ตอนที่ 10
“คุยอะไรกัน”“คือ..” สายตาคมดุเหล่มองมาแวบหนึ่งก่อนจ้องมองถนนตรงหน้า พอเห็นแบบนั้นจากที่กำลังช่างใจอยู่จงรักจึงตัดสินใจเล่าความจริงทุกอย่างให้เมฆาฟังทันที “คือความจริงก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้คุยกันมากเท่าไหร่หรอกครับ แต่เมื่อกี้ตอนที่กำลังจะขึ้นรถ อยู่ๆดีคุณกลองก็บอกว่า…”
“ว่ายังไง” เสียงเข้มถามคล้ายจะเร่งให้เล่าต่อโดยที่ไม่สนใจว่าจงรักจะมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเพียงใด
“เขาบอกว่าจะจีบ” สุดท้ายก็กลั้นใจพูดออกมา และเมฆาก็เพียงแค่รับคำในลำคอเท่านั้น
“งั้นเหรอ”
“แต่ผมบอกเขาไปชัดเจนว่าผมมีแฟนแล้วครับ แล้วก็
ระ…รักมาก เพราะอย่างนั้นมันคงไม่มีอะไรหรอกครับ”
ทั้งที่รู้สึกอายจนอยากจะมุดตัวลงไปกับเบาะ แต่จงรักก็อดทนเล่ามันจนจบ เพราะกลัวว่าหากเขาปิดบังเรื่องนี้มันอาจทำให้เกิดผลเสียในภายภาคหน้า ถึงแม้ความสัมพันธ์ที่กำลังดำเนินของเขากับเมฆาจะมีจุดเริ่มต้นมาจากที่เขารักเมฆาฝ่ายเดียว แต่เมื่อได้ขึ้นชื่อว่าคนรักกันมันจึงไม่ควรมีเรื่องปิดบังกัน
“อืม ดีแล้วล่ะ” เมฆาว่าเพียงเท่านั้นแล้วก็เงียบไปตลอดทาง
จงรักได้แต่ลอบมองเสี้ยวหน้าที่เรียบเฉยของเมฆาแล้วรู้สึกจุกๆในอก ทั้งที่เขากลัวเหลือเกินว่าพี่เมฆจะเข้าใจผิด กลัวว่าอีกฝ่ายจะกระวนกระวายไม่พอใจ ทว่ากลับรับรู้แล้วนิ่งเงียบ แสดงท่าทางที่ดูเข้าใจ ไม่ต่อว่า ไม่ห้ามหวง มันทำให้สำนึกได้ว่าความจริงแล้วเขาสำคัญพอในระดับที่พี่เมฆจะต้องหึงหวงหรือเปล่า แม้จะบอกว่าคบ แต่ระดับความรู้สึกของพี่เมฆที่มีต่อเขาก็คงไม่ต่างจากเดิมมากเท่าไหร่ อาจจะสนิทใจ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ แต่ใช่ว่าพี่เมฆจะต้องรักเสียหน่อย เมื่อตอนที่จะคบพี่เมฆเป็นคนบอกเองว่าจะพยายามรัก
พยายาม ไม่ได้แปลว่ารักแล้ว
สำคัญตัวผิด ทันทีที่คำๆนี้ผุดขึ้นมาในหัว ในอกรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งฉุดให้ตกวูบ ดิ่งลงไปในหลุมลึก มันทั้งอึดอัดแต่ก็เวิ้งว้าง บางทีความรู้สึกหวานละมุนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อาจเป็นเพียงภาพฝัน เป็นเพียงบรรยากาศอุ่นรักที่เขาคิดไปเองคนเดียว รู้สึกไปเองคนเดียว เข้าใจผิดไปเองคนเดียวทั้งนั้น
บางทีทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเพราะพี่เมฆแค่’ทำหน้าที่’คนรักได้ดีจนเกินไปเท่านั้นเอง
การที่เราถลำลึกทำให้เกิดความรู้สึกคาดหวัง ตอนรักเขาข้างเดียวเหมือนแต่ก่อนคือคนไกลแอบรัก แม้จะหวังก็รู้ว่าเป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆไม่มีทางเป็นจริง แต่การรักข้างเดียวแล้วเลื่อนสถานะมาอยู่ในจุดนี้ มันยากที่จะคิดว่าเป็นรักข้างเดียวอีกต่อไป สถานะคนรักทำให้คิดว่าเขาต้องรักตอบ ทำให้เผลอลืมได้ง่ายว่าความเป็นจริงคืออะไร ดังนั้นความรู้สึกผิดหวังในตอนนี้จึงทำให้เจ็บลึกยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า ความอดทนที่คิดว่ามีอยู่มากก็ไม่สามารถใช้จัดการกับความรู้สึกตอนนี้ได้ผล
ตลอดทางจงรักมองเห็นแต่มือสองข้างที่ประสานกันเอาไว้จนแน่นของตัวเอง เมื่อรถเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆแสงไฟสาธารณะสีส้มยามค่ำคืนก็ส่องผ่านวับแวมตัดกับความมืดสลัวภายในรถเป็นจังวะสม่ำเสมอ รู้สึกร้อนที่หัวตานิดๆแต่น้ำตาหยดใสไม่ได้ไหลออกมา เขาเป็นคนร้องไห้ยากแต่ไหนแต่ไร บางทีนี่อาจถือว่าเป็นข้อดีเพราะจะได้ไม่มีใครรู้เห็นว่าเขาอ่อนแอ บ้าบอกับความคิดฟุ้งซ่านที่วนเวียนอยู่ในสมองมากแค่ไหน
“จงรัก”
จงรักรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าเมฆามองด้วยท่าทางเป็นห่วง ถอนสายตาจากคนตัวสูงแล้วหันมองรอบๆก็พบว่ารถจอดสนิทที่บ้านแถบชานเมืองของเมฆาแล้ว
“เป็นอะไรหรือเปล่า” พอได้ยินเมฆาถามขึ้น จงรักจึงหันมาส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่าครับ”
“เหนื่อยหรือไง เห็นเงียบๆ พี่เรียกหลายทีก็ไม่ตอบ”
“นิดหน่อยครับ” จงรักก้มหน้าแล้วว่าเสียงอ้อมแอ้ม ไม่รู้สึกตัวเลยว่าถูกเรียก แต่ก็อดนึกในใจไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่เงียบตลอดทาง
“หิวไหม”
“ไม่หิวครับ”
“งั้นก็ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงานกันอีก”
“ครับ”
ไอน้ำเกาะกระจกเป็นฝ้าขาวจนไม่สามารถมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในนั้นได้ แต่ดวงตาคมหวานก็ยังคงจ้องมองอยู่เช่นเดิมนิ่งงันราวถูกสะกด ตามองความพร่ามัว ทว่าใจกลับหลงอยู่ในความสับสนที่ดูคล้ายจะไม่มีทางออก ถึงจะบอกว่าไม่เสียใจหากก็ยังไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าเขาคิดผิดหรือถูกกันแน่ที่ตัดสินใจคบทั้งๆที่พี่เมฆยังไม่รู้สึกรัก
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็ยังยืนอยู่ในห้องน้ำไม่ยอมออกไปนอน เพราะความรักทำให้กลายเป็นคนฟุ้งซ่านเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่จงรักไม่รู้ตัวเลยสักนิด ขณะที่กำลังเหม่อลอยได้ที่ เสียงเคาะประตูที่ตามมาด้วยเสียงเรียกของเจ้าของบ้านก็ดังขึ้น
ก๊อก! ก๊อก!
“เสื้อที่ใส่ไม่พอดีเหรอ ทำไมไม่ออกมาสักทีจงรัก”
“พอดีครับๆ กำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” ชายหนุ่มตัวเล็กสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะขานรับแล้วยอมออกมาจากห้องน้ำ
“เสื้อพี่ตัวมันใหญ่ไปหน่อย แต่ใส่นอนหลวมๆคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ” เจ้าของใบหน้าคมดุเดินเข้ามาใกล้ทันทีที่จงรักออกจากห้องน้ำ มือหนึ่งจับเข้าที่มุมตรงบ่าเสื้อนอน เขาดึงมันขึ้นมานิดแล้วมองสภาพของเสื้อยืด เพราะจงรักตัวเล็กกว่าเขาค่อนข้างมากจึงทำให้เสื้อย้อยย้วย บ่าไหลลู่ไม่พอเหมาะพอดี
“ไม่เป็นไรครับ ผมใส่ได้” จงรักบอกด้วยท่าทางประหม่า เพราะธรรมชาติของพี่เมฆเป็นแบบนี้ไง แล้วจะไม่ให้จงรักเผลอคิดว่าพี่เมฆมีใจได้อย่างไร
“ใส่เสื้อตัวใหญ่หลวกโพรกขนาดนี้ พี่เห็นแล้วสงสาร คราวหลังเราเอาเสื้อผ้ามาไว้ที่บ้านนี้บ้างดีไหม”
“อ่า..ครับ” ดูพูดเข้าสิ เหมือนจะชวนให้เขามาค้างบ่อยๆเสียอย่างนั้น จงรักคิดในใจขณะที่ช้อนตาขึ้นมองเมฆา
“เข้านอนกันดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”
“ครับ”
พอรับคำเสร็จจงรักก็เดินไปที่ที่นอน เขาเลือกนอนชิดริมด้านในซึ่งติดกับหน้าต่างบานสูง คนตัวเล็กนั่งสวดมนต์เบาๆอยู่ครู่หนึ่งจึงล้มตัวลงนอนแล้วห่มผ้ามิดคอ เมฆาที่ยืนมองอยู่ตั้งแต่แรกปิดไฟทันทีที่เห็นน้องนอนแล้ว เขาเดินฝ่าความมืดกลับมานอนข้างๆด้วยความชำนาญ กระตุกผ้าห่มผืนเดียวกันขึ้นมาพาดไว้แค่อกจากนั้นก็หลับตาลง ปล่อยลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อพร้อมเข้าสู่นิทรา
ทว่าคนที่นอนห่มผ้ามิดคออยู่ข้างๆกลับลืมตาโพล่งทันทีที่ไฟปิด เรื่องที่คิดมาตลอดทางไม่อาจทำให้ข่มตาให้หลับลงได้ พยายามนอนนิ่งๆไม่พลิกกายไปมาเพราะเกรงว่าจะทำให้เมฆาพลอยนอนไม่หลับไปด้วย จนกระทั่งผ่านไปชั่วโมงเศษหลังจากนั้น จงรักจึงผุดลุกขึ้นนั่งอย่างนิ่มนวลที่สุด ค่อยๆคลานออกจากที่นอนแล้วออกจากห้องไป
ชายหนุ่มตัวเล็กลงมาดื่มน้ำแล้วนั่งตั้งสติอยู่ในครัว พยายามทำใจให้ปลอดโปร่ง แต่ความคิดที่ว่าตนเองสำคัญแค่ไหนตลอดมานั้นก็ไม่อาจหลุดไปจากหัวเสียที ถึงตอนนี้เขาเริ่มจะรู้สึกรำคาญตัวเองเหลือเกิน ทั้งที่ควรจะมีความสุขแต่กลับเป็นทุกข์กว่าแต่ก่อนเป็นไหนๆ ทว่าจะให้กลับไปเป็นเช่นเดิมก็กลับลำไม่ทันเสียแล้ว เขามาไกลเกินไป ไกลเกินกว่าจะละทิ้งความสนิทสนมที่บ่มเพาะจนงอกเงยขึ้นมานี้ได้ ที่ทำได้ตอนนี้คือทนรับทุกสิ่งที่ตัวเองเลือก แล้วพยายามมากขึ้น วันนี้ไม่รัก สักวันอาจจะรัก
“เฮ้อ…”
นั่งเท้าคางถอนหายใจทิ้งอยู่เพียงลำพัง จนเวลาผ่านไปค่อนคืนยังไม่รู้สึกตัว ดวงตาเหม่อลอยออกไปยังพุ่มไม้ไหวๆที่นอกหน้าต่าง โดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีใครเข้ามายืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ที่ตนนั่ง
“นอนไม่หลับเหรอ”
“อ๊ะ!!” สัมผัสเบาๆที่แตะลงบนบ่าพาให้กายสะดุ้งโหย่ง
“ขอโทษ พี่ทำเราตกใจ” เจ้าของฝ่ามือใหญ่ชักมือกลับ จงรักหันหน้ากลับมาทันเห็นแววตาสำนึกผิด ทำให้ต้องรีบบอก
“มะ…ไม่เป็นไรครับ” เงียบไปชั่วอึดใจจงรักก็ถาม “พี่เมฆจะเอาอะไรหรือเปล่าครับ หิวน้ำเหรอ”
“เปล่าหรอก”
“แล้ว..พี่ลงมา..เอ่อ..”
“ก็เห็นเราลงมานานแล้ว คิดว่ามีอะไรก็เลยลงมาดู” จะรอให้ถามครบประโยคก็ไม่ทันใจ คนหน้าดุจึงรีบเฉลยเสียเอง
“แต่พี่หลับแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ยังหลับไม่สนิทน่ะ”
“ผมไม่ได้ทำให้พี่ตื่นใช่ไหม”
“ก็ไม่เชิง ความจริงเราทำพี่นอนไม่หลับต่างหาก”
“ขอโทษครับ..” จงรักหน้าม่อยลงทันทีที่ได้ยิน
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ขอโทษจริงๆนะครับ เดี๋ยวผมลงมานอนที่โซฟาข้างล่างดีกว่า” จงรักรีบว่าก่อนจะผุดลุกขึ้นเตรียมตัวไปจัดการที่ตรงโซฟา
“ไม่ต้องๆ นอนข้างบนด้วยกันนั่นแหละดีแล้ว” เมฆาคว้าแขนน้องไว้ได้ทันพอดี
“แต่ว่าผมทำพี่นอนไม่หลับ”
“ก็ใช่ แต่มันมีสาเหตุน่ะ เอาเป็นว่าเราต้องคุยกัน” รู้สึกลำบากใจที่จะถาม มันกระดากอายเล็กน้อย แต่ที่สุดเมฆาก็ถาม
“คุยกัน?”
“ไหนบอกพี่มา เราเป็นอะไร” ทั้งคู่จ้องตากันหลังจากจบคำถาม จงรักรู้ว่าตัวเองกำลังสั่นไหว และก็รู้อีกว่าพี่เมฆรับรู้ถึงมันได้ ถึงจะโกหกว่าไม่ได้เป็นอะไร คนหน้าดุก็คงไม่เชื่ออยู่ดี
“ผม…”
“บอกมาเถอะ ไม่ต้องปิดพี่หรอก เราแปลกๆไปตั้งแต่บนรถแล้ว อย่าคิดว่าพี่ดูไม่ออก” ไม่มีแรงบีบที่มือ เมฆาเพียงจับแขนไว้หลวมๆเท่านั้น ไม่มีแม้การกดดันผ่านแววตา แต่ประโยคที่เมฆาบอก มันทำให้จงรักไม่อาจปฏิเสธหรือเพิกเฉยได้ ความรู้สึกในใจจึงค่อยๆปะทุออกมา
“ความจริงแล้ว..ผมแค่งี่เง่า”
“งี่เง่า?” คำว่างี่เง่าทำให้คนฟังรู้สึกฉงนยิ่งกว่าเก่า
“ผมแค่ฟุ้งซ่าน บ้าบอ เพ้อเจ้อไปเองคนเดียวครับ” จงรักบอกทั้งๆที่ยังก้มหน้า
“แล้วเรางี่เง่า ฟุ้งซ่าน บ้าบอ เพ้อเจ้อเรื่องอะไรล่ะ” เมฆาร่ายคำที่จงรักใช้กล่าวหาตัวเองออกมาจนครบถ้วน ก่อนจะเงียบแล้วรอฟังคำตอบ
“ผมไม่อยากบอกเลย..มันบ้ามาก” ว่าไปพลางฮึดฮัดขัดใจไปพลาง ริมฝีปากเล็กถูกกัดจนแดงก่ำหมด เขากระดากอายเกินกว่าจะเอ่ยสาเหตุที่ติดค้างในใจ
“กลัวว่าพี่จะโกรธเรื่องนายกลองนั่นหรือไง” เมื่อเห็นว่าน้องไม่บอกง่ายๆ เมฆาจึงเดาสุ่มออกมา
“แล้วพี่เมฆโกรธผมหรือเปล่าครับ” แม้จะแปลกใจที่พี่เมฆพูด แต่คนตัวเล็กรีบเงยหน้าถาม
“พี่ไม่โกรธ”
“เหรอครับ..” หน้าตากระตือรือร้นเมื่อครู่เปลี่ยนกลับไปเหงาง่อยอีกครั้ง “ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยใช่ไหมครับ”
“รักอยากให้พี่โกรธหรือไง” พอได้ยินประโยคสุดท้าย เมฆาก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้ทันที
“เปล่าครับ..”
“แล้วยังไง ไหนพูดให้ฟังซิ”
“ก็ไม่ยังไงครับ” เขาจะร้องไห้อยู่แล้ว และคงจะร้องแน่ๆ หากพี่เมฆยังยืนยันว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียวจริงๆซ้ำยังกดดันกันอยู่แบบนี้ล่ะก็
“พี่ไม่โกรธ ไม่ได้ไม่พอใจอะไรสักนิด ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะรักพูดความจริงกับพี่ พี่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากหรอกนะ แต่ตอนที่นายกลองนั่นคุยกับรักพี่เองก็ได้ยินทุกคำ แล้วการที่รักบอกพี่ด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ปิดบังหรือบิดเบือนอะไรสักนิดเดียว แถมรักยังปฏิเสธเขาไปตรงๆ มันจึงทำให้พี่ไม่ได้โกรธรัก”
“พี่เมฆ..” จงรักแทบจะอ้าปากค้างกับคำพูดพวกนั้น เขาไม่ได้คิดถึงเหตุผลที่ว่าเลย คิดเพียงแต่ด้านที่คาดเดาไปเองทั้งสิ้น
“หรือรักคิดว่าพี่ควรโกรธ”
“ไม่ครับ ไม่ควร”
“อืม..รู้ก็ดีแล้ว” เมฆาใช้มือข้างที่ว่างลูบหัวน้องเบาๆ
เขารู้ว่าจงรักไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจในตัวเขา เพราะดูจากแววตาวูบไหว แววตาในแบบที่น้องจะแสดงออกมาทุกครั้งยามเมื่อน้อยเนื้อต่ำใจหรือตัดพ้ออะไรสักอย่างกับตัวเอง การเลือกที่จะพูดคุยกันตรงๆจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เขารู้ว่าจงรักรักเขา รู้ว่าน้องจะซื่อสัตย์ และเหตุการณ์ในวันนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
“อ่อ..แต่สำหรับนายกลองนั่น พี่บอกไว้ก่อนว่าพี่ไม่ชอบใจ ถ้าอยู่ห่างเขาได้ก็ดี” ไม่รู้จะเรียกหึงหวงได้ไหม แต่ที่รู้สึกมากกว่าคือเป็นห่วง คนที่เข้ามาหวังจะยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้ว เมฆาไม่อาจมองว่าประสงค์ดีได้ ถึงใครจะบอกว่าเป็นคนดีก็ช่างเถอะ แต่เขาเกลียดคนประเภทนั้นมาที่สุด
“ครับ” จงรักพยักหน้ารับเป็นมั่นเป็นเหมาะ หัวใจแห้งเฉาพองฟูขึ้นมาราวกับต้นไม้ได้น้ำ นัยน์ตาโศกเมื่อเมื่อกี้หายวับไปแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่แววปิติเอมใจซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นในตัวเองที่เพิ่มมากขึ้น
“ทีนี้ก็เลิกคิดมากได้แล้วรู้ไหม”
“ครับ”
“ไปกันนอนเถอะ เดี๋ยวตื่นไม่ไหว”
ร่างสูงปล่อยแขนน้องเป็นอิสระแล้วหันหลังออกจากครัว ทว่ายังเดินไม่ถึงสองก้าวก็ต้องหยุดเพราะแรงปะทะและกอดรัดมาจากทางด้านหลัง สองมือเล็กอ้อมมาประสานที่หน้าท้องของเมฆา กายแนบชิด ใบหน้าซุกซบ ฝั่งอยู่บนแผ่นหลังกว้าง
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ
รักรักพี่เมฆนะ” เสียงอู้อี้แว่วเข้าหูให้ได้ยินแผ่วๆ เมฆาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่ระยายยิ้มบางๆเท่านั้น
เมฆาปล่อยให้จงรักกอดค้างอยู่แบบนั้นไม่นานก็รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ทะลุผ่านเสื้อเข้ามา เขาจึงพยายามแกะมือเล็กที่ประสานกันแน่นออก แม้จะใช้เวลากว่าครู่ใหญ่ ทว่าท้ายที่สุดจงรักก็ไม่อาจสู้แรงของที่มีมากกว่าตัวเองได้ คนหน้าดุหันกลับมาเผชิญหน้ากับเด็กขี้แยอีกครั้ง
ไม่แม้แต่จะเอ่ยถามหรือรีรออะไร เมฆาเชยคางมนให้ใบหน้าชุ่มน้ำตาเงยขึ้น ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปากแดง เพียงแค่แตะเบาๆบนผิวสัมผัสนุ่มนิ่ม แล้วนิ่งค้างไว้เพียงอึดใจทว่าเหมือนเนิ่นนานชั่วกัลป์สำหรับจงรัก หัวใจไม่ได้เต้นแรงอย่างลิงโลด แต่ดูเหมือนจะหยุดเต้นไปแล้วกระทั่งเมฆาถอนริมฝีปากออก ทิ้งไว้แค่สัมผัสอุ่นที่อ่อนละมุ่นไปถึงขั้วหัวใจ
“ไม่ร้องนะครับ โอเคไหม” ดวงตากับใบหน้าดุดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ผ่านมายามเอื้อนเอ่ย
“….” ราวกับเสียงของเขาเองก็ถูกดูดกลืมไปจากการกระทำเมื่อครู่เหมือนกัน ดังนั้นจงรักจึงได้แต่หยักหน้ารับ
“ถ้าพี่ไม่คิดอะไรเลย พี่คงไม่คบ เชื่อพี่เถอะ”
“ครับ รักจะเชื่อพี่” ความไม่มั่นใจของคนที่แอบรักมาเนิ่นนานจะก่อตัวเป็นกำแพงสูง แต่ท้ายที่สุดกำแพงนั้นก็ค่อยๆถูกยกอิฐออกไปอย่างช้า ทีละก้อน ทีละก้อน จงรักหวังว่าเมื่อวันที่เขาเลิกกลัวมาถึง จะเป็นวันเดียวกับที่พี่เมฆรักเขาบ้างเหมือนกัน
กลิ่นหวนหอมและสีสันสดใสของดอกไม้พาให้รู้สึกกระชุมกระชวยก็จริง แต่มิ้นรู้สึกว่าความสดใจของเจ้าของร้านหนุ่มวันนี้ไม่ได้มีสาเหตุจากดอกไม้สวยๆที่ล้อมรอบอยู่ ใบหน้าสดชื่นกับดวงตาประกายสุขเมื่อแรกเห็นตั้งแต่เช้ากระทั่งตอนนี้ ชวนให้ตีความได้อย่างเดียวว่าดอกรักกำลังผลิบานในใจหนุ่มร่างเล็กต่างหาก และเมื่อคิดได้เช่นนั้น มิ้นจึงอดไม่ได้ที่ตองเอ่ยสัพยอกเสียหน่อย
“วันนี้ยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งวันเลยนะคะน้องจงรัก อย่างกับคนอินเลิฟแหน่ะ”
“อ..อินเลิฟอะไรกันครับพี่มิ้น ไม่ใช่เสียหน่อย” คนถูกแซวรีบปฏิเสธทันที แต่แก้มแดงปลั่งสองข้างกลับทิ้งหลักฐานว่าเจ้าตัวอายแค่ไหนที่ถูกแซว
“อย่างนั้นหรอกเหรอคะ พี่ก็คิดว่าอินเลิฟเสียอีก เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ฮัมเพลงกับดอกไม้ทั้งวัน สงสัยพี่จะเข้าใจผิดไปเอง” มิ้นแสร้งว่า แต่ประกายตาล้อเลียนชัดเจน
“เข้าใจผิดแล้วล่ะครับ” จงรักสนับสนุนความคิดนั้นอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง
“ไอ้เราก็นึกว่ากำลังไปได้สวยกับเจ้าของคัมรี่สีขาวคนนั้นเสียอีก” มิ้นพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนหนีไปรับลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาหน้าร้าน ทิ้งให้จงรักยืนฮึดฮัดเพราะถูกทำให้เขินจนหน้าแดงแต่ไม่อาจตอบโต้อะไรได้
หลังจากที่เคลียร์กันเมื่อคืน ความกังวลใจที่มีก็เบาบางลงไปมาก พอกลับขึ้นไปบนห้อง หัวถึงหมอนจงรักก็หลับสนิท ตอนเช้าถูกปลุกด้วยความรู้สึกสดใส อาบน้ำแต่งตัวแล้วลงมาทานอาหารเช้า ก่อนพี่เมฆพามาส่งที่ร้าน บรรยากาศเรียบๆเรื่อยๆระหว่างพวกเขาทั้งสองคนช่วยเยียวยาอารมณ์หมองมัวให้หมดสิ้นไป อยากให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ อยากมีช่วงเวลาที่สามารถทำร่วมกันโดยไม่ต้องคิดอะไรมากมายแบบนี้ไปนานๆ
นึกถึงเรื่องเมื่อคืน จงรักก็เผลอยกมือขึ้นแตะไล้ริมฝีปากเบาๆ สัมผัสหวานยังคงประทับอยู่ แม้จะผ่านมาแล้วหากก็ยังรู้สึกได้ เขารู้ว่าคนคบกันย่อมมีแตะเนื้อต้องตัวเป็นธรรมดา ถึงอย่างนั้นก็อดที่จะหัวใจเต้นแรงไม่ได้
“แหน่ะ! แอบยิ้มคนเดียวอีกแล้วนะคะ อย่างนี้จะเชื่อดีไหมนะว่าไม่ใช่คนอินเลิฟ”
“ไม่ใช่นะครับ!” มิ้นหัวเราะไล่หลัง ยามเมื่อคนปฏิเสธเสียงแข็งเดินหนีเข้าไปด้านหลังร้าน
“จ้างให้พี่ก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ”
เวลาล่วงเลยมากระทั่งปิดร้าน จงรักออกมานั่งรออยู่ใต้ต้นกาสะลองให้สารถีส่วนตัวมารับ รอเพียงไม่นานรถสีขาวคุ้นตาก็เข้ามาจอด มือเรียวคว้ากระเป๋าสัมภาระขึ้นสะพายพาดบ่า ก่อนวิ่งไปขึ้นรถ ทว่ายังไม่ทันทักทายอะไรกันสักคำ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืด จงรักหยิบมันออกมา มองหมายเลขทางไกลซึ่งโทรเข้ามาจากพี่สาวที่ไปอยู่ต่างประเทศด้วยความยินดี ก่อนจะกดรับ
“สวัสดีครับพี่รี”
‘เสียงใสเชียวนะเรา เป็นยังไงบ้าง’
“สบายดีครับ พี่รีล่ะ สบายดีหรือยัง พักฟื้นหลังคลอดเป็นไงบ้างครับ โอเคไหม แล้วเจ้าตัวเล็กล่ะครับ แข็งแรงหรือเปล่า”
‘ทีละคำถามสิจ๊ะ พี่ตอบไม่ทันแล้วนะ’ จุรีว่าพลางหัวเราะ
“ก็รักอยากรู้นี่” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดตามแบบฉบับของน้องชายคนเล็ก ทำให้เมฆาอดเหลือบตามองด้วยความแปลกใจไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นจงรักในมุมนี้เลยสักครั้ง
‘พี่สบายดี แผลผ่าหลังคลอดสมานตัวแล้ว ส่วนเจ้าตัวน้อยก็แข็งแรงดีเหมือนกัน ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง พี่ล่ะคิดถึงเราจัง’
“รักก็คิดถึงพี่รีมากๆด้วยเหมือนกัน พี่รีไม่อยู่ที่ร้านยุ่งมากเลย”
‘นี่คิดถึงพี่จริงๆ หรือคิดถึงคนดูแลร้านกันแน่จ้ะ’ จุรีหยอกขันๆ
“คิดถึงพี่รีจริงๆสิครับ เมื่อไหร่จะกลับมาบ้านบ้าง พ่อน่ะอยากอุ้มหลานใจจะขาดแล้ว จะบินไปเยี่ยมที่โน้นก็กลัวไม่มีคนดูสวน พี่จิก็ร่ำๆอยากไปหาพี่รีเหมือนกัน”
‘ก็จะโทรมาบอกนี่แหลจ้า ว่าอีกเดือนหนึ่งเจอกัน พอดีแดนลางานได้แล้ว’
“จริงเหรอครับ! ดีใจจัง งั้นอีกเดือนรักจะปิดร้านไปอยู่กับหลานสักอาทิตย์”
‘โอเค แล้วเจอกันนะ’
“แล้วเจอกันครับ”
“พี่สาวโทรมาเหรอ” เมฆาเอ่ยถามเมื่อน้องเก็บเครื่องมือสื่อสารเรียบร้อยแล้ว
“ใช่ครับ พี่จุรี”
“อืม..ที่รักเคยเล่าให้ฟังว่าแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศใช่ไหม”
“ใช่ครับ” จงรักพยักหน้ารับ แล้วเล่าต่อ “เดี๋ยวเดือนหน้าพี่รีจะพาเจ้าตัวน้อยกับสามมาเยี่ยมพ่อ ผมว่าจะปิดร้านกลับเชียงใหม่เสียหน่อย อยากไปรับขวัญหลาน”
“หลานคนแรกเหรอ”
“ครับ พี่จิรายังไม่แต่งงานแลย” จงรักเอ่ยถึงพี่สาวอีกคน
“อืม”
“พี่เมฆครับ” หลังจากเงียบไปสักพัก จงรักก็ส่งเสียงเรียกคนหน้าดุอีกครั้ง
“ว่าไง”
“เดือนหน้า…พี่เมฆพอจะว่างไหม” ขณะถามก็ลอบมองเสี้ยวหน้าคมไปด้วยอย่างลุ้นๆ
“อืม…ไม่น่าจะมีอะไรด่วนๆนะ ทำไมเหรอ” ร่างสูงหันมาถาม
“คือ ถ้าผมจะชวนพี่เมฆไปเที่ยวที่เชียงใหม่ด้วยกัน พี่เมฆจะสะดวกไหม” คนตัวเล็กกลั้นใจถามออกไป แล้วก็คอยอย่างมีความหวัง
“ถ้าอีกเดือนนึง พี่ก็พอจะลาล่วงหน้าได้นะ แต่ลาไปทั้งอาทิตย์คงไม่ไหว สามสี่วันน่าจะได้อยู่” คำนวณดูคราวๆแล้ว โครงการที่เข้าดูแลอยู่ไม่น่ามีปัญหาอะไร อีกอย่างตลอดปีที่ผ่านมาเมฆาก็ยังไม่เคยลาเลยสักครั้ง หนนี้จงรักเป็นคนเอ่ยชวนด้วยตัวเอง เขาก็คงต้องไปกับน้องอย่างไม่คิดปฏิเสธ
“งั้นแปลว่าพี่เมฆตกลงไปกับผมนะครับ!”
“อืม ไปสิ จะได้ไปไหว้พ่อรักด้วย”
“เย้! ดีใจจัง ขอบคุณนะครับ” คนตัวเล็กยิ้มหน้าบานกับคำตอบที่ได้รับ ทว่าเมื่อฉุดคิดดูแล้ว ประโยคเมื่อครู่ของเมฆามันฟังดูแปลกๆ “เดี๋ยวนะครับ พี่เมฆว่าจะไปไหว้พ่อรักเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ เราเป็นแฟนกันนี่ เข้าไปไหว้ทำความรู้จักผู้ใหญ่ไม่น่าเสียหาย หรือว่าพ่อรักห้ามคบกับผู้ชาย ถ้ามีปัญหาพี่ไม่บอกก็ได้นะ”
“อ่ะ..ความจริงก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ” จงรักก้มหน้า แล้วว่าเสียงเบา
“แล้วก้มหน้าทำไม เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ พอคิดว่าจะพาพี่ไปเจอพ่อ มันก็เขินแปลกๆเท่านั้นเอง” จงรักบอก แก้มสองข้างแดงขึ้นสี เมฆาทำตาโตก่อนจะหันไปมองถนนตั้งใจขับรถ แต่ถ้ามองไม่ผิด จงรักเห็นเหมือนที่แก้มของพี่เมฆเองก็มีสีเลือดฝาดขึ้นเป็นริ้วดุจเดียวกัน
“
คิดว่าเขินเป็นคนเดียวหรือไงเล่า” เมฆาพูดเพียงแค่นั้น มันเป็นดังประโยคจบบทสนทนา แต่พาให้หัวใจของจงรักเต้นตึกตักไปตลอดทางกลับบ้าน
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
คนที่รักข้างเดียวมีหลายความกังวนเนอะ อยากให้เขารักตัวเองบ้าง พอเขาเริ่มรักก็กลัวว่ามันไม่จริง
บางทีจงรักก็บสนในชีวิตนะลูก แต่เอาเถอะ หนูน่ารัก แม่ให้อภัย 5555555
ถ้าไม่งงงวยในชีวิตก็ไม่ใช่จงรัก จงรักที่คิดซ้ำๆให้พี่เมฆโปรดจงรักตัวเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จงรักเสยจูบแรกแล้วนะค้าาา #พี่เมฆคนบ้า /ทุบๆ
ส่วนพี่เมฆก็อยากบอกจงรักว่า เห็นผมนิ่งๆจริงๆคือผมหึงนะครับ 55555
อย่างที่บอกค่ะ เรื่องนี้ก็เรียบๆเรื่อยๆ ค่อยๆรักกันไป สับสนกับชีวิตกันไปบ้าง
คนเรามีหลายอารมณ์ ยังไงก็ฝากเอาใจช่วย พี่เมฆ จงรัก และคนเขียนด้วยนะคะ อิอิ
ตอนหน้าจะพาแฟนไปเปิดตัวกับพ่อ ลูกจงรักของฉันนี่มันออกตัวแรงจริงๆ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
pungjungza