหรือเปล่า”

“ไม่ได้ซื้อครับ ศิเป็นคนทำ”

คุณแม่ทำหน้าประหลาดใจ “น้องศิทำอาหารด้วยหรอคะ ดีจังเลยค่ะ เด็กสมัยหายากที่ทำอาหารเป็น” ทั้งสามคนรวมถึงผมกำลังลิ้มรสอาหารของเด็กผู้ชายที่นั่งพะว้าพะวงกับปฏิกิริยาของทุกคนในบ้านหลังจากรับประทานอาหารที่เขาทำ

“อร่อยจังเลยค่ะ น้องศิเก่งมากเลยนะคะ”

เขายกยิ้มพอใจ และสีหน้าเริ่มจะมีสีขึ้นหน่อย หลังจากที่ก่อนหน้านี้หน้าซีดเหงื่อซึมตามไรผมตั้งแต่เหยียบเข้ามาในบ้าน

เราห้าคนรับประทานอาหารคาวที่คุณแม่จัดเต็ม นอกจากสเต็กปลาแซลม่อนแล้ว ยังมีสารพัดอาหารตะวันตก ทั้งสปาเก็ตตี้ผัดซอส ขาหมูเยอรมัน อกไก่ย่างบาบีคิว สลัดผักสด บรรยากาศบนโต๊ะมีแต่เสียงของคุณถามไถ่ศิทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน และแอบถามซีรีส์ตอนต่อไปอีกต่างหาก คุณพ่อ ดิน และผม ได้แต่กินเงียบ ๆ พูดบ้างถ้าคุณแม่ถามความเห็น ส่วนเด็กที่นั่งข้าง ๆ ก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นหลังจากที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นกันเอง

หลังอาหารคาวแม่บ้านนำชาอุ่น ๆ มาเสิร์ฟ พร้อมกับผลไม้ และคุ้กกี้ที่ศิเอามาฝาก คุณพ่อชอบจิบชาตอนเย็นกลายเป็นว่าพวกเราก็ชอบไปด้วย มันช่วยให้หลับสบายดีเหมือนกัน

“คุ้กกี้นี่ก็ฝีมือน้องศิหรอคะ แม่จำได้”

“คะ ครับ ทำไมถึง...บอกว่าจำได้ล่ะครับ”

“ก็คราวที่แล้วที่ดิมเอามาให้ก็รสชาติแบบนี้เลย แค่ไม่มีอัลมอลต์” คุณแม่พูดพลางกัดคุ้กกี้อีกคำแล้วยกชาขึ้นจิบ

“....” ผมและศิมองหน้ากัน คนข้างผมเหงื่อตกอีกรอบหลังจากได้ฟังสิ่งที่คุณแม่พูด เพราะมันหมายความว่าคุณแม่ทราบว่าศิเป็นแฟนของผม ทั้งที่จริง ๆ ผมไม่แปลกใจที่คุณแม่ทราบ เพราะวันนี้ที่เคยบอกว่าจะพาแฟนมาเปิดตัวด้วยแต่ดันมาแค่ศิคนเดียว…

“พ่อครับ แม่ครับ ดินด้วย จริง ๆ แล้วศิไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นแฟนของดิมเอง”

“...”

“ผมอยากจะบอกพ่อกับแม่นานแล้ว แต่คิดว่ารอเวลาที่เหมาะสม อาหาร ขนม ที่น้องฝากมาให้เป็นความคิดที่เขาอยากทำ ผมไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะโอเคมั้ย แต่อยากให้ค่อย ๆ ทำความรู้จักศิได้มั้ยครับ”

“ที่ดิมไม่พาศิมาที่บ้านทั้งที่คบกันมาสักพักแล้ว เพราะแม่ใช่มั้ยคะ เพราะที่แม่พูดวันนั้นหรือเปล่า”

ผมหันไปมองคนของตัวเองว่าเราเป็นอย่างไรกับการพูดความจริงครั้งนี้ เขาได้แต่นั่งก้มหน้ามองแก้วชาที่ยังมีไอร้อนลอยกรุ่น พอหันมามองคุณแม่ที่ยิ้มมีสีหน้ารู้สึกผิดฉายชัดก็วูบโหวงในใจเหมือนกัน

“ดิมคิดมากกับคำพูดของแม่มากเลยใช่มั้ย จริงอยู่ที่แม่เกิดมานานไม่ค่อยทันกับโลกที่ก้าวไปเร็วขนาดนี้” คุณแม่พยายามพูดไปแล้วยิ้มอย่างเอ็นดูส่งไปให้เด็กที่นั่งก้มหน้าไม่สบตาใคร

“แต่สิ่งหนึ่งที่แม่ก้าวทันเสมอคือพร้อมเข้าใจลูกนะคะ”

ศิเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบตากับผม เหมือนเรารู้ว่าควรทำอะไรต่อ จึงเดินนำน้องไปหาแม่ที่นั่งอยู่อีกฟากโต๊ะ ก่อนจะคุกเข่าพร้อมกันแล้วกราบลงที่ตักของแม่ ไม่ใช่แค่เราสองคนที่คิดไม่ตก แต่คุณแม่ที่พอจะเดาอะไรหลาย ๆ ออก ก็คงหนักใจอยู่เหมือนกัน และยิ่งเท่าทวีถ้าทบทวนสิ่งที่เธอพูดไปแล้วจะกระทบจิตใจลูกชายของตัวเอง

คุณแม่จับแก้มของศิแล้วลูบเบา ๆ “รู้มั้ยคะว่าแม่รู้ตั้งแต่ดิมเอาสปาเก็ตตี้ไข่เค็มมาฝากแม่ เพราะอีกกล่องที่กินหมดแล้วมีโน้ตของน้องศิแปะหราอยู่ด้านบน ทำอาหารกลางวันให้คนขี้เกียจด้วยหรอคะ เหนื่อยมั้ย” ศิส่ายหน้าเบา ๆ แล้วโผกอดเอวคุณแม่ ก่อนที่เขาจะร้องไห้ออกมา

“อ้าวแม่ไปทำแฟนเขาร้องไห้ได้ยังไงละเนี่ย” คุณพ่อที่นั่งเงียบมาตลอดพูดติดตลก

ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพตรงหน้า มันเกินจินตนาการเหมือนกัน สิ่งที่คิดไว้อย่างดีที่สุดก็คือคุณแม่ทำตัวปกตินั่งทานอาหารอย่างไม่พูดอะไร และสิ่งที่ร้ายที่สุดคือเธอลุกออกจากโต๊ะไป แต่นี่มันเรียกได้ว่าเกินฝัน

ศิผละจากอ้อมกอดของคุณแม่ เช็ดน้ำตาลวก ๆ แล้วพูดขึ้น “ขอบคุณนะครับที่ไม่รังเกียจศิ”

“โถ่พูดอะไรแบบนั้นคะ แม่ยอมรับค่ะว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ แต่เพราะพ่อบอกกับแม่ว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะอยู่กับดิมไปตลอดไม่ใช่เรา และความรักความปรารถนาดีของเราไม่ใช่การวาดชีวิตในแบบที่เราอยากเป็นให้กับเขา แต่คือชีวิตที่เขาเลือกเดินด้วยตัวเอง และแม่เห็นดิมมีความสุข ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ ขอบคุณน้องศินะคะที่ดูแลพี่เขาอย่างดี แม้เขาจะบ้างานไปหน่อย แต่เขาก็ยังบ้างานอีกด้วย”

“อ้าวแม่ครับ…”  ทุกคนพร้อมใจกันหัวเราะกับมุกตลกที่แม่เล่น “ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ”

ผมถือโอกาสกอดแม่ และนานแล้วที่เราสองแม่ลูกไม่ได้กอดกัน เธอที่ชีวิตมีแค่สามี และลูก ไม่แปลกอะไรที่จะวิตกกังวลกับความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะทำความเข้าใจ เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขที่แท้จริง



“นอนกับแม่สักคืนนะ” คุณแม่นั่งคุยกับศิหลายเรื่องจนดึกดื่น ประเด็นส่วนมากก็เรื่องผมนี่แหละ เผาจนไม้ไปยันกระดูกแล้ว

“ครับ ๆ”

“ดีค่ะ แม่ให้แม่บ้านทำความสะอาดตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว” คิดไว้แล้วนี่นาแม่ผม “กู๊ดไนท์นะคะเด็ก ๆ”

“ฝันดีครับคุณแม่” ศิตอบรับก่อนจะถูกแม่ผมดึงไปกอดอีกที ดูเธอจะชอบสัมผัสเด็กผู้ชายคนนี้เหลือเกิน เหตุผลที่แม่อยากได้ลูกชายตัวไม่โตเพราะจะได้ทำอะไรแบบนี้หรอ

“เฮ้อ” ลูกสะใภ้คนใหม่ของบ้าน ทิ้งตัวนั่งบนเตียงกว้างที่ผมเคยใช้ตั้งแต่สมัยมอปลาย และรีโนเวทไปหนึ่งครั้งสมัยมหาวิทยาลัย อุปกรณ์ ข้าวของ เครื่องใช้ต่าง ๆ ยังถูกจัดวางที่เดิม และสะอาดเอี่ยมเหมือนมีคนเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน

“หายใจโล่งเลยสินะ”

“สุด ๆ! ศิกลัวแทบแย่แหนะ แม่พี่ดิมน่ารักจังเลยนะครับ คุณพ่อด้วย”

“พี่โชคดีที่เกิดมาเป็นลูกท่าน ทั้งที่พี่อาจจะไม่ใช่ลูกที่ดีนัก” สายตาก้มไปมองรูปครอบครัวที่วางอยู่บนตู้หนังสือ มันเป็นสมัยเด็กที่เรายกโขยงไปเที่ยวทะเลในวันครบครอบแต่งงานของพ่อกับแม่ ตอนนี้ผมอยู่มอต้นเองมั้ง เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง

อ้อมกอดรัดด้านหลังมาจากผู้ชายอีกคนในห้อง มันทำให้ผมรู้ว่าความสุขของผมถูกเพิ่มมากอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือเขา เมื่อวาน วันนี้ และในอนาคตเขาจะเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่คิดถึงเมื่อไหร่ก็ยิ้มได้

“พี่ดิมหน้าเหมือนเดิมเลย คนนี้พี่ชายคนโตใช่มั้ย” นิ้วเล็ก ๆ ชี้ไปที่คนที่ดูโตสุดในแกงค์สามพี่น้อง

“ใช่ พี่ซันน่ะ เดี๋ยวคงได้เจอ ช่วงนี้บินไปหาลูกกับเมียที่อังกฤษ” 
 
“การมีพี่น้องนี่ดีมั้ยครับ ศิเกิดมาเป็นลูกคนเดียวไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่อยากมีพี่มากเลยนะ” ผมหันไปกอดตอบเด็กที่ทำท่าเหมือนอ้อนกันโดยที่เขาไม่รู้ตัว

“ดีสิ ดีมากเลย แต่ก็ไม่ใช่ทุกบ้านหรอกมั้ง ซันเป็นพี่ที่สุขุม ส่วนดินเป็นน้องที่แสบเอาเรื่อง”

“แล้วพี่ดิมล่ะครับ”

“พี่น่ะคนดี”

“เหอะ ไม่เชื่อหรอก” เด็กตรงหน้าหรี่ตามองเพราะไม่เชื่อการโกหกคำโตของผม คนดีที่ไหนจะชวนพี่น้องไปว่ายน้ำที่สโมสรหมู่บ้านตอนฝนตกจนป่วยนอนโรงพยาบาลพร้อมกันสามคน แต่ก็ไม่มีอะไรทำให้จำจนกลัวไม่กล้าทำอะไรแผลง ๆ แบบนี้ เพราะคุณแม่ไม่คุยด้วยตั้งสามวัน เป็นสามวันที่ทรมานและอึดอัดที่สุดในชีวิต ดินมาขอนอนด้วยและร้องไห้ทุกคืน คนเป็นพี่อย่างผมรู้สึกผิดจนไม่รู้จะรู้สึกผิดยังไง สุดท้ายก็ไปสัญญากับคุณแม่ว่าจะไม่ทำอีก

“แล้วหนูล่ะตอนเด็กเป็นยังไงครับ”

“อืมมม ศิก็เป็นเด็กธรรมดา ๆ แถมหน้าตาไม่น่าจดจำ ขนาดที่ว่าหลงกับลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกที่ฮ่องกงด้วย”

“ตอนนั้นไม่น่าจดจำสำหรับใคร แต่ตอนนี้น่าจดจำสำหรับพี่คนเดียวก็พอ”

“ทำไมต้องเอาหน้ามาใกล้ขนาดนี้เล่า”

“วันนี้ศิน่ารักมาก ๆ เลยนะ” เขยิบหน้าเข้าไปใกล้คนที่พยายามหลบหลีก  “ขอบคุณนะครับที่รอ ขอบคุณที่อดทนมาโดยตลอดนะ”

จุ๊บ

อดใจไม่ไหวที่จะสัมผัสเขา ใบหน้าขาวผ่อง แก้มนุ่มนิ่ม ปากเล็กกระจับสีชมพูอ่อน รวมไปถึงจมูกเชิดเล็กน้อย ทั้งหมดทั้งมวลอาจจะไม่ได้หล่อเหลา พิมพ์นิยมในสายตาใคร ทุกวันนี้ยังแอบเห็นบางเพจแคปรูปน้องในซีรีส์ไปเบลมว่าโกงบทภามาสมาอยู่เลย แต่แล้วไงเขาน่ารักและดีเกินไปสำหรับคนอย่างผมด้วยซ้ำ

“ฮื้อ พี่ดิม เดี๋ยวก่อนสิครับ จะ...ทำ ที่นี่หรอ”

“เจิมให้ห้องนอนพี่หน่อย อยากมีกลิ่นคนของพี่ติดที่ของพี่”

“ทุกทีสิน่าพี่ดิมเนี่ย”

“หนูก็ยอมพี่ทุกทีสิน่า”

“อ๊ะ”




กิจกรรมกิจกรรมกามของผมกับน้องจบประมาณเกือบตีสอง และคนถูกรังแกก็หลับพริ้มไปเรียบร้อย ส่วมผมอะดรีนาลีนหลั่งออกมาเยอะไปหน่อยเลยยังหลับไม่สนิท นอนเขี่ยแก้มนุ่มนิ่มมาได้สักพักแล้ว ความคิดที่เวียนวนอยู่ในหัวมาหลายวัน และมันชัดเจนขึ้นในวันนี้คือผมอยากใช้เวลากับครอบครัวของผมให้มากกว่านี้ ครอบครัวในทีนี้รวมถึงศิด้วย ถ้ายังทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันแบบนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ดี

ผมตัดสินใจที่จะเลือกเพิ่มเวลาในชีวิต มากกว่าทำอีกสิ่งที่ตัวเองชอบ



“ลงมากันแล้วหรอคะ วันนี้แม่ให้ป้าแม่บ้านเตรียมข้าวต้มสำหรับทุกคนนะ ส่วนดิมเบรกฟาสต์แบบคลีนเหมือนเดิมค่ะ” คุณแม่กุลีกุจอพรีเซ็นต์อาหารเช้าหน้าตาน่ารับประทานบนโต๊ะอาหารเล็กที่เราใช้ประจำ

และนี่ก็หมายความว่าศิไม่ใช่แขกของบ้านอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นคนในครอบครัว

“สวัสดีตอนเช้าครับคุณแม่” ลูกสะใภ้หมาด ๆ ของบ้านทักทายเจ้าของบ้านตัวจริงอย่างเป็นธรรมชาติ คุณแม่ตาโตเพราะลูกชายห่าม ๆ ทั้งสามคนไม่เคยทำอะไรแบบนี้

“คุณพ่อล่ะครับ”

“กำลังลงมาจ๊ะ”

“สวัสดีตอนเช้าครับพี่ดิน” ดินก็เหวอไปอีกคน

“ทำไมคุณแม่กับพี่ดินดูตกใจล่ะครับ”

“ฮ่า ๆ ที่บ้านเราไม่มีวัฒนธรรมน่ารัก ๆ อะไรแบบนี้หรอกน้องศิ”

“น่ารัก?” ศินั่งลงที่เก้าอี้ข้างผม ด้วยสายตางุนงง

“ก็ที่ทักทายกันยามเช้าอะไรแบบนี้น่ะสิ”

“แม่มีแต่ลูกชายทะโมน ๆ ค่ะ ทำอะไรน่ารักแบบนี้ไม่เป็นหรอก กว่าสามสิบสองปีศิคือดอกไม้บานยามเช้าที่สดใสของแม่นะคะ” คุณแม่เดินมาหอมหัวลูกชายคนใหม่ ผมและดินหัวเราะพรืดออกมา ไม่เคยรู้ว่าคุณแม่เก็บกดที่เป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวในบ้าน

“เอาลูกเขามาเป็นลูกตัวเองขอพ่อแม่เขาหรือยังครับคุณ” คุณพ่อเดินเข้ามาเห็นฉากเด็ดพอดีเอ่ยแซว

“ว่าแต่คุณพ่อคุณแม่น้องศิทราบเรื่องแล้วใช่มั้ย หรือให้แม่กับพ่อไปคุยให้มั้ยคะ”

“เอ่อ ป๊ากับม๊าศิทราบแล้วครับ พวกท่านไม่ได้ว่าอะไร”

“งั้นแม่ก็ควรไปคุยแบบเป็นทางการ ไว้หาวันดี ๆ ไปกันนะคะคุณ” ผู้ชายสามคนในบ้านมองหน้ากันยิ้ม ๆ ที่วันนี้เห็นคุณแม่มีความสดใสอย่างแปลกตา เหมือนตอนที่ไปแม่ไปรับพวกเราสามพี่น้องที่โรงเรียนวันเปิดเทอมแรกเลย และมันก็ผ่านมานานแล้วนับตั้งแต่วันนั้น ผมอยากดูแลท่านให้มากกว่าที่เป็นอยู่ และคิดว่าสิ่งที่กำลังจะตัดสินใจนี้คงถูกต้องแล้ว

“พ่อแม่ครับ ดิมว่าจะเลิกรับงานในวงการ”

“พี่ดิม!” กลายเป็นเด็กที่นั่งข้าง ๆ ตกใจยิ่งกว่าคนที่ผมตั้งใจบอก

“จริง ๆ พี่จะปรึกษาศิหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจ มาแน่ใจเอาเมื่อคืน”

“ทำไมล่ะลูกชาย กว่าจะขอแม่ไปทำได้ไม่ง่ายเลยนะ จู่ ๆ ก็จะไม่ทำแล้วซะงั้น” คุณพ่อนั่งเอามือประสานกัน ตั้งใจฟังเรื่องที่ผมปรึกษา เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง

“อยากมีเวลาใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเขาบ้างครับ เวลาเล่นละครมันดีมากเลยนะครับ มันได้เห็นตัวเองในมุมที่ไม่เคยเห็น ทำแล้วมันคลายเครียดเพราะไม่อยากให้ตัวเองยึดติดกับความเป็นหมอเกินไป”

“ดิมกลัวตัวเองเป็นบ้าอะดิ” น้องชายเอ่ยแซว

“เออจริง ๆ ก็กลัวตัวเองบ้างานเกินไป เลยหาทำอะไรทำเบี่ยงเบนไง แต่ตอนนี้เจอสิ่งที่สร้างความสงบและอยากกลับบ้านมานอนโง่ ๆ แล้วแหละ” ผมมองไปที่จุดเปลี่ยนในชีวิตของผม เขายังงงแถมเอานิ้วชี้ที่ตัวเองอีกต่างหาก

“เรานั่นแหละครับ พ่อกับแม่ก็ด้วย ไม่อยากตายเร็วเพราะทำงานหนักเกินไป อีกอย่างจะได้กลับมาดูแลพ่อกับแม่บ่อย ๆ”

“ดีเลยค่ะ แม่จะได้เจอน้องศิบ่อย ๆ” คุณนายของบ้านยิ้มตาหยีแล้วนั่งทานอาหารเช้าอย่างสบายใจ

“พ่อกับแม่คงแล้วแต่ดิม ยังไงก็ไปคุยกับอาติณณ์ให้เรียบร้อยนะ”

“ครับ”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นน่ะศิ คิดมากอีกแล้วล่ะสิ” เอื้อมมือไปลูบหัวเด็กที่ทำหน้าตาคิดมากอีกแล้ว

“เปล่าครับ แค่ศิทำให้พี่ดิมเลิกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เพื่อที่จะหาเวลามาดูแลศิหรือเปล่า”

“เอ้อ เด็กคนนี้ หาเวลาอยู่กับแฟนว่ายากแล้ว ทำให้แฟนเลิกคิดมากนี่คงยากกว่า” เท้าคางกับมืออีกข้างอย่างปลง ๆ “พี่ชอบอยู่กับศิมากกว่าเล่นละครโอเคมั้ย”

“ดิมนี่มันขิงกันนี่หว่า อะไรคือการมาจีบแฟนต่อหน้าคนโสดอย่างผมวะ”

“งั้นหุ้นของดิมไม่ต้องขายให้น้องนะ เก็บไว้ปันผลเลี้ยงลูกเขาให้ดี ไม่ก็เอาไปลงทุนอย่างอื่น เงินเดือนหมอโรงพยาบาลรัฐกลัวจะไม่พอค่าน้ำค่าไฟเพนเฮาส์”

เสียงหัวเราะจากทุกคน การันตีได้อย่างดีว่าคิดถูกแล้วจริง ๆ ที่ตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตกับพวกเขาให้มากขึ้น ทำงานอย่างพอดี

และมีความสุขในแบบง่าย ๆ กับครอบครัวของผม



----------------To be continued----------------

เป็นอีกตอนที่ตั้งใจอยากใส่เรื่องความสำคัญของครอบครัวเข้าไป
การมีครอบครัวที่เข้าอกเข้าใจมันเป็นพื้นฐานของคนที่เต็มคนเลยนะ
จบสาระ555555555555555555555555
Congratulations กับลูกสะใภ้บ้านชานยกาญจ์ธำรงค์หน่อยจ้าา
น่าหมั้นไส้มากกกกกก พอมีเมียก็คือจะไม่เล่นละครละ
แถมเหตุผลก็คืออยากมีเวลาอยู่กับแฟนว่ะ งงมาก5555555555
ตอนหน้าก็ last episode ละเด้ออออ

อยากอ่านเมน์เหมือนเดิมงับ
รักเด้อ

บี

#กาลครั้งที่รักคุณ
#youaremyday1
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-10-2018 16:09:45 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด