(บ้านของธาร)
บทที่17
คฤหาสน์ ‘โชติการุณ’ ตั้งตระหง่านสวยเด่นอยู่ต้นซอยบนถนนสายหลัก วารินมองทางเดินเข้าบ้านที่ยาวเป็นกิโล มาทีไรก็ไม่ชินสักที
“ขอบคุณครับพี่ซีเดี๋ยวทรายเดินเข้าไปเอง” เขาก้มลงบอกพี่ชายที่ขับรถมาส่งถึงหน้าบ้าน
“โทรมานะ พี่ซีรอคุยกับทรายทุกวันนะครับ”
ใบหน้าเล็กพยักรับโบกมือให้พี่ชาย ภูวดลมองหน้าวารินอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วขับรถออกไป
......มาช่วยดูแลคุณภัครจิรานายใหญ่ของที่นี่ หวังว่าคงจะให้การต้อนรับน้องเขาดีพอสมควร.....
วารินถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กเข้ามาตามทางเดินที่ทอดยาวพลางกวาดตามองโดยรอบ ลานน้ำพุที่อยู่ฝั่งซ้ายมือยังสวยงามเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ สวนสวยที่ภัครจิรามักเข้มงวดกับคนสวนถูกจัดแต่งกิ่งลำต้นตะโกให้งอเป็นพุ่มขึ้นรูปปลูกบนเนินหญ้าสวยเล่นระดับ และตัวบ้านใหญ่โอ่โถงที่ไม่ว่ากี่ปีผ่านไปยังคงดูใหม่อยู่เสมอ
มีส่วนที่ต่อเติมขึ้นมาเมื่อสามปีที่แล้วคือโรงจอดรถที่ขยายให้ใหญ่ขึ้น ภัครจิราเคยบอกเธอว่าธาราธารชอบซื้อรถ เพื่อเอาใจลูกชายของเธอ จึงได้ต่อเติมในส่วนนี้เพื่อให้จอดได้มากขึ้น วารินหยุดลงที่ต้นปาล์มขนาดไม่ใหญ่มากนักซึ่งปลูกเรียงรายอยู่ริมทางเดิน กล้วยไม้สีน้ำเงินสดเลื้อยเป็นช่ออวบอ้วนย้อยทอดช่อลงอย่างสวยงาม เขาอดไม่ได้ที่จะเอามือไปลูบไล้ แปลงดอกกุหลาบสีโอโรสปลูกเคียงคู่กับดอกสีชมพูและสีเหลืองสดใส ทอดยาวตลอดทางฝั่งขวา
ภัครจิราไม่ชอบสีสันที่จัดจ้านเธอชอบดอกไม้ที่ดูอ่อนหวานเหมือนสีเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่เสมอ กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาให้ได้ชื่นใจ
“เฮ้ยย!”
ร่างเล็กกระโดดโหยงหลบแทบไม่ทันเมื่อจู่ ๆรถสปอตสีขาวเปิดประทุนคันคุ้นเคย ขับมาเฉี่ยวถากแล้วเบรกลงข้าง ๆ อย่าแรงจนคิดว่าน่าจะมีควันลอยขึ้นมาจากล้อ กระเป๋าสะพายหลุดร่วงออกจากไหล่เล็ก วารินยกมือทาบอบอย่างตกใจ ค่อย ๆ ก้มลงหยิบสายกระเป๋าขึ้นมาถือไว้ให้มั่น
“หึ! มาจริง ๆ ด้วย ใจกล้าดีมาก”
ริมฝีปากแสยะยิ้มร้ายจากคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ธาราธารกดบีบแตรดังลั่นด้วยความสะใจ วารินยิ่งตระหนกจนใบหน้าขาวซีด รีบถอยหนีเมื่อเขากระทืบคันเร่งเหยียบเข้าไปจอดในโรงจอดรถ ร่างสูงใหญ่ยืนเท้าสะเอวมองอยู่ไม่ไกลนักแต่สีหน้าอย่างกับคนจะกินเลือดกินเนื้อ วารินพรูลมหายใจแล้วค่อยเดินตามเข้าไปอย่างจำใจ
“รู้ใช่ไหมว่าต้องเข้ามาอยู่ในฐานะอะไร” เขานั่งไขว่ห้างอย่างกับราชา กางสองแขนกับพนักของโซฟาหรู ทอดสายตาเหยียดหยามมองวารินตั้งแต่หัวจรดเท้า
...ในแววตามีแต่คำว่าดูถูกทอประกายอยู่เต็มไปหมด..
“พี่จะมาอยู่ดูแลคุณภัคร ส่วนเรื่องอื่น...”
“มีสิทธิ์จะมาต่อรองด้วยเหรอ?”
เสียงทุ้มลากถามอย่างคนที่เหนือกว่าคิ้วเข้มเลิกขึ้น วารินวางกระเป๋าลงข้างตัวยืนเผชิญหน้าอยู่ต่อหน้าเขา เขายังไม่เชิญให้นั่งก็ไม่รู้จะนั่งตรงไหนได้
“ดาว!” เขาตะโกนเรียกใครบางคน เด็กรับใช้อายุน่าจะประมาณยี่สิบต้น ๆ เดินเข้ามานั่งลงข้าง ๆ
“พาพี่เขาไปดูห้องซิ ห้องว่าง ๆ ข้างๆห้องพวกเธอไง
‘ ห้องคนรับใช้ ’ น่ะ อ้อ! แล้วก็ต่อไปคนๆนี้จะเข้ามาทำงานบ้านที่นี่ทุกอย่างแทนป้าวัน เพราะฉันจะให้ป้าวันเลื่อนตำแหน่งไปดูแลคุณแม่ เพราะฉะนั้นอาหารการกินงานบ้าน ‘ทุกอย่าง’ ต้องเป็นหน้าที่ของ ‘พี่’ นะครับ”
เขาเหยียดยิ้ม เดินเข้ามาชะโงกหน้าใกล้คนตัวเล็กตั้งใจเน้นคำพูดว่า ‘ทุกอย่าง’ และคำว่า ‘พี่’ ใส่หน้ากันอย่างแรง
...พูดจาไพเราะ ทำเหมือนให้เกียรติแต่กลับเหยียบกันให้จมอยู่ในที..
“ต..แต่พี่ตั้งใจจะมาดูแลคุณภัคร”
“ฝันอยู่รึไง??” เขาสวนขึ้นทันที กระซิบเสียงลอดไรฟันสวยลงใกล้ๆ “คิดว่าผมจะปล่อยให้คนที่เคยร่านอยู่บนร่างกายพ่อของผมไปดูแลเทคแคร์คุณแม่ของผม บ้าไปรึเปล่า อย่าเอาแต่สมองร่านๆคิดสิ ใช้สมองดี ๆ ที่มีอยู่น้อยนิดคิดอะไรให้ออกเสียบ้าง”
วารินแสนเจ็บแสบกับคำเหน็บแนมจนสุดร้ายกาจ มือเล็กกำแน่นอย่างคับแค้นเถียงไม่ออกเพราะเขาทำมันลงไปจริง ๆ และเลวจริงอย่างว่า
..สมควรแล้ว ที่จะโดนขนาดนี้..
“แต่ว่านะ.. ถ้าพี่ทำตัวดีว่าง่ายๆ ผมอาจจะเลื่อนให้ไปดูแลคุณแม่ก็ได้ เพราะฉะนั้นอดทนรอไปก่อนก็แล้วกัน” เขาเหยียดรอยยิ้มเยาะเหี้ยมเกรียม ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วเดินขึ้นบันไดเวียนที่ปูด้วยพรหมสีแดงยาวเหยียดไปหยุดลงระหว่างทาง
“วันนี้ตั้งโต๊ะที่ชั้นบน ฉันจะกินในห้องกับคุณแม่”
เขาหันมาบอกกับดาวเสียงเรียบ ไม่มองมาทางวารินอีก ร่างเล็กทรุดนั่งลงที่พื้นคว้ากระเป๋ามากอดไว้บนตักอย่างจำต้องอดทน
...ต้องอดทน เฝ้าย้ำกับตัวเอง เพื่อตอบแทนบุญคุณภัครจิรา และเพื่อบ้านหลังน้อยของเขากับพี่...
“พี่นอนห้องนี้นะ ติดกับห้องดาวเองแหละถัดไปเป็นห้องของป้าวันพี่เตแล้วก็ห้องใหญ่เป็นของลุงทินกรไม่ค่อยมาค้างหรอกส่วนใหญ่แกกลับไปนอนกับเมียแกที่บ้าน มีอะไรก็เรียกได้ แคบไปหน่อยแต่ก็ยังดีที่มีห้องส่วนตัวน่ะ ฟูกกับผ้าห่มเอาของป้าวันแกมาใช้ก่อนก็แล้วกันช่วงนี้แกขึ้นไปนอนเฝ้าคุณภัครอยู่บนตึก เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปตลาดแต่เช้าจะพาไปซื้อ ห้องน้ำอยู่ข้าง ๆ ใช้ด้วยกันนะ”
ดาววิ่งออกไปนอกห้องพักเดียวก็กลับมาในมือมีพัดลมขนาดไม่ใหญ่นักติดมือมาด้วย “เอ้านี่พัดลมใช้ของป้าวันไปก็แล้วกัน ถ้ามีอะไรที่อยากได้ก็คิดๆไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้จะได้ซื้อกลับมาทีเดียว พี่ชื่ออะไรอ่ะ มาจากที่ไหน เป็นคนเหนือเหรอผิวเนี่ยข๊าวขาวสีเหมือนน้ำนมเลย”
ดาวนั่งลงที่เตียงจิ้มนิ้วลงที่แขนวารินอย่างอายๆ พร้อมสอบถามอย่างสงสัย วารินได้แต่ยิ้มบางส่งให้ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาดูสภาพห้องแล้วไม่ต่างอะไรจากห้องเก็บของเลยแม้แต่นิด มันทั้งแคบทั้งไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงเล็กๆหลังหนึ่งกับโต๊ะเครื่องแป้งราคาถูกที่วางอยู่ข้างกัน ที่ปลายเตียงมีตู้เสื้อผ้าพลาสติกเก่า ๆ ที่เหมือนโดนใช้งานมาก่อน แน่นอนห้องนี้คงเป็นของคนงานคนก่อน ๆ และตอนนี้มันก็กลับกลายมาเป็นห้องของเขา
...ห้องหลังบ้าน เรือนคนใช้...
“ขอบใจนะดาว พี่ชื่อทราย เรียก ‘พี่ทราย’ นะ”
.
.
เมื่อเวลาเช้ามาถึงวารินโดนปลุกจากเตียงนอนตั้งแต่ตีสี่ ดาวชวนให้เธอไปตลาดด้วยกัน
ทินกรคนขับรถของภัครจิราเดินเอากุญแจรถมาส่งให้วาริน “คุณธารบอกไว้ว่าต่อไปให้คุณทรายใช้รถคันนี้เวลาไปซื้อของที่ตลาดครับ”
เขาดูเหมือนคนที่เตรียมพร้อมอยู่เสมอแต่งตัวเรียบร้อยขัดถูรถสีขาวของธาราธารจนมันวับขึ้นเงา วารินมองรถกระบะตอนเดียวเก่าๆที่ตนเองจะต้องใช้นับจากนี้ ดูเหมือนจะเป็นรถบรรทุกดินบรรทุกต้นไม้เพื่อใช้ทำสวนเสียมากกว่า
“ขอบคุณครับ”
วารินรับกุญแจรถมาแล้วขึ้นไปนั่งที่เบาะคนขับ ดาวรีบเปิดประตูตามเข้าไปนั่งลงข้าง ๆคนตัวเล็กต้องควานหาเบาะรองหลังกันให้ควัก เมื่อขาเขาเหยียบคลัชไม่ถึงเบาะก็เลื่อนไม่ได้ เดือดร้อนดาวต้องวิ่งเข้าไปเอาหมอนอิงมาให้ใช้แทนไปก่อน
“พี่ทราย ทำไมลุงทินกรเขาเรียกพี่ว่า ‘คุณทราย’ ล่ะเหมือนพวกพี่รู้จักกันมาก่อนเลย เอ๊ะจะว่าไปดาวเคยเห็นพี่มาก่อนรึเปล่านะ อืม ไม่น่าเป็นไปได้คงไม่ใช่หรอก ดาวเนี่ยคิดมากจริง ๆ เลย”
ดาวนั่งบ่นไปยิ้มไปทำท่านึกโน่นนึกนี่ไปตลอดทางส่วนวารินฟังอย่างเดียวจนกระทั่งถึงตลาด เพราะรถเป็นเกียร์กระปุกเขาจึงปวดเมื่อยขาไปหมด คิดไว้ว่าจะไม่ใช้รถคันนี้ในช่วงไพร์มไทม์อย่างเด็ดขาด
“เดี๋ยวพี่หิ้วถุงใหญ่ให้ ดาวถือถุงเล็กเถอะ” วารินสอดมือเข้าไปช่วยเมื่อเห็นดาวถือข้าวของพะรุงพะรังสารพัดไหนจะกับข้าวไหนจะผ้าห่มและฟูกของเขาอีก
“หูย ดูตัวเองหน่อยเหอะพี่ ดาวอ่ะผู้หญิงก็จริงแต่ก็ตัวใหญ่บึกบึน ร้อยเจ็ดสิบสองนะครับนะ มือดาวยังใหญ่กว่ามือพี่อีกเดี๋ยวดาวถือเองดีกว่าพี่หิ้วผักเบาๆไปเหอะ”
พอกลับมาถึงบ้านดาวรีบวิ่งแจ้นเข้าไปหุงข้าวขณะที่วารินเอาของใช้ส่วนตัวเข้าไปเก็บที่ห้องแล้วออกมาเตรียมอาหารเช้าอยู่ในครัว มือเล็กยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูหกโมงเช้าแล้ว วารินไม่รู้ว่าปกติธาราธารออกจากบ้านที่นี่กี่โมงถ้าหากมีเรียนในช่วงเช้า
“ทำอาหารง่าย ๆ นะพี่ทรายคุณธารไม่ค่อยทานอะไรหรอกตอนเช้าน่ะ จะหนักเอาตอนเย็นโน่นแหละ ส่วนของคุณภัครเราแค่ต้มข้าวไว้เดี๋ยวป้าวันแกจะลงมาจัดการต่อเอง” เมื่อคนข้าง ๆ เริ่มกระตือรือร้นหยิบโน่นทำนี่ วารินเองก็จัดการในส่วนของตัวเองด้วยเช่นกัน ไม่นานนักอาหารก็ถูกจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อย คนตัวเล็กเดินเอาแก้วกาแฟไปวางไว้ให้เป็นอย่างสุดท้ายขณะที่ธาราธารเดินลงมานั่งลงพอดี
เขากวาดสายตามองอาหารที่อยู่บนโต๊ะช้า ๆ นั่งเงียบไม่พูดไม่จา และยังไม่ยอมแตะต้องใดๆบนโต๊ะทั้งสิ้น
“ดาว วันนี้ใครทำอาหาร” เสียงทุ้มแฝงด้วยพลังเอ่ยขึ้น ดาวถึงกับสะดุ้งโหยง
“พี่ทำเองแหละ” วารินชิงตอบเพราะเห็นดาวหน้าซีดลงกับน้ำเสียงคาดคั้นแบบนั้นของคนถาม “แซนวิชที่ธารชอบกินไงแล้วก็แฮมกับไข่ลวกแล้วนี่....”
ยังพูดไม่ทันจบ ร่างสูงใหญ่ที่หัวโต๊ะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ด ในมือถือจานอาหารของตัวเองเดินตรงไปที่มุมห้องเหยียบถังขยะให้ฝาเปิดอ้าออกแล้วเทอาหารทั้งจานทิ้งลงไปอย่างไม่ใยดี วารินถึงกับหน้าหดเหลือสองนิ้ว
“คิดว่าผมจะกระเดือกลงไหม? มือโสโครกที่เคยปรนเปรอให้ใครต่อใครแล้วมาทำอาหารให้ผมกินน่ะ ใครมันจะไปกินลงกั๊น หืม” เขาจ้องใบหน้าเล็กนิ่ง ๆ ส่งเสียงลอดไรฟัน คำพูดคำจาเย็นเฉียบ ยัดจานลงในมือเล็ก วารินตาค้างรับเอาไว้เกือบไม่ทัน ใบหน้าเล็กร้อนผ่าวริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความโกรธที่เขาชอบพูดจาเหน็บแนมดูถูกกัน
“ก็แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ? จะต้องทำอะไรบ้าง? จะให้พี่ทำอะไรบ้างที่นี่!”
วารินถามขึ้นอย่างเหลืออด มือเล็กกำแน่นจนสั่น ไม่เข้าใจคนตรงหน้าเลยสักนิด รู้ว่าเกลียดกันมากแต่ทำอะไรให้ก็ไม่ถูกใจแบบนี้เขาเองก็ทำตัวไม่ถูก
“อย่ามาทำอวดเก่งในบ้านผมนะ!” เขากระชากข้อมือเล็กแล้วบีบอย่างแรง วารินถึงกับหน้าเสียด้วยความเจ็บ
“บอกแล้วไงหน้าที่ของพี่มันคืออะไร ถ้างานตอนกลางวันมันทำแล้วไม่มีอะไรดีก็ทำงานตอนกลางคืนให้มันดี คนร่านๆแบบพี่มันก็ถนัดแต่เรื่องร่อนสะโพกอยู่บนเตียงแค่นั้นแหละ”
เพี๊ยะ!!
ฝ่ามือเล็กสะบัดใส่ใบหน้าเขาอย่างแรง วารินเหลืออดน้ำตาไหลลงเป็นทาง เจ็บปวดที่สุดกับคำพูดหยาบคายของเขาคนนี้
“กล้ามากนะ! จะเก่งมากไปแล้ว!!” เขาตะคอก กระชากร่างเล็กแล้วลากจนตัวปลิวหวือไปโยนโครมลงที่หน้าพื้นห้องครัว วารินเซถลาลงที่พื้นมือปัดป่ายเอาโถแจกันร่วงลงมาด้วย เศษกระเบื้องเกลื่อนพื้นมือเล็กที่ยันลงเพื่อประคองตัวมีเลือดไหลออกมาเป็นทาง ธาราธารเห็นแบบนั้นถึงกับใจหล่นวูบ รีบถลาเข้าไปดู กระชากแขนเรียวเล็กให้ห่างออกจากเศษแก้ว
“อย่ามายุ่ง! พอใจไหม! ดีใจไหมที่เห็นพี่เจ็บแบบนี้ ธารสะใจแล้วใช่ไหม!!”
...ไหนว่าเกลียดชังกันนัก ทำไมต้องมาทำเหมือนเป็นห่วง..
วารินไม่สนใจแผลที่มือและแขน ตะโกนประชดออกไปอย่างสุดจะทนตาดวงน้อยมีแต่น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ธาราธารบดกรามจ้องใบหน้าเล็กนิ่งงัน ปล่อยวารินลงกับพื้นอย่างไม่สนใจก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป
เมื่อเสียงล้อรถบดพื้นถนนออกจากบ้านไปแล้ว ดาวรีบวิ่งเข้ามาดูวาริน
“พี่ทราย เลือดออกเต็มเลย”
“พี่ไม่เป็นไร ช่างเถอะ” วารินเช็ดน้ำตาแล้วค่อยยันกายลุกขึ้น วันนาเองก็ลงมาดูหน้าตาตื่น
“คุณทรายเป็นอะไรไหมคะ ป้าตกใจได้ยินเหมือนเสียงอะไรแตกตกใจหมดเลย ดาวเอ็งรีบไปเอาไม้กวาดมากวาดเร็วเข้า โอ๊ยรีบไปทำแผลให้คุณทรายก่อน”
วันนาสั่งลนลาน ให้ดาวรีบเข้ามาเก็บกวาดทำความสะอาดและทำแผลให้วาริน ส่วนตัวเองขอตัวขึ้นไปดูแลภัครจิราอยู่ชั้นบนต่อ วารินยอมนั่งเงียบ ๆ ให้ดาวติดเช็ดแผลให้
“ดีนะแผลไม่ใหญ่ แต่เยอะอ่ะโดดบาดตั้งหลายที่แน่ะ พี่ทรายเจ็บมากไหม” ดาวค่อยแต้มสำลีที่ชุบยาลงบนแผล เป็นที่สุดท้าย วารินยกสองแขนขึ้นตรวจดู
“ไม่เจ็บหรอก ขอบใจนะ”
“ทำไมคุณธารโหดกับพี่จัง ปกติไม่เป็นแบบนี้นะพี่ คุณธารน่ะเทพบุตรของดาวเลยถึงจะเย็นชาไปหน่อย แต่ดาวไม่เคยเห็นคุณธารแบบนี้มาก่อนเลย พี่ไปทำอะไรไว้อ่ะคุณธารเธอถึงท่าทางทั้งโกรธทั้งเกลียดพี่แบบนั้น”
ดาวถามออกมาซื่อๆวารินได้แต่มองหน้าแล้วส่งยิ้มแห้งกลับไป นั่นสิ.. สิ่งที่เขาทำไว้มันเกินกว่าจะให้อภัยได้จริง ๆไม่ผิดหรอกที่ธาราธารจะโกรธจะเกลียดกันแบบนี้ วารินคิดแล้วก็ต้องกัดริมฝีปากห้ามน้ำตาไว้อีก นึกสมเพศตัวเองที่ไม่มีอะไรดี ๆ หลงเหลือจะให้อีกฝ่ายมองกันได้เลย
ตลอดทั้งวันวารินช่วยดาวทำงานบ้านเท่าที่จะทำได้ แต่เพราะถูกห้ามไม่ให้ขึ้นไปที่ชั้นสองเพราะอย่างนั้นช่วงบ่ายแก่ๆวารินจึงออกไปช่วยเตโชคนสวนของที่นี่รดน้ำต้นไม้
“คุณทรายอย่าไปยืนตรงนั้นเลยครับมันร้อนเดี๋ยวจะไม่สบายนะ” เตโชบอกอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นวารินไม่ใส่ใจตัวเองยืนรดน้ำแปลงดอกกุหลาบกลางแดด
“อะไรกันล่ะนายเต มีแดดซะที่ไหนนี่มันห้าโมงเย็นแล้วนะ” วารินบอกอย่างอารมณ์ดี กลิ่นหอมของดอกไม้ทำคนตัวเล็กชื่นใจได้เสมอ เขาคิดถึงภูวดลขึ้นมาทันทีคิดว่าพี่ชายสุดที่รักคงจะเป็นคนรดน้ำต้นไม้แทนเขาที่ทำอยู่บ่อย ๆ ไม่รู้ป่านนี้ภูวดลจะทำอะไรอยู่
“ผมดีใจนะครับ เคยเห็นคุณทรายมาที่นี่บ่อย ๆ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้” เตโชเป็นลูกชายของทินกรอายุพอๆกับวารินน่าจะน้อยกว่าแค่ไม่กี่ปี
“เรียกพี่ทรายเถอะอย่าเรียกคุณทรายเลย ผมก็มาอยู่ที่นี่ในฐานะ...เอ่อ...” วารินเองก็พูดไม่ออก เตโชรีบเงยหน้าจากการพรวนดินแล้วเดินเข้ามาใกล้ร่างเล็ก “ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไรคุณก็ยังคงเป็น ‘คุณทราย’ เหมือนเดิมนั่นแหละครับ คุณภัครท่านเอ็นดูคุณมากผมยังจำได้ พ่อเคยบอกว่าคุณภัครท่านชมคุณบ่อยมากและยังบอกว่าถ้าหากมีลูกสาวท่านคงจะยกให้กับคุณไปแล้ว”
วารินรีบหันหน้าหลบรอยน้ำตาที่รื้นขึ้นทันที คนทรยศไร้ยางอายอย่างเขายังมีหน้ามานั่งลอยหน้าอยู่ในบ้านของผู้มีพระคุณได้อีกอย่างนั้นหรือ แต่ทว่าเขาจำเป็นต้องมาจริง ๆ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วบ้านหลังน้อยที่เขากับพี่อยู่คงถูกธาราธารยึดคืนไม่ก็เผาทิ้งแน่ๆ
“เดี๋ยวผมทำเองดีกว่าคุณทรายพักเถอะครับ” เตโชแย่งเอาสายยางฉีดน้ำที่วารินถืออยู่มาทำเองและดันหลังให้คนตัวเล็กเดินเข้าบ้านไป
รถสีขาวคันเดิมเปิดหลังคาโฉบเข้ามาด้วยความเร็ว อีกครั้งที่วารินกระโดดหลบแทบไม่ทัน ต่างไปที่คราวนี้มีเตโชช่วยพยุงไม่ให้ร่างเล็กๆล้มลงไป ธาราธารก้าวขาลงมาแล้วหันกลับมาจ้องสองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ก่อนที่เขาจะเดินหายเข้าไปด้านใน
“ดาว วันนี้ตั้งโต๊ะให้ฉันบนห้องฉันจะอ่านหนังสือห้ามรบกวนเด็ดขาด”
น้ำเสียงทุ้มสั่งความอย่างหัวเสีย นับดาวรับคำ เมื่อวารินเดินเข้ามาร่างสูงใหญ่ก็เดินขึ้นไปถึงชั้นสองแล้ว ธาราธารใบหน้างอง้ำคิ้วขมวดมุ่นเหมือนคนไม่พอใจอะไรสักอย่าง วารินกลับคิดไปว่าเขาอาจมีเรื่องเรียนที่ต้องคิดมาก ไหนยังจะเรื่องงานที่โรงแรมที่ธาราธารยังไม่ได้เข้าไปดูเลยสักครั้ง
“พี่ทราย ใครมาน่ะพี่” ดาวเดินลงมาจากชั้นบนในมือถือถาดจานที่เจ้านายทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชะโงกหน้าออกไปดูเห็นหน้าบ้านมีรถคันใหญ่จอดอยู่ วารินที่กำลังล้างจานอยู่ในชุดกันเปื้อนจึงเดินออกมาดูบ้าง
“...คุณทัตพล...”
วารินพึมพำแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาเขาถอดผ้ากันเปื้อนออก ทินกรคนขับรถของภัครจิราพาเขาเดินเข้ามาถึงในตัวบ้าน
Tbc.
ป๋อล๋อ*เคยบอกไว้แล้วนะว่าเรื่องนี้อีโรติกนิดๆ จากนี้ไปฉากแบบนั้นคงเยอะ อย่าว่ากันนะจะพยายามไม่บรรยายให้หื่นมากเน๊ะ*