Chapter 9 ปัถย์หอบเอาหัวใจที่แหลกละเอียดของตัวเองกลับมาหลบเลียแผลใจเพียงลำพัง ในตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเปราะบางและอ่อนไหวกว่าที่เคยเป็นมาทั้งชีวิต ความอ่อนล้าทางกายไม่อาจเทียบได้กับความอ่อนล้าทางใจ แม้เตรียมใจรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแต่พอเอาเข้าจริงความรู้สึกต่างๆ ก็ถาโถมเข้ามาเกิดกว่าที่จะควบคุมให้เป็นปกติ
มันไม่ใช่ความรัก ก็แค่เซ็กส์ เป็นเรื่องสามัญของปุถุชนคนธรรมดาที่ต้องการการปลดปล่อยความต้องการทางธรรมชาติ อาจมีกับใครต่อใครก็ได้ ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายนั่นยิ่งไม่น่าจะใช่เรื่องที่แปลก สังคมทุกวันนี้เรื่องการเปลี่ยนคู่นอนรายวันมันทำกันได้ง่ายๆ ดังนั้นเขาไม่ควรจะเอามาคิดให้ปวดสมอง... ปัถย์พยายามบอกให้ตัวเองคิดไปแบบนั้น
เมื่อกลับมาถึงห้อง สิ่งแรกที่ปัถย์ทำคือเดินเข้าห้องน้ำแล้วเปลื้องผ้าตัวเองออกจนหมด ร่างกายที่เปลือยเปล่าเผยร่องรอยมากมายจากเซ็กส์ที่ไร้ความรัก แผ่นอกขาว หน้าท้องแบนเรียบแผ่นหลัง รวมไปถึงต้นขาที่ก็ปรากฏรอยจ้ำแดงจากการดูดและขบกัดไม่ต่างกัน ฝ่ามือหนาลูบใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ ดวงตาที่เคยสดใสกลับกลายเป็นแดงช้ำคงเป็นเพราะนอนน้อยก็ได้
เมื่อมองตัวเองจนพอใจ ร่างสูงก็ผละออกจากกระจกบานใหญ่เดินเข้าสู่คอกสำหรับอาบน้ำ เปิดฝักบัวแรงสุดให้น้ำอุ่นสาดลงบนหัวผ่านใบหน้าและร่างกาย ความปวดร้าวในส่วนที่ถูกเติมเต็มคอยย้ำเตือนทุกครั้งที่ขยับตัว ไอน้ำร้อนๆ คลายความเหมื่อยขบจากกล้ามเนื้อและจุดอ่อนไหว เสียงน้ำที่กระทบลงบนพื้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอช่วยให้จิตใจเขาสงบลง แต่ไม่รู้ทำไมน้ำตาของเขาจู่ถึงไหลออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ปัถย์ใช้เวลาตลอดวันหมดไปกับการนอนแผ่หราแบบซังกะตายบนเตียง ทั้งที่ยังมีอะไรตั้งแต่เช้าแต่กลับไม่รู้สึกหิว ร่างสูงขยับตัวนอนคว่ำเอามือซุกใต้หมอนแนบหน้าลงนิ่งๆ เฝ้าฟังเสียงแอร์ไปเรื่อยๆ อย่างใจลอย
จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นปลุกเขาให้หลุดจากภวังค์ความคิด
ชลนที "ไง" ปัถย์กดรับทันทีและร้องทักสั้นๆ
[ทำไรอยู่วะ คืนนี้แดกเหล้ากันไหม พรุ่งนี้กูต้องบินกลับกระบี่แล้ว]
“เหนื่อยๆ ว่ะ กูขอบายนะ"
[มึงเป็นอะไรหรือเปล่า เสียงดูไม่ค่อยดี]
คนเป็นเพื่อนจับความรู้สึกได้ว่าเพื่อนรักดูไม่ปกติสักเท่าไร
"เปล่าหรอก แค่เรื่องงานนิดหน่อย ว่าแต่มึงเถอะ จะไปทำงานแล้วยังจะห่วงเมาอีก” ปัถย์ถอนใจแล้วขยี้ผมอีกรอบ เฉไฉไปเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงประเด็น ครั้งนี้ทำเสียงให้กระตือรือร้นอีกนิด
[งานส่วนงานพักผ่อนส่วนพักผ่อน พูดถึงเรื่องงานขึ้นมาก็ดี นี่มึงยังอยากจะเปลี่ยนอยู่หรือเปล่า คิดดีๆ นะเว้ย คนแบบมึงไปที่ไหนใครก็อยากรับ]
"อืม ก็จะเขียนใบลาออกวันจันทร์"
"เฮ้ย เร็วจังนึกว่าจะรอถึงสิ้นเดือน ไง... เจ็บจี๊ดที่ใจอ่ะดิ”
“ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลนี่ แล้วไอ้เจ็บจี๊ดที่ใจก็ฉินแล้วหรือเปล่าวะ ไม่ใช่แค่รู้ว่าไม่มีหวังแค่วันสองวันเมื่อไร สิวๆ" ปัถย์พูดเสียงเนือยแต่ไม่แสดงความเศร้าที่มีออกไปในน้ำเสียง ติดจะทำให้ดูตลกเสียด้วยซ็ำ
ด้วยนิสัยหนึ่งของปัถย์คือคนที่มักจะเก็บความรู้สึกเอาไว้กับตัว ในยามที่อ่อนแอเขาจะไม่แสดงออกกลับใคร จนกว่าเจ้าตัวจะเคลียความรู้สึกจนเกือบเป็นปกติได้นั่นละ ถึงจะยอมเล่าอะไรให้ใครฟังบ้าง
[นี่จะออกเลย ไม่รอให้ได้งานใหม่ก่อนเหรอ] ชลนทีถามเพื่อนรักด้วยความสงสัย
“ว่าจะนอนเล่นอยู่บ้านสักเดือนค่อยหางานใหม่ ขอชิลก่อนหาเรื่องปวดหัว"
“แล้วบอสโหดของมึงจะว่ายังไง นึกภาพไม่ออก”
"มันอยู่ที่กูตัดสินใจ เอรีสจะว่าอะไรได้กูไม่สน เขามีเงินจะจ้างอีกสักสิบคนก็ได้ อาจจะได้คนที่เก่งกว่ากูมาก็ได้ใครจะรู้วะ สมัยนี้ใครๆ ก็มีความสามารถรอบด้าน"
[แต่มึงรู้ใจไง]
“เปล่ารู้ใจ กูรู้งาน ไม่แน่นะเขาอาจจะไม่ได้แคร์เลยด้วยซ้ำ ไม่มีพนักงานคนเดียวบริษัทเขาก็ไปรอด”
[นี่ทะเลาะกันหรือเปล่า แบบว่าเอิ่ม... ขัดใจอะไรกัน]
ชลนทีไม่กล้าพูดอะไรให้มาก เพราะลึกลงไปเขาแน่ใจว่าระหว่างเพื่อนรักกับเจ้านายขาโหดต้องมีบางอย่างที่ลึกซึ้ง ซึ่งคงจะรู้และเข้าใจกันเพียงแค่สองคน ที่ผ่านมาปัถย์ทำงานกับเอรีสมาหลายปีย่อมมีความผูกพันธ์บางอย่างอยู่แล้ว
“กูบอกเขาไปแล้วนะ เรื่องที่จะออก"
[จริงอ่ะ มึงนี่บทจะใจเด็ดก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ ว่าแต่มึงอยากมาทำงานบริษัทกูหรือเปล่าเดี๋ยวกูดูให้]
"อย่าเลยกูเกรงใจ"
[เกรงใจกูหรือไม่อยากมาทำงานบริษัทกิ๊กเก่า]
"พูดบ้าๆ กิ๊กที่ไหน"
[ก็พี่เขาเคยจีบมึง]
"แต่กูก็ไม่ได้คบกับเขา จะพูดว่ากิ๊กก็เกินเบอร์ไป”
[เออๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ว่าแต่อยากมาไหม มาทำงานด้วยกันกูจะได้ไม่เหงา]
“ยังไม่รู้วะ ขอดูก่อน ยังไม่อยากรีบตัดสินใจ”
[เล่นตัวจัง ก็ได้ ถ้าเปลี่ยนใจก็มาทำด้วยกันนะมึง ที่นี่สบายๆ งานหนักก็จริงแต่คนแม่งไม่เรื่องเยอะ]
“อืม เดี๋ยวกูลองคิดดูอีกที”
RRRRR วางสายจากชลนทีไม่นานชื่อของ ธีรนัยปรากฏขึ้น ที่หน้าจอโทรศัพท์ ปัถย์ลังเลเล็กน้อยว่าจะรับดีหรือไม่รับดี ตอนนี้เขาไม่อยากปั้นหน้ากับใครที่ไหน ที่จริงความสัมพันธ์ของเขากับธีรนัยก็เป็นรูปแบบครึ่งๆ กลางๆ อาจจะเรียกได้ว่ามากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนก็ไม่ผิด
จะมีโทรคุยกันบ้าง กินข้าวด้วยกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้เกินเลยถึงเนื้อถึงตัว ธีรนัยเองก็ไม่ขัดข้องที่ปัถย์จะแบ่งช่่องว่างทางความสัมพันธ์ไว้แค่การเป็นคนคุย ในบางครั้งปัถย์เองก็รู้สึกว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะที่จริงแล้วเขาเหมือนหลอกใช้เอาธีรนัยมาเป็นไม้กันหมาก็ไม่ผิดนัก คิดมาถึงตรงนี้ปัถย์จึงรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับใครเลย ปัถย์คิดเรื่องนี้มาสักพักแล้วว่าไม่ควรดึงธีรนัยมายุ่งกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นบางทีการบอกจบความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องอาจเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดก็ได้
“ว่าไงครับ กลับมาจากนิวยอร์คเมื่อไร”
[เพิ่งลงเครื่องเมื่อคืน นี่ผมก็เพิ่งตื่นนอน คิดถึงเลยโทรหา]
ปัถย์ฟังน้ำเสียงหยอดจากฝ่ายตรงข้ามแล้วอมยิ้ม หลังจากธีรนัยเดินทางไปนิวยอร์คเมื่อสองสัปดาห์ก่อนก็เรียกได้ว่าตัดขาดการติดต่อกันโดยสิ้นเชิง
“ครับ”
“ทานข้าวกันนะครับเย็นนี้ ผมไปรับที่คอนโดนะ”
“กี่โมงครับ”
“หกโมงเย็นนะครับ ผมรอที่ล็อบบี้นะ”
ปัถย์มองเห็นธีรนัยที่ยืนกอดอกอยู่แต่ไกล ผู้ชายอย่างธีรนัยโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางผู้คนรายรอบเขาเสมอ ด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ ความสุภาพแบบเชื้อสายผู้ดีทำให้ธีรนัยเป็นผู้ชายที่ไม่อาจปฏิเสธว่าน่าสนใจได้ง่ายๆ
“คิดถึง” ธีรนัยยิ้มหวาน แล้วโอบไหล่ปัถย์หลวมๆ
การแสดงออกอย่างเปิดเผยของธีรนัยทำให้ปัถย์รู้สึกไม่สบายใจ เขาขยับตัวออกจากวงแขนอีกฝ่ายให้ดูแนบเนียนที่สุด
“คุณนี่ชอบหยอดนะครับ”
“นี่พูดจริง ไม่ได้หยอดเลย อยากทานอะไรครับ อาหารญี่ปุ่นดีไหม หรือว่าเบื่อแล้วจะไปทานอย่างอื่น”
“อาหารญี่ปุ่นก็ได้ครับ”
เมื่อมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นย่านทองหล่อ ธีรนัยก็สั่งของที่เขาชอบมาให้สามสี่อย่าง ทั้งคู่ลงมือทานและพูดคุยกันเรื่องสรรพเพเหระไปเรื่อยๆ จนกระทั่งธีรนัยหยิบโทรศัพท์มาเล่นด้วยความเคยชินแล้วยิ้มเย็นออกมาเหมือนเจออะไรในโทรศัพท์สักอย่าง
“เจ้านายคุณนี่เปลี่ยนคนควงไปเรื่อยเลยนะครับ”
ปัถย์ได้แต่รับฟังโดยไม่พูดอะไร แถมยังแกล้งคืบเนื้อปลาใส่เข้าปากประหนึ่งทำตัวแบบทองไม่รู้ร้อนทั้งที่จริงแล้วอยากรู้ใจจะขาดว่าธีรนัยหมายความว่ายังไง
“นี่ไง สวีตหวานกับคิมหันต์ที่ญี่ปุ่น เพิ่งลงเครื่องสดๆ ร้อนๆ มิน่าล่ะถึงปล่อยคุณให้มาทานข้าวกับผมแบบง่ายๆ ปกติก็เห็นมีงานด่วนเข้ามาตลอด”
ปัถย์เห็นภาพนั้นแบบผ่านตา เลือกที่จะไม่โฟกัสไปตรงๆ ให้ปวดใจ
“ธรรมดาครับ ไม่มีคนไปด้วยนี่สิแปลก”
เพิ่งห่างกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง เอรีสก็มีคนควงใหม่แล้ว เป็นแบบนี้สินะสถานะจากเซ็กส์ที่ไม่มีคำเรียก
จะมามีโมเม้นต์ติดตรึงอะไรหรือก็ไม่
“สับรางยังไงไหว เดี๋ยวผู้หญิง เดี๋ยวผู้ชาย”
“ก็ไม่เห็นเคยชนกันสักทีนี่ครับ”
ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่ใจใจกลับร้อนระอุเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่ปัถย์ไม่ใช่คนช่างเรียกร้อง เมื่อก่อนไม่ได้เป็นเจ้าของเขายังไง ตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
“เอรีสมันเจ้าชู้”
“ใช่ครับ เจ้าชู้แบบสุดๆ” ปัถย์หัวเราะแล้วคีบทาโก๊ะเข้าปากไปด้วย
“แต่คุณก็ยังชอบเขา?”
คำพูดของคู่สนทนาทำเอาปัถย์ชะงัก สีหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที เป็นอีกครั้งที่ธีรนัยมักจะจิ๊กเขาตรงๆ แบบไม่ไว้หน้า
“ธีครับ”
“คุณนึกว่าผมดูไม่ออกเหรอว่าคุณยังชอบเขา ผมรู้มาตลอดว่าเอรีสมีอิทธิพลกับคุณมากแค่ไหน แต่ที่ผ่านมาผมก็หวังว่าจะชนะเขาได้ ผมอยากชนะใจคุณ”
ธีรนัยพูดเรียบๆ แต่อ่านไม่ออกว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ ถ้าเขาแสดงอาการออกมาว่าโกรธหรือไม่พอใจ มันจะดีเสียกว่ามาดนิ่งที่เขาแสดงออกเขาก็ยิ้มระบายที่มุมปากแบบไม่มีเหตุผล
“คุณแค่ลองเปิดใจแล้วให้โอกาสผม ให้เราทั้งคู่มากเป็นมากกว่าแค่คนลองคุยๆ กัน”
“ผมไม่ได้อยากจะเล่นตัวอะไร ตอนแรกก็อยากแค่คิดว่าอยากใช้เวลาศึกษากันอีกสักพัก แต่ผมมาคิดๆ ดูแล้ว...” ปัถย์เริ่มพูดเข้าประเด็น ไหนๆ ก็คุยกันเรื่องนี้แล้วก็เปิดใจกันไปให้รู้เรื่อง ยื้อไว้ก็ไม่ดีกับใคร
“โอเคครับๆ ผมเข้าใจแล้ว ผมจะไม่ได้เร่งรัด เอาไว้คุณพร้อมก่อนก็ได้”
“ธีครับ ผมลองมาคิดมาสักพักหนึ่งแล้ว... ผมคงคบกับคุณไม่ได้จริงๆ เราเป็นเพื่อนกันเถอะครับ ผมไม่อยากเป็นคนที่เห็นแก่ตัว”
“ผมไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธแบบนี้นะครับ ไม่ได้เตรียมใจมาถูกบอกเลิกความสัมพันธ์”
“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้มีเจตนาทำให้คุณรู้สึกแย่ แต่ผมก็อยากจะพูดตรงๆ ไม่อยากเป็นคนที่มาเอาเปรียบด้วยการให้คุณรอไปเรื่อยๆ”
“ตัวผมเองก็ไม่อยากเร่งรัด ผมรอได้”
แม้ปากธีรนัยจะพูดแบบนั้นแต่เจ้าตัวก็ยังยิ้มอยู่ในหน้า แต่รอยยิ้มนั้นปัถย์กลับรู้สึกว่าน่ากลัว
“ผมว่าเราเป็นเพื่อนกันดีกว่าครับ เวลาที่คุณมาเสียกับผม คุณอาจได้ไปเรียนรู้ หรือได้เจอคนที่ดีกว่า”
“ผมไม่ใช่คนที่จะยอมรับการถูกปฏิเสธง่ายๆ บางทีคุณควรจะศึกษานิสัยของผมเอาไว้บ้างก็ดีนะครับ”
ปัถย์ฟังน้ำเสียงเรียบๆ แต่ชวนเย็นยะเยือกของธีรนัยแล้วพาลให้ชวนอึดอัด ถ้าลองพูดไปขนาดนี้แล้วยังไม่คิดจะรับฟัง บางทีการตีตัวออกห่างแบบเงียบๆ น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าก็เป็นได้
ล่วงเลยมาจนถึงวันพุธปัถย์ยังไม่ได้ยื่นจดหมายลาออกตามที่ตนได้ลั่นวาจาไว้ เหตุผลหลักคือบอสของเขาเดินทางไปธุระส่วนตัวที่ญี่ปุ่น ซึ่งกว่าจะกลับก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้ ออฟฟิศที่ไม่มีเอรีสยังคงยุ่งเหมือนเคย ยิ่งใกล้ช่วงส่งมอบงานเขายิ่งงานยุ่ง ดูอย่างตอนนี้เขาก็เพิ่งเสร็จจากไซด์มีตติ้งและยังต้องรีบกลับบริษัทเพื่อประชุมกับฝ่ายบริหารแทนเอรีสอีก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วที่เขาทำตัวเป็นตัวแทนรับเรื่องสำคัญกับเอรีสเสมอๆ
ปัถย์กลับมาถึงออฟฟิศในเวลาบ่ายโมงพอดิบพอดี เจ้าตัวรีบตรงไปยังห้องประชุมเพราะเกรงว่าจะทำให้คนอื่นรอนาน
เมื่อเปิดประตูห้องประชุม เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายเดินทางมาถึงเรียบร้อยแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจเป็นที่สุดคือเอรีสเองก็นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ประธานการประชุมด้วยสีหน้าเอรีสราบเรียบ เดาอารมณ์ไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
ส่วนบอสใหญ่เห็นการปรากฏตัวของผู้ช่วยคนเก่ง เขาเหลือบหางตามองปัถย์เล็กน้อยแต่ไม่ได้ทักทายอะไร เป็นปัถย์เองที่แม้จะอยากตัดใจจากเขาแทบตายแต่ก็มัวแต่นับวันรอให้เขากลับมา ไว้รอเวลาที่เขามีอันต้องจากที่นี่ไปแล้วไอ้คำว่าคิดถึงนี่มันคงเล่นงานเขาอย่างแสนสาหัสเลยสินะ แต่มนุษย์เราย่อมเรียนรู้และปรับตัวที่จะใช้ชีวิตอยู่ให้ได้ คงไม่มีใครถึงตายเพราะว่าอกหักรักคุดหรอก
"กลับมาถึงเมื่อไรครับ" ปัถย์นั่งลงเคียงข้างและร้องถามเพื่อทำทุกอย่างให้ดูเป็นปกติ
"เพิ่งลงเครื่อง" เอรีสตอบ หากแต่ดวงตาสีอ่อนมองตรงไปทางอื่น
"ประชุมไหวนะครับ ทานอะไรก่อนไหมเดี๋ยวผมเลื่อนการประชุมไปก่อนสักสิบนาที"
เอรีสคิ้วกระตุก รอยยิ้มหยัน
"หึ นายก็เป็นซะแบบนี้”
ปัถย์มองฟังอย่างไม่เข้าใจความหมายและน้ำเสียงที่เขาสื่ออกมา แต่ก่อนที่เขาจะอ้าปากถามอะไรเสียงของเรีสก็พูดขึ้นเสียก่อน
“มากันครบแล้ว เริ่มประชุมกันเลยแล้วกัน”
กว่าที่การประชุมจะเสร็จเกือบๆ บ่ายสามเอรีสเดินออกจะห้องประชุมโดยมีปัถย์เดินตามหลังไม่ห่าง วันนี้เอรีสดูแปลกไป นอกจากจะไม่เหวี่ยงใส่ที่ประชุมแล้วยังดูนิ่งเงียบกว่าทุกวัน เขานั่งลงแล้วซบหน้าลงบนฝ่ามือท่าทางอ่อนล้าเดาเอาว่าน่าจะเป็นเพราะเพิ่งเดินทางเลยเกิดอาการเพลีย เอรีสดูหน้าซีดเล็กน้อยแต่ก็ยังหล่อเหลาอันตรายเช่นเคย ผมที่เคยจัดทรงเรียบดูยุ่งหน่อยๆ แต่ในลุกซ์แบบนี้เขากลับดึงดูดสายตาและมีเสน่ห์ในความรู้สึกของเขา
“หิวไหมครับ”
“ไม่หิว มีอะไรจะให้เซ็นก็เอามา”
ปัถย์จำต้องหยิบแฟ้มเอกสารสัญญาการก่อสร้างสองปึกใหญ่ที่เอรีสจะต้องลงนาม และรอเอรีสไล่เซ็นทีละหน้าจนเสร็จ โดยเขายืนมองอยู่เงียบๆ ไม่ห่าง เขาไม่ได้พูดอะไรมากเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีอารมณ์ที่จะคุยด้วยสักเท่าไร ส่วนตัวเขาเองก็ต้องทำตัวให้ชินได้แล้ว...
ชินที่จะไม่มีเอรีส
ปัถย์ใช้เวลาเกือบสิบนาทีมองเอรีสเซ้นเอกสารสัญญาตรงหน้า จนกระทั่งผู้เป็นบอสเซ็นเสร็จและเลื่อนกระดาษปึกหน้ามาให้เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
“มีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไรอีก วันนี้ฉันจะกลับก่อน”
“ไม่มีอะไรแล้วครับ เออ... นี่ครับใบลาออกครับ”
ปัถย์หยิบซองสีขาวที่เตรียมมาวางไว้บนโต๊ะ เอรีสตวัดสายตามมองมันเหมือนเชื้อโรคร้ายน่าขยะแขยง
“จะเอาแบบนี้ใช่ไหม” แม้จะไม่ใช่น้ำเสียงตะคอกเจ้าอารมณ์อย่างเคย แต่มันกลับทำให้ปัถย์รู้สึกว่าตัวเองขนลุกซุ่กับความเยือกเย็นและสีหน้าของผู้พูด “อยากให้มันแบบนี้?”
“ผมเสียใจครับ แต่ผมตัดสินใจแล้ว”
“อยากจะได้อะไร อยากจะเอาอะไรก็พูดมา อย่ามาเล่นสงครามประสาทแบบนี้นะ ฉันไม่ชอบ”
เอรีสดูไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาเสยผมลวกๆ มองปัถย์นิ่งขรึม ที่ทีเหนื่อยๆ เมื่อครู่กลายเป็นโทสะร้อนแรงไปในฉับพลัน
“ผมแค่อิ่มตัวกับงานตรงนี้แล้ว อยากลองไปหาประสบการณ์จากตรงอื่นดูบ้าง นี่ครับประวัติผู้สมัครงานตำแหน่งผู้ช่วยของคุณ ผมคัดคนที่มีประสบการณ์และมีคุณสมบัติครบถ้วนเอาไว้ให้ รอแค่คุณเรียกเพื่อนัดสัมภาษณ์”
“ฉันไม่รับใครทั้งนั้น เพราะฉันไม่ให้นายออก”
“ตามกฎหมายผมไม่จะเป็นต้องรอการอนุมัตินะครับ ผมสามารถออกได้ทันทีที่ส่งจดหมายลาออกอย่างเป็นทางการ”
“หัวหมอ”
“ผมแค่พูดถึงสิทธิของผม”
เราจ้องตากันราวสิบวินาที เอรีสดูครุ่นคิดบางอย่างเพราะสายตาของเขาดูแน่วแน่มีประกาย แล้วเจ้าตัวก็ถอนใจออกมาในที่สุด
“ให้ลาพักร้อนห้าวัน นี่ก็สิ้นปีแล้วนายเหนื่อยมาทั้งปีไปพักบ้างก็น่าจะดี เอาไว้นายอารมณ์ดีเราค่อยมาคุยกัน เรื่องลาออกอย่าเอามาพูดอีก ไม่อยากฟัง”
“ไม่ฟังไม่ได้ครับ”
“ก็ไม่ฟังไง พูดไม่รู้เรื่องเหรอ อย่าให้ย้ำหลายๆ รอบ”
โคตรเอาแต่ใจ ทีเมื่อก่อนขอลากลับไม่ยอม มาทีนี้กลับยอมกันง่ายๆ คนเรานี่ก็แปลกตอนมีกันอยู่ก็ไม่เห็นอกเห็นใจพอทีนี้จะไปก็เปลี่ยนมายื่นข้อเสนอโน่นี่
“เอรีสครับผมไม่ได้อยากพักร้อน... ผม”
“เรื่องานที่มันโหลดเกินไป ก็จะหาคนมาช่วย นายก็ไปดูมาว่าใครที่เหมาะสมแล้วพอจะช่วยงานได้ อยากดึงใครขึ้นมาทำก็เอา หรือจะรับใหม่ก็ได้ ถ้าคนเดียวไม่พอก็สองคนไปเลย ถ้าเหมาะสมแล้วนายโอเคกับคนที่จะมาช่วยงาน เงินเดือนเท่าไรด็ไม่เกี่ยง เอาที่นายเลือกว่าดี”
“คุณลองดูประวัติพวกนี้ก็ได้ครับ แต่ที่ผมหามาก็เอามาแทนตำแหน่งผมนี่ล่ะ คุณลองดูก่อน”
คนที่ตั้งท่าจะเป็นอดีตผู้ช่วยดื้อดึงให้บอสจอมเอาแต่ใจอ่านรายละเอียดตรงหน้า
“บอกว่าไม่ให้ออก ไม่ดู เอาไปไหนก็เอาไป ถ้าไม่เอาไปจะเผาทิ้งตรงนี้ล่ะ”
“ถ้าบอสไม่ดูรายชื่อพวกนี้ หลังปีใหม่ตำแหน่งของผมก็จะว่าง แล้วบอสจะยุ่งมาก ปีหน้างานโครงการเยอะด้วยนะครับ ถ้าไม่รีบเรียนรู้งานจากผมมาจับงานทีหลังก็จะคลำทางไม่ถูก รายละเอียดงานมันเยอะนะครับ”
“ถ้าไม่มีนายหามาอีกร้อยคนก็ไม่เอา ไม่มีใครทำงานตำแหน่งนี้ได้นอกจากนาย” ใบหน้าคมเข้มบูดบึ้ง น้ำเสียงมีความหงุดหงิดจนปัถย์ชักอ่อนใจ
“เมื่อก่อนก็ไม่มีผม ก็เห็นมีคนทำงานได้”
“ก่อนหน้าจะมีนายฉันเปลี่ยนผู้ช่วยเกือบสิบ มาแล้วก็ไป เสียเวลา เสียความรู้สึก กับนายก็รู้อกรู้ใจกันดีอยู่แล้วเรื่องอะไรจะต้องเอาคนใหม่มาปวดหัวอีก ไร้สาระน่า”
“เด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ไฟแรง จบมากก็มีความสามารถทุกคน บอสต้องลองดูก่อน อย่าเพิ่งตัดสินคนอื่นทั้งที่ยังไม่ได้ลองให้โอกาส คนที่มีประสบการณ์เก่งกว่าผมก็มี หลายคนผ่านโปรเจคระดับอินเตอร์มาแถม จบป.โทอีกต่างหาก บอสอย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจสิครับ”
“ไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่นายฉันก็ไม่เอา ต่อให้ฉันจะเป็นคนใจกว้างเป็นมหาสมุทรให้โอกาสคนเป็นร้อยแต่ฉันก็ไม่ยอมให้นายออก เข้าใจไหม”
ถ้าเป็นคำนี้เมื่อก่อนเขาคงตัวลอยเป็นลูกโป่งอัดก๊าซ แต่พอเป็นตอนนี้คำหวานของเขากลับเหมือนยาพิษที่กินเข้าไปก็รังแต่จะทำร้ายกันแบบฝังรากลึก
“ทางเลือกของบอสมีแค่นี้ครับ เพราะยังไงผมก็ไม่อยู่ต่อ”
“ถ้านายไปง่ายๆ ก็อย่ามาเรียกว่ากันว่าเอรีส”
ดวงตาเอรีสเรืองโรจน์ น้ำเสียงเอาจริงกับคนที่ทำอะไรเด็ดขาดมุ่งมั่น แบบนี้ประมาทไม่ได้
เอรีสอาจทำให้ปัถย์หมดอนาคตถ้าอยากทำ ในเมื่อเขาเองก็เป็นถึงขาใหญ่ในวงการก่อสร้างลองให้สัญญาณนิดเดียวบริษัทต่างๆ ก็แทบพร้อมใจกับปิดประตูใส่หน้า
“คุณคงไม่รังแกผมแบบนั้น?”
“ก็ลองดู ฉันยิ่งบ้าๆ ไม่เหมือนคนอื่นอยู่ นายก็รู้นิสัยดีนี่”
“ผมรู้นิสัยคุณไงครับ ถึงรู้ว่าคุณคงไม่ทำ อย่างน้อยตลอดเวลาที่ผ่านมาผมก็ทำงานให้คุณอย่างเต็มที่ จะมาตัดอนาคตกันเพราะเรื่องที่ผมลาออก คุณคงไม่ใจร้ายกับผมขนาดนั้น”
“ฉันใจร้ายกับคนที่ฉันอยากร้ายด้วยหมดทุกคนนั่นล่ะ”
“คุณไม่ได้ใจร้าย”
“แต่นายน่ะใจร้าย ฉันไม่รู้ว่านายเป็นอะไร ก่อนหน้านั้นเราก็เหมือนยังดีๆ กันอยู่ แต่พอเช้ามานายกลับทำตัวเหมือนเป็นอีกคนฉันไม่เข้าใจ” เอรีสขยับมาใกล้ แล้วนามด้วยสีหน้าสับสน “ฉันทำอะไรที่นายไม่ชอบหรือเปล่า” เอรีสเดินเข้ามาหาปัถย์แล้วก้มลงจ้องตา ถามสิ่งที่อยากรู้ออกไป
เอรีสเริ่มเดินเข้ามาหา เอื้อมมือข้างหนึ่งจับต้นแขนของปัถย์ไว้ รั้งให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้กว่าเก่า
“มีอะไรที่ฉันทำพลาดไป นายบอกฉันได้ ฉันรู้ว่ามันเป็นครั้งแรกมันอาจไม่ใช่ไม่เฟอร์เฟคในความรู้สึกนาย แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันแย่”
ปัถย์มองปลายเท้าตัวเอง ไม่กล้าที่จะสู้สายตาของคนตัวโตที่กำลังคาดคั้นความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ลึกๆ
“ครับ... มันไม่ได้แย่”
“แล้วปัญหามันคืออะไร”
น้ำเสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะเมื่อเอรีสก้มใบหน้าเข้ามา ปัถย์เงยหน้าก็เห็นท่าทางคนเอาแต่ใจที่งอหงิกแบบไม่สบอารมณ์ แต่ดวงตากลับดูเว้าวอนมีความสับสนสงสัย
“คนทำงานร่วมกันไม่ควรมีเซ็กส์กัน ข้อนี้ใครๆ ก็รู้ ยิ่งเราเป็นเจ้านายกับลูกน้องยิ่งไม่ควร”
“แต่เราก็มีไปแล้ว จะย้อนไปก็ไม่ได้นี่จริงไหม มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะมานึกเสียใจว่าเราทำอะไรผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องผิดพลาดเพราะฉันตั้งใจ อีกอย่างเรื่องงานส่วนเรื่องงาน หลังจากเลิกงานมันเป็นเรื่องส่วนตัว เราแยกแยะได้น่า โตๆ กันแล้ว”
“มันจะไม่ดูแปลกไปหน่อยเหรอครับ”
“ถ้าเราไม่ทำมันแบบเจิดประเจ้อก็ไม่น่ามีปัญหา” เอรีสก้มหน้าเขามาหา และไล้ริบฝีปากแผ่วเบาที่ขมับอีกคน
ปัถย์หลบตาอย่างอ่อนใจ เขาไม่คิดว่าการอธิบายให้เจ้านายขาเหวี่ยงฟังมันจะยากเย็นถึงเพียงนี้ ลองว่าถ้าเจ้าตัวเกิดไม่อยากฟังต่อให้พูดกรอกหูอยู่ทุกวันก็ไม่วันทำความเข้าใจ
“นี่ที่ทำงานครับ อย่าทำให้ผมลำบากใจ”
ปัถย์ผลักและปัดมือของเอรีสออก คนตัวเล็กกว่าขยับถอยห่างคิ้วเริ่มขมวดด้วยความไม่พอใจกับการทำตัวรุ่มร่ามของอีก
ฝ่าย นี่ก็กำลังสาดสงครามน้ำลายกันอยู่ เอรีสกลับทำให้มันกลายเป็นสงครามพิศวาสไปเสียดื้อๆ ไม่ว่าจะต่อต้านยังไงก็มีอันได้เปลืองเนื้อเปลืองตัวเข้าไปเสียทุกที
“ก็คิดถึง ไม่ได้เหรอ ไม่เจอกันตั้งหลายวัน” ปากก็ว่าปากและมือก็ไวไม่ต่างกันเลย เอรีสที่พยายามจะจูบเสียให้ได้
“ใช่เหรอครับ ผมว่าคุณคงไม่มีเวลามาคิดถึงผมหรอก ผมขอตัวมีงานที่ต้องทำต่ออีกเยอะเลยครับ”
เพราะรู้ทั้งรู้ว่าเอรีสไปญี่ปุ่นกับใคร...+++++++++
มันจะมีความสับสน...
ปัถย์นี่ทั้งอยากอยู่ ทั้งอยากไป
แม้จะอยู่แล้วเจ็บ แต่ปัถย์ก็เจ็บแบบสุขๆ อ่ะนะ
อันนี้เปิดใจเลยนะคะ
ถามว่าในโลกนี้มีเจ้านายงี่เง่า ที่ชอบเอาแต่ในไม่ฟังเหตุผล โนสนแดดสนลมมีไหม?????
บอกเลยว่ามีบางครั้งบอกเลยว่าอยากจะเดินไปซัดสักฉาดแล้วบอกว่า
เลิกเอาแต่ใจได้แล้ว 5555
ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อนะคะ ก็จะพยายามให้มันกระชับมากขึ้น หลานคนอาจมองว่าวนไปวนมา ตัวเอกทั้งคู่ต่างก็ปากแข็งไม่พูดกันตรงๆ เสียดี
แต่อยากให้เข้าใจว่าทั้งคู่ต่องก็มีข้อเสีย แล้วก็เหตุผลที่ค้ำคออยู่
ไอ้ตัวเจ้านายก็เย่อหยิ่ง และเอาแต่ใจ
ส่วยปัถย์ก็รู้ว่าตัวเองไม่มีดีอะไรมาให้รัก เลยไม่คิดหวังว่าจะได้ใจ
ส่วนที่พลีกายไปนั้นก็มาจากที่คิดว่าก่อนจากก็ขอให้มีอะไรไว้จดจำ จะจำแบบเจ็บๆ หรือจำแบบสุขๆ ตัวเองก็พร้อมจะรับสภาพ