Yuki Hana
โนบุยูกิxนาคาอิ
ละอองสีขาวร่วงโรยแผ่วเบา ความหนาวเหน็บไม่อาจย่างกรายเข้าสู่บ้านหลังน้อยท่ามกลางผืนหิมะสีขาวโพลน สองร่างอิงซบด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความสุข ดวงตาทอดมองชื่นชมความงามของธรรมชาติ
หวนนึกถึงวันแรกพบของทั้งคู่ หนุ่มชาวเมืองเดินขึ้นเขาเพียงลำพัง แววตามุ่งมั่นเมื่อคราออกจากบ้านเริ่มอ่อนล้าตามร่างกายที่หนักอึ้ง ความหนาวเกาะกินไปทั่วร่างกาย แขนขาชาไร้เรี่ยวแรง ฝีเท้าเหยียบย้ำบนผืนหิมะ
ทุกย่างก้าวเหมือนเหยียบย่างไปบนพื้นหนาม หยาดหิมะโปรยปรายไร้ปรานี สติเริ่มพร่าเลือน ภายในใจตัดพ้อต่อชะตาชีวิต เกิดคำถามมากมายวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด
‘ข้ามาทำอะไรที่นี่’
‘เหตุใดข้าจึงต้องเสี่ยงชีวิตเยี่ยงนี้ด้วย เพื่อใคร? เพื่ออะไร?’
‘ตัวข้าต้องจบชีวิตในตอนนี้แล้วหรือ’ ร่างกายมาถึงขีดจำกัด เขาโงนเงนล้มลงบนผืนหิมะเย็นเฉียบ ชั่วขณะที่ดวงตาค่อยๆ ปิดลงอย่างยอมแพ้ต่อโชคชะตา เสียงไพเราะเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล
“ท่านได้ยินเสียงข้าหรือไม่”
ชายหนุ่มฝืนลืมตามองผู้พูด พบชายอีกคนกำลังทอดสายตามองเขาด้วยความสนใจ เมื่อไม่ได้รับเสียงตอบรับคนพูดจึงตัดสินใจพยุงตัวอีกฝ่ายขึ้นและพาเดินกลับไปยังบ้านพักของตนเอง และคอยดูแลจนกระทั่งชายหนุ่มฟื้นคืนสติ
พวกเขาแนะนำตัวกันและกัน
“ข้ามีนามว่าโนบุยูกิ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ท่าน...”
เอ่ยถามพลางมองสบ ผู้ช่วยชีวิตเขาแม้จะดูธรรมดา แต่กลับชวนมองยิ่ง ราวกับมีเสน่ห์บางอย่างดึงดูดจนยากถอนสายตา เรือนผมสีดำดุจม่านน้ำคลอเคลียใบหน้า ด้วยอาภรณ์เนื้อผ้าเก่าหยาบ ทั้งยังตัวใหญ่เกินขนาดร่างกายยิ่งทำให้อีกฝ่ายช่างดูตัวเล็กบอบบาง
“นาคาอิ...ไม่จำเป็นต้องเรียกท่าน ข้าฐานะยากจนไม่เหมาะกับคำเรียกขานเช่นกันหรอก ข้าต่างหากที่ควรเรียกว่าท่าน ดูจากเนื้อผ้าที่ท่านใส่แล้วคงไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดากระมั่ง เหตุใดจึงขึ้นเขาเพียงลำพังเล่า”
น้ำเสียงแฝงความสงสัย โดยปกติคนมีฐานะมักมีผู้ติดตามมากมาย ไม่จำเป็นต้องลำบากทำสิ่งใด เพียงแค่ออกปากสั่งทุกสิ่งที่ต้องการก็ถูกนำมาวางอยู่เบื้องหน้า ตรงกับข้ามกับสิ่งที่ชายผู้นี้ทำ
“ข้ามาเพื่อพิสูจน์ตัวเองกับครอบครัว แต่ดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่แสนโง่เขลา หากไม่ได้เจ้า ข้าคงตกตายอยู่กลางหิมะไปแล้ว”
“เอาเถิด เรื่องมันผ่านไปแล้ว มานั่งสลดก็ไม่ช่วยอะไร ท่านพักอยู่ที่นี่จนกว่าจะแข็งแรง รอพายุหิมะผ่านพ้นไปค่อยออกเดินทางกลับแล้วกัน”
เสียงนุ่มนวลเชื้อเชิญอย่างใจกว้าง รอยยิ้มที่ระบายเต็มใบหน้านำพาให้หัวใจคนมองกระตุกวูบ ตัดสินใจทำตามคำแนะนำของเจ้าบ้าน คิดในใจว่าหากกลับบ้านจะนำคนและทรัพย์สินมาเพื่อตอบแทนอีกฝ่ายในภายหลัง ให้มีชีวิตอยู่ที่ดีขึ้น เพราะเท่าที่เขาสังเกต บ้านน้อยหลังนี้มีพื้นที่ไม่กี่เสื่อ ของใช้ทุกอย่างล้วนเก่าเก็บ ไม่เว้นกระทั่งฟูกที่เขากำลังนอนอยู่ มันถูกปะชุนด้วยผ้าต่างชนิดจนดูน่าอนาถใจ
เจ้าบ้านมองสายตาประเมินของร่างสูงออก แต่ไม่กล่าวอะไรเพียงแค่ลุกไปตักซุปร้อนมาให้อีกฝ่ายดื่มเพิ่มกำลัง ชายหนุ่มทอดถอนใจ คงต้องทนอยู่ที่แห่งนี้ไปสักระยะ จะเรื่องมากกับซุปวิญญาณเนื้อและเศษผักไม่ได้ ในเมื่อเขายังเอาตัวเองไม่รอดเลย
พอเห็นคนอ่อนแรงยอมดื่มซุปอย่างว่าง่าย นาคาอิพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ตลอดช่วงระยะเวลาหลังจากนั้น เขาคอยดูแลโนบุยูกิทุกอย่างจนอีกฝ่ายกลับมาแข็งแรงตามเดิม แต่หิมะด้านนอกยังคงถาโถมเป็นระยะ ยากแก่การเดินทาง
ระหว่างนั้นโนบุยูกิจึงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนาคาอิไปพลางๆ เรียกรู้ที่จะช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความที่มีร่างกายสูงใหญ่ พละกำลังมากจึงทำให้งานหลายอย่างร่นระยะเวลาไปพอสมควร อย่างเช่นการตัดฟืน พวกงานที่ต้องอาศัยแรง
ความสงบของที่ห่างไกล รายล้อมด้วยธรรมชาติไร้สิ่งรบกวน การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่มีภาระหน้าที่อะไรให้ขบคิดทำให้โนบุยูกิเริ่มหลงใหลสถานที่แห่งนี้มากขึ้นทุกที พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงสองคน พูดคุยหัวเราะอย่างเปิดเผย ไม่ต้องคอยวางตัวระมัดระวัง อยู่ท่ามกลางสายตาจ้องจับผิดอย่างเช่นในอดีต
เขาเริ่มผลัดวันประกันพรุ่ง พายุหิมะผ่านไปแล้ว แม้ยังมีหิมะโปรยปรายในบางครั้งแต่นั่นก็เพียงพอที่จะเดินทางลงเขา ถึงอย่างนั้นโนบุยูกิกลับยืนยันที่จะอยู่ต่อ อ้างว่ากลัวพายุบ้าง อากาศหนาวเกินไปบ้าง จนท้ายที่สุดนาคาอิก็เลิกถามเรื่องนี้ไป
ฤดูหนาวผ่านพ้น หิมะเริ่มละลายกลายเป็นธารน้ำ ยอดอ่อนเติบโตขึ้นตามผืนดิน สิ่งมีชีวิตมากมายตื่นจากการจำศีลอันยาวนาน อากาศรอบกายค่อยๆ อุ่นขึ้นตามระดับ เพียงไม่นานสีขาวโพลนของหิมะก็ถูกแทนที่ด้วยสีเขียวชอุ่มของฤดูใบไม้ผลิ
เสียงนกร้องขับขาน ประสานไปกับบทเพลงอันแสนไพเราะของนาคาอิ โนบุยูกิหลับตารับฟังบทเพลงนั้นอย่างสงบ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองด้วยประกายลึกซึ้ง ระบายยิ้มเต็มใบหน้า
“เสียงของเจ้าช่างเพราะยิ่งนัก”
คนถูกชมแย้มรอยยิ้มงาม
“เช่นนั้นข้าจะร้องให้ท่านฟังบ่อยๆ เลยดีหรือไม่”
โนบุยูกิปรบมืออย่างถูกใจ
“ดียิ่ง! ข้าเป็นผู้ที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก ได้เจ้ามาร้องเพลงให้ฟังเช่นนี้” คำหยอดหวานทำให้คนฟังเริ่มเขินอาย ส่ายหน้าน้อยๆ
“ท่านก็พูดไป ไม่เอา เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ข้าจะเข้าป่าไปหาอาหารเย็นนี้ ท่านจะไปกับข้ารึเปล่า”
แทนคำตอบ ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้น มือคว้าตะกร้าอย่างเตรียมพร้อม ท่าทางขึงขังเสียจนเรียกเสียงหัวเราะขบขันได้เป็นอย่างดี
โนบุยูกิเลือกที่จะลืมเลือนทุกสิ่ง ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ในเวลานี้แววตาของเขา หัวใจของเขามีเพียงนาคาอิเท่านั้น สองคนอยู่เคียงข้าง ใช้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวันอย่างมีความสุข ของใช้หรูหรา คนคอยอำนวยความสะดวก ดูไม่จำเป็นสำหรับเขาแล้วในเวลานี้
ความสนิทสนมเริ่มเพิ่มพูน พัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรัก พร้อมกับบ่มเพาะความกังวลในใจของโนบุยูกิในเวลาเดียวกัน
ด้วยเหตุที่พวกเขาอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา ทำให้เขาสังเกตเห็นความแตกต่างของนาคาอิกับคนทั่วไป ช่วงฤดูหนาวนาคาอิจะดูเชื่องช้าง่วงงุนอยู่บ่อยครั้ง ผิดกับช่วงฤดูใบไม้ผลิกระฉับกระเฉงคล่องแคล่วจนน่าประหลาด อีกทั้งชาวบ้านธรรมดาที่ไหนจะมาปลีกวิเวกอยู่บนเขาอย่างโดดเดี่ยว
แถมตัวนาคาอิเองยังมีช่วงเวลาที่ออกจากบ้านเป็นระยะเวลานาน เย็นย่ำค่อยกลับมาบ้านอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งคิด ความรู้สึกก็ยิ่งจมดิ่ง
ดังนั้น ในวันที่เขารับหน้าที่หาของป่า ส่วนนาคาอินำผักไปขายในเมืองเพื่อนำเงินไปซื้อข้าวสารและของใช้บางอย่าง เขาจึงตัดสินใจสำรวจรอบที่พักอย่างละเอียด หวังจะหาข้าวของติดตัวที่เขาทำหล่นหายตอนสติเลือนราง
การไม่พบสิ่งผิดปกตติทำให้โนบุยูกิถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก บางทีเขาคงจะคิดมากไปเองเลยทุ่มเวลาที่เหลือในการหาของ น่าแปลกที่ของพวกนั้นหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าเขาจะตระเวนเดินหาสักเท่าไหร่ก็ไม่พบแม้แต่เงา
คืนนั้นเขาจึงตัดสินใจถามนาคาอิอย่างจริงจัง
“นาคาอิ ข้าขอถามเจ้า ข้าวของที่ติดตัวข้ามา เจ้าไม่เห็นมันจริงๆ หรือ”
น้ำเสียงสบายๆ ราวกับไม่คิดอะไรมาก แต่ดวงตากลับจับสังเกตท่าทางของนาคาอิอย่างละเอียด ฝ่ายนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหัวตอบด้วยสีหน้าจนใจ
“ตอนที่ข้าพบท่านไม่พบสิ่งใดติดตัวท่านเลย บางทีของพวกนั้นอาจจะหล่นไประหว่างทางก็ได้ ท่านลองเดินย้อนกลับทางเดิมหรือยังล่ะ”
“ข้าเดินดูแล้ว ไม่พบแม้เศษเสี้ยว”
“สิ่งเหล่านั้นมีความสำคัญต่อท่านหรือ เช่นนั้นพรุ่งนี้เราไปช่วยกันหาดีไหม”
เมื่อไม่พบพิรุธอะไรสักอย่าง โนบุยูกิเลยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“ช่างเถอะ ความจริงมันก็ไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
ได้ยินเช่นนั้น นาคาอิเผยรอยยิ้มออกมาจนถึงดวงตา ขยับเขาหาอิงแอบแนบชิด
“ท่านคิดมากเช่นนี้ ให้ข้าช่วยผ่อนคลายให้ดีหรือไม่”
ข้อเสนอน่าสนใจ มีหรือโนบุยูกิจะปฏิเสธ เขาหัวเราะในคอโอบกอดร่างบางประคองอีกฝ่ายนอนลงบนฟูกอย่างอ่อนโยนก่อนจะเข้าทาบทับตาม ทำกิจกรรมผ่อนคลายอย่างที่อีกฝ่ายเสนอ แสงไฟวูบไหวก่อนจะดับลงเหลือเพียงเสียงหอบครางและเสียงขยับกายเสียดสีภายใต้แสงนวลของดวงจันทร์
ผิวกายเนียนนุ่มผิดวิสัยคนยากจน กลิ่นหอมประจำกายบางอย่างที่ชวนให้มอบเมา ร่างสูงเก็บรายละเอียดทุกอย่าง ทุกสัมผัส ค่อยๆ เพิ่มทวีความเร่าร้อนทีละน้อยจนขีดอารมณ์ไต่ถึงระดับสูงสุด ทั้งคู่ปลดปล่อยความต้องการออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เวลาผ่านไปค่อนคืน เสียงเหล่านั้นจึงเงียบสงบลงเหลือเพียงเสียงร้องแว่วๆ ของสัตว์ที่ออกหากินในยามกลางคืน แววตาอ่อนโยนก่อนหน้านี้มลายให้ไปสิ้น แปรเปลี่ยนเป็นสายตาคมวาววับ ปากบอกว่าไม่สนใจ แต่เขาไม่คิดจะทิ้งสิ่งของเหล่านั้นไปโดยง่าย
โนบุยูกิอาศัยช่วงที่นาคาอิอ่อนเพลียจนหลับไป ใช้มือเกลี่ยผมชื่นเหงื่อแผ่วเบา กระชับผ้าห่มให้จนถึงคอ ก่อนจะลุกขึ้นสำรวจบ้านด้วยฝีเท้าเงียบกริบ เลือกจุดที่นาคาอิหลีกเลี่ยงและให้ความสนใจน้อยที่สุด เขาค่อยๆ หาไปทีละแห่งอย่างใจเย็น กระทั่งถึงบริเวณผืนดินใต้บ้าน
มีจุดหนึ่งที่แตกต่างกว่าจุดอื่น เขาลงทุนมุดเข้าไป ใช้สองมือขุดดินออกจนพบเข้ากับกล่องไม้เก่าสี่เหลี่ยมผืนผ้าอันหนึ่ง ทันทีที่เปิดออก ร่างทั้งร่างพลันเย็นเฉียบ มันคือของๆ เขา...
ดาบสั้นคู่กายที่สร้างจากวัตถุดิบพิเศษเพื่อสังหารเหล่าปีศาจโดยเฉพาะ ไม่มีอะไรสามารถทำลายมันได้ แม้ว่าจะใช้ไฟแผดเผาก็ตาม อาจจะเพราะเหตุนี้มันถึงไม่โดนทำลายเช่นเดียวกับของชิ้นอื่น อย่างตำราร้อยอสูรที่เขาเขียนด้วยมือตัวเอง กลับถูกซ่อนไว้ในสถานที่เขาคาดไม่ถึงมากที่สุด ว่ามันจะอยู่ใต้จมูกของตัวเองมาโดยตลอด
มือลูบผ่านคมดาบด้วยแววตาว่างเปล่า ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจกลับมันใส่กล่องและฝังตามเดิม ไม่ว่าอดีตเขาจะเป็นอาชีพอะไร นั่นก็คืออดีต เขาเลือกที่จะทิ้งสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว ไม่ควรรื้อฟื้นอีก
โนบุยูกิตัดสินใจแน่วแน่ กลบเกลื่อนร่องรอยทั้งหมด กลับไปนอนกอดร่างบางในอ้อมแขนเช่นทุกคืน
ยามเช้าเมื่อนาคาอิตื่นมา ไม่ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย ยังคงยิ้ม หัวเราะเช่นเดิม ซึ่งโนบุยูกิพอใจกับสิ่งเหล่านั้น ใช้ชีวิตในทุกๆ วันตามใจปรารถนา
ทั้งที่พวกเขาควรจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปแท้ๆ แต่ราวกับโชคชะตากลั่นแกล้ง ร่างกายของโนบุยูกิเริ่มอ่อนแรงลงทีละน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ ทีแรกเขาเข้าใจว่าตัวเองคงเหนื่อยจากการฝืนทำงานหนัก
ภายหลังจึงรู้ว่ามันไม่ใช่ เขาเริ่มมีอาการหน้ามืดอยู่หลายครั้ง บางทีแขนขาก็อ่อนแรงเสียดื้อๆ อย่างเช่นคราวนี้...
ขณะที่ทั้งคู่กำลังช่วยกันทำงานเช่นเคย เสียงของหนักร่วงดังตุบ เรียกความสนใจจากร่างบางได้ในทันที
“ท่านยูกิ?” ดวงตาคู่งามหันไปตามต้นเสียง ก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ท่านยูกิ!!”
เจ้าของนามพยายามชันกายลุกขึ้น แต่ทั่วทั้งร่างกลับอ่อนแรง ฝืนขยับไม่เท่าไหร่ก็ทรุดลงตามเดิม นาคาอิเข้ามาพยุงมองสำรวจใบหน้าซีดเผือด แขนเสื้อสั่นเทาบรรจงเช็ดหยาดเหงื่อให้อย่างอ่อนโยน มือหนาจับข้อมือเล็กแน่น กล่าวเสียงหนัก
“ข้าไม่เป็นอะไร แค่หน้ามืดเล็กน้อย”
วงหน้าคมคายพยายามฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายคลายความกังวล แต่ดูจะไร้ประโยชน์ ในเมื่อสิ่งที่แสดงออกมาชัดเจนถึงเพียงนี้
“มาเถิด ข้าจะพยุงท่านเข้าไปพักด้านใน ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเองเถอะ”
โนบุยูกิอยากดื้อดึงอยู่ต่อ พอเห็นแววตาเป็นห่วงสิ่งที่จะพูดออกมาเป็นต้องกลืนกลับลงคอ ยอมให้อีกฝ่ายพยุงเข้าไปพักอย่างว่าง่าย
นาคาอิทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทุกครั้งเมื่อเห็นอาการของโนบุยูกิ ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะอะไร แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะต้นเหตุทุกอย่างมันมาจากเขา
ถ้าหากพวกเขาไม่พบกัน...
ถ้าหากโนบุยูกิเลือกที่จะจากไป…
เรื่องราวคงไม่ลงเอยเช่นนี้ เป็นเพราะเขา เพราะเขาคนเดียว...
ราวกับหัวใจถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็นจนเจ็บปวด ร่างสูงใหญ่ที่นอนนิ่งบนฟูกเก่า ดวงตาเริ่มพร่าเลือนจากม่านน้ำตา โนบุยูกินอนเช่นนี้มาสองวันแล้ว
เปลวไฟแห่งชีวิตเริ่มริบหรี่พร้อมกับเวลาที่นับถอยหลังลงทุกที ในช่วงสุดท้ายแห่งการตัดสินใจ นาคาอิรอจนกระทั่งอีกฝ่ายลืมตามองมาที่ตนอย่างเคย ก่อนจะเอื้อนเอ่ยสิ่งที่คิดอยู่ในใจ
“ท่านยูกิ...หากข้าไม่เหมือนเดิม ท่านยังคงมอบรักให้ข้าหรือไม่”
แม้แววตาของโนบุยูกิจะฉายความประหลาดใจ แต่ก็ยังคงตอบด้วยรอยยิ้มบาง
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ความรักของข้าจะมอบให้เจ้าชั่วนิรันดร์”
หยดน้ำใสหลั่งรินจากดวงตา ใบหน้าฉายความงดงามแย้มรอยยิ้มอย่างสุขใจ
“ข้าจะไม่ยอมให้ท่านตาย”
คำกล่าวราวกับสาบานเกิดความกังวลในใจของโนบุยูกิ ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยถามอะไร นาคาอิก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียก่อน สุดท้ายก็เหนื่อยจนหลับไปโดยไม่ได้ถามให้กระจ่าง
ช่วงเวลาหลังจากนั้น โนบุยูกิหลับๆ ตื่นๆ ตลอด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือ นาคาอิยังคงอยู่เคียงข้างเขาเสมอ สองมือเรียวบางจับมือหนาแน่น โนบุยูกิสังเกตเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนไป ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงรักใคร่
“มือของเจ้าช่างอบอุ่นเหลือเกิน”
คนฟังได้ยินเช่นนั้นแทบใจสลาย มือของเขาไม่ได้งดงามอย่างเคย มันแปลกไป ผิวหนังบางส่วนถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งจนดูน่าเกลียด อีกทั้งมือหนาที่คอยกอบกุมมาตลอดกลับเย็นเยียบจับใจ
“มือของข้าที่ท่านชอบกลายเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านยังรักข้าอยู่หรือไม่”
มือใหญ่ยังคงกระชับมือเล็กยืนยันเช่นเดิม
“เจ้าจงมั่นใจ ข้านั่นรักเพียงเจ้าเท่านั้น”
เสียงร้องไห้โฮดังลั่น กายบางซุกเข้าหาอ้อมแขนอันคุ้นเคย โนบุยูกิกอดปลอบร่างบางที่ร่ำไห้จนสั่นไหว ในใจของนาคาอิ ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้อีกฝ่ายพรากจากไป
อีกเพียงไม่นาน ขอเวลาอีกนิด เพื่อที่เขาจะได้ใช้พลังของตัวเองในการเยี่ยวยารักษาอีกฝ่าย
ริมฝีปากเม้มสนิทไม่กล้าเอ่ยอีกคำถามที่ซ่อนลึกภายใจ ความหวาดกลัวล้นปรี่จนแทบทะลักออกมา ถ้าเขาล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริง เรื่องราวที่ตนไม่เคยเอ่ยจะเป็นเช่นไร
ราวกับร่างสูงรับรู้ถึงความคิดของนาคาอิ เสียงทุ้มแม้แหบแต่เปี่ยมไปด้วยความจริงจัง เอ่ยออกมาชิดริมหู
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไร ข้ายังคงรักดั่งเคย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ร่างบางยิ่งร้องไห้ โอบกอดร่างสูงพร้อมกับถ่ายทอดพลังให้เป็นครั้งสุดท้าย พลังชีวิตที่นาคาอิช่วงชิงมาโดยไม่อาจควบคุม ผิวกายที่เคยเนียนนุ่มเริ่มเปลี่ยนแปลง ถึงอย่างนั้นโนบุยูกิก็ไม่คิดจะปล่อยมือเด็ดขาด
สำหรับนาคาอิ แม้ว่าตนจะกลายเป็นสิ่งน่ากลัวดุจปีศาจก็ไม่เป็นไร เพียงแค่ผู้เป็นที่รักกลับมามีชีวิตดั่งเดิมอีกครั้งก็พอแล้ว
โนบุยูกิหลับตาลง กล้ำกลืนความรู้สึกหดหู่ภายในใจ เขารู้อยู่แล้ว รู้ตั้งแต่แรก ถึงอย่างนั้นก็ยังดึงดันที่จะอยู่ด้วยจนกลายเป็นเช่นนี้
อย่าได้กังวลเลยดวงใจข้า...ข้าจะโอบกอดให้ไออุ่นและปกป้องเจ้าตลอดกาล…
ขณะที่ทุกอย่างจบสิ้นลง โนบุยูกิเริ่มมีเรี่ยวแรงกลับมาบางส่วน แลกเปลี่ยนกับร่างอ่อนแรงในอ้อมแขน แววตาของเขาฉายประกายคมกล้าเยือกเย็น นาคาอิซุกใบหน้าอยู่กับแผ่นอกทำให้มองไม่เห็น โนบุยูกิใช้ปากได้รูปบรรจงจูบขมับชื่นเหงื่อ กระชับร่างบางโอบอุ้มออกมานอกบ้าน
นาคาอิมองร่างสูงด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่นอนพัก เมื่อพ้นประตูออกมา สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาทำให้เลือดทั่วร่างจับตัวแข็ง
ผู้คนมากมายกำลังยืนรอบบ้านของพวกเขา แววตาแต่ละคนเรียบเฉยเย็นชา สิ่งที่ทำให้นาคาอิตื่นกลัวที่สุดคืออาวุธในมือของคนเหล่านั้น กลิ่นอายความตายเข้มข้นแผ่กระจายออกมาจางๆ มันคืออาวุธที่ใช้สังหารเหล่าปีศาจ และสภาพเขาในตอนนี้ไม่อาจปกปิดตัวตนได้อีกต่อไป
ชายสูงวัยดูมีภูมิฐานเดินนำหน้าทุกคนหยุดมองร่างพวกเขาทั้งคู่
“โนบุยูกิ ถึงเวลาแล้วที่เจ้าต้องทำสิ่งที่เจ้ากล่าวไว้ สังหารปีศาจตนนั้นเสีย มันก่อความเดือดร้อยเข่นฆ่าชาวบ้านไปมากมาย เจ้าต้องรีบฉวยโอกาสตอนนี้กำจัดมัน”
สิ่งที่ได้ยินทำให้สมองนาคาอิขาวโพลนไปหมด เขามองโนบุยูกิด้วยดวงตาเบิกกว้าง ส่ายหัวไปไม่อย่างไม่ยอมรับความจริง
“ท่านยูกิ...”
เจ้าของนามไม่ขานรับเสียงเรียกนั้น อาวุธที่เขาเคยละทิ้งมันไปแล้วกลับมาอยู่ในมืออีกครา
“ข้า ว่าที่ผู้นำตระกูลนักปราบปีศาจจะทำตามสิ่งที่ลั่นวาจาไว้ ขอท่านพ่อโปรดวางใจ”
คำโต้ตอบที่ได้ยิน เรียกน้ำใสไหลหลั่งรินจากดวงตา ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาจนหัวใจแทบแหลกสลาย เพราะอะไรถึงทำเช่นนี้ อีกฝ่ายหลอกตนเองมาตลอดเลยหรือ กล้าแม้กระทั่งใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ทำให้เขาไร้ซึ่งพลังอย่างในตอนนี้ อย่าว่าแต่หลบหนีเลย ขนาดจะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีครั้งสุดท้ายของตัวเองยังไม่สามารถทำได้ ในเมื่ออาการบาดเจ็บทางจิตใจมันมากซะจนเกินจะรับไหว
แววตาเจ็บปวด ตัดพ้อ เสียใจระคนผิดหวัง ความรู้สึกด้านลบมากมายที่โนบุยูกิรับรู้ได้ ทำให้เขาต้องขบกรามแน่น ค่อยๆ บรรจงวางร่างบางลงบนพื้น ในขณะที่ตัวเองนั่งอยู่ใกล้ๆ
ความหวังสุดท้ายช่างริบหรี่ มือเล็กผวาจับเสื้ออีกฝ่าย สิ่งที่แสดงออกตลอดเวลาที่ผ่านมามันคือภาพล่วงตาจริงๆ ใช่ไหม แล้วคำสัญญามากมายนั่นเล่า...
“ท่านจะฆ่าข้าจริงๆ น่ะหรือ”
น้ำเสียงระโหยคล้ายจะขาดใจตายเสียให้ได้ นับรวมกับสภาพร่างกายจะคนก็ไม่ใช่ ปีศาจก็ไม่เชิง ดูแล้วน่าอดสูยิ่ง โนบุยูกิทำเพียงแค่พยักหน้านิ่งๆ
มือทั้งสองข้างตกลงพื้น ไม่มีแรงจะยึดเสื้ออีกฝ่ายไว้เป็นที่พึ่งอีก อาการแข็งค้างด้วยความช็อก ดวงตาเบิกกว้างทั้งที่น้ำตายังคงไหลอาบแก้มหยดลงสู่พื้น หัวใจราวกับถูกฉีดกระชากอย่างไร้ปรานี ยอมมอบให้ทุกอย่างแม้พลังที่ตนบำเพ็ญเพียรมานานนับสิบปี
สู้อุตส่าห์หนีรอดมาตั้งนาน กลับต้องมาตายด้วยเหตุผลที่ปีศาจทุกตัวรู้ดีอยู่แก่ใจ การมีความรักกับมนุษย์นั่นไม่ต่างจากหนทางนำไปสู่ความพินาศย่อยยับ กี่รายแล้วที่ต้องจากไป กี่รายแล้วที่ต้องอยู่อย่างทนทุกข์ทรมานราวกับตายทั้งเป็น
ทั้งที่มีตัวอย่างตั้งมากมาย แต่เขาก็ยังเป็นหนึ่งในปีศาจที่โง่งม ไม่สิ อาจจะโชคดีกว่าปีศาจบางตน เพราะดูเหมือนเขาไม่ต้องถูกผนึกให้อยู่อย่างหงอยเหงาหรือถูกจับไปใช้งานเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน เพราะเขากำลังจะถูกสังหารด้วยคนที่รักต่างหาก
รอยยิ้มงดงามถูกแสดงออกมาราวกับช่วงเวลาของดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างสวยงามที่สุด ก่อนจะร่วงโรยไปเช่นเดียวกับชีวิตของเขา มือบางจับมืออีกฝ่าย จรดดาบที่กลางอกของตนเอง หมดสิ้นแล้วซึ่งทุกอย่าง ต่อให้รอดไปเขาก็คงมีชีวิตอยู่กับความข่มขื่นนี้ไม่ไหว
“ไม่ว่าท่านเป็นเช่นไร ข้าก็ยังคงรักท่านไม่เสื่อมคลาย”
เพียงประโยคเดียวไม่ต่างจากกุญแจปลดสลักทุกสิ่ง คำพูดคล้ายกันที่เขาเคยบอกให้ร่างบางฟัง มือหนาสั่นเทา หยาดน้ำใสพรั่งพรู หัวใจปวดร้าวไม่ต่างกัน ยิ่งเห็นอีกฝ่ายโศกเศร้า เขายิ่งเป็นมากกว่าหลายร้อยเท่า
ความรู้สึก การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาล้วนความเป็นจริงทั้งสิ้น เขาล้มเลิก ไม่คิดจะสังหารอีกฝ่ายตั้งแต่พบดาบเล่มนี้ ทั้งที่คิดว่าจะหนีพ้น ละทิ้งทุกอย่างไปแล้ว
แต่เขาคงลืมว่าตระกูลของเขาไม่ปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้แน่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาไม่รู้ตัวเลยว่าถูกจับตามองตลอด จนกระทั่งทุกอย่างมันสายเกินไป เขาไม่มีกำลังพอจะพาอีกฝ่ายหนี ในขณะเดียวกันร่างบางก็ใช้พลังเพื่อรักษาเขาจนไม่แข็งแกร่งเช่นแต่ก่อนที่จะฝ่าออกไปได้
หมดหนทางแล้ว ไม่มีทางออกอื่นอีก เขาเลือกจะเก็บเงียบให้อีกฝ่ายรักษาจนเองจนพอมีกำลังในการดำเนินแผนการสุดท้าย
มือหยุดสั่น โนบุยูกิสูดลมหายใจลึกอย่างคนตัดสินใจเด็ดขาด กัดฟันกดคมดาบเข้ากลางอกอีกฝ่ายในคราวเดียวเพื่อลดความเจ็บปวดเท่าที่เขาจะสามารถทำให้ได้ กายบางกระตุกเฮือก เลือดสีแดงสดไหลซึมอาภรณ์ราวดับหยดหมึกบนกระดาษ
หากเป็นมนุษย์คงแทบสิ้นใจในทันที แต่ด้วยความที่เป็นปีศาจ ความเจ็บปวดแสนสาหัส ผิวเนื้อแสบร้อนผลจากอาวุธปราบปีศาจยังพอดึงสติเอาไว้บ้าง หากเป็นดาบธรรมดาคงไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยซ้ำ
โนบุยูกิรั้งนาคาอิมาไว้ในอ้อมแขน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้เจ้าไปเพียงลำพังหรอก…”
ถึงคราวของผู้เฝ้ามองเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ใบหน้าคมคายที่คล้ายกันหลายส่วนแสยะยิ้มเลือดเย็น พร้อมกับเลือดสีคล้ำไหลตรงมุมปาก ผิวกายเริ่มเปลี่ยนสีจากการถูกพิษร้ายที่ตัวเองลอบกินตั้งแต่ก่อนที่นาคาอิจะรักษารอบสุดท้าย
มันเป็นพิษร้ายแรงที่ตนทำไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ คนที่ทำให้นาคาอิเจ็บ ต้องทุกข์ทรมานกว่าเป็นร้อยเท่า ไม่เว้นกระทั่งตัวเองก็ตาม!
“เจ้าทำอะไรลงไปโนบุยูกิ!!” เสียงตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่สามารถเรียกความสนใจได้เท่าเสียงแผ่วเบาของคนรัก
“ทำไม ถึง...”
“ข้ารักเจ้าสุดหัวใจ ข้าจะทำตามทุกคำมั่นสัญญา ปกป้องเจ้า ดูแลเจ้าตลอดกาล...”
โนบุยูกิก้มลงแนบริมฝีปากซีดเซียวด้วยความรักใคร่ ”หลับเถิดคนดี อย่าฝืนทนทรมานเลย ไม่ช้าข้าจะตามเจ้าไป” จูบกลิ่นคาวเลือดเลื่อนไปจุมพิตบนเปลือกตาที่สั่นไหว เพียงอึดใจร่างบางแน่นิ่งไปพร้อมลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ร่างในอ้อมแขนค่อยๆ กลับสู่ร่างที่แท้จริง ดาบสั้นร่วงหล่นบนผืนดิน งูสีดำนอนทอดร่างบนอุ้มมือใหญ่ที่โอบประคองอย่างทะนุถนอมแม้จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณก็ตาม
ดวงตาคมตวัดมองจนทุกคนที่คิดเข้ามาต่างคำสั่งผู้นำตระกูลต้องหยุดชะงัก แววตาเช่นนี้พวกเขารู้ดี มันคือแววตาของสัตว์ร้ายที่โดนต้อนให้จนตรอก พวกนี้สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อความประสงค์ของตัวเอง ไม่สนแม้กระทั่งชีวิตและไม่เลือกวิธีการ
“ช้าอยู่ทำไม เอายาถอนพิษมาเดี๋ยวนี้ เจ้าพวกไร้ประโยชน์!!”
“ยาถอนพิษ อึก!...” เขากลืนก้อนเลือดในคอลงไปไม่ให้สำลักออกมาจนเกิดภาพน่าสังเวชไปมากกว่านี้
“ไม่มีประโยชน์ สมใจท่านแล้วสิท่านพ่อ ข้าทำตามที่สั่งแล้วอย่างไร...เหตุใดจึงทำหน้าบิดเบี้ยวเช่นนั้น” ท้ายประโยคเริ่มเบาลง แววตาไร้ประกาย ลมหายใจขาดห้วง ชีพจรแผ่วลงทุกขณะ ถึงอย่างนั้นก็ยังคงยิ้ม ยิ้มให้กับโชคชะตาของตัวเอง ก่อนจะสิ้นใจตามคนรักไป ทั้งที่ยังคงนั่งก้มหน้า ไม่ล้มตัวลงอย่างทระนงตน
ผู้เฝ้ามองแทบกระอักเลือดกับภาพที่เห็น มันจบแล้ว จบสิ้นทุกอย่าง
กลีบซากุระโปรยปราย ราวกับหิมะร่วงโรย...
‘ท่านยูกิ ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว เมื่อใดที่ซากุระบาน พวกเราไปนั่งชมกัน มันต้องงดงามเช่นเดียวกับหิมะแน่ๆ’
‘นั่นสินะ เหมือนวันที่ข้ากับเจ้าพบกันครั้งแรกอย่างไร...นาคาอิ’ ~ Fin ~