อิสระเดือนคณะในตำนาน
อิสระ :
สังคมใหม่และชีวิตมหาวิทยาลัยของผมกำลังเริ่มต้นขึ้น เมื่อเรียนจบม.หกและย้ายถิ่นฐานจากบ้านที่ชลบุรีมาอยู่ที่กรุงเทพ แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจมาระยะหนึ่งก่อนเปิดเทอม แต่พอเอาเข้าจริงก็ตื่นเต้นทำตัวไม่ถูก ผมเดินเข้ามาในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ในวันรายงานตัววันแรก บรรยากาศหน้าตึกคึกคักไปด้วยเสียงของรุ่นพี่และจำนวนสมาชิกใหม่ที่เยอะพอสมควร ไอ้จุ๋ม เพื่อนจากโรงเรียนเก่าคนเดียวที่มียืนรอผมอยู่ที่หน้าตึกแล้ว เมื่อมันหันมาเห็นก็กวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา แค่ห้านาทีที่ยืนอยู่ตรงนี้ไอ้จุ๋มก็ผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนผมยังคงทำตัวลำบาก ไม่ชินกับชุดนักศึกษาที่รีดเรียบจนกลีบคบกริบ ไม่ชินกับการติดกระดุมคอเม็ดบนและเนกไท ไม่ชินกับการยัดชายเสื้อใส่ในกางเกง โคตรไม่เป็นตัวเองเลย
“น้องชื่ออะไรคะ”
“อิสครับ”
รุ่นพี่เขียนชื่อผมใส่ป้ายชื่อ แล้วแขวนคอให้เสร็จสรรพ ผมก้มมองป้ายชื่ออันใหญ่ ขนาดว่าผมตัวใหญ่แล้ว ป้ายชื่อนั่นยังใหญ่กว่าความกว้างของร่างกาย ผู้หญิงตัวเล็กข้างๆ นี่ไม่ต้องพูดถึง ป้ายชื่อบังมิดเหลือแต่หัวแล้ว ทำไมเราต้องห้อยป้ายอันใหญ่เท่าหลังคาบ้าน แต่ที่น่าโมโหกว่านั้น ทำไมเขียนชื่อกูผิด
น้องอิฐ
อิฐลุงอิฐป้ามึงสิ! สมัยเป็นเด็กมัธยม ผมไม่ใช่เด็กตั้งใจเรียนเท่าไร พ่อเคี่ยวเข็ญแทบตายในเทอมสุดท้ายของการเรียนเพราะกลัวจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด พ่อเคยบอกว่าเดี๋ยวเข้ามหาวิทยาลัยก็สบายแล้ว แต่พอได้มาเป็นเด็กมหาวิทยาลัยจริงๆ ผมอยากวิ่งกลับไปเคาะประตูบ้านพ่อแล้วตะโกนสุดเสียงใส่บุพการีว่า พ่อโกหกกู!
ทั้งบทเรียนที่หนักหน่วงตั้งแต่เริ่มต้น ไหนจะกิจกรรมรับน้อง ไหนจะงานที่ถาโถมเข้ามาจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนตั้งแต่อาทิตย์แรกด้วยซ้ำ ทำไมผมท้อแท้ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งเลยวะ นอกจากกิจกรรมรับน้องที่ต้องเข้าร่วมทุกวันแล้ว ผมยังได้รับเลือกเป็นเดือนคณะ ผมยอมเป็นตัวแทนสาขาเข้าประกวดแล้วก็เสือกชนะสาขาอื่นมาด้วยหน้าโง่ๆ ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ยืนเฉยๆ ก็ได้ตำแหน่ง เหมือนแม่งหมุนวงล้อสลากกินแบ่งแล้วก็ล้วงเลขขึ้นมาหาตำแหน่งเดือนคณะ สุดท้ายหวยลงที่กู จบ
แต่ยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น เพราะผมยังต้องเป็นตัวแทนประกวดเดือนมหาวิทยาลัยต่อ โคตรพ่อโคตรแม่เซ็งเพราะกิจกรรมรัดตัวจนผมแทบไม่มีเวลาว่าง อย่างตอนนี้ก็ถูกเรียกไปคุยเรื่องการประกวดเวทีดาวเดือนมหาวิทยาลัยที่จะมีขึ้นในอีกสองอาทิตย์ ตอนที่รุ่นพี่ถามถึงความสามารถของ แพรวา ดาวคณะที่ยืนอยู่ข้างๆ แม่งร่ายยาวเป็นหางว่าว เล่นเปียโน ดีดกีตาร์ ร้องเพลง สีไวโอลิน ตีขิม รำไทย ชกมวย ยิงธนู แล้วตัดภาพมาที่ผมซึ่งยืนเงียบกริบ ผมห่อลิ้นสามแฉกได้ นับไหม
“น้องอิสไม่มีความสามารถอะไรที่อยากแสดงเลยเหรอ” พี่ม่อน ที่คล้ายว่าจะเป็นคนจัดการทุกอย่างในที่นี้หันมาถามผม
“ไม่มีเลยครับ”
“ดีดกีตาร์ได้ไหม”
“ไม่ได้ครับ”
“ร้องเพลงได้ปะ”
“ฝนตกใส่หลังคายังเพราะกว่าเลยครับ”
“เคยเต้นไหม”
“เคยแต่ไปดูเขาเต้นแอโรบิกหน้าบิ๊กซีอะครับ”
รุ่นพี่เริ่มประสาทแดกกับผมแล้วแน่นอน หันมองหน้ากันไปๆ มาๆ ถ้าไม่รู้จะทำยังไง ปลดกูออกจากตำแหน่งก็ได้นะ กราบละ
“นอกจากหล่อแล้วก็ไม่มีอะไรที่ทำได้ดีบ้างเลยเหรอ ดีดกีตาร์ก็ไม่เป็น ร้องเพลงก็ไม่ได้”
ผมเงยหน้ามองรุ่นพี่ตรงหน้าพลางกะพริบตาปริบๆ พูดจาแบบนี้มึงเดินไปใส่รองเท้าแล้วมาเหยียบหน้ากูเลยเหอะพี่ เป็นเด็กสถาปัตย์แต่จะมาคาดหวังให้ดีดกีตาร์ ร้องเพลง ถ้าทำไอ้พวกนั้นได้ดีกูก็ไปเข้าดุริยางค์แล้วไหมไอ้ควาย มันไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้นะโว้ย มึงเคยเห็นใครเกิดมาแล้วมือซ้ายจับคอร์ดกีตาร์ มือขวาถือไมโครโฟนออกมาจากท้องแม่ไหม ไอ้ฉิบหาย อิสระเดือด!
นั่งอยู่ตรงนี้ตัวหดเล็กนิดเดียวเพราะไม่เคยรู้สึกเสียหน้าขนาดนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกกดดันเพราะเกิดมาหล่อ โกรธแม่ขึ้นมาทันที ทำไมแม่ต้องคลอดลูกหน้าตาหล่อเหลาแบบนี้ออกมาด้วยก็ไม่รู้ อยากขี้เหร่ อยากหน้าตาธรรมดา อยากหน้าตาบ้านๆ เพราะทุกสายตาที่ส่งมากดดันและผมไม่มีอะไรจะไปต่อสู้กับความคาดหวังของคนอื่นได้ จึงเอ่ยปากออกไปอย่างคนขี้แพ้
“พี่จะเปลี่ยนคนก็ได้นะครับ ผมคงไม่เหมาะ”
รุ่นพี่หันมองหน้ากันไปมาอีกครั้ง บางคนก็นิ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด ผมไม่รู้สึกเสียดายเลยด้วยซ้ำถ้าจะต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถ้าเป็นเดือนห่าอะไรมันลำบากขนาดนี้ ขอหลุดวงโคจรไปเป็นอุกกาบาตกากๆ ดีกว่า
“เปลี่ยนเป็นคนอื่นมันก็ไม่น่าจะทันแล้วแหละ เอางี้ พวกมึงไปคิดการแสดงอะไรง่ายๆ ที่น้องมันพอจะทำได้มา ยังมีเวลาซ้อมอยู่หรอก”
“โอเค”
“พรุ่งนี้มีนัดถ่ายรูปนะอย่าลืม เก้าโมงตรงเจอกันที่นี่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบเรียบร้อย มาให้พร้อมหน้า อย่าให้ต้องรอ วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
ทุกคนในห้องพยักหน้ารับพี่ม่อนที่รวบรัดตัดจบเรียบร้อย สุดท้ายการขอถอนตัวของผมก็ไม่มีผล รุ่นพี่ทยอยเดินออกไปจากห้องประชุม ทิ้งผมไว้กับความสับสนงุนงง หัวใจร่ำไห้เรียกหาพ่อด้วยความอัดอั้น พ่อ! ผมมาทำอะไรที่นี่!
“อิส”
ผมเงยหน้ามองแพรวาที่เดินเข้ามาเรียก
“ไม่ต้องเครียดนะ ค่อยๆ คิดไป มันก็ไม่ได้จริงจังขนาดนั้นหรอก”
“นี่ขนาดไม่จริงจังนะ”
“เอาน่า มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ เออ แลกพินบีบีกันปะ”
“ไม่ได้ใช้บีบีอะ”
“อ้าวเหรอ งั้นไม่เป็นไร กลับกันเลยไหม”
ผมพยักหน้ารับแล้วลุกตามแพรวาออกไปหน้าตึก ระหว่างนั้นคนข้างๆ ก็ชวนคุยไปด้วย ผมไม่แปลกใจว่าทำไมตำแหน่งดาวคณะถึงตกมาอยู่ที่คนคนนี้ ใบหน้าสวยคม เสียงเพราะแม้แต่ตอนพูดธรรมดา กิริยามารยาทงาม แถมยังมีอารมณ์ขัน ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างสวนทางกับผมโดยสิ้นเชิง เป็นการจับคู่ที่ล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว บอกเลยงานนี้ฉิบหายแน่นอน
“อิสกลับยังไงอะ”
“เอารถมา” ผมว่าพลางพยักพเยิดไปทางลานจอดรถ
“งั้นเรากลับด้วยได้ไหม”
“ได้ดิ”
ผมเดินนำไปที่ลานจอดรถ มองรถยนต์สีดำสวยหรูที่จอดอยู่ตรงหน้า
“ใครเอาเบนซ์มาจอดบังจักรยานกูวะ” ว่าแล้วก็เดินไปจูงจักรยานที่ใช้ปั่นมาเรียนทุกวัน เมื่อแพรวาเห็นพาหนะในมือก็หุบยิ้มแล้วทำหน้าเจื่อน
“เนี่ยนะรถอิสอะ”
“อือ รถจักรยาน ไปเปล่า หออยู่ไหนเดี๋ยวปั่นไปส่ง”
“โห! ยางแบนพอดี เดี๋ยวเดินไปเองก็ได้”
“เอางั้นเหรอ”
“จ้ะ เจอกันพรุ่งนี้นะ”
เพราะเรามันจนเลยต้องทนปั่นรถถีบ แม้แต่สาวดาวคณะก็โบกมือลาแล้วเดินจากผมไป ผมปั่นจักรยานออกมาจากหน้าตึก ก่อนจะเจอกับกลุ่มเพื่อนที่ยังนั่งกันอยู่ที่โต๊ะหน้าคณะ ไอ้จุ๋มหันมาโบกมือเรียกก่อน
“ไอ้อิส!”
ปั่นจักรยานตรงเข้าไปหาพวกนั้น ก่อนถูกแซวด้วยน้ำเสียงกวนตีน
“ว่าไงจ๊ะ พ่อแปดริ้วคิวต์บอย”
แปดริ้วหอกอะไรล่ะ บ้านกูอยู่บางละมุงโว้ย
“ดูทำหน้าเข้า เป็นเดือนคณะอย่าทำหน้าเป็นตูดสิจ๊ะ คีปลุคหน่อย”
“กวนตีนจัง เดี๋ยวกูต่อยตาแตกเลย”
“โหดจังวะ!”
“แล้วทำไมพวกมึงยังไม่กลับกันอีกเนี่ย”
“รอมึงไง”
“ซึ้งน้ำใจเพื่อน”
“ว่าจะไปกินเหล้าบ้านมึงอะ”
“ส้นตีนดิ!”
“ทำไมเล่า! พรุ่งนี้วันเสาร์นะเว้ย”
“พรุ่งนี้กูต้องตื่นแต่เช้า ไม่เอาด้วยหรอก”
“มึงก็ไม่ต้องแดกดิ”
“ไม่ให้กูแดก แต่ไปนั่งแดกที่บ้านกู?”
“เยส!”
“จิตใจพวกมึงอะ”
“มึงเป็นคนเดียวที่มีบ้านนี่หว่า หอพวกกูเสียงดังได้ที่ไหน ถือว่าสงเคราะห์เพื่อนนะ โหยหาสุราจะตายห่ากันอยู่แล้วเนี่ย”
สุดท้ายผมก็ยอมตามน้ำปล่อยให้เพื่อนมานั่งกินเหล้าที่บ้าน แม่อุตส่าห์ไว้ใจยกบ้านหลังนี้ให้อยู่คนเดียว แต่เสือกกลายมาเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มเพื่อนและสหายสุรา หัวใจรู้สึกผิด แต่มือกระดกเหล้าเข้าปากไปสองอึก ยกโทษให้ลูกด้วยนะแม่
“เฮ้ย ไหนบอกต้องตื่นเช้า แดกเอาๆ เดี๋ยวก็เมาตายห่าหรอก”
“กูเซ็งว่ะ”
“ทำไมวะ”
“กูไม่อยากไปประกวดดาวเดือนห่าอะไรนั่นแล้ว กูขอถอนตัวเขาก็ไม่ยอม กูไม่มีความสามารถอะไรไปโชว์ให้คนอื่นเขาดูว่ะ”
“มันเครียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“เออ พวกพี่แม่งกดดันกู ไม่เอาละ ยอมแพ้แล้วเนี่ย”
“ไอ้อิส ฟังกู”
“...”
“คนอย่างมึงไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ”
“...”
“แต่ถ้าอะไรยากๆ ยอมแพ้หมด”
“ไอ้สัด! มึงเพื่อนกูจริงปะเนี่ย!”
“กูล้อเล่นๆ เพราะกูเป็นเพื่อนมึงไง กูเลยรู้ว่ามึงมีอะไรดี”
“คนอย่างกูมีอะไรดีวะ”
“ปากดี”
“ไอ้เหี้ย! ออกจากบ้านกูไปเลย!”
“เฮ้ยๆๆ ใจเย็นดิวะ มึงหล่อมากเพื่อน มึงหล่อแบบหัวจดตีนเลย ดูดิเนี่ย ฝ่าตีนมึงยังขาวกว่าหน้ากูอีก” ไอ้จุ๋มว่าแล้วพลิกฝ่าเท้าผมขึ้นมา ไม่เคยสังเกตว่าฝ่าตีนขาวขนาดนี้
“จริงด้วยว่ะ ตีนไอ้อิสขาวกว่าหน้าไอ้จุ๋มอีก”
พวกมันพูดจาขบขันพากันหัวเราะคิกคัก เว้นผมที่มองตาขวาง ใช้ฝ่าตีนที่มันว่าขาวถีบเข้าไปเบาๆ ทีหนึ่ง
“ตลกอะไรมึง คนยิ่งเครียดๆ อยู่”
“โอ๋ๆ เพื่อนเอ๋ย ไม่เครียดๆ รอยตีนกาจะหนากว่ารอยหยักในสมองแล้ว”
ผมยกตีนถีบไอ้จุ๋มอีกที คราวนี้แรงจนมันล้มไปนอนกับพื้น ไอ้คนโดนถีบกลิ้งลงไปหัวเราะชอบใจจนอยากกระทืบซ้ำ แต่เสียงของเพื่อนอีกคนเรียกผมเอาไว้ก่อน
“อิส นี่กล่องอะไรวะ”
ผมขมวดคิ้วมองกล่องสี่เหลี่ยมสีดำที่ถูกวางลืมเอาไว้ข้างๆ ตู้จนฝุ่นเกาะหนา
“แซกโซโฟน”
จริงๆ มันเป็นของพ่อ พ่อกับแม่เคยอยู่ที่บ้านหลังนี้ก่อนที่จะแยกทางกัน สิ่งของและความทรงจำบางอย่างก็ถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่โดยไม่มีใครนึกถึง แม้แต่ตัวผมเองก็ยังเกือบลืมไปว่าเคยเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้
“มึงเป่าเป็นนี่”
ผมพยักหน้ารับไอ้จุ๋ม ก่อนหันขวับมองหน้ามัน ตัวมันเองก็พยักหน้าหงึกๆ เป็นอันว่าเข้าใจกัน ด้วยความบังเอิญในขณะนั้น ผมก็ค้นเจอความสามารถของตัวเองที่ถูกทิ้งเอาไว้จนฝุ่นเกาะ ดูถูกกันดีนัก คอยดูนะ กูจะเท่ให้หลังคามหาวิทยาลัยสั่นเลย!
...
ต่อด้านล่างค่ะ