รักนี้…ลิ้นกับฟัน
กระทบกระทั่ง ครั้งที่ 2
By : Dezair
…………………….
คณะวิศวกรรมศาสตร์ขึ้นชื่อเรื่องทรัพยากรผู้ชายที่มีแบบไม่รู้จักหมดจักสิ้น บางครั้งมันก็มีมากเกินไป จนส่งผลถึงความไม่พอดีเป็นกิจวัตร พื้นที่ใช้สอยไม่พอบ้างล่ะ แออัดบ้างล่ะ ผู้หญิงน้อยบ้างล่ะ ไม่เจริญหูเจริญตาบ้างล่ะ และอีกหลายต่อหลายอย่าง แต่ทั้งอย่างนั้น ทุกปีๆ ก็ยังมีแต่ผู้ชายที่เข้ามาเรียนคณะนี้ ท่าทางมันคงจะผูกขาดอยู่แต่เพศชายไปแล้ว
แล้วตำแหน่ง ‘มาสคอต’ ของวิศวะฯล่ะ มันควรจะผูกขาดอยู่ที่ใครมั้ย
ที่สำคัญคือมันน่าจะไม่ใช่ผมนะ
“กูไม่ไป!! ไอ้เอก!! ปล่อยกู!! โจ!! นี่มึงจะลากเพื่อนไปตายเหรอวะ! เป้! ช่วยกูด้วยดิ!!” เพื่อนแต่ละคนล่ะดีๆทั้งนั้น คนนึงหิ้วขา อีกคนพยุงแขน ส่วนอีกคนคอยเคลียร์เส้นทาง! พวกมึงสามัคคีกันมาก!!
แล้วผมทำอะไร?
ก็นี่ไงครับ!! ถูกมันแบก เป็นหมูจะถูกเชือดเนี่ย!!
ไม่สิ มันแบกเพื่อให้ผมไปรับหน้าที่ ‘มาสคอต’ เต็มตัวต่างหาก
“มึงอย่าดิ้นดิ ไอ้ฟู เดี๋ยวตกลงไปทำไงวะ” ไอ้โจหนุ่มล่ำ ชื่อฝรั่งแถมหน้าลูกครึ่ง หันมาบอก ทั้งๆที่ยังหิ้วขาผมอยู่เลย แม่ง น่าเตะมันสักป้าบจริงๆ (มันชื่อโจก็จริง แถมปากบอก โจ ย่อมาจาก โจนาธาน แต่ในบัตรนิสิตมันอ่ะ ‘นายเจริญ’ ตัวโคตรเป้งเลย เพราะงั้น สาวๆอย่าไปเชื่ออะไรมันมากนะครับ เชื่ออย่างเดียวว่าผมหล่อสุดในกลุ่ม พอแล้ว)
พวกมันก็ลากบ้าง หิ้วบ้าง จนขึ้นลิฟต์มาที่หน้าห้องประชุม แล้วพวกมันก็…หิ้วผมเข้าไปทั้งแบบนั้นแหละครับ ถามว่าอายมั้ย อายนิดหน่อย แต่พอมันวางผมลง ผมก็เผ่นแน่บแหละ
แต่…ไม่ทันครับ
ไอ้เป้มันดันดึงประตูกลับมาก่อนที่ผมจะวิ่งผ่านช่องว่างระหว่างประตูที่กำลังปิดออกไป ก็เลยชนเต็มๆกับบานประตูที่มันดึงเข้ามาพอดี
--ปั่ก!!!!--
โอ๊ย! เจ็บโว้ย!!
“ซ่าดีนัก มานั่งได้แล้ว นายปวิน”
แหม ดูเหมือนจะสะใจนะไอ้นี่!! นั่งก็นั่งดิวะ!!
ผมเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ มีเพื่อนสามคนที่สมัครใจนั่งลงประกบ มันคงกลัวผมลุกออกไปล่ะมั้ง ลุกก็บ้าแล้ว โดนไปโป๊กนึงที่หน้าผากนี่ยังเจ็บอยู่เลย! เจ็บแล้วจำเว้ย!!
“นี่คือชุดที่ต้องแต่งนะ ปวิน”
รุ่นพี่คนหนึ่งในคณะ เดินเข้ามาวางกระดาษลงตรงหน้าผม ผมไม่หยิบมาดูหรอกครับ ดูไปก็เท่านั้น แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ในเมื่อมันเล่นล็อคแม้กระทั่งให้ผมมารับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี่ อุตส่าห์หนี ไม่ยอมเข้าประชุมอยู่สัปดาห์เต็มๆ จนสุดท้าย ‘นายทันท่วงที’ อะไรนั่นก็มีประกาศิตลงมา ว่าถ้า ปวิน รัตนวิจิตร ยังไม่เข้าประชุมภายในสามวัน วิศวะฯปีสอง เจ็ดร้อยชีวิตซวย!!!
(อยากจะขำให้ ตอนที่พวกปีสองในคณะมันได้ยินชื่อนี้ แล้วทำหน้างงทำนองว่า ใครวะ? ใครคือ ปวิน?)
แล้วพอไอ้เจ็ดร้อยคนนั่นรู้ว่า ปวิน รัตนวิจิตรคือใคร พวกมันก็มาไล่กับสามเพื่อนสนิทสุดที่รักของผม ไอ้เอก ไอ้โจ ไอ้เป้ ไอ้พวกนี้ก็รักกันเหลือเกิ๊น พอถูกบี้หน่อยเดียว หามผมมาส่งถึงห้องประชุมเลยเนี่ย!
ที่ผมเล่ามา ดูเหมือนทุกท่านจะสงสัย ว่าทำไมไอ้คุณพี่ธันวาถึงดูยิ่งใหญ่คับฟ้า พ่อเป็นนายกรัฐมนตรี แม่เป็นคุณหญิงเจ้าของเทรนด์ ‘ตั้งกระบัง’ รึ?? ความจริง ไม่ใช่ขนาดนั้น มันไม่ได้ใหญ่มาจากไหนหรอกครับ เพียงแต่ว่ามันใหญ่ที่นี่ ที่คณะวิศวะฯของมหา’ลัยเล็กๆแห่งนี้
ทำไมน่ะเหรอ?
ก็เพราะว่ามันเป็น นายกสโมสรนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ไง ถ้าสงสัยว่าตำแหน่งนี้ใหญ่แค่ไหน ก็แค่คุมนิสิตวิศวะฯ สี่ชั้นปี ปีละเกือบพันคน รวมๆแล้ว ก็เกือบสี่พันคนอยู่ในมือมัน ไม่มีอะไร๊!
“เอาไงก็เอาเหอะ ผมใส่ยังไงก็ได้อยู่แล้ว” ผมปลงตกกับชีวิต ดูเหมือนพระเสาร์กับพระศุกร์จะกำลังเข้าแทรกพร้อมกันยังไงไม่รู้ คิดดู ขนาดหนีมาได้ตั้งอาทิตย์นึง แล้วยังจะถูกบังคับให้กลับมาทำอีก
“ดี งั้นเย็นนี้อยู่วัดตัวเลย จะได้ตัดชุด” ไอ้คุณนายกสโมฯมันบอกแบบนั้น แหม…เต๊ะชิบเลยโว้ย! พอต้อนกูได้เนี่ย!!
“ให้ได้ถึงห้าโมงเย็นนะ พอดีที่บ้านต้องกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันตอนห้าโมงครึ่ง” ผมบอกเรียบๆ พยายามทำหน้าตาเป็นคุณชาย เพื่อความสมจริง ที่นี้เกิดเป็นความอึ้งไปทั่วห้องประชุมครับพ่อแม่พี่น้อง!! ฮ่าฮ่า
“แต่…แต่นี่มันจะสี่โมงครึ่งอยู่แล้ว” ใครสักคนในห้องประชุมเอ่ยปากถามผม โธ่ คำถามแบบนี้ก็ถามมาได้ ตอบไม่เห็นยากเลย
“ก็รีบวัดตัวสิครับพี่” ผมเสนอทางแก้ปัญหาให้ พาเอาหลายคนพูดไม่ออก เพราะประชุมก็ยังไม่ได้เริ่ม ถ้าจะมาวัดตัวผมคนเดียว ประชุมก็จะเริ่มไม่ได้ เสียเวลาหนักเข้าไปอีก
“ไม่เป็นไร กอล์ฟ…ต้องกลับบ้านตอนห้าโมงใช่มั้ย ปวิน งั้นประชุมกันเลยแล้วกัน”
“อ้าว แล้ววัดตัว?” หมอนั่นหันมายิ้ม
“ฉันรู้จักบ้านนาย เพราะงั้น เดี๋ยวตามกลับไปวัดตัวให้ที่บ้านนายก็ได้”
เฮ้ย!!! บ้าอะไรของมันวะเนี่ย!!!
……………………….
แล้วผมก็ได้กลับบ้านฟรีอีกวัน
มันก็ดีหรอกนะ ที่ไม่ต้องจ่ายตังค์ค่ารถเมล์ ไปต่อรถไฟใต้ดิน มุดขึ้นเรียกแท็กซี่ แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าผมจะได้ออกค่ารถเมล์บ้าง อะไรบ้าง ไม่ใช่นั่งรถฟรี แต่ซวยมหาซวยเพราะไอ้คนขับมาส่ง ดันลงมาด้วย แถมอุปกรณ์สำหรับวัดตัวเสร็จสรรพ มึงวัดไม่เป็นล่ะกูจะหัวเราะให้!! แม่ง เซ็งโว้ย!!
“แม่ หวัดดี”
นี่แม่ผมเองครับ คุณปานดาว รัตนวิจิตร แม่ผมทำขนมเก่ง เพราะงั้นสวนอาหาร ‘เตาถ่าน’ ที่เน้นไปที่อาหารคาว แม่ผมเลยไม่มีหน้าที่อะไรในครัว ก็เลยมาทำตัวเนียนเป็นพนักงานต้อนรับแขก และต้อนรับผมด้วยแหละครับ
บ้านผมติดกับร้าน ดังนั้น เวลากลับจากมหา’ลัยเลยมาแวะที่ร้านก่อน ผมเป็นลูกกตัญญูครับ ช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน พนักงานเสิร์พบ้าง ช่วยในครัวบ้าง กระโดดขึ้นไปดีดกีต้าร์ให้แขกฟังบ้าง แล้วแต่ว่าอะไรจะอำนวย แต่วันนี้ดูเหมือนผมจะทำไม่ได้สักอย่าง เพราะไอ้บ้าบางคนที่มันตามกลับมาด้วยเนี่ยแหละ
“สวัสดีครับ” ไอ้คนข้างหลังมันยกมือไหว้ คุณปานดาวก็ตาเยิ้มเชียว เห็นหนุ่มๆไม่ได้ เดี๋ยวจะฟ้องพ่อ
“ถ้วยฟูจะพาเพื่อนมา ทำไมไม่บอกแม่ก่อน จะได้ทำขนมไว้ให้”
ไม่ใช่เพื่อนหรอกแม่ แต่เป็นคนรู้จัก
“ก็…ไม่ได้ตั้งใจ ‘เชิญ’ น่ะแม่ พอดีเขาจะมาทำงานกับฟู”
“งั้นไปนั่งทำกันที่บ้านสิ จะได้ส่วนตัวหน่อย”
“ไม่เอาอ่ะ ทำที่นี่แหละ” เรื่องอะไรจะพามันไปที่บ้าน ไม่มีทางหรอก
“ตามใจแล้วกัน ตามสบายเลยนะจ๊ะ อยากได้อะไรก็เรียกเด็กได้เลย เดี๋ยวแม่จัดขนมไปให้” นี่แหละครับ คุณนายปานดาวผู้แสนจะเห่อ ‘เพื่อนลูก’ ไม่รู้ทำไม พอเห็นเพื่อนลูกมาที่บ้าน หรือที่ร้าน คุณปานดาวจะต้องจัดขนมนมเนยชุดใหญ่มาอุทิศให้ทุกที ทำจนไอ้เอก ไอ้เป้ ไอ้โจมันติดกันงอมแงม ติดทั้งฝั่งเพื่อนผม ทั้งฝั่งแม่ผมเนี่ยแหละ จนผมต้องบอกเพื่อนว่า ‘ช่วงนี้แม่กูทำขนมเจ’ ก่อนจะไปบอกแม่ว่า ‘ช่วงนี้เพื่อนฟูไดเอท’ ไม่อย่างงั้นล่ะกระไดบ้านผมไม่แห้งแน่ๆ!!
ลาจากคุณแม่สุดที่รักมาได้ ก็พาไอ้คนที่ ‘ไม่ได้เชิญ’ ลัดเลาะมาตามทางที่เป็นไม้ระแนงวางยกพื้น ข้างล่างเจาะเป็นบ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟ ซึ่งผมเคยแนะนำว่าเลี้ยงปลาดุก ปลาช่อนจะดีกว่า พอมันโตก็เอามาผัดเผ็ดตามเรื่องให้ลูกค้า แต่โดนแม่ด่าเละเลย ไม่รู้จะด่าทำไม
พาเลาะทาง อ้อมโลกอยู่นาน ก็เหมือนไอ้ข้างหลังจะเริ่มหงุดหงิด ผมก็เลย(จำใจ)เลือกห้องคาราโอเกะส่วนตัว ที่ไม่ได้ใช้ บอกพนักงานไว้แล้วเรียบร้อย ก่อนจะเดินนำเข้าไป จัดการรูดม่านปิด เปิดแอร์ ก็โอเคแล้วครับ
“ถอดเสื้อ”
ฟังแล้วจั๊กกะจี้ชะมัด มีผู้ชายมาสั่งให้ถอดเสื้อในที่รโหฐานเนี่ย
ผมถอดตามที่มันสั่ง ไม่อยากจะบอก ว่าผมได้ผิวขาวอมชมพูระเรื่อแบบที่สาวไทยทั่วประเทศต้องการ จากคุณปานดาวมาเต็มๆ (อย่าอิจฉาครับอย่าอิจฉา คนมันเกิดมาดูดีทั้งหน้าและตัวก็แบบนี้) ใครๆก็บอกว่าผมกับฝาแฝดน่ะหน้าเหมือนแม่ แต่พี่ชายคนโตของผมหน้าเหมือนพ่อครับ อ้าว แล้วผมเล่าทำไม แค่จะบอกว่าบ้านผมหน้าตาดีทั้งบ้านน่ะครับ เพราะพวกเราหน้าเหมือนพ่อแม่ (อะไร นี่คุณว่าพวกผมหน้าตาไม่ดีเหรอ เดี๋ยวผมฟ้องพ่อแม่แน่!!)
กลับมาที่เดิมดีกว่าครับ มาช่วยผมลุ้นดีกว่า ว่าการสูดอากาศร่วมกับนายทันท่วงทีจะทำให้ผมตายเร็วขึ้นมั้ย
“หันหลังมา” โว โว…ฟังแล้วหวั่นไหวโคตรๆ ตอนแรกให้ถอดเสื้อ ตอนนี้ให้หันหลัง หรือว่า! พรหมจรรย์ของหนู…
“ไม่ต้องมาทำหน้าทะเล้น นายปวิน!!”
แหม แค่นิดๆหน่อยๆล่ะทำดุ เบื่อจังเว้ย
แล้วก็เลยได้แต่ยอมหันหน้าเข้าหาประตู หันหลังให้หมอนั่นวัดไหล่ แต่…คงเป็นโชคร้ายของน้องติ๊ก สาวเสิร์ฟวัยใส ที่ผลักประตูเข้ามาจ๊ะเอ๋กับผม และท่าทางแนบชิดระหว่างผมกับนายธันวา น้องติ๊กก็เลยตาโต
“อุ้ย! ขอโทษค่ะ คุณถ้วยฟู…” แล้วก็รีบยกถาดขนมกลับออกไปทันที ไม่ฟังคำอธิบายสักนิด นี่น้องติ๊กคงจะไม่ได้เข้าใจอะไรผมผิดหรอกนะ ส่วนไอ้บ้าข้างหลัง… มันเพิ่งเงยหน้าขึ้นมา ตอนที่ประตูปิดลงไปแล้ว แถมยังหันมามองผมงงๆอีกต่างหาก
จะมางงทำไมว้า! ก็เพราะมึงอ่ะแหละ!!
“รีบวัดดิ เดี๋ยวก็มีใครเปิดเข้ามาเห็นอีกหรอก”
ผมไม่ได้กลัวเรื่องที่ใครจะเข้าใจผิดว่าเป็นเก้ง กวาง ไก่ กระรอกอะไรหรอก แต่การถูกเข้าใจผิดกับนายธันวานี่ ออกจะเป็นเรื่องที่แสดงให้ผมเห็นว่าตัวเองดวงตก แบบสวรรค์ไม่ห่วงใยกันเลยสักนิด
“งั้นหันหน้ามา” หลังจากมันหันไปจดๆอะไรใส่กระดาษเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้ผมหันกลับไปหามัน คราวนี้ชวนให้อื้อหือกว่าเดิมอีกครับ!
เพราะมันต้องรั้งผมเข้าไปหา เพื่อเอาสายวัดโอบรอบตัว ผมก็ว่าตัวเองสูง ‘ร้อยแปดสิบ’ หรอกนะ แต่ไอ้นี่มันคงสูงสองเมตรแน่เลย มันเลยสูงกว่าผมแบบหน้าผากผมกับจมูกมันเนี่ย
“ว้าย!!”
คราวนี้เสียงคุ้นยิ่งกว่าน้องติ๊ก ผมเลยต้องหันกลับไปมองซะหน่อย ปรากฏว่าไม่ใช่น้องติ๊ก น้องแก้ว น้องฟ้า หรือสารพัดน้องไหนๆอีกแล้ว แต่เป็น ‘น้องปานดาว’ เอ้ย! ‘คุณปานดาว’ แม่ผมเองครับ!!
“ว…วัดตัวกันอยู่เหรอลูก”
ดูเหมือนคุณแม่ยังตาดีมองเห็นสายวัดในมือไอ้หมอนี่ ก็เลยไม่กระตู้วู้ แต่ยิ้มเจื่อน หันไปสั่งให้น้องติ๊กยกถาดขนมเข้ามา และพอผู้ใหญ่มาแบบนี้ หมอนั่นเลยเลิกวัดตัวผมไปโดยปริยาย ก็แหม จะให้กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันต่อหน้าแม่ผมเนี่ยนะ ไม่ดีครับ บาปกรรมทำคุณนายหัวใจจะวาย
“ฟูได้ตำแหน่งสำคัญน่ะแม่ เลยต้องตัดชุดกันเป็นพิเศษ” ผมบอกแบบกระทบชิ่งนิดหน่อย ชี้นิ้วโป้งไปข้างกาย ให้แม่ดูว่า ‘เพราะหมอนี่’ ผมเลยได้ตำแหน่งสำคัญ
คุณปานดาวหัวเราะร่วน หน้าตาดูแจ่มใสมีความสุขจริงๆ เวลาอยู่กับหนุ่มเอ๊าะๆที่ไม่ใช่ลูกและสามีเนี่ย!!
“จริงเหรอจ๊ะ งั้นแม่ฝากถ้วยฟูด้วยนะ เจ้าเด็กนี่น่ะถึงจะดื้อไปบ้าง แต่เขาก็ตั้งใจทำงาน แล้วถ้วยฟูจะใส่ชุดอะไรล่ะ แม่ไปถ่ายรูปได้มั้ย”
เออ นั่นสิ ที่วัด ๆ ตัวไปเนี่ย จะเอาไปตัดชุดอะไรวะ ตอนนั้นมีคนเอากระดาษมาให้ดูชุดก็ดันทำเท่ห์ไม่หยิบขึ้นมาดูอีก
หมอนั่นยิ้มบาง ก่อนจะหันไปเปิดกระเป๋าเป้ หยิบกระดาษออกมาจากแฟ้มใสสีฟ้าอ่อน แล้วส่งให้แม่ผม แบบผ่านหน้าผมไป ครับ ผ่านหน้า แต่ไม่ผ่านตา ผมก็เลยมองไม่เห็นอ่ะดิ
“อุ้ย…ถ้วยฟูจะใส่ชุดนี้เหรอจ๊ะ”
แล้วก็กลายเป็นการเสวนาของแม่ผมกับหมอนั่น ลืมลูกซะสนิทเชียว!
“ครับ มีชุดนี้กับชุดนี้” แล้วไอ้ชุดนี้กับชุดนี้ มันคือชุดไหนล่ะวะ!!
“ถ้วยฟูยังไม่เห็นชุดเหรอ”
แม่หันมาถาม แต่เอากระดาษที่ถืออยู่แนบกับอก กะไม่ให้ผมเห็นน่ะสิ!
“แม่เอามาดูหน่อย” คุณปานดาวหัวเราะอีกแล้ว แหม ตั้งแต่หมอนี่มาบ้าน รู้สึกจะหัวเราะบ่อยนักนะ ฟ้องพ่อจริงๆคราวนี้ ฟ้องพ่อ
“ถ้วยฟูต้องสัญญาว่าจะให้แม่ไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึก อ้อ แม่จะโทร.เรียกญาติไปถ่ายด้วย เออ แล้วชื่ออะไรล่ะ แม่ยังไม่รู้ชื่อเลย” บอกผมแบบนั้น ส่งกระดาษให้ผมดูเรียบร้อย แม่ก็หันไปเนียนถามชื่อจากไอ้คนที่ยืนข้างๆ ท่าทางอีกสองนาทีต้องเนียนถามเบอร์โทรศัพท์แน่เลย
“ธันครับ ธันวา” เสียงหล่อมากกกกกก!! ทีเวลาเรียกชื่อกูงี้ ‘ปวิน!!!!!!!’ ตะโกนอย่างกับลำโพงขยายเสียงล้านเท่า
บ่นไปบ่นมา ก็ถึงได้กลับหัวกลับหาง กระดาษที่แม่ส่งให้ เพื่อจะได้ดูชัดๆว่ารูปภาพของชุดที่ต้องใส่ในฐานะเป็น ‘มาสคอต’ คือชุดอะไร
ชุดแรก ชุดหุ่นยนต์ เห็นมั้ย บอกแล้วว่าปัญญาอ่อนจริงๆ
ส่วนชุดที่สอง…
เฮ้ย!!!!!
“ถ้วยฟู เดี๋ยวแม่จองคอร์สขัดผิวให้ จะได้ใส่ชุดนี้ขึ้น” นิ้วกรีดกรายของคุณแม่จิ้มลงมาที่ภาพที่สอง ที่เป็นชุดเปิดไหล่ กระโปรงยาว มีวงเล็บกำกับว่า ‘ชุดเจ้าหญิง’
ชุดเจ้าหญิงเนี่ยนะ!!!
ถ้วยฟูคนนี้กับชุดเจ้าหญิงเนี่ยนะ!!!!!!!!!!!!!!!
………………………..
“เมบอกแล้วว่าอย่าไปกวนพี่ธัน เห็นมั้ยล่ะคะ โดนเลย”
อย่างนี้เรียก คนล้มแล้วกระทืบ คนพลาดแล้วผลักซ้ำ น้องเมนะน้องเม พี่ฟูกลุ้มจะตายอยู่แล้วกับไอ้การใส่ชุดบรรเจิดสุดเริ่ดที่มีชื่อว่า ‘ชุดเจ้าหญิง’
ชุดเจ้าหญิงกับผู้ชายที่ชื่อถ้วยฟูเนี่ยนะ!!!
(ขอย้ำอีกสักครั้ง เพื่อให้รู้ว่าผมตกใจมากจริงๆ!!!)
“พี่ธันเอามึงซะเจ็บเลยว่ะ” ไอ้เป้ยังหันมาเหยียบซ้ำ คงกลัวผมไม่ตายคาที่มั้งเนี่ย! ขอเล่าก่อน ว่าไอ้เป้นี่ดูเป็นมนุษย์มนาที่สุดแล้วในกลุ่มผม (ส่วนผมเป็นเทวดาครับ เลยไม่ใช่มนุษย์มนา) หนุ่มหุ่นพอเหมาะ ใส่แว่นกรอบบาง ท่าทางคงแก่เรียน หรือเรียนจนแก่ อันนี้ไม่แน่ชัด แต่ที่วางใจได้ คือจะสอบทีไร แพ็คกระเป๋าไปนอนห้องมันเถอะครับ แล้วจะปลอดภัยจากนรกขุม F
“อย่าให้ถึงคราวกูละกัน แค่กวนนิดๆหน่อยๆแม่งเล่นเส้น ทำให้กูเป็นมาสคอตวิศวะฯ”
“มึงไม่ได้กวนเขานิดหน่อยว่ะ ไอ้ฟู กูเห็นมึงกวนเขามาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว”
เฮ้ย! ทำมาเป็นรำลึกความหลัง กูเพิ่งรู้จักเพราะมันมาเป็นนายกสโมฯ กับเป็นพี่ชายของน้องเมก็ปีนี่เอง แล้วก็จำได้ว่าครั้งแรกที่ทะเลาะกัน เอ้ย คุยกัน คือตอนรับน้องเมมาเป็นน้องรหัส ซึ่งตอนนั้น ผมก็อยู่ปีสองแล้ว ไม่ใช่ปีหนึ่งซะหน่อย
“ไม่ต้องมาทำงงเลยมึงเนี่ย ตอนปีหนึ่งที่มึงกวนไม่ยอมเต้นเพลงไก่ย่างไง พี่เขาสั่งให้มึงเต้น มึงก็ดันบอกว่า ล้อเลียนสัตว์โลกที่เป็นคุณต่อกระเพาะอาหาร ไม่ใช่วิถีทางของมึง” อ้วนเอกย้อนให้ผมฟังพร้อมเคี้ยวขนมตุ้ยๆ แก้มกระเพื่อมพอๆกับพุงมันนั่นแหละครับ
อ่า สถานการณ์คุ้นๆนะ เหมือนตัวเองทำ แต่จำหน้าไอ้รุ่นพี่ที่สั่งไม่ได้แล้ว ไม่นึกว่าจะเป็นหมอนั่นแฮะ
“มึงกับเขาวนมาเจอกันอยู่เรื่อย แถมแพ้ทางกันไปแพ้ทางกันมาแบบนี้ ระวังเหอะ เขาว่ากันว่า จะเป็นเนื้อคู่” นายเจริญ เอ้ย โจนาธานตั้งข้อสันนิษฐานได้โรแมนติกมาก แต่ว่าไม่มีทางเด็ดๆ คู่ชีวิตนิสัยน่าเครียดแบบหมอนั่น ผมคงต้องกินยาลดไมเกรน และลดอายุตัวเองไปพร้อมๆกัน
“แล้วกูจะรอวันเข้าหอกับเนื้อคู่รายนี้แล้วกัน ถ้าไม่มีใครสักคนยันอีกคนตกห้องหอตายไปซะก่อนนะมึง”
“แต่เมว่าไม่มีใครตายหรอกค่ะ” อ้าว นี่เพื่อนไม่เข้าข้าง แล้วน้องรหัสยังไม่เข้าข้างอีกเหรอวะ! ดวงบริวารผมท่าทางจะบอดนะ
น้องรหัสคนสวยลุกขึ้นยืน แล้วยิ้ม ก่อนจะหยิบกระเป๋ามาสะพาย
“เมไปเรียนก่อนนะคะ ไปล่ะค่ะพี่ๆ”
แล้วก็ทิ้งประเด็นไว้ แวบหายอย่างงี้หมายความว่าไงเนี่ย
ผมหันมามองเพื่อนอีกสามชีวิต แต่พวกนั้นไม่ได้ฉลาดไปกว่าผม สุดท้ายโต๊ะทั้งโต๊ะเลยได้แต่เงียบ ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้น ครับ เสียงเดิมที่ผมคุ้น และคิดว่าทุกท่านก็น่าจะเริ่มคุ้นได้แล้ว
“นายปวิน!!!! ทำไมเมื่อเช้าไม่เข้าประชุม!!!!”
ให้ตายสิน่า เพิ่งรู้ว่าการเป็นมาสคอต นอกจากจะต้องปัญญาอ่อนพอแล้ว ยังต้องบ้าเข้าประชุมอีกต่างหาก!!!
………………………….
งานโอเพ่นเฮ้าส์ของคณะ จะเริ่มในอีกเดือนนึงแล้ว แต่แน่ล่ะครับ สำหรับเยาวชนของชาติที่ถูกปลูกฝังมาอย่างดี ว่าเราต้องมี ‘ไฟ’ จุกอยู่ที่ก้น งานถึงจะเดิน ทำให้ ณ บัดนี้ ผมก็ยังไม่เห็นเค้าของชุดสองชุดที่ผมต้องใส่เลย สาธุ!! ไม่เสร็จก็อย่าเสร็จเลยวะ!! ใส่ชุดหุ่นยนต์ยังพอว่า แต่ไอ้ชุดเจ้าหญิงนั่นสยองจริงๆ
“ฟู หน้ามึงอย่างกับหมดอาลัยตายอยาก”
เอกมันหย่อนก้นลงนั่งร่วมโต๊ะริมลานกับผมได้ ก็พูดทันที คงห่วงเพื่อนมากจริงๆนั่นแหละ แต่ทำไมมึงยิ้มกว้างขนาดนั้นวะ เอ้าๆ! ขนมเลอะปากด้วย ฮ่วย!
“ก็ลองมาเป็นมาสคอตวิศวะฯนี่มา มึงจะได้หมดอาลัยตายอยากแบบกูมั่ง” ผมรีบกวักมือเรียก ทำเอาสามเพื่อนรัก เอก โจ เป้ถึงกับสั่นหน้าพัลวัน
แหม พวกมึงนี่มันรักคณะกันจริง จริ๊ง!!
“แล้วมึงไปซ้อมเต้นบ้างยัง” ไอ้โจถาม เป็นความจริงครับ ว่ามาสคอตไม่จบเพียงแค่แต่งตัวบ้าบอ และเป็นสัญลักษณ์ประจำงาน แต่มันต้องมีท่าเต้นด้วย แล้วท่าเต้นของทุกปีที่ผ่านมานี่บอกได้คำเดียวว่า ‘อนุบาลหมีน้อย’ ชัดๆ
เอ้า! หัว ไหล่ เอว เอ้า! หัว ไหล่ เอว เย้!
ประสาท!!!
“กูว่าแค่ไอ้ชุดเจ้าหญิง เจ้าหยอง อะไรนั่นก็เกินไปแล้ว ยังต้องให้กูไปเต้นอีก กูก็ลูกมีพ่อมีแม่นะเว้ย! ให้ทำอะไรแต่ล่ะอย่าง แม่ง! เพราะไอ้ทันท่วงทีนั่นคนเดียว โอ๊ย! ตบหัวกูทำไม ไอ้โจ!!!” บ่นนิดบ่นหน่อยล่ะประทุษร้ายเพื่อน!! มึงเป็นเมียไอ้พี่ธันรึไง! ถึงได้ฟังกูบ่นเรื่องมันไม่ได้เนี่ย!!
ผมลูบหัวตัวเอง เงยหน้ามองไอ้คนที่ยังยืนอยู่ข้างโต๊ะ
“หัดเรียกพี่ธันเขาว่าพี่บ้าง เดี๋ยวมึงก็โดนอีกหรอกไอ้ฟู เขาอยู่ปีสี่นะเว้ย เป็นพี่มึงตั้งสองปี”
“อ้อเหรอ กูนึกว่าปริญญาเอกซะอีก หน้าตาโคตรแก่” ผมทำเนียนโง่ เห็นมือไอ้โจเงื้อมจะตบไหวๆ เลยรีบเด้งตัวลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับมัน ไอ้หมาโจเลยไม่กล้าทำอะไรอีก ได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆช่วยเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้โลกใบนี้ ก่อนจะบ่น
“มึงน่ะมันปากหาเรื่อง ไอ้ฟูเอ้ย งานโอเพ่นเฮ้าส์ครั้งนี้มึงแย่แน่ กูได้ยินมาว่า พวกรุ่นพี่เขาจะเอาให้มึงเข็ด ไม่กล้าปีนเกลียวพี่ธันอีก”
“อ้าว แล้วถ้าพี่ธันอะไรนั่นเขาไต่ลงมาเล่นกะกูเองล่ะ อย่างงี้ควรมีมาตรการอะไรเป็นพิเศษมั้ย” ถามหน้าซื่อครับ มันก็จริงนี่นา ผมน่ะไม่เคยระรานใครก่อนนะ มีแต่คนอื่นมาระรานผมเอง ผมมันพวกรักสงบ แต่เรื่องรบเนี่ยมีไม่ขาด เอ้ย เรื่องรบไม่ขลาดครับ
“ไม่ต้องห่วง นายปวิน!!”
ชะอุ้ย! มีพวกชอบเข้าข้างหลังอีกแล้ว
ผมหันกลับไปมอง เห็นไอ้คนที่ชอบเรียกชื่อจริง นามสกุลจริง มันยืนกอดอกอยู่ ไม่เข้าใจจริงๆว่าหน้าโหดๆแบบนี้ ไปเป็นพี่ชายของน้องเมคนสวยได้ยังไงวะ
“ฉันไม่ลดตัวลงไปเล่นกับนายหรอก กลัวหมากัดปาก”
อ้าว ว่ากูเป็นหมานี่หว่า!
ผมรีบล้วงหยิบมือถือขึ้นมา กดจึ้กๆก็แนบหู รอแป๊บนึงเพิ่มความสมจริง ก่อนจะตะโกนดังลั่น
“แม่! มีคนหาว่าฟูเป็นหมาล่ะ อย่างงี้แสดงว่ามันว่าพ่อกับแม่ด้วยใช่ป่ะ เพราะว่าคลอดกันท่าไหน ลูกออกมาเป็นหมาอ่ะ!!”
ไอ้คุณพี่ทันท่วงทีมันทำหน้าตึง ดึงมือถือไปจากมือผมทันที
“ไม่มีมารยาท…คนกำลังคุยโทรศัพท์” ผมว่า หมอนี่ท่าทางจะไม่เคยเรียนมารยาทผู้ดี เฮ้อ! คุณชายถ้วยฟูรับไม่ค่อยได้หรอกครับ พวกไม่มีมารยาทแบบนี้น่ะ
“ไปซ้อมเต้นได้แล้วนายปวิน!” มันทำเป็นไม่ได้ยินคำบ่นของผม แถมยังออกคำสั่ง ซึ่งผมว่าคำสั่งของหมอนี่ก็งั้นๆแหละ แต่ไอ้เพื่อนโจที่ยืนอยู่ข้างหลังผมเนี่ย…
…มึงจะผลักหลังกูทำไมวะ ห๊ะ!!...
รักเพื่อนไม่เป็นสองรองใครจริงๆเว้ย!! อยากแต่จะประเคนกูให้ไอ้พี่ธันอยู่ได้!! ทีหลังมึงเตรียมพานทองมาเลย จะได้ถวายกูให้เสร็จ!!!
“นายปวิน!!!!”
ผมยังไม่ขยับ มันก็เลยตะคอกใส่หน้าอีก จนผมต้องแคะหูตัวเอง
“อย่าตะโกนได้มั้ยล่ะ เกิดหูแตกขึ้นมา เอาแก้วหู ‘คุณรุ่นพี่’ มาแปะแทนได้รึเปล่า” เป็นหนุ่มห่วงใยสุขภาพตัวเองครับ ผู้ชายยุคใหม่ต้องแบบนี้แหละ
“นายปวิน!!!!!!!”
“ปากเหม็นด้วย อย่าตะโกนใส่หน้าดิ” ความจริงก็ไม่ได้กลิ่น แต่ผมอุปทานไปเองได้ครับ ไม่ยากหรอก
“นายปวิน รัตนวิจิตร!!!!!!!!”
คุณพระ คราวนี้เรียกทั้งดุ้น! แถมมันยังคว้าหมับเข้าที่แขนผม แล้วจับลาก โอ้! พล็อตแบบนี้ นางเอกต้องดิ้นแล้วก็โวยวายอย่างรักนวลสงวนตัวใช่มั้ยครับ เพื่อให้แลดูมีคุณค่า
เอาก็เอา… เพื่อคุณค่าในตัวเอง
“โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน เจ็บ พี่ธันครับ อย่าดึงถ้วยฟูแรง ถ้วยฟูเจ๊บ เจ็บ”
เอ อย่างงี้เรียกเพิ่มคุณค่า หรือแสดงเสแสร้งกันนะ แต่ยังไงมันก็ได้ผลทันตาเห็น ไอ้เพื่อนสามตัวข้างหลัง หัวเราะกันหงึกหงัก ส่วน ‘พี่ธัน’ ปล่อยแขนผมทันที แถมจ้องหน้ากินเลือดกินเนื้ออีกต่างหาก แล้วผมล่ะ? ก็จะอะไร๊? ไม่มีกิจกรรมไหนในชีวิตจะน่าสุขใจเท่ากวนประสาทคนอื่นอีกแล้วล่ะครับ ฮ่าฮ่า
“เฮ้ย!!!!!!”
แล้วอยู่ดีๆ ในขณะที่กำลังหัวเราะอย่างสมใจอย่างกับตัวร้ายในละครไทย ผมก็ดันถูกอุ้ม เอ้อ ไม่ใช่ถูกจับไปเรียกค่าไถ่ แต่ถูกอุ้มแบบจับพาดบ่า โลกกลับหัวกลับหาง มึนไปพัก กว่าจะจับสติได้ก็ถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังห้อยหัว หน้าแทบจะแนบอยู่กับหลังของไอ้คนที่อุ้มผมอยู่
“ทำไรเนี่ย!!” ผมทุบเข้าที่หลังมันไปสามสี่ที ดูดีดดิ้นเล็กน้อย แต่เลือดมันลงหัวครับ มึน คิดอะไรไม่ออก
“ก็ไปเองไม่เป็น เลยจะอุ้มไปนี่ไง” ถามกูรึยัง ว่ากูไปเองเป็นมั้ย ไอ้ไปเองน่ะไปเป็น แต่กูแค่ไม่อยากไปกับมึง ช่วยถามกันบ้าง ก่อนจะทำอะไร
หมอนั่นหมุนตัวไปบอกอะไรกับเพื่อนผมสองสามประโยค ผมฟังไม่รู้เรื่อง เริ่มหัวหมุนเพราะเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอยู่ข้างหลังมัน แล้วพอมันหันกลับเดินขึ้นตึก ก็ถึงได้เหลือบเห็นไอ้เพื่อนสามหน่อมันหิ้วกระเป๋าเป้ผมเดินตามหลังมาด้วย ก็ยังดี ที่งานนี้เพื่อนรักไม่ทิ้งกัน
ว่าแต่…เมื่อไรไอ้ธันวามันจะปล่อยผมลงเดินวะ ให้อยู่ตำแหน่งหน้าซุกอยู่กับหลังมันเนี่ยแอบไม่ปลอดภัย ว่าแล้วก็ต้องผงกหัวหันไปบอกมันเสียหน่อย เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้
“อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ ถ้าจะตดล่ะก็ บอกกันก่อน จะได้อุดจมูก”
เพราะตำแหน่งหัวผม กับก้นมัน อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า ‘บ้านใกล้เรือนเคียง’ เดี๋ยวจะเต้นไม่ไหวเพราะเมากลิ่น ผมจะถูกหาว่าสำออยอีก
“นายปวิน!!!!!” คราวนี้ไม่ได้มีแค่เสียงดุๆ แต่แถมแรงฟาดลงมาที่ก้นผมอีกต่างหาก!!!
“โอ๊ย!!!!!!”
เจ็บนะโว้ย!!!!!! ไอ้ซาดิสต์!!!!
………………..
ไม่คิดว่าจะมีคนอ่านฟิคของบัวอยู่ที่นี่ด้วย แอบตกใจเล็กน้อย แต่ก็ดีใจจัง แฮ่ๆ
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์นะคะ
ป.ล. ถ้วยฟูน่ารักเนอะ เขียนเองยังแอบปลื้มถ้วยฟูเลย ฮาฮา