NOBITA’s PART
เอาล่ะ...ก่อนเราจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ มีสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับผม 3 ข้อ
ข้อที่ 1. ผมไม่ใช่คนหยาบคาย
ข้อที่ 2. ผมไม่ใช่คนถ่อย
ข้อที่ 3. ผมเป็นผู้ชาย ( ที่สามารถเปิดใจยอมรับได้แม้ว่าคนที่มีอะไรด้วยจะเป็นผู้ชายก็ตาม )
แล้วทำไมผมถึงทำอย่างนั้นกับพิกน่ะหรอ?
ก็คุณดูที่เขาพูดกับผมสิ
ไอ้เหี้ย , ไอ้สัตว์ สารพัดจะสรรหาคำมาด่า
ฟังดูแล้วมันน่ารักเหรอ? หรือยังไง? ผมไม่ค่อยเข้าใจตรรกะของเขาเท่าไหร่...
และถึงแม้จะเป็นคนที่มีความอดทนสูงกว่า ท้าพนันได้เลยว่ายังไงก็ทนไม่ไหวหรอกครับ
ก็ทำตัวน่าหมั่นไส้ซะขนาดนี้...
ชอบพูดจาหยาบคาย ทำตัวไม่ดี มันต้องโดนกันซักที...
เอาให้สาสมกับที่ชอบทำกิริยาอย่างนั้นกับคนอื่นเขา..
“มึงเป็นเกย์หรอวะ...” นึกย้อนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนที่เรานั่งพิงหลังกันด้วยร่างชุ่มเหงื่อหลังจากเพิ่งทำกิจกรรมเสร็จหมาด ๆ พิกก็เป็นคนถามขึ้นมาในความเงียบ ผมรู้แก่ใจดีว่าที่เขาทำอย่างนี้ เพราะไม่อยากมองหน้าผมที่เพิ่งทำให้เขาเสียศักดิ์ศรี(มาหลายครั้ง) แต่ยังไงล่ะ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว จะปล่อยให้เขาหนีกลับไปดื้อ ๆ แล้วมาเจอหน้ากันตอนเรียนแบบอึมครึมโดยไม่เคลียร์อะไรกันให้เป็นเรื่องเป็นราวอย่างนั้นน่ะเหรอ
ไม่ใช่นิสัยผมหรอก... “เปล่าครับ ไม่ได้เป็น” ผมพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบเศษแว่นที่แตกเป็นเสี่ยงบนพื้นมาพลิกดู …นี่กรอบเบอเบอร์รี่อันโปรดซะด้วย เสียดายชะมัด
“ไม่ได้เป็นแล้วทำไม....”
น้ำเสียงของเขาแผ่วลงในตอนท้าย ผมเข้าใจเขานะ...ถึงจะเป็นกับคนอื่นแต่มาเจอเรื่องแบบนี้ก็คงสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย ตอนนี้พิกเงียบเสียงไปแล้ว ผมเห็นเงาที่ทอดผ่านมาด้านข้าง เขากำลังผงกหัวลงทำเอี้ยวหน้ามามอง ท่าทางจะรอคำตอบของผมอย่างใจจดใจจ่อ...
“ทำไมถึงทำกับคุณอย่างนั้นตั้งสองสามครั้งน่ะหรอ?” ผมพูดพลางหัวเราะในลำคอ “ก็คง...ติดใจล่ะมั้ง”
เชื่อเถอะว่าที่พูดออกมานั่นไม่ได้หวังจะเอาใจเขาเหมือนเวลาที่นอนคุยกับสาว ๆ หลังเพิ่งทำกิจกรรมเสร็จหรอก แต่เพราะเขาถามออกมาตรง ๆ ผมก็เลยตอบออกไปตรงๆตามใจคิด แต่ก็นั่นแหละ คำตอบนี้ทำให้ผมต้องแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเอง ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่นึกสงสัย ผมก็พยายามหาเหตุผลอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ติดใจเจ้าของผิวสีแทนนี่นัก...
อ่า...ยอมรับก็ได้ว่าคงจะติดใจที่ได้เอาคืนให้หมอนี่ร้องไห้น้ำตาแตก...
นี่มันความแค้นส่วนตัวหรือเปล่านะ?
โรคจิตเป็นบ้าเลยว่าไหม? “....ติดใจ?” เงาของเขาโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วตอนนี้ ถ้าให้ทายเขาคงกำลังทำท่ากอดเข่าตัวเองแล้วกุมขมับอยู่ “มึงแม่งโคตรบ้า บ้าของบ้าเลยไอ้เหี้ยเอ้ย”
“ก็บ้าน่ะสิ” ผมอมยิ้มอีกทีกับตัวเอง ก่อนจะเอนตัวพิงเขาให้มากกว่าเดิม “พูดไม่เพราะอีกแล้วนะ...”
“ขอทีเหอะ” พิกแหวขึ้นมา “ไอ้เรื่องพูดเพราะไม่เพราะนี่จะเอาให้เป็นประเด็นยันเรียนจบเลยไหม? พูดอย่างนี้อยู่ได้...”
“พูดอย่างนี้หมายความว่า...จะเอากันไปยันเรียนจบเลยหรอครับ?” ผมชิงถามสวนขึ้นทันทีก่อนที่เขาจะสบถคำหยาบคายอะไรออกมาอีก เชื่อไหม นาทีนี้ ตอนนี้ เวลานี้ ที่เราอยู่ด้วยกันแค่สองต่อสองอย่างนี้ แม้แต่จะเอนตัวนาบหลังให้ติดกับผิวผมอย่างแนบแน่นเขายังไม่กล้าเลย...
แล้วนับประสาอะไรกับจะลุกขึ้นมาต่อย ไม่มีทางหรอก... “กูไมได้หมายความว่าอย่างนั้นสิวะ!”
“...”
“กูหมายถึงกูก็เป็นของกูอย่างนี้ จะห้ามให้กูไม่พูดหยาบคายกับเพื่อนมันก็กระดากปากไหม จะให้ครับ ๆ แบบมึง กูทำไม่ได้ มันไม่ใช่--”
“พิกเห็นผมเป็นเพื่อนด้วยหรอ?” เป็นผมเองที่ทนไม่ได้สุดท้ายก็ต้องหมุนตัวกลับไปแล้วจับไหล่เขาให้หันมาเผชิญหน้ากันตรง ๆ “ว่าไง?”
“ก็เออสิ” เขาเสหน้ามองไปทางอื่น “แต่มึงก็ยังทำกับกูได้...”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...”
ผมหัวเราะออกมาเลย หัวเราะดังมาก ดังพอ ๆ กับเสียสบถแล้วก็ท่าทีมึนงงของพิกที่ตะโกนผ่านสีหน้าของเขาในตอนนี้
“หัวเราะเหี้ยอะไร ตลกมากนักหรอ”
“เปล่าหรอกครับ”
“แล้วหัวเราะทำไม”
“เปล่า...” ผมส่ายหัว กลืนเสียงหัวเราะลงคอแล้วพยายามปรับสีหน้าให้จริงจังมากขึ้น “เอาอย่างนี้แล้วกัน...”
“เอาอะไร”
“คิดซะว่านี่เป็นการจ่ายค่าเสียหาย ค่าเหล้า ค่าเบียร์ ที่คุณติดหนี้ผมอยู่...”
“เท่าไหร่” พิกขมวดคิ้วแน่น “ทั้งหมดเท่าไหร่”
“จำไม่ได้หรอกครับ...แต่ก็แพงมากพอสมควร” ผมเลียริมฝีปาก “ทำหน้าอย่างนั้นทำไมครับ หรือจะให้ส่งจดหมายไปหาผู้ปกครองที่บ้านแทนล่ะ?”
พิกถอนหายใจออกมาแรงมาก แถมยังกลอกตาทำหน้าเหมือนกับโลกแตกได้จริงๆถ้าหากผมตัดสินใจทำอย่างที่พูดขู่ เขาเม้มริมฝีปากอิ่มนั่นเข้าหากันแน่น แล้วกัดปากทำเสียง
ฮึ่ย เบาๆในลำคอ
“อย่าเชียวนะ” ให้ตายเถอะ ยิ่งเห็นเขาทำอย่างนั้นยิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่ ผมหัวเราะหึเบาๆก่อนจะแสร้งทำเป็นกอดอกเลิกคิ้วแล้วทำท่าเหมือนลำบากใจมากกับจำนวนเงินที่เขาติดผมอยู่
“แล้วคุณมีเงินจ่ายหรือไง...มันแพงมากนะครับ”
“โอ้ย รู้แล้วว่าแพง...ไอ้ห่า ย้ำอยู่นั่น” พิกตะโกนขึ้นมาอีกแล้ว ทำอย่างนี้ไม่รู้ตัวหรือไงว่ามันน่าหมั่นไส้จนต้องหาทางแกล้งแรง ๆ “แล้วจะให้ทำไง ต้องจ่ายเป็นก้อนเลยหรอ ผ่อนไม่ได้เลยหรือไง”
ให้ตายเถอะ ผมคงจะเป็นโรคจิตเข้าแล้วจริง ๆ ยิ่งเห็นเขามีอารมณ์เพราะคำพูดของผม ก็ยิ่งคิดว่าเขานี่ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ตลกโคตร ๆ...
หยุดแกล้งไม่ได้เลย... “ไม่ได้หรอกครับ...” ผมยังคงกอดอกอยู่อย่างนั้น แต่เพิ่มระดับความจริงจังของสีหน้าขึ้นมาอีกเท่าตัว “นอกซะจาก...”
“นอกซะจากอะไร?” สีหน้าของเขาดูมีความหวังมากขึ้นประมาณ 1 %
“ถ้าคุณยอมสัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่ผมไม่ได้เนิร์ดจริง...ผมจะยอมให้คุณผ่อน”
“...”
“แต่ถ้าคุณยอมสัญญาแล้วก็ยอมให้ผมเอาด้วย...ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ผมต้องการ...”
“....”
“ผมจะยกหนี้ให้หมดเลย...” มีใครเคยบอกหรือเปล่า...ว่าถ้าคนอย่างผมเอ่ยปากออกมาแล้วจะไม่ยอมกลับคำคืนง่ายๆ นับจากวันนั้นมาถึงวันนี้เรื่องราวของผมกับพิกก็พัฒนาขึ้นอีกเป็นลำดับ(?) เริ่มต้นที่เราลากันด้วยประโยคเจ็บ ๆ คัน ๆ แต่ก็มันส์เพราะเขายอมโอนอ่อนให้ผมอีกครั้ง ใช่ พิกยอมผม แล้วทำไมจะต้องไม่ยอมด้วยล่ะ ในเมื่อหนี้ที่เขาติดผมน่ะมีจำนวนมากขนาดนี้ว่าภายในเดือนสองเดือนนี่เขาคงไม่มีปัญญาหามาจ่ายแน่
จนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว จริงๆผมควรได้ไปมหาลัยแล้วก็ทำตามข้อตกลงของเราที่ว่า ‘ถ้าอยู่ที่ม.ผมจะยอมเป็นไอ้โนบิตะให้เขาโขกสับแต่ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าคนอื่นเราก็เป็นอีกอย่างตามที่ผมอยากจะให้เป็น’ แต่เพราะหลายวันที่ผ่านมานี้ ที่ร้านมีปัญหาพอสมควร นั่นจึงทำให้ผมไม่ได้โผล่หน้าไปเรียนเพราะเป็นหวัดจากการพักผ่อนน้อยในช่วงนี้
“แล้วนี่กินข้าวกินยาหรือยัง” ยอมรับนะว่าตกใจที่เขาเป็นคนโทรหา ก็คนอย่างพิกน่ะฟอร์มจัดจะตาย ทั้ง ๆ ที่ผมไม่โทรไปเขาก็คงจะอยู่อย่างสบายแท้ ๆ แต่ถึงกับทนไม่ได้จนต้องโทรหาเนี่ย ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่..
“ยังครับ”
ที่ตอบไปไม่ได้คิดจะทำสำออยใส่ซักนิด แต่เพราะเสียงไอโขลก ๆ ที่ดังผ่านยังปลายสายนั่น ทำให้อีกฝ่ายคิดว่าผมอาการหนักมาก น้ำเสียงของพิกฟังดูร้อนรนขึ้นทันที และนั่น...เขาพูดประโยคน่ารัก ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว
“เออ จะไปหามึงไง อาการมึงหนักขนาดนี้คิดว่ากูจะใจร้ายปล่อยให้มึงนอนป่วยได้โดยไม่แดกอะไรทั้งวันเลยหรอ” ผมหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆ คิดว่าเขาคงไม่ได้ยินหรอก แต่ถ้าให้เดาว่าตอนนี้พิกกำลังทำหน้ายังไง ผมคิดว่าเขาคงขมวดคิ้วแล้วเดินวนอยู่หน้าห้องแล็คเชอร์แน่ ๆ
พิกที่ผมรู้จักไม่ใช่ทั้งที่คนขยันและละเอียดอ่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ใจดี แล้วก็ดีในแบบที่เขาไม่รู้ตัว (รวมไปถึงซื่อบื้อเล็ก ๆ ด้วย) และถ้าจะคิดหาเหตุผลอะไรที่ผมยอมทำตัวเป็นโนบิตะให้เขาเล่นหัว ก็คงเป็นเพราะสองสามข้อที่ว่ามานั่นล่ะ
“รีบมานะครับ...คิดถึง” ผมกระซิบโค้ดลับของเราก่อนจะยกหูออกมากดวางสายแล้วโยนเจ้าเครื่องมือสื่อสารนี่ไว้ซักที่บนเตียง ก่อนความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิ 25 องศาจะทำให้ความงุนง่วงเข้ามาครอบงำให้เปลือกตาหนักอึ้ง และในที่สุด....
“ลุกขึ้นมาแดกข้าว!” ผมกระพริบตาถี่ๆทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มคุ้นหู งัวเงียลุกขึ้นมาไม่เห็นว่ามีใครอยู่ในห้องนอนจึงลุกตามเงาที่เดินผ่านไปยังห้องครัว และแล้วก็ปรากฏภาพผู้ชายผิวแทนคนหนึ่งที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ พิกที่ยืนในสภาพมึนงงทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว
“แค่กๆๆ...เข้ามาได้ยังไง?” ไอโขลก ๆ เสียงดังเป็นเชิงทักทายคนมาใหม่ ผมเอ่ยถามพลางเดินไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร ก่อนพิกที่กำลังง่วนกับการแกะถุงโจ๊กจะหันมาเท้าสะเอวเอียงหน้าแล้วส่งค้อนวงใหญ่มาให้
“เข้ามาได้ยังไง?” เขาทวนคำแล้วเดินถือชามโจ๊กควันฉุยมากระแทกลงตรงหน้า “ลุงยามพาขึ้นมา แล้วเนี่ยกูหาโทรจนสายแทบไหม้ ประตูก็ไม่ล็อค จะให้โจรเข้ามาปาดคอตายก่อนหรือไง”
ดูเอาเถอะ ถามดีๆแต่โดนสวนกลับมาเป็นคำด่า แล้วอย่างนี้จะไม่ให้แกล้งได้ยังไง
ผมเลิกคิ้วมองชามโจ๊กสลับกับมองคนตรงหน้า พิกเดินอ้อมมาทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะก้มลงค้นบางอย่างในกระเป๋าของเขาออกมาวางแล้วเลื่อนส่งมาให้
“แดกข้าวแล้วแดกยา เข้าใจไหม จะได้หายไว ๆ”
“ดูแลดีจริง” ผมยักไหล่ “เพราะติดหนี้อยู่...แค่ก ๆ...หรือหลงเสน่ห์ผมแล้วกันแน่”
พูดจบก็ต้องกลั้นขำเลยครับ เพราะเขาชูนิ้วกลางมาให้ผมแบบเน้น ๆ เลยทีเดียว
“ไม่สบายยังมีหน้ามาพูดจา....เอานิ้วกลางกูไปแดกนี่ ข้าวยาอะไรไม่ต้องแดกแล้ว เอาคืนมาให้หมด”
ผมเอื้อมมือไปคว้ามือของเขาที่ทำท่าจะแย่งชามกลับไปทันที พิกมองมาตาขวาง ท่าทางของเขาดูจะไม่ชอบเวลาโดนผมล้อเล่นแรง ๆ ซะจริง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเสน่ห์ของเขาล่ะ พวกเราเล่นเกมจ้องตากันอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ จนผมไล้นิ้วทำปูไต่ใส่หลังมือเขานั่นล่ะ ไจแอนท์ของผมถึงกับชักมือกลับแทบไม่ทัน
“ผมจะกิน” เขายอมปล่อยมือจากชามแล้วแต่ยังชูนิ้วกลางส่งมาไม่เลิก “แล้วถ้ายังไม่เลิกทำมืออย่างนั้นอีกจะกัดให้ขาดเลย”
ผมพูดประโยคตอนมีเซ็กส์ออกมาอย่างหน้าตาเฉย ผิดกับพิกที่ตอนนี้เม้มริมฝีปากอิ่มเข้าหากันแน่น เชื่อเถอะว่าเวลาหมอนี่เขินอายนั่นดูน่าแกล้งกว่าปกติขึ้นสิบเท่า ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นหูของเขาเป็นสีอมชมพู ให้ตาย...มันน่าตลกชะมัดที่ไจแอนท์อย่างเขามาทำหน้าอย่างนั้นใส่โนบิตะอย่างผม ดูเขาสิ ท่าทางจะคิดลึกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“แดกให้หมด กูจะกลับแล้ว”
“จะไปไหนล่ะ” ผมชะโงกหน้าไปหาพิกแล้วอมยิ้ม “ก็บอกแล้วไง...ว่า
คิดถึง”
ผมจงใจเน้นประโยคที่เป็นโค้ดลับของเรา และอาจจะเพราะโต๊ะกินข้าวไม่ได้ใหญ่นักจึงทำให้ผมเห็นชัดว่าใบหน้าของเขาขึ้นสีระเรื่อยิ่งกว่าเดิม ร่างสูงโปร่งจนแทบจะเท่ากันของพิกผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที นิ้วเรียวยาวนั่นชี้มาที่หน้าผมอย่างคาดโทษ ก่อนจะหันหลังไปทึ้งหัวเหมือนที่กำลังคนขัดใจแต่ทำอะไรไม่ได้
“อ๊ากกกกกกกก มึงงงงงงงงง” ผมลอบหัวเราะเบา ๆ พิกก็เป็นอย่างนี้ทุกที ปากมอมไปอย่างนั้นเอง แต่เอาเข้าจริงเวลาเจอคนที่เหนือกว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ( ผมขอจำกัดความตัวเองให้เป็นคนที่เหนือกว่าเขาแล้วกัน ) จนถึงตอนนี้เขาก็ยังชี้หน้าผมไม่เลิก แม้จะเดินวนจนรอบโต๊ะอาหารแล้วก็ตาม
“ครับ?”
“ยังจะมาครับอีก แดกไปเลย กูจะไปนั่งดูหนังรอ”
พูดจบก็สะบัดหน้าไปทางห้องนั่งเล่น พอเห็นว่าเขาไม่อยู่แล้วผมก็ขำจนตัวโยน
คิดไม่ผิดเลยที่ยื่นข้อเสนออย่างนั้นไป.... อีกครั้งแล้วที่เขาทำให้ผมต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ หลังจากจัดการอาหารมื้อแรกของวันเสร็จผมก็ทานยาตามที่เขาบอก แต่พอสังเกตว่าห้องนั่งเล่นไม่มีเสียงทีวีอย่างที่อีกคนบอกว่าจะหนีมาดูเลยต้องลากสังขารไปหาทั้งยังมึนๆ เพื่อดูว่าทำไมอีกคนถึงเงียบไปอย่างนี้
“ทำอะไรน่ะ?” ผมเอ่ยทักออกไปเมื่อเห็นว่ามีวัตถุสีแทนนั่งยอง ๆ เป็นก้อนอยู่หน้าทีวี พิกหันขวับกลับมามองตามเสียงเรียกตาขวาง ก่อนจะถอนหายใจยาวเป็นพรืดแล้วหยิบถุงขนมเปล่าชูขึ้นมาระดับหน้า
“เก็บขยะให้มึงไง” เขาขมวดคิ้วใส่ “รกอย่างกับป่าดงดิบอย่างงี้ถ้าบอกว่าให้ห้องมึงมีงูกูก็เชื่อ”
ผมเลิกคิ้วฟังคำด่าของเขาอย่างประหลาดใจ คนอย่างพิกเนี่ยนะมาเก็บขยะให้ผม? เห็นเขาง่วนอยู่อย่างนั้นท่าทางตั้งใจเลยต้องเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ...อืม...ขยะเยอะจริงๆแฮะ
“ทำไมกินแล้วไม่รู้จักเก็บบ้างเลยวะเนี่ย นี่ห้องมึงรกมากจนเห็นแล้วทนไม่ได้ มีถุงเปล่าอีกใบไหม ไปเอามาให้หน่อยจะเคลียร์ตรงนี้ให้”
“ไม่ต้องหรอก...แค่กๆ” ผมกอดมองเขาที่แหงนหน้าขึ้นมาสบตา ก่อนจะไอโขลกๆแล้วส่ายหน้าให้ “ปล่อยไว้เถอะเดี๋ยวแม่บ้านก็มาเก็บ”
“ได้ไง!” เขาแหวขึ้น “ไม่อายเขาบ้างหรือไงทั้ง ๆ ที่ห้องรกขนาดนี้”
“เขาก็มาเก็บเป็นปกติอยู่แล้ว”
“งั้นก็แปลว่าห้องมึงรกเป็นปกติเลยสิ” พิกถอนหายใจแล้วมองมาทางผมอย่างเหลือเชื่อ “ไอ้โนบิตะคนจริงจัง เรียนเก่งอย่างมึง...ไม่คิดเลยนะว่าจริงๆแล้วจะเป็นคนไร้ระเบียบอย่างนี้”
ให้ทายว่าเขากำลังทำสีหน้ายังไง
ใช่ครับ สีหน้าของพิกดูภูมิใจมากที่ได้เหนือกว่าผมขึ้นมาอีกเรื่องนึง เจ้าของผิวสีแทนนั่นยักคิ้วหลิ่วตามาให้ เขาทำให้ผมรู้สึกราวกับมีคำว่า Win แปะตรงกลางหน้าผากเขาเลยกับอีแค่เรื่องไม่เก็บขยะบนพื้น ไม่จัดห้องให้เรียบร้อยเนี่ย...
“ผมไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทั้งเรียนทั้งทำงานเลยไม่ค่อยได้จัดการเอง” จะว่าแก้ตัวก็ได้ครับ แต่ปัจจัยอื่นนอกเหนือจากคำว่าไม่มีเวลา...ก็เพราะว่ามีคนอื่นมาช่วยทำรกนั่นล่ะ
ผมคิดว่าพิกกำลังนึกบ่นอยู่ในใจ (มากกว่าที่เขาออกปากบ่นผม) เขาไม่ได้พูดออกมา แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกได้เป็นอย่างดี เขาคงไม่เข้าใจหรอก ชีวิตนักศึกษาธรรมดาไม่มีภาระอะไรอย่างเขา จะทำอะไรก็ได้หลังเลิกเรียน ผิดกับผมที่มีหน้าที่มากมายต้องรับผิดชอบ รวมไปถึงเรื่องความต้องการของตัวเองด้วย
“เออๆๆ เลิกแก้ตัวซักที ไม่มีระเบียบก็ยอมรับมาสิว่าไม่มีระเบียบ มายืนเถียงอยู่ได้ รีบออกไปเอาถุงมาไว ๆ เดี๋ยวจะเก็บแล้วเอาลงไปทิ้งให้”
ผมเลิกคิ้วมองพิกที่โบกมือไหวๆ ตอนนี้เขาหันกลับไปจัดข้าวของที่วางกองระเกะระกะอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่แทนที่ผมจะทำตามคำที่เขาสั่ง ขามันกลับเดินไปซ้อนที่ด้านหลังแล้วโน้มตัวลงไปคร่อมเขาไว้ก่อนจะเอาคางเกยที่ไหล่ลาดนั่นแทน
“ทำเหี้ยอะไร!”
สาบานได้เลยว่าพิกสะดุ้งสุดตัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เกร็งตัวนิ่งตอนที่ผมสอดมือเข้าไปกอดเอวสอบนั่นไว้ เชื่อเถอะว่าผมออกแรงดึงแค่นิดเดียวเขาก็ยอมเซลงมานั่งเอาหลังแนบอกผมแล้วยังยอมให้จูบฟัดไปทั่วทั้งต้นคอสีแทนนั่นอีก
“ไม่ต้องทำแล้ว...ก็บอกแล้วไงว่าคิดถึง” ผมกระซิบโค้ดลับของเราเบา ๆ กับไหล่ลาดของเขาก่อนจะกดจูบลงไปแรง ๆ
คิดถึง ใช่ คิดถึงนั่นล่ะโค้ดลับของเรา เป็นคำที่ใช้แทนความหมายของความรู้สึกที่ว่า ‘อยากเอา มาเอากันเถอะ’ อะไรประมาณนั้น...และแน่นอน ไม่มีความรู้สึกมาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย...
“ค...คิดถึงเหี้ยอะไร...ห้องรกขนาดนี้...” พิกบ่นอย่างไม่จริงจังพลางขยับตัวยุกยิกในอ้อมกอด ผมเห็นลางๆ ว่ามือเรียวคู่นั้นเอื้อมมาแตะกับหน้าผากของผมเบา ๆ “ตัวร้อนจี๋เลย...ไข้ขึ้นขนาดนี้ยังจะเสือกขี้เอาอีกนะมึง”
“....”
“ไปนอนพักไหม?”
เสียงทุ้มขึ้นจมูกของเขาดังขึ้นเมื่อผมโน้มหน้าลงไปซบกับไหล่ลาดนั่นแบบเต็ม ๆ อา...ในหัวตอนนี้มันร้อนแล้วก็เต้นตุบ ๆ อย่างที่เขาบอกจริง ๆ นั่นล่ะ คงจะปฏิเสธแรงพยุงที่ทุลักทุเลจากพิกไม่ได้แล้วล่ะมั้ง?
“นอนพักซะ” นับในใจได้ไม่ถึงสามวินาทีหน้าผมก็แนบสนิทลงกับหมอนขนเป็ดอีกครั้ง แต่คราวนี้มีไจแอนท์ของผมนั่งลงที่ข้างเตียงและกำลังเอื้อมมือมาห่มผ้าให้ถึงอกอีกด้วย
“จะกลับแล้วหรอ”
ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบอะไรนอกจากหรี่ตามอง ผมจึงกระตุ้นด้วยการเอื้อมมือไปแตะลงบนหลังมือเขาเบา ๆ
“ยัง” พิกพรั่งพรูลมหายใจออกมา ก่อนจะทำหน้าเหมือนเสียไม่ได้ “จะอยู่ดูก่อนว่าอาการมึงหนักมากไหม แต่ถ้าทนไม่ไหวก็เรียกแล้วกัน จะพาไปโรงพยาบาล”
“โอเค”
แค่นั้นแหละครับไม่มีการรั้งเอาไว้อย่างที่คุณคิดหรอก...
มันเป็นเรื่องธรรมดานะว่าไหม? ไม่มีใครชอบการอยู่คนเดียวโดยเฉพาะเวลาที่ป่วยหรอก และผมก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดา ผมยอมรับตรง ๆ ก็ได้ว่าเหงา พิกทำให้ผมรู้สึกว่าคงจะดีถ้ามีใครมาเดินเพ่นพ่านในห้องบ้างนอกจากเวลาที่พามานอนค้างเท่านั้น...
อาจจะเป็นเพราะว่าเรารู้ความลับของกันและกัน...
นั่นจึงทำให้ผมไว้ใจเขาขึ้นมาอีกระดับ
ความสัมพันธ์แบบนี้มันน่าตลกดีนะ... บ่ายคล้อยกว่าแล้ว แต่เครื่องปรับอากาศในห้องนอนยังคงทำงานหนักตามหน้าที่ของมัน เป็นปกติที่ห้องของผมจะเงียบงันในช่วงเวลาอย่างนี้ ใช่ ที่จริงห้องนี้ก็เป็นแค่ที่ใช้ซุกหัวนอนเท่านั้นล่ะ เพราะชีวิตกว่าค่อนวันของผมส่วนมากก็หมดไปกับที่ร้าน มันจึงไม่แปลกนักหรอกที่ห้องผมจะให้ความรู้สึกจืดชืด ไร้สัญญาณการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตแบบนี้
แต่วันนี้แปลกไป … หลังจากบิดตัวบนที่นอนเพื่อสลัดความเมื่อยขบ หับมาก็พบว่ามีผ้าขนหนูหมาดน้ำผืนหนึ่งตกอยู่ข้าง หมอน เสียงกุกกักที่ดังอยู่ด้านนอกบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแขกคนเดียวของบ้านในตอนนี้ยังไม่ไปไหน นอกจากจะมีน้ำใจเข้ามาดูแลผมตอนหลับแล้ว ก็คงจะเก็บห้องอย่างที่เจ้าตัวเคยว่าไว้นั่นล่ะ
มีต่อ