ลายที่ 16
Comforting
(ประโลมขวัญ)
ความเจ็บปวดลบล้างความเจ็บปวดได้ไหม
เพี้ยะ!
รสชาติการถูกเฆี่ยนตี การถูกโถมขย่มร่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
‘มีอะไรจะสารภาพไหมเด็กดื้อ’ ถูกกดข่ม ขู่คำราม ราวกระตุ้นความประหวั่นเจือวาบหวาม ร่างเล็กสวนกายรับตอบสนองทั้งที่ส่ายหน้าปฏิเสธเสียงสั่น
‘ไม่...อึก’
เพี้ยะ!
‘อยากให้พี่ตีเราให้ตายหรือไง’
‘ไม่...’ คือบททาสพยศนาย
เพี้ยะ!
‘อย่าร้อง!’
สุดท้ายหวัดร้อง วอนขอให้ลงโทษสาสมใจ
‘Please...’
‘...’
‘Harder... Daddy...’
ความทรงจำย้อนการกระทำ ฉายชัดกระทั่งเสียงแปร่งประหลาดที่ไม่คิดว่าเป็นเสียงตัวเอง
ป่านมองร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยฝ่ามือและรอยฟันสะท้อนอยู่ในกระจกเงา ผิวขาวละเอียดปรากฏรอยช้ำเป็นจ้ำแทบทั่วร่าง ไม่เว้นแม่แต่ตรงรอยสักตรงสะโพกและขาอ่อนยังมีสีกุหลาบตีตราไว้
ทั้งหมดเพราะตัวเองวอนขอ... ไม่รู้ว่าขุดความกล้ามาจากไหน ราววิญญาณร้ายสิงร่างไร้การควบคุม ปลุกปล่อยสัญชาตญาณดิบที่ไม่เคยแสดงออก... ไร้ละอาย
พอไฟปรารถนามอดดับความกระดากกลับถาโถมจนอยากจะละลายหายไปในอากาศซะให้รู้แล้วรู้รอด โชคดีที่พี่วาต้องตื่นเช้าไปทำงาน จึงเหลือป่านลำพังในห้องนอนที่ไม่รู้ว่าถูกอุ้มขึ้นมาตอนไหน ไม่อย่างนั้นป่านก็ไม่รู้จะสู้หน้ายังไงไหว
แต่โชคร้าย... ที่การหมกตัวอยู่ในห้องคือการปล่อยให้เด็กน้อยเดินเล่นซุกซนได้ตามใจ
ได้รู้ ได้เห็น ‘ความลับ’
...ไม่สิ ‘ห้องลับ’ ต่างหาก
ในห้องแต่งตัวแบบวอล์คอินไร้สิ่งเตะตากลับซ่อนประตูสู่อีกห้องไว้ รังของเล่นหรรษาที่ป่านเคยเห็นเพียงในเว็บไซต์ของผู้ใหญ่เรียงรายอยู่ตรงหน้า น่าตื่นตาตื่นใจ
จากรู้สึกละอายกลับกระตุ้นความทรงจำหวามไหว ราวกับค่ำคืนหรรษาถูกฉายซ้ำ คล้ายได้ยินเสียงกระซิบจากเงามืดเลือนราง ยังต้องการอีก... อยากได้ทั้งหมดนี้
หากถูกเฆี่ยนตี ถูกพันธนาการทั่วร่าง จับดัดผิดรูปขณะร่วมรัก... จะรู้สึกยังไง
จะรู้สึกยังไง หากอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดหอมหวานที่ทำให้ลืมโลกความจริง แม้เพียงชั่วครู่...
ความคิดที่กำลังเตลิดทำให้ป่านหลุดยิ้ม ส่ายหน้าเรียกสติตัวเองกลับมาก่อนจะถือวิสาสะหยิบของบางสิ่งติดไม้ติดมือออกไป
ไม่ใช่ของเล่นพิสดารที่ป่านยังไม่กล้าแตะต้อง เพียงสายหนังรัดร่างกายที่ยังบรรจุอยู่ในกล่องใหม่เอี่ยม
เด็กซนลองสวมทับลงบนร่างที่มีเพียงเสื้อยืดสีขาวของพี่วาที่หยิบมาพร้อมกัน ครั้งแรกจึงทุลักทุเลสวมผิดถูกกว่าจะดูเข้าที่เข้าทาง
เส้นสายพันรอบคอโยงรยางค์ลงมารัดรอบแผ่นอก ต้นแขนและใต้เชิงกรานดูงดงามแฝงอันตราย
“พี่ซื้อโจ๊กมาให้...เฮ้ย! ทำไมใส่ชุดนั้น” ไม่ทันไรต้นเหตุแห่งความอันตรายก็เปิดประตูเข้ามา
พี่วาชะงัก ถุงโจ๊กแทบร่วงหลุดมือกว่าจะได้สติมองซ้ายมองขวาแล้วรีบปิดประตูราวกับกลัวใครจะผ่านมาเห็น
“หือ? ผมเห็นมันอยู่ในกล่อง” แกล้งตีหน้าซื่อ ก่อนหลุดขำแต่ยังพยายามยียวนซ้ำ “พี่ไม่ได้ซื้อไว้ให้ผมใส่เหรอครับ”
“ไม่...ก็ใช่ แต่...” วินาทีนั้นแสงอาทิตย์กะพริบพร่าเลอะเลือนจนตอบไม่เป็นภาษา ตามไม่ทันความร้ายกาจของปีศาจกระต่ายน้อย
“ผมใส่ผิดวิธีเหรอ?”
“ไม่ผิด แต่ว่ามัน...”
“มันไม่น่ารักเหรอครับ” ก็เจอแบบนี้ใครจะไปตั้งรับทันเล่า!
“...”
“งั้นผมถอด...”
“เดี๋ยว! ไม่ใช่อย่างนั้น” พยายามกลืนก้อนความกระหายหื่นสบตาน้อง
อยากจะตอบว่าน่ารัก น่ารักโคตรๆ เลยครับ
“ห้องพี่มี ‘ของเล่น’ เเปลกๆ เยอะเลยนะครับ” เด็กเจ้าเล่ห์ยังไม่หยุดคิดลูกเล่นยั่วหยอก ทั้งที่สีหน้าแทบจะเก็บอาการขบขันไว้ไม่ไหว มองใบหน้าสับสนเจือแดงซ่านของคนรักก็ยิ่งได้ใจ “พวกนั้น... พี่เตรียมไว้ให้ผมด้วยหรือเปล่า?”
“...” ตายๆ ๆ
“แต่ผมใช้ไม่เป็น รบกวนพี่สอนด้วยนะครับ”
ใครสั่งใครสอนให้พูดแบบนี้กัน...
“ป่าน...” เสียงดุเจือกระเง้ากระงอดอย่างจนใจ ทิวากรหมดท่าได้แต่พยายามยับยั้งชั่งใจไม่ให้หลุดขย้ำ เขารู้ดีว่าน้องเพิ่งผ่านศึกหนักหนามาคงรับอีกไม่ไหว เขาถึงปล่อยให้สลบไสลจนเช้าเพื่อฟื้นร่างกาย
แต่ให้ตาย... ช่างน่าฟาด น่าฟาดมากๆ เด็กอะไร ทำไมขยันยั่วให้ตบะแตกอยู่ได้
“มานี่ซิ” สะกดกลั้นดับกระหายสักพักถึงคุมสติใจเย็นได้ วาถอนหายใจเอื้อมมือไปจับมือน้องจูงมานั่งบนเตียง ขณะที่ร่างสูงทรุดลงขัดสมาธิบนพื้นตรงหน้า
“อ๊ะ!” ป่านหุบขาแทบไม่ทันเมื่อนึกได้ว่าภายใต้เสื้อยืดขาวไร้อาภรณ์ใดๆ ทั้งที่เคยเห็นกันไปถึงไหนต่อไหนแล้วแท้ๆ แต่ในที่สว่างแถมสติครบถ้วนแบบนี้มันก็... อดเขินไม่ได้
คราวนี้อสรพิษแสยะยิ้มเมื่อเด็กเจ้าเล่ห์กลับกลายเป็นกระต่ายตาถลนตื่นตูม
คนพี่หัวเราะได้ใจ มองล้อเลียนเด็กดื้อพลางค้นลิ้นชักหยิบยาทาแก้ฟกช้ำออกมา เปิดตลับวนนิ้วป้ายยาก่อนคว้าขาข้างหนึ่งของน้องมาวางบนตักแล้วจรดลงบนขาอ่อนขาว
“...”
“...”
ทั้งห้องเงียบงัน จากอวดเก่งเหลือเพียงกระดากอาย ผิวขาวกลับแดงแจ๋มองการกระทำอ่อนโยนไม่วางตา
พี่วาจับได้ว่าน้องกำลังเขินจัดจึงหลุดขำ เงยหน้าสบตาขณะเลื่อนนิ้วทายาตามรอยขบกัด ไล่ปลายนิ้วถลกชายเสื้อจนเกือบเผยส่วนลับเพื่อทายาตรงสะโพก แถมยังแกล้งใช้สายตาโลมเลียอุกอาจจนผิวใสขึ้นสีก่อนเสขึ้นสบตา ปลายนิ้วยังไล้วนอยู่ที่เดิมนานเกินจำเป็น ขณะค่อยๆ ยืดตัวยื่นใบหน้าใกล้ชิด
กระทั่งลมหายใจปะทะ ริมฝีปากคลอเคลียริมฝีปากในระยะอันตราย
แต่แล้วกลับแสยะยิ้มร้าย แตะจูบเพียงปลายจมูกรั้นแล้วผละจาก ยื่นตลับยาให้น้องแทน
“อยากทาเองไหม” ข้อเสนอชั้นดี เพราะหากให้พี่วาทายามากกว่านี้สิ่งที่ต่างฝ่ายต่างกดไว้อาจปะทุเลยเถิดจนห้ามไม่ได้
ไม่ต้องเดาก็เห็นภาพชัด ล้ำเส้นอีกเพียงหนึ่งมิลลิเมตรคงตบะแตกเตลิด ไม่มีใครห้ามใคร…
อาจเป็นความอ่อนโยนต่างหากที่ลบล้างความเจ็บร้าว
สัมผัสแผ่วเบา นุ่มนวล จุมพิตเพียงริมฝีปากแตะ ปลายนิ้วเพียงลูบไล้ เกลี่ยทิ้งไออุ่นบางเบา ฝ่ามือที่ประสานกันและกันกระชับเพียงครั้งคราวไม่กุมแน่นจนไร้อิสระ พูดคุยไร้สาระตลอดทาง
ความธรรมดาที่ชโลมอบอุ่นทั่วทั้งบรรยากาศ
“แล้วทำไมเราถึงชอบสัก” คำถามเรื่อยเปื่อยในร้อยพันถูกเอ่ยขณะรถเคลื่อนตัวตามสัญญาณไฟ
“...”
“เสพติดความเจ็บปวด?” สันนิษฐานเมื่อหันมาเห็นสีหน้าอธิบายยาก เด็กน้อยหัวเราะ ส่ายหน้าก่อนสบตายิ้มซุกซน
“เสพติดช่างสักต่างหากครับ”
“ตายแล้ว! โดนเด็กบอกรัก”
นับวันยิ่งน่าหยิกน่าตี น่ามันเขี้ยวจนอดไม่ได้ที่จะดึงมือที่กุมไว้แกล้งขบหลังมือให้ร้องโอดโอย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจรดริมฝีปากจุมพิตซ้ำๆ ทั้งที่สายตายังจ้องไปยังถนนเบื้องหน้า
ป่านรู้สึกถึงกระแสอุ่นวาบที่แล่นจากหลังมือเข้าสู่หัวใจ ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อยกยิ้มระคนเขินอาย
“ถึงแล้ว” กระทั่งรถจอดเทียบหน้าประตูบ้าน ป่านจึงละสายตาจากเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของคนรัก
หันไปมองเห็นรถของหม่ามี้ที่จอดอยู่ก็ถึงกับได้สติถอนใจ นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตัวเองทำตัวเหลวไหลน่าตำหนิ โชคดีที่ระหว่างหลับพี่วาโทรกลับมาขออนุญาตให้ป่านนอนค้างเพื่อไม่ให้หม่ามี้เป็นห่วง
แต่ก็มีเรื่องอื่นน่าห่วงมากกว่า...
“ให้พี่เข้าไปด้วยได้ไหม” ป่านเบิกตากว้างหันกลับไปเลิกคิ้วมองคนถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหู “พี่มีเรื่องจะคุยกับหม่ามี้ของป่าน นะครับ”
เด็กน้อยได้แต่อึกอัก หันรีหันขวางไม่แน่ใจ
จริงอยู่ที่คำพูดของแม่เมื่อวานดูเหมือนจะเข้าใจตัวตนของป่านและเปิดทางให้คบกัน แต่ป่านก็ตั้งใจว่าจะพูดคุยในแน่ใจอีกครั้งก่อนจะพาพี่วามาแนะนำกับแม่อย่างเป็นทางการ
“เอายังงี้ พี่จะรออยู่ข้างนอกให้หนูไปขออนุญาตหม่ามี้ก่อน ดีไหมคะ” รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยที่ถูกตะล่อมให้โอนอ่อนในสถานการณ์ตัดสินใจยาก
ป่านสบตาพี่วา ดวงตาคมฉายแววจริงจัง เห็นแบบนั้นก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก
“เดี๋ยวป่านออกมานะครับ” เปิดประตูลงจากรถ เหลียวหลังมองไม่เห็นความลังเลใจในรอยยิ้มอ่อนโยนที่มอบให้
ป่านสูดลมหายใจ เดินเข้าบ้าน ไม่ทันไรก็เจอหม่ามี้นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนั่งเล่น
“สวัสดีครับหม่ามี้”
“กลับมาแล้วเหรอ” เลิกคิ้วมอง แววตาประหลาดใจมากกว่าตำหนิ อาจเพราะไม่คิดว่าลูกชายจะกลับมาแต่เช้าตรู่ หรือเพราะชุดรุ่มร่ามปิดทุกสัดส่วนดูแปลกตา ทว่าธุระที่ติดพันทำให้ไม่อาจถามไถ่ได้มากนัก ป่านรอให้แม่คุยโทรศัพท์จนเสร็จท่าทางอึกอักทำให้แม่ผิดสังเกต
“มีอะไรหรือเปล่า” ถามกลั้วหัวเราะ
“คือ... พี่วาเขา รออยู่ข้างนอก” เอ่ยเพียงเท่านั้นแม่ก็เปลี่ยนสีหน้าทันควัน เลิกคิ้วงุนงง ก่อนขมวดคิ้วคล้ายครุ่นคิด
“หม่ามี้ยังโกรธพี่วาอยู่เหรอครับ” เห็นท่าไม่ดีเด็กน้อยยิ่งเจื่อนซีด ทำท่าจะอธิบาย
“หม่ามี้โกรธเรานั้นแหละที่โกหกหม่ามี้” ทว่าแม่ส่ายหน้า ถอนใจ ย้ำความผิดจนป่านได้แต่เบะปากจนคำพูดด้วยความรู้สึกผิด
“ง่ะ”
“ไปเรียกพี่เขาเข้าบ้านก่อนสิ”
หลังจากนั้นป่านไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ร่วมวงสนทนา
ธุระของพี่วาคงไม่พ้นเรื่องของป่าน แต่จะเป็นเรื่องอะไรกัน
แม่กับพี่วาคุยกันราวกระซิบ มีจังหวะเงียบ และจังหวะที่พี่วาโดนหม่ามี้ตำหนิ ได้ยินคำขอโทษ เสียงถอนหายใจ ก่อนบทสนทนาจะจบลงด้วยรอยยิ้มจางๆ ของทั้งสองฝ่าย
ป่านวิ่งเข้าไปหาทันทีที่พี่วาถูกปล่อยตัว หม่ามี้เห็นท่าทางของลูกชายก็ได้แต่ส่ายหัวเจือขบขันอย่างจนใจก่อนหลบขึ้นชั้นสองไป
“คุยอะไรกันเหรอครับ”
น้องถาม แต่คนตัวโตกว่ากลับเลิกคิ้วถามกลับ ทำทีเฉไฉ
“วา” แต่พอน้องเบะใส่ก็หลุดหัวเราะเอ็นดู ยกธงขาวแพ้ความน่ารัก
“หม่ามี้บอกว่าอาทิตย์หน้าให้ไปส่งน้องป่านสอบ” เห็นชัดว่าไม่ได้มีเพียงเท่านั้น แต่ป่านก็ไม่ได้ถามต่อเพราะเข้าใจใจความ
หมายความว่าหม่ามี้ยอมรับ...
เมื่อเห็นเด็กน้อยยิ้มกว้าง พี่วาก็ยิ้มตามเอื้อมมือมาลูบหัวน้องเบาๆ ดวงตากลับฉายแววอ่อนโยนอีกครั้ง
“ตอนอายุ 18 พี่เองก็มีเรื่องที่รู้สึกว่ารับมือไม่ไหว หาทางออกไม่ได้ แต่เพราะยังมีครอบครัว มีคนที่รักพี่ถึงผ่านมันมาได้”
“...” แม้ไม่บอกแต่วารับรู้ได้ว่าน้องกำลังแบกภาระบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตา บ่าเล็กๆ จึงห่อเหี่ยว บางครั้งดวงตาฉายแววเหนื่อยล้ากดดัน
“ตอนนี้นอกจากหม่ามี้ครอบครัวป่านมีพี่แล้วนะครับ” นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มใส มองใบหน้าแสนรัก
หนักล้าจะช่วยแบ่งเบา ถ้าก้าวพลาดจะจูงมือค่อยๆ หาเส้นทางใหม่ไปด้วยกัน
เขาจริงจังกับเด็กคนนี้มากมายขนาดเห็นภาพอนาคตร่วมกัน
เพราะรัก
“ขอบคุณนะครับ” จากรอยยิ้มบางเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะแผ่วเบาโผเข้าสู่อ้อมกอด ฝังกายลงสู่อ้อมแขนที่อ้ารับด้วยความเต็มใจ
อบอุ่น อ่อนโยน อุ่นใจ
“อ้อลืม ยังมีคุณหนู ไอ้เฮีย สามสาวแล้วก็โมโจด้วย”
ป่านหลุดขำ นึกภาพออกว่าถ้าหากโมโจอยู่ตรงนี้คงเห่าขานรับทันควัน
#มอปลายลายสัก #สักวาป่านหวาน #วาป่าน
ผิดพลาดตรงไหนติติงได้เสมอเลยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม
รักมากๆ
- Martian -