ตอนที่ 15
ผมกับไคล์วิ่งแย่งลูกบาสและแข่งกันกระโดดชู๊ตทำแต้มอยู่ในสนามบาสที่สวนสาธารณะใกล้ๆนี้กันอยู่สองคน วันนี้อากาศกำลังดีทีเดียว แดดไม่แรงมากเพราะท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมเยอะ แต่ก็ไม่ถึงกับอึมครึม อากาศเย็นๆที่เริ่มจะอุ่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อพระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนสูงขึ้นๆ ผู้คนในสวนที่ไม่พลุกพล่าน และการได้ออกกำลังในกีฬาที่ผมชอบก็ทำให้ผมสนุกจนลืมเรื่องต่างๆไปได้บ้างเช่นกัน.......... แต่ก็ยกเว้นอยู่เพียงเรื่องเดียว
“พลาดอีกแล้ว” ไคล์ร้องและสบถออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยความเสียดาย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก ผมรีบวิ่งไปคว้าลูกบาสเอาไว้และตั้งท่าชู๊ตจากระยะสามแต้ม.......................
ลูกบาสที่กำลังเลื่อนหลุดจากมือของผมไป ทำให้ผมนึกเหตุการณ์หนึ่งเมื่อสามปีก่อน
วันนั้นอากาศก็แจ่มใสอย่างเช่นวันนี้.................
.
.
.
“เป็นอะไรของมึงวะไอ้เมฆ” เสียงของไอ้วิทเพื่อนของผมดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“อ้าว ไอ้วิท” ผมละสายตาจากสิ่งที่มองอยู่เบื้องหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นไปยังที่มาของเสียง “เออ...... กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก ปกติดีทุกอย่าง” ผมปฏิเสธไปอย่างไม่แนบเนียนเลย ผมเองก็รู้ว่ามันไม่แนบเนียน เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมยังไม่อยากจะเล่า ไม่อยากพูดอะไรให้ใครฟังก็เท่านั้น ไอ้วิทถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม ก่อนที่มันจะเดินมาหา ผมกำลังนั่งมองดูพวกนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนกำลังฝึกซ้อมแข่งกันสำหรับงานกีฬาที่กำลังจะมาถึงเร็วๆนี้อยู่บนเนินหญ้าข้างๆสนาม หนึ่งในคนที่กำลังเล่นอยู่นั้นก็มีไอ้ซันอยู่ด้วย ผมมองมันที่กำลังวิ่งแย่งบอลจากผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเป็นเอาตาย และผมก็สามารถมองเห็นได้เช่นกันว่ามันกำลังสนุกสนานมากถึงแม้ผมจะอยู่ไกลเกินกว่าจะเห็นสีหน้าของมันได้อย่างชัดเจนก็เถอะ
“แล้วมึงไม่มีซ้อมหรือไง” ไอ้วิทถามขึ้น
“ก็มีว่ะ แต่กูขี้เกียจ” ผมตอบ นอกจากทีมฟุตบอลที่กำลังซ้อมกันอยู่นั้น ทีมบาสเก็ตบอลของผมก็ต้องซ้อมแข่งเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากวันนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะทำอะไรแบบนั้นเลย ผมอยากที่จะอยู่เงียบๆแบบนี้มากกว่าจึงตัดสินใจโดดซ้อมและบอกคนอื่นไปว่าไม่สบายถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเดี๋ยวเพื่อนๆของผมก็คงตามมาด่าผมอีกเป็นชุดทีหลังก็ตาม
“เฮ้อ เอาเหอะ อุตส่าห์ถ่อมาโรงเรียนทั้งๆที่เป็นวันเสาร์แท้ๆ มึงจะมานั่งอยู่แบบนี้ทำไมวะ” ถึงจะมีน้ำเสียงตำหนิอยู่ในคำพูดของมัน แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันก็กำลังเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
“กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่อยากอยู่เฉยๆเงียบๆคนเดียวบ้างเท่านั้นแหละ” ผมตอบ
ไอ้วิทถอนหายใจแรงๆอีกเฮือกหนึ่ง “เพราะนัทใช่มะ” มันถาม หันมามองหน้าผมที่กำลังมองลงไปยังสนามฟุตบอลอยู่ แต่คราวนี้ไม่มีคำตอบออกจากปากของผมและผมก็คิดว่านั่นก็เป็นคำตอบที่ไอ้วิทกำลังต้องการอยู่แล้วพอดี “กูนึกแล้วเชียว เมื่อวานยังดีๆอยู่ เมื่อเช้ายังก็ดูไม่เป็นอะไร แต่พอตกสายหน่อยก็มานั่งซึมอยู่คนเดียว”
ผมก้มหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ “มึงนี่เก่งนะ” ผมหันไปยิ้มให้กับมัน ถึงจะเป็นรอยยิ้มแต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มของความสุขเลยแม้แต่น้อย
“กูไปที่สนามบาสมา........” ไอ้วิทเล่า “แล้วพวกมันบอกว่าเห็นมึงรับโทรศัพท์ คุยอยู่แป๊บนึง จากนั้นมึงก็ขอตัวออกมาเพราะบอกว่าไม่สบาย” มันถอนหญ้าใกล้ๆตัวขึ้นมากระจุกหนึ่งแล้วปาออกไปเบาๆ “กูว่ามันก็ชัดเจนนะ”
ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “มีอยู่แพทเทิร์นเดียวเนอะ”
“มีอยู่แพทเทิร์นเดียว” ไอ้วิทพยักหน้า
เราสองคนเงียบกันไปอยู่ครู่หนึ่ง แม้ผมจะต้องการอยู่คนเดียวเงียบๆถึงได้หนีมานั่งในที่แบบนี้ แต่การที่มีเพื่อนอย่างไอ้วิทที่คอยเป็นห่วงและออกตามหาผมจนเจอแถมยังมานั่งอยู่ข้างๆผมโดยปราศจากคำถามถึงเหตุผลและเรื่องราวเกี่ยวกับนัทว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่แบบนี้ ผมว่ามันก็ไม่เลวเหมือนกันนะ
เราสองคนนั่งเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ ผมจึงเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน “มึงไม่ไปซ้อมเหรอ” ไอ้วิทเองก็เป็นนักกีฬาเช่นเดียวกัน โดยกีฬาที่มันเล่นก็คือปิงปอง
“ซ้อมดิ่ เดี๋ยวอีกสักพักก็ไปแล้ว กูเล่นในร่มอยู่แล้ว สบายๆว่ะ” ผมเอนหลังแล้วแหงนหน้าขึ้นท้องฟ้า ไอ้วิทเองก็แหงนหน้ามองตามขึ้นไป
“อากาศดีนะ” มันว่า
“อืม” ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“มึงว่าถ้ากูขอเค้ายกเอาโต๊ะปิงปองมาวางกลางสนามเค้าจะให้ป่าววะ” มันถาม และยังไม่ทันที่ผมจะตอบ มันก็ลุกขึ้นยืนแล้ว “ลองไปขอดูดีกว่าว่ะ อากาศดีๆแบบนี้ ไปตีอยู่แต่ในร่ม เซ็งจะแย่” พูดจบมันก็วิ่งเหยาะๆออกไปทิ้งให้ผมอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง ผมหัวเราะเบาๆและนึกขอบใจมันอยู่ในใจ
โทรศัพท์ที่ผมได้รับก็เป็นอีกหนึ่งความโลเลและความเข้าใจยากของผู้หญิง....... แฟนของผมเธอโทรมาบอกผมว่าเธอไม่แน่ใจว่าตกลงระหว่างผมกับเธอนั้นควรจะเป็นอย่างไรกันแน่ ทั้งๆที่ผมก็คบกับเธอแบบจริงๆจังๆมาจะปีนึงแล้ว แต่หลายๆครั้งที่เราก็จะต้องมีเรื่องทะเลาะกันเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้อยู่บ้าง ทว่าครั้งนี้มันชัดเจนมาก มากกว่าทุกๆครั้งและผมก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไม ทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนแบบนี้มาสักพักแล้ว ทำไมทั้งๆที่ผมก็ทำตัวปกติทุกอย่างแต่เธอก็กลับทำตัวเหินห่าง จนในที่สุดวันนี้เธอก็เป็นฝ่ายพูดออกมาเองว่า “เราอยู่ห่างกันสักพักเถอะ”
ถึงผมจะไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรออกมาจริงๆกันแน่ และถึงผมจะชินกับอาการโลเลของเธออยู่บ้างแล้ว แต่ครั้งนี้ผมก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างต่างออกไป ในยามปกติเราสองคนก็รักกันมากอยู่หรอก แต่เมื่อเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ผมก็มักจะรู้สึกว่าผมเป็นคนผิดอยู่เสมอๆ แม้ว่าผมจะไม่รู้และไม่เคยเข้าใจเลยว่าผมได้ทำอะไรผิดๆออกไป
ครั้งนี้ผมรู้สึกแย่กว่าในทุกๆครั้ง มันไม่ใช่ความเสียใจ มันไม่ใช่ความโกรธ แต่มันเป็นความเหนื่อย และผมก็รู้สึกไม่ดีเลยว่าการที่ผมต้องมารู้สึกเหนื่อยแบบนี้มันหมายความว่าอะไรๆมันกำลังจะแย่เกินจุดไปแล้วจริงๆ
ผมถอนหายใจและชันตัวขึ้นนั่งอีกครั้ง ผมเหม่อมองออกไปยังกลุ่มนักกีฬาฟุตบอลที่กำลังจะเลิกแข่งกันอยู่พอดี ผมมองหาไอ้ซันที่กำลังเดินมานั่งอยู่ที่ริมสนามกับเพื่อนๆ และในขณะเดียวกันนั้นเองมันก็สังเกตเห็นผมเช่นเดียวกัน ผมเห็นมันลุกขึ้นยืนแล้วพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนๆจากนั้นก็เดินตรงมายังที่ที่ผมนั่งอยู่ ผมมองมันเดินตรงเข้ามาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกที่ผมเองรู้ตัวมานานแล้วแต่ก็ไม่อยากจะคิดไปไกลกว่านั้น ความรู้สึกที่ผมรู้ว่าผมกำลังหลงรักมันอยู่มากมายขนาดไหน
ผมล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าแล้วแสร้งทำเป็นเหม่อมองเหล่าหมู่เมฆที่กำลังลอยอย่างอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้าสีคราม..... และบัดนี้ฟ้าครามก็ทิ้งตัวลงนั่งอยู่ข้างๆผมแล้ว
“ไง” มันทักสั้นๆพร้อมเสียงหอบเบาๆ “ไม่ไปซ้อมเหรอวะ”
“อืมม เหนื่อยน่ะ” ผมตอบไปตามความจริง ถึงแม้มันจะเป็นความเหนื่อยคนละแบบก็ตาม
“หืมมม” ไอ้ซันทำเสียงในลำคอเบาๆแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมชันตัวขึ้นนั่งแล้วมองออกไปยังสนามฟุตบอลเบื้องหน้า
“พักเหรอ” ผมชี้ลงไปยังสนามที่ว่างเปล่า ผู้คนกำลังทยอยเดินออกจากสนามไปยังทิศของโรงอาหาร
“จะเที่ยงแล้วนะ มันก็พักกันทุกสนามนั่นแหละ” ไอ้ซันตอบ
“จริงสินะ......” ผมพูดลอยๆแต่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่านี่คือเวลาเที่ยงแล้วอย่างนั้นรึ นี่ผมนั่งอยู่ตรงนี้มานานถึงสองชั่วโมงแล้วเชียวหรือ
“มึงเป็นอะไร” ไอ้ซันถามขึ้น
ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วก้มหน้าลงบนสนามหญ้าจากนั้นก็หยิบหินก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งออกมาขว้างออกไปแรงๆ
“เรื่องนัทสินะ” มันพูด ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจว่านี่ผมมีเพื่อนดีๆที่รู้ใจหลายคนขนาดนั้นเชียวหรือ หรือเป็นเพราะผมมันคนแพทเทิร์นเดียว มีอยู่สไตล์เดียวจนใครๆก็มองออกกันแน่นะ
“มีอยู่แพทเทิร์นเดียวเลยใช่มะ” ผมหัวเราะเบาๆ
“มีอยู่แพทเทิร์นเดียว” มันพยักหน้าตอบกลับยืนยันความคิดของผมจนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ขำอะไรวะ” มันถามแล้วหัวเราะเบาๆไปกับผมด้วย
“เปล่าๆ” ผมหัวเราะให้กับความน่าทุเรศของตัวเองจนใครๆเขาก็ดูผมออกกันจนหมดแล้ว
ไอ้ซันกระดกกระบอกน้ำที่ถืออยู่ในมือเข้าปากจากนั้นก็ส่งขวดน้ำนั้นมาให้ผมบ้าง ผมส่ายหน้าปฏิเสธมันจึงกระดกดื่มน้ำจากในขวดอีกครั้ง ผมมองหน้าของมันที่กำลังมีเหงื่อไหลออกมาจนชุ่มตามบริเวณหน้าผากและจอนผม ไอ้ซันเป็นคนเดียวที่ผมนึกถึงเป็นคนแรกๆเวลาผมมีปัญหาเรื่องของนัท ถึงแม้ผมจะรู้ตัวว่าผมเองก็ชอบมันแต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องปรึกษามันในเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะความไว้วางใจที่ผมมีให้กับมันและเป็นเพราะความรู้สึกที่คิดว่ามันเข้าใจผมไปเสียหมดในเกือบทุกๆเรื่องล่ะมั๊ง
ถึงผมจะไม่อยากปรึกษามันในเรื่องของหัวใจเท่าไหร่เพราะผมรู้ตัวว่าผมน่ะชอบมัน ผมไม่อยากให้มันคิดว่าผมรักคนอื่นจนคิดกับมันแค่เพื่อนธรมมดาๆ แต่บางทีก็อาจจะเป็นเพราะที่ว่าผมชอบมันนี่แหละมั๊ง ที่ทำให้ผมยังคอยปรึกษามันอยู่เรื่อยไปเพราะอาจจะแอบหวังเล็กๆอยู่ในใจสักวันหนึ่งว่ามันจะเกิดอาการหึงหวงผมขึ้นมาบ้างอะไรแบบนั้น
ความคิดตื้นๆของเด็กๆ ซึ่งก็ดูจะไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว
“นัทโทรมาหากูเมื่อเช้าน่ะ” ผมพูดขึ้นและเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดของผมให้มันฟัง ผมเล่าทุกเรื่องทั้งเรื่องที่ผมทำและไม่ได้ทำ เรื่องที่นัททำตัวแปลกไปในช่วงสัปดาห์หนึ่งที่ผ่านมานี้ เรื่องที่ผมคิดว่าเขาไปมีคนอื่น เรื่องที่ว่าผมควรจะเลิกดีมั๊ย ผมควรจะทำยังไงดี และเรื่องที่ว่าผมเหนื่อยเหลือเกินแล้ว “มันเหมือนมึงโดนบังคับให้หายใจด้วยจมูกข้างเดียวน่ะ มึงยังหายใจต่อได้ มึงยังไม่ตาย แต่มันทรมาน มึงเข้าใจมั๊ย มันเหนื่อย มันทรมาน กูไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆว่ะ” ผมจบประโยคด้วยการก้มหน้าลงกับพื้น
ไอ้ซันนั่งเงียบตลอดเวลาที่ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง ในขณะที่ผมเล่าอยู่นั้นมันก็จะพยักหน้าบ้าง ทำเสียง “อือฮึ” ในลำคอตอบรับบ้าง แต่เมื่อผมเล่าจบ มันกลับไม่พูดอะไรต่อเลย
เราสองคนนั่งเงียบกันอยู่พักหนึ่งไอ้ซันจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น “มากับกู” มันลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินไปสองสามก้าว เมื่อมันรู้สึกว่าผมไม่ได้เดินตามมันไปมันจึงหันกลับมาเร่งผมอีกครั้ง “กูบอกให้ตามกูมาไง”
ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามมันไปเงียบๆจนมาถึงที่สนามบาสที่ว่างเปล่าเพราะทุกคนคงไปทานข้าวกันหมด ไอ้ซันเดินนำผมไปยังตะกร้าใส่ลูกบาสจากนั้นก็โยนมาให้ผมหนึ่งลูก “เอ้า”
ผมรับเอาไว้ด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังพยายามจะทำอยู่ ผมยืนถือลูกบาสแล้วมองตามไอ้ซันที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆแป้นบาส
“เอ้า ชู๊ตสิ ยืนทำอะไรอยู่เล่า” มันชี้ขึ้นไปที่ห่วง
“ซัน กู ไม่......” ผมพยายามจะพูดแต่ก็ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เอ้า เร็วๆ เป็นนักบาสไม่ใช่เหรอ แค่นี้ก็ทำไม่ได้รึไง” มันเร่ง มีแววท้าทายอยู่ในสีหน้าและน้ำเสียงของมัน ผมจึงเลี้ยงลูกบาสลงกับพื้นสองสามทีจากนั้นก็ออกวิ่งตรงไปยังแป้นบาสแล้วก็กระโดดขึ้นชู๊ต ลูกบาสลอดลงห่วงไปอย่างเรียบร้อย ไอ้ซันรีบคว้าลูกบาสเอาไว้แล้วก็ส่งมาให้ผมอีกครั้ง “เอ้า เอาอีกสักลูกซิ”
ผมรับลูกบาสมาแล้วก็กระโดดจั๊มพ์ชู๊ตจากจุดที่ผมยืนอยู่ อีกครั้งที่ลูกบาสเข้าห่วงไปอย่างสวยงาม แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังทำหรือกำลังจะให้ผมทำอยู่ดี
“ดี” ไอ้ซันรับลูกเอาไว้ “คราวนี้ กูโยน แล้วมึงรับจากนั้นก็ชู๊ตเลยนะ เลย์อัพก็ได้”
“เดี๋ยว ไอ้ซัน กู.....”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค ไอ้ซันก็ร้องขึ้น “เอ้า เอาล่ะนะ” มันโยนลูกบาสขึ้นไปในอากาศ สูงเลยแป้นบาสขึ้นไปเล็กน้อย ผมรีบออกตัววิ่งเพื่อจะจับลูกให้ทัน ผมกระโดดขึ้นรับลูกกลางอากาศจากนั้นก็โยนส่งลูกลงห่วงไปทันทีขณะที่ยังลอยตัวอยู่ เมื่อขาแตะถึงพื้น ไอ้ซันที่รับลูกบาสนั้นไว้ก็โยนมันส่งกลับมาให้กับผมอีกครั้ง “ดีมาก” มันพูดพร้อมรอยยิ้ม
“นี่มึงทำอะไรเนี่ย” ผมถามออกไปในที่สุด
“กูก็วอร์มให้มึงไง” ไอ้ซันพูดพร้อมถกแขนเสื้อของตัวเองขึ้น “นั่งตั้งนาน เส้นยึดหมดพอดี”
“กูไม่เข้าใจว่ะ” ผมนิ่วหน้า
“มึงกับกู มาแข่งกัน ห้าลูก โอเคมั๊ย” ไอ้ซันย่อตัวลงเล็กน้อยในท่าเตรียมพร้อม
“เดี๋ยว ทำไมกูถึงต้อง.......”
“มึงไม่ต้องพูดมาก มาเร็วๆ ห้ามปฏิเสธ” ไอ้ซันเร่ง แต่ผมยังยืนเฉยอยู่ “กูอุตส่าห์ให้มึงเริ่มก่อนนะ ถ้ามึงไม่เข้ามา...... งั้นกูเข้าไปเอง” ไอ้ซันรีบพุ่งตัวออกมาแย่งลูกบาสออกไปจากมือผมจากนั้นก็หันหลังวิ่งไปยังใต้แป้น “ใครแพ้ เลี้ยงข้าว!” มันทำท่าจะกระโดดชู๊ตผมจึงวิ่งออกไปขวางเพื่อจะแย่งลูกโดยอัตโนมัติ ไอ้ซันรีบเอี้ยวตัวหลบแต่ก็ยังช้ากว่าผมผมจึงคว้าลูกที่ปัดออกมาจากมือของมันได้แล้วกระโดดขึ้นชู๊ตทันที
“อะไรวะ แม่ง” ไอ้ซันสบถทั้งๆที่มีรอยยิ้มอยู่บนปาก เกมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว ผมเองเมื่อไอ้ซันมันเริ่มเล่นขนาดนี้ผมก็เลยต้องเริ่มเล่นเอาจริงตามไปด้วย เราทั้งวิ่ง ทั้งแย่งลูก และทั้งชู๊ตกันอย่างดุเดือด ผมไม่เคยเล่นบาสกับไอ้ซันมาก่อนเลย ถึงแม้มันจะเป็นรองผมเพราะบาสเก็ตบอลไม่ใช่กีฬาที่มันถนัด แถมมันยังเหนื่อยจากการเล่นบอลมาอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบเห็นๆ แต่ว่าด้วยทักษะทางกีฬาของมันกับการเล่นที่เอาจริงเอาจังก็พลอยทำให้ผมต้องเล่นแบบทุ่มเทมากขึ้นตามไปด้วย
เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที คะแนนของผมนำอยู่สี่ต่อสองแต้มและถ้าผมทำแต้มนี้ได้ เกมก็จะจบลงทันทีโดยที่ไอ้ซันเป็นฝ่ายแพ้ ผมกำลังเลี้ยงลูกบาสพร้อมกับหอบหายใจอยู่ที่หน้าเส้นเขตโทษ ไอ้ซันเองก็ยืนหอบหนักยิ่งกว่าผมเสียอีกอยู่เบื้องหน้าในท่าที่พร้อมจะเข้ามาแย่งและบล็อกลูกจากผมได้เสมอ ณ ตอนนี้ผมลืมไปแล้วว่าทำไมเราถึงมาเล่นกันอยู่แบบนี้ ทำไมผมถึงต้องมาแย่งลูกบาสอยู่กับมัน และทำไมผมถึงต้องการที่จะเอาชนะมัน แต่เมื่อลูกบาสกำลังอยู่ในมือของผม ผมก็ไม่ต้องการที่จะแพ้ ผมย่อตัวลงต่ำด้วยความรวดเร็วและยืดตัวขึ้นตั้งท่าที่จะชู๊ต เมื่อไอ้ซันเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้ามากระโดดบล็อคทางผมทันที แต่นั่นเป็นการหลอก ผมก้มลงต่ำอีกครั้งและเดินถอยหลังออกมาเล็กน้อยเพื่อหยุดอยู่ตรงขอบเส้นสามคะแนนพอดีจากนั้นก็กระโดดชู๊ตทันที ลูกบาสถูกปล่อยออกจากมือของผมไปยังห่วงและลอดลงไปโดยมีเสียง ฟวั่บ ดังออกมาเบาๆ
“เยี่ยม!” ผมทำท่าดีใจและหัวเราะออกมาดังๆ “เสร็จลูกไม้ตื้นๆนะมึง”
“หนวกหู ก็กูไม่ใช่นักบาสนี่หว่า” ไอ้ซันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆสนามพร้อมกับเสียงหอบที่ดังยิ่งกว่าตอนผมได้ยินครั้งแรกที่เนินหน้าสนามฟุตบอลเสียอีก ผมเดินตามไปนั่งกับมันด้วยโดยผมนั่งหันหน้าออกพิงหลังของมันเอาไว้
“มึงก็เก่งนะ กูเองเพิ่งเคยเล่นบาสกับมึงเป็นครั้งแรกนะเนี่ย”
“ก็เงี๊ยแหละ เก่งไปหมดทุกด้าน” มันยักไหล่
“กูจะอ้วก” ผมหัวเราะ “ว่าแต่ มึงไม่เหนื่อยแย่เหรอวะเนี่ย” ผมคิดได้ว่านี่มันเล่นทั้งบอลและบาสติดๆกันแบบนี้ มันจะไม่โทรมแย่เหรอในเมื่อช่วงนี้มันสูบ..........
จริงสิ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมไม่เห็นมันสูบบุหรี่
นี่มันเลิกสูบบุหรี่แล้วหรือนี่ แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ
“ก็เหนื่อยว่ะ แต่ก็สดชื่นดี” มันตอบพลางถอนหายใจแรงๆพร้อมรอยยิ้มกว้างบนหน้า “แล้วไง เป็นไงมั่งล่ะ” ไอ้ซันเว้นช่วงและกระดกขวดน้ำขึ้นดื่ม “ยิ้มได้แล้วนี่” มันเอาขวดน้ำขวดนั้นมาโขกหัวผมเบาๆ
“อืมม ก็คงงั้น” ผมหยุดหัวเราะลง เหลือเพียงรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเท่านั้น
“ดีแล้ว มึงชอบเล่นบาสไม่ใช่เหรอ มึงเคยบอกกูว่าเวลาเล่นบาสแล้วทำให้มึงมีความสุข ทำให้มึงสบายใจนี่” ไอ้ซันขยับตัวออก แล้วเปลี่ยนเป็นมานั่งข้างๆผมแทน “แล้วทำไมไม่เล่นซะล่ะ”
ผมเพิ่งได้คำตอบว่าสิ่งที่มันทำไปทั้งหมดนี่ก็เพียงเพื่อให้ผมได้มีรอยยิ้มได้มีเสียงหัวเราะจริงๆอีกครั้ง และการกระทำของมันแบบนี้ก็ช่วยผมได้มากกว่าคำพูดปลอบใจใดๆเลยด้วย
“เอ่ออ กู......” ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ที่มันพูดมามันก็ถูก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงหนีซ้อมไปนั่งอยู่คนเดียวแบบนั้นแทนที่จะทำสิ่งที่ผมชอบเพื่อให้รู้สึกสบายใจขึ้น......... และมันก็อุตส่าห์ทำสิ่งนี้เพื่อผม “ซัน กู.......” ผมตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกมันขัดขึ้นเสียก่อน
“รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่มั๊ย สบายใจขึ้นนิดนึงรึยัง ออกกำลังซะ หัวมันจะได้สดใส จะได้คิดอะไรได้ดีๆถี่ถ้วนๆ แล้วที่สำคัญ..........” มันเว้นช่วงเหมือนกับกำลังนึกคำพูดบางอย่างออกมาเพื่ออธิบาย “เอ่ออ...... รู้สึกหายใจคล่องขึ้นมั่งรึยังล่ะคราวนี้ ได้วิ่งเล่น ได้ออกแรง ได้หอบ รู้สึกดีขึ้นมั๊ย”
ผมก้มหน้าแล้วยิ้มให้กับตัวเอง “อื้ม กูขอบใจมึงนะ” ผมพูด รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงโดยที่ไม่จำเป็น รู้สึกขอบคุณมันจากใจจริงๆที่มันทำสิ่งนี้ให้ผมทั้งๆที่มันเองก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว และผมก็คิดว่าผมเองได้คำตอบแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้หลังจากผมได้รับโทรศัพท์ผมถึงไม่รู้สึกอยากจะเล่นบาสเลยในขณะที่มันน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้
“นี่ ไอ้เมฆ” ไอ้ซันเรียกผมอีกครั้ง คราวนี้มันเว้นช่วงนานกว่าทุกครั้ง ท่าทางจะหาคำมาพูดได้ยากกว่าที่ผ่านมา “ก่อนนี้มึงพูดใช่มั๊ย ว่า มึงรู้สึกเหมือนหายใจด้วยจมูกรูเดียวน่ะ” มันหยุดแล้วรอคำตอบจากผม แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร มันจึงเริ่มพูดต่อแบบตะกุกตะกัก “คือ กูจะบอกมึงว่า ถ้ามึงหายใจด้วยจมูกรูเดียวไม่ถนัดน่ะ....... เอ่ออ กูว่า กู” มันหยุดลงอีกครั้งหนึ่ง “กูก็จะเป็นรูจมูกอีกข้างให้มึงเอง”
เมื่อผมได้ยินดังนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะร้อง “เย้ยยยยยยยย” ออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ถึงเสียงที่ผมเปล่งออกไปจะไม่มีความหมายและผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันสื่อออกไปในความหมายใด แต่ที่แน่ๆผมรู้ตัวเลยว่าผมกำลังเขินและอายจนหน้าแดงมากๆและไม่กล้าที่จะสบตาของมันเลยแม้แต่นิดเดียว ไอ้ซันเองก็คงกำลังเขินและไม่รู้จะพูดอะไรต่อขึ้นมาเหมือนกัน คราวนี้ผมไม่ยอมให้ช่วงเวลาดีๆนี้ถูกทำลายลงไปเสียก่อนอีกแน่นอน
“คือ กูก็อยากจะบอกมึงเหมือนกันไอ้ซัน ว่า คือ ที่กูหนีซ้อมไปทั้งๆที่มันน่าจะทำให้กูรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆอย่างที่มึงบอกน่ะนะ” ผมเองก็พูดตะกุกตะกักเช่นเดียวกัน “คือ กูก็อยากจะบอกมึงเหมือนกัน ว่า กูว่ามันคงเป็นเพราะ กูไม่มีคนที่กูรัก คนที่รู้ใจกู อย่างมึง มาเล่นกับกู ล่ะมั๊ง”
ผมรู้สึกว่าหน้าของผมกำลังร้อนราวกับถูกเผาด้วยไฟ คราวนี้ไอ้ซันเป็นฝ่ายทำเสียง “ฮื๊ยยยยยยยยย” ขึ้นมาบ้าง เราสองคนนั่งเงียบก้มหน้าก้มตาไม่คุยกันอยู่พักหนึ่งด้วยความเขินอายไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาคุยกันต่อจนพวกนักกีฬาบาสเริ่มเดินกลับเข้ามาในสนามแล้วก็พากันล้งเล้งใส่ผมกันใหญ่ว่าหายไปไหนมา ผมกับไอ้ซันจึงขอตัวหลบออกไปกินข้าวกันก่อนที่ต่างคนจะต่างกลับไปซ้อมต่อ
มานึกๆดูแล้วนี่ก็คงเป็นครั้งแรกที่ผมกับมันได้บอกรักกันอย่างอ้อมๆล่ะมั้ง........................