เรียบโร้ยแร้ว รีบไปเอามาลงเยย
เจ้าของเรื่องมาเองเลย
ชิส์
------------------------------------
วิทยานิพนธ์ดึงความเศร้าและความอ้างว้างออกไปจากชีวิตของวันชนะเสียหมดสิ้น กาลเวลาเหมือนจะผันไปเร็วขึ้น เพราะเพียงชั่วแวบเดียววันชนะก็จบทันวันรับปริญญา
ชีวิตอีกส่วนหนึ่งที่ขะมักเขม้นกับการเรียน ในที่สุดก็สำเร็จ
ชีวิตที่ราบเรียบ...เหมือนที่มันเคยเป็นมา
“ครับ” วันชนะรับโทรศัพท์มือถือ
“ว่าไงว่าที่มหาบัณฑิต ค่าขนมหมดรึยัง” เสียงภัทรลอยมาตามสาย
“เหวอ ไม่เอาแล้วพี่ ไปไหนมาไหนมีแต่สายตาแปลกๆ” วันชนะทำเสียงขยาด
“อิ อิ ว่าแต่มีสายเข้ามาหาที่กองบ.ก.เยอะมากๆเลยนะ อยากได้ตัววินไปถ่ายให้หนังสือเขาบ้าง”
“เหอ เหอ” วันชนะทำเสียงผี
“แล้วเรารับปริญญาวันไหน”
“ศุกร์หน้าครับพี่”
“...ไม่อยากได้ค่าขนมเพิ่มอีกแน่เหรอ”
เดาได้ไม่ยากว่าวันงานคงมีภัทรคนหนึ่งล่ะ
แล้ววันงานก็มาถึง วันชนะตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อเตรียมตัวกับวันสำคัญของตัวเอง...พร้อมรับแสงอาทิตย์ในวันแห่งความสำเร็จ
“ตื่นแล้วหรือลูก” เสียงทุ้มเรียกขึ้น ผู้เป็นพ่อตื่นก่อนเสียอีก “ไปอาบน้ำเสียก่อนเถอะ”
“ครับพ่อ” วันชนะขยี้ตาพลางลุกเดินไปห้องน้ำ
พอออกมาก็เห็นพ่อเตรียมตัวเสร็จแล้ว พ่อนั่งรอวันชนะอยู่กับรูปถ่ายของแม่ที่ปกติจะวางอยู่ที่ข้างเตียง วันชนะยิ้ม...แม่ครับ ลูกจบปริญญาโทแล้วครับ
หกโมงเช้าผู้คนยังบางตาแต่ก็เริ่มทยอยหนาแน่นขึ้นในหนึ่งชั่วโมงต่อมา ก่อนจะถึงสิบโมงเป็นเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวภาพแห่งความสำเร็จและความทรงจำกับสถานที่ อาจารย์ และผองเพื่อน เสียงร้องเพลงมหาวิทยาลัย เพลงประจำคณะ และเพลงต่างๆ ดังขึ้นอย่างครึกครื้น บัณฑิตบางคนอยู่กลางวงล้อมของนิสิตรุ่นน้องที่ร้องเพลงให้ แล้วก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายตามธรรมเนียมเพื่อนนำเข้าสู่กองกลางนำไปพัฒนาภาควิชาตนเอง
วันชนะถ่ายรูปกับพ่อและญาติๆที่ตามมาด้วยสอง-สามคน แล้วก็ขอปลีกตัวไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆมหาบัณฑิตด้วยกัน
“ฮัลโหล อยู่ไหนกันแล้วเนี่ย” วันชนะผ่านมือถือ
“ถึงแล้วๆ” ปลายสายตอบกลับมา “เห็นหลังแกแล้วๆ”
หันหลังไปก็เจอก้อย อาร์ท แจน ยืนอยู่หร้อมช่อดอกไม้คนละหลายช่อ
“เอ้า ของแก ดีใจด้วยนะ” ก้อยพูดก่อน จากนั้นแจนกับอาร์ทก็ทยอยเอาดอกไม้มาให้
“ขอบใจมากๆว่ะพวกแก” วันชนะยิ้มปากกว้าง “ตอนเย็นไปกินไรกันด้วยนะ เดี๋ยวเลี้ยงเอง”
“อ้ะ เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วจ้ะ ไม่พลาดๆ” ก้อยทำหน้าทะเล้น
“ว่าแต่แกเหอะ เป็นไงมั่งล่ะ ไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ในกรมทหารน่ะ” วันชนะถาม
“ก็ดีอ่ะแก แต่ฉันคิดไว้ว่าจะเรียนต่อโทเร็วๆนี้แหล่ะ ที่กรมมีทุนมาให้” หลังจากจบปริญญาตรีแล้วก้อยลองไปทำงานดูก่อน
“อาร์ทล่ะ เป็นไงบ้าง” อาร์ทเอนทรานซ์ใหม่ตอนปีสองจนได้เข้าไปเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งแถวรังสิต “ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“ก็ดีนะ เรียนหนักดี” อาร์ทพูดปนหัวเราะ แต่บุคลิกดูขรึมขึ้นคงเพราะแพทย์เรียนหนักจริงๆ และคงเพราะวัยที่โตขึ้นด้วย
“แจนล่ะ จบยัง” วันชนะหันไปถามเพื่อนที่หันเหไปเรียนสายบริหาร
“จ้ะ รับปริญญาต้นปีหน้า วินไปด้วยนะ” กรรณิการ์ถือโอกาสเชิญเพื่อนทุกคนไปในตัว
เฮฮากันอยู่สักพักทั้งสามคนก็ขอตัวไปมอบช่อดอกไม้ให้เพื่อนคนอื่นๆ ทิ้งวันชนะอยู่คนเดียว แต่ยังไม่ทันจะเดินไปนั่นมานี่ก็มีนิสิตปีหนึ่งมาล้อมวงแล้วก็ร้องเพลงบูมของคณะอย่างไม่กลัวเจ็บคอ
“congratulations congratulations …” น้องๆร้องเพลงอย่างสนุกสนานแต่วันชนะกลับไม่ได้สนใจเพราะการมาของชายคนหนึ่งกับลิลลี่ช่อใหญ่ที่ยืนยิ้มดูเขาอยู่นอกวง
“...จบแล้วก็ขอตัง จบแล้วก็ขอตัง...” วันชนะรู้ตัวอีกทีเมื่อรุ่นน้องบีบวงแคบเข้ามาพร้อมแบมือตามท่าเต้นของเพลง
เพลงจบแล้วน้องๆก็พูดแสดงความยินดี ขณะที่วันชนะพะรุงพะรังควักกระเป๋าตัง
“มาช่วยถือก่อน” คนเพิ่งมารีบเข้ามาช่วยถือช่อดอกไม้ที่ถืออยู่เต็มมือ
“ขอบคุณครับพี่” วันชนะกล่าวขอบคุณ
พอหย่อนธนบัตรลงกล่องที่รุ่นน้องยื่นมาตรงหน้าเสร็จ น้องๆที่ทำหน้าที่หารายได้ก็จากไปล้อมคนอื่นต่อ
“ยินดีด้วยครับมหาบัณฑิต” ภัทรยื่นช่อลิลลี่สีขาวแซมด้วยกุหลาบสีแดงที่ถูกจัดเข้าช่ออย่างสวยหรูให้วันชนะ
“ขอบคุณครับ” วันชนะยิ้มรับ
สายตาหลายคู่จับจ้องมาทางภัทร คงเป็นเรื่องธรรมดาที่ชายหนุ่มหน้าตาท่าทางดีจะเป็นที่สนใจ เพราะเมื่อกี้ตอนเขามาแม้แต่วันชนะเองยังอดชะงักในความหล่อของเขาไม่ได้ แถมยังได้ยินเสียงใจตัวเองเต้นผิดจังหวะทั้งๆที่มีเสียงร้องเพลงดังกลบบริเวณของน้องปีหนึ่งอีกด้วย
“ถ่ายรูปกันหน่อยไหม” ภัทรเอ่ย
“ครับ”
“อ้าว น้องบอยหายไปไหนแล้ว” วันชนะชะเง้อคอมองหารุ่นน้องที่คณะที่ไหว้วานให้มาเป็นตากล้องให้ สงสัยจะแว่บไปถ่ายรูปกับคนอื่น
“เราถ่ายกันเองก็ได้วิน” ภัทรเอากล้องถ่ายรูปมาด้วย
“มาใกล้ๆสิ” ภัทรโอบไหล่วันชนะ ดึงร่างมาชิดกัน มืออีกข้างยกกล้องถ่ายรูปหันเข้าหาตัวเอง “เอาหน้ามาใกล้ๆอีกหน่อยสิวิน เดี๋ยวถ่ายได้ครึ่งหน้าไม่รู้นะ” มือที่โอบไหล่ยกขึ้นมาแตะที่ข้างศีรษะดันให้เข้าไปแนบกับแก้มเขา
“เอ้า ยิ้ม”
ระหว่างที่ทั้งคู่ยืนหน้าติดกันค้างท่าถ่ายรูป น้องบอยก็กลับมาก็กดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ
“ขอโทษทีครับพี่วิน บอยไปหาน้ำดื่มมาครับ”
“ไม่เป็นไรบอย นี่ก็ได้เวลาไปตั้งขบวนแล้วล่ะ” วันชนะพูด แล้วหันไปพูดกับภัทร “งั้นเดี๋ยวเอาดอกไม้ไปฝากไว้ที่พ่อวินก่อนดีกว่านะ”
“อืม” ภัทรเดินตาม
หลังจากแนะนำภัทรให้พ่อรู้จัก วันชนะอดกลัวไม่ได้ว่าพ่อจะสงสัยเพราะบุคลิกของภัทรออกจะเป็นผู้ใหญ่กว่าเขามาก แต่ก็บอกพ่อไปว่าเป็นเพื่อนรุ่นพี่ เห็นพ่อทำหน้าปกติก็คิดว่าคงไม่มีอะไรล่ะมั้ง แล้วก็เลยไปตั้งขบวนเข้าไปในหอประชุมที่เป็นสถานที่รับปริญญาบัตร
จนเสร็จสิ้นพิธีก็ถึงเวลากลับ วันชนะบังเอิญเห็นคู่รักคู่หนึ่งเดินจับมือกันอย่างไม่อายสายตาใคร คงเป็นนิสิตปีสาม-ปีสี่เพราะทั้งคู่อยู่ในชุดนิสิตทั้งคู่
วันชนะยิ้มเศร้าๆให้ ...อิจฉาคู่รัก อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเราคบกันอยู่นักขัตจะกล้าอย่างน้องคู่นั้นไหมนะ
หวนคิดไปถึงงานรับปริญญาครั้งตอนป. ตรี เขาได้แต่ยิ้มให้ห่างๆโดยที่นักขัตไม่รู้ตัว เขาคงคิดว่าเราใจดำมากสินะ
“คิดอะไรอยู่หรือลูก” พ่อถามขณะขับรถกลับ
“เปล่าครับ วินคิดอยู่ว่าต่อไปจะทำอะไรดี”
“ไม่ต้องคิดมากนะลูก ยังไม่มีงานก็ไม่เป็นไร หรืออยากเรียนต่อเอกไหมล่ะ”
“วินอยากลองใช้ชีวิตเป็นคนทำงานดูบ้างน่ะพ่อ จะได้เก็บตังเองด้วย”
“อยากได้อะไรล่ะ เดี๋ยวพ่อให้เป็นของขวัญที่วินเรียนจบ เอารถหรือคอนโดไหมลูก”
“โหยพ่อ เอาสองอย่างเลยได้ป่ะครับ” วันชนะหัวเราะ
“เอาจริงไหมล่ะ” พ่อทำเสียงจริงจัง
“บ้าน่าพ่อ วินลองหาด้วยตัวเองดูก่อนดีกว่านะ ถ้ามันจำเป็นยังไงวินก็ขอยืมตังพ่อก่อนเท่านั้นล่ะครับ”
กลับมาถึงอพาร์ทเมนต์หลังจากที่ไปกินเลี้ยงกันมา พ่อกับวันชนะก็ช่วยกันขนของขวัญกับช่อดอกไม้ขึ้นห้องถึงสามรอบกว่าจะหมด นั่งพักสักครู่วันชนะก็ลงมาส่งพ่อข้างล่าง
“กลับดีๆนะพ่อ ที่จริงไม่เห็นต้องรีบกลับเลยนี่” วันชนะพูด
“พ่อมีงานด่วนน่ะวิน เอาไว้วันหลังพ่อลงมาหาอีก”
“ฝากขอบคุณน้าอ้อดด้วยนะพ่อ” วันชนะหมายถึงญาติๆที่กลับไปก่อนตั้งแต่ตอนเที่ยง
กลับขึ้นห้องมาก็เจอกับกองของขวัญและช่อดอกไม้ ใช่ว่าจะไม่เห็นความสำคัญแต่วันชนะรู้สึกเหนื่อยเอามากๆ เลยปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นก่อน ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงจนเผลอหลับไป
พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาทันที ลุกไปเปิดตู้เย็นก็ทำให้คิดได้ว่าน้ำหมด เลยจะลงไปซื้อที่ร้านคุณลุงข้างล่าง
พอเปิดประตูออกก็เจอกับช่อดอกไม้ที่ถูกจัดสวยงามในแก้วน้ำใสทรงสูงวางอยู่ตรงหน้า ของใครกันนะ แต่คิดดูแล้วเมื่อมันมาวางอยู่หน้าห้องเขาก็คงจะเป็นของใครอื่นไปไม่ได้
มีกระดาษแผ่นเล็กๆแปะอยู่ข้างๆแก้วใสด้วย วันชนะเลยยกขึ้นมาดู
“ยินดีด้วยนะ”
ข้อความสั้นๆ ลายมือที่คุ้นเคย ลายมือที่ไม่มีวันลบเลือนไปจากความทรงจำ
เขามาที่นี่เหรอ เขารู้ที่อยู่เราได้อย่างไร
วันชนะเผยรอยยิ้ม แต่มันคงเป็นยิ้มที่ดูเศร้าที่สุดในโลก เมื่อเห็นรอยที่มุมกระดาษ กระดาษนี่มาจากสมุดฉีก เขาคงเขียนมันในแผ่นที่สองหรือสาม แต่เพราะข้อความในแผ่นก่อนหน้านี้คงจะไม่เป็นที่ต้องการคนเขียนเลยฉีกทิ้งไป แต่รอยกดยังปรากฏให้เห็นในแผ่นต่อมา
ที่มุมกระดาษ มีรอยที่ไม่สังเกตให้ดีจะไม่เห็น
รอยสัญลักษณ์... ∞