ปกติเวลาได้หลับไปแล้วผมมักไม่ตื่นขึ้นมากลางดึก เป็นพวกหลับสนิทระยะสุดท้าย ต่อให้มีคนเหยียบลูกโป่งแตกก็นอนต่อได้แบบไม่รู้เรื่อง ทว่าน่าแปลกที่ครั้งนี้ผมดันตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกหนาวแบบแปลกๆ เหมือนฮีตเตอร์ทำความร้อนที่กอดไว้หายไปไหนก็ไม่รู้ และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามันคือเรื่องจริง
ภามหาย...
แต่ถูกแทนที่ด้วยเทียนในแก้วทรงเตี้ยที่ถูกวางไว้รอบห้องแทน
ผมกวาดสายตามองไปรอบด้าน เพ่งมองเทียนที่กระจัดจายอยู่จนทั่วห้องทีละเล่มจนครบแล้วจึงค่อยๆ ขยับกายลุกจากเตียง เปิดประตูเดินขึ้นไปด้านบน ก่อนจะต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นเทียนแบบเดียวกันกับในห้องวางขนานกันเป็นทางยาว เหลือพื้นที่ไว้ให้เดินไปตามทางแค่นิดเดียวเท่านั้น
“เล่นอะไรเน่ีย...”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ยังเดินไปตามทาง ก้มหน้าลงมองเทียนทั้งสองข้างอย่างเพลิดเพลิน แม้จะถูกพาให้เดินวนเป็นวงกลมซับซ้อนก็ไม่คิดบ่น กระทั่งมันพามาหยุดอยู่ตรงพื้นที่หน้าเรือ เทียนที่ถูกวางขนานกันมาเป็นเส้นทางกระจายตัวออกเป็นวงกว้าง และที่จุดกึ่งกลางของวงกลมที่ว่างเปล่า...มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
ภามไม่ได้ใส่ชุดสูทหรูหราให้เข้ากับสถานการณ์อะไร เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้นยาวเท่าเข่า ทั้งยังไม่ได้ใส่รองเท้าเลยด้วยซ้ำ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนวันนี้เขาดูดีมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงเทียน...หรือเป็นรอยยิ้มน่ามองนั่นกันแน่
“ผมไม่ใช่คนโรแมนติก...” เขาพูดขึ้นช้าๆ ในขณะที่ผมเดินเข้าไปหาทีละก้าว
“ถ้านายเป็นพวกโรแมนติกฉันคงรู้สึกแปลกๆ” ผมหัวเราะอย่างจริงจัง คิดตามที่พูดจริงๆ เพราะตัวเองก็นึกภาพภามโรแมนติกไม่ออกเหมือนกัน “เหมือนที่รู้สึกอยู่ตอนนี้”
“ถ้าผมบอกว่าไม่ได้คิดเอง คุณจะผิดหวังหรือเปล่า”
“โล่งอกต่างหาก” ว่าแล้วก็เงยหน้ามองคนสารภาพผิดยิ้มๆ “ถ้านายคิดเองนี่ฉันต้องหัวใจวายตายแน่ๆ”
คนฟังยิ้มจาง มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกลี่ยแก้มผมอย่างอ่อนโยน ในขณะที่แววตาของเขาส่งผ่านความรู้สึกมากมายมาให้ ไม่ต่างจากผมที่กำลังมองเขาด้วยแววตาแบบเดียวกัน
“อันที่จริง...เก้าบอกให้ผมชวนคุณเต้นรำด้วย เสร็จแล้วถ้าหลอกจูบได้เมื่อไหร่ คุณก็จะยอมให้ผมกอด”
“…ที่พูดมานั่นไม่ได้ตั้งใจทำลายบรรยากาศถูกไหม” แค่ได้ยินชื่อไอ้เก้าก็คิ้วกระตุกแล้ว ผมมั่นใจว่ามันต้องเคยโดนมาก่อนแน่ๆ ถึงได้กล้าแนะนำอะไรน่าอายแบบนั้นให้ภามทำตาม
บอกให้ผู้ชายอายุสามสิบเต้นรำเนี่ยนะ...ถามจริง
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเต้นรำไม่เป็น” ภามพูดหน้าตาย ทำเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น “เพราะถ้าเต้นเป็นคงไม่ยอมเฉลยให้คุณฟัง”
“พวกนายเหมาะเป็นเพื่อนกันจริงๆ” ผมแขวะอย่างอดไม่อยู่ บรรยากาศดีๆ ที่สร้างมาปลิวไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้
พอเห็นภามเอาแต่ยิ้มไม่พูดอะไรแล้ว ผมเลยเดินไปเกาะขอบเรือ สายตามองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าที่เห็นชัดเอามากๆ ด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้มาดูดาวในทะเลแบบนี้มาก่อนเลย มันสวยมากจริงๆ นั่นแหละ แตกต่างจากในกรุงเทพฯ อย่างเห็นได้ชัดชนิดที่เอาไปเทียบกันแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“สุขสันต์วันเกิดอีกรอบนะ” เสียงกระซิบข้างใบหูมาพร้อมกับอ้อมกอดอบอุ่นของคนที่เข้ามาโอบผมไว้จากทางด้านหลัง
ในที่สุดก็รู้แล้วว่าจุดประสงค์ของภามคืออะไรกันแน่...
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องทำอะไรให้ก็ได้” เพราะของขวัญที่เขาบอกผมได้รับมาตั้งนานแล้วจริงๆ
“ผมมีของขวัญให้คุณอีกอย่าง”
ผมเงยหน้ามองภามด้วยความแปลกใจ ก่อนจะต้องแปลกใจหนักกว่าเก่าเมื่อเขาเอากล้องสุดหวงที่พกติดตัวมาโดยตลอดคล้องลงบนคอผม
“กล้อง...”
“เปิดดูสิ”
เพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ผมจึงได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง สุดท้ายคนด้านหลังถึงได้กอบกุมมือผมที่ถือกล้องไว้ แล้วใช้ปลายนิ้วของเขาเปิดหน้าจอให้ดูภาพด้วยตัวเอง
“ภาม…”
“นี่คือภาพตอนผมออกเดินทางครั้งแรก” เขาวางคางลงบนไหล่ผมแล้วชี้ชวนให้หันกลับไปสนใจภาพบนหน้าจอ กระทั่งผมยอมมองแล้ว อีกฝ่ายถึงได้กดเลื่อนไปยังภาพต่อไป พร้อมกับพูดอธิบายไปเรื่อยๆ “อันนี้เป็นตอนไปฝึกยูโด...”
เรายืนกอดกันดูภาพถ่ายในกล้องอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แรกๆ ผมยังงุนงงไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อผ่านไปสองสามภาพก็หลุดเข้าไปในห้วงอารมณ์ของความอยากรู้อยากเห็น จนเผลอถามนั่นนี่ออกไปหลายอย่าง ปล่อยให้ภาพเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังอย่างสนุกสนาน
“ที่นี่ฝรั่งเศสหรือเปล่า...”
“ใช่”
“ว้าว...ฉันอยากไปมากเลย”
“สักวันผมจะพาไป” เขาบอกแล้วเลื่อนนิ้วกดภาพถัดไป
ทุกภาพที่ภามถ่ายออกมาเต็มไปด้วยความทรงจำและความรู้สึกมากมาย ชนิดที่ว่าต่อให้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นกับเขา ก็ยังรับรู้ถึงความรู้สึกพวกนั้นได้ ที่ภามเคยบอกว่าเขาจะถ่ายตามอารมณ์ของตัวเองในยามนั้นมันไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด เพราะยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ รอยยิ้มของผมก็เริ่มจืดจางลงเรื่อยๆ กลายเป็นต้องเม้มปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ภายในแทน
“ตอนนี้ผมได้เจอคุณแล้ว...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใส ขณะเลื่อนดูภาพผมที่ถูกแอบถ่ายทีละรูปอย่างใจเย็น
“…”
“คุณจำที่ผมเคยบอกว่ารูปที่ผมถ่ายบอกเล่าเรื่องราวได้มากมายแม้กระทั่งอารมณ์ของผมในยามนั้นได้หรือเปล่า” หน้าจอกล้องถูกหยุดลงที่ภาพถ่ายคู่กันของเราสองคน ซึ่งตอนนั้นเราถ่ายด้วยกันในวันสุดท้ายก่อนจะต้องแยกย้ายเมื่อเข้าเมือง
“จำได้..."
‘สำหรับผม รูปที่ถ่ายออกมาไม่ใช่แค่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามของสถานที่นั้นๆ แต่มันบอกเรื่องราวได้มากมาย แม้กระทั่งอารมณ์ของผมในยามที่กดถ่ายออกมา’“คุณมองเห็นความแตกต่างของรูปพวกนี้ไหม...”
“…” ผมเม้มปากแน่น ไม่ยอมตอบคำถาม
“ตอนออกเดินทาง ผมมองเห็นความสวยงามของสถานที่ แต่ไม่เคยมีความสุขกับมันเลยนิด” อ้อมกอดที่รัดเอวผมไว้กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย “จนได้มาเจอคุณ โลกของผมถึงได้กลับมามีสีสันอีกครั้ง”
“…"
“ผมให้กล้องตัวนี้กับคุณ เพราะมันคือกล้องที่บันทึกเรื่องราวของการเดินทางอันยาวนานเพื่อตามหาความสุขของผมเอาไว้” เขากระซิบบอก ก่อนจะกดริมฝีปากอุ่นร้อนลงตรงข้างแก้มของผมแผ่วเบา ส่งผ่านความอบอุ่นและความรักมากมายมาให้ “แต่เพราะไม่ต้องตามหาอีกแล้วผมถึงอยากให้คุณเก็บมันเอาไว้ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่ผมทุ่มเทมาโดยตลอด...”
“…”
“ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้พบคุณเท่านั้น”
ผมแกะแขนภามออกจากเอว หมุนตัวกลับไปหาแล้วพุ่งเข้าไปกอดเขาไว้แน่น ความรู้สึกมากมายมันตื้ออยู่ในอกจนไม่รู้ว่าต้องพูดออกมาอย่างไรถึงจะอธิบายได้หมด ผมไม่ได้สะอึกสะอื้น ไม่ได้เศร้าเสียใจ แต่ที่น้ำตาไหลเป็นเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเหนื่อยมามากขนาดเพียงเพื่อให้เราได้เจอกัน แล้วผมก็ดีใจเหลือเกินที่เขาพยายามมากขนาดนี้
“อย่าร้อง...” ภามดันตัวออกแล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน
“ภาม…”
“หืม”
“วันนี้นายยังไม่ได้ถ่ายรูปฉันเลย”
เขาเลิกคิ้ว ทำหน้าตาประหลาดใจ แต่แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเข้าใจความหมายที่ผมต้องการสื่อ
‘หนึ่งภาพถ่ายคือหนึ่งเรื่องราวที่ผมจะเก็บเอาไว้ในความทรงจำ และจากวันนี้ ผมจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณทุกวัน...จนกว่าคุณจะคิดตรงกันกับผม’“แล้วคุณคิดตรงกันกับผมหรือยัง”
ผมฉีกยิ้มกว้าง แสร้งทำหน้าตาคล้ายจะบอกว่ายังต้องถามอีกเหรอ แล้วก็เปลี่ยนเป็นพุ่งเข้าไปกอดเขาแน่นพร้อมตอบคำถามที่ติดค้างไว้ในใจมาเนิ่นนาน
“ตรงตั้งนานแล้ว”
“ถ้างั้นจากวันนี้...ผมจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณทุกวัน จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตเราเลยดีไหม”
“ดี!”
ภามหัวเราะมีความสุขแล้วโยกตัวไปมา แกว่งผมให้เอียงตัวตามการชักนำของเขาไปด้วย แต่ไม่รู้แกว่งไปแกว่งมาอีท่าไหน สุดท้ายถึงล้มลงไปกองอยู่กับพื้นกันทั้งคู่ แต่โชคดีที่ภามรับแรงกระแทกไว้แทนทั้งหมด ผมเลยไม่ได้ทำลายบรรยากาศด้วยการร้องโอดโอย
“ท่านี้สบายเหรอ” คนที่ถูกผมทับตัวไว้เอ่ยถาม
“มากๆ”
“งั้นก็โอเค” เขาว่าแล้วบีบแก้มผมไปมา ปล่อยให้ผมจ้องหน้าโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน
“จำได้ไหมตอนที่เราตัดสินใจออกเดินทางไปด้วยกัน นายบอกว่านายจะได้เจอคำตอบของตัวเอง ส่วนฉันจะเจอหนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่เป็นอยู่” ผมก้มลงงับปลายจมูกนั่นเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว “ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองขาดหายไปคืออะไร”
“…”
“คำตอบสำหรับทุกคำถามก็คือนาย”
คนฟังประคองแก้มผมไว้ บังคับให้โน้มลงไปหา ก่อนเขาจะกดริมฝีปากลงบนปลายจมูกผมแรงๆ คล้ายเป็นการเอาคืน หากคำพูดที่เอ่ยออกมากลับทำให้ใจเต้นแรงจนแทบบ้า
“คำตอบของผมก็คือคุณเหมือนกัน...อนาคิน”
“ทำไมชอบเรียกฉันว่าอนาคินนัก” ผมถามด้วยความสงสัยจริงจัง
“เพราะไม่มีใครเรียกคุณแบบนั้น”
“เหตุผลอะไรก็ไม่รู้”
“แล้วอีกอย่าง...” ภามเว้นช่วงไปเล็กน้อย ใบหน้าฉายแววเจ้าเล่ห์จนผมเผลอขยับตัว รับรู้ได้ว่าควรลุกออกจากตัวเขาเดี๋ยวนี้ก่อนจะแย่ แต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะโดนรวบเอวเอาไว้แน่น
“หือ”
“ไม่บอกดีกว่า” ว่าจบคนนิสัยไม่ดีก็พลิกตัวกะทันหัน ไม่รอให้ถูกโวยวายใส่ด้วยความอยากรู้ เขาก็โน้มใบหน้าลงมาปิดกั้นช่องทางในการพูดของผมอย่างรวดเร็ว
เอาเถอะ...ยังมีเวลาอีกมากมายให้ตามหาคำตอบ
เพราะเรายังต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน
.
.
ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นคนหมดไฟที่รู้ตัวว่าต้องการบางสิ่งมาเติมเต็มแต่กลับไม่เคยคิดตามหามัน ผมเคยคิดว่าต่อให้ไม่มีสิ่งนั้นมันก็ไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตมากมาย ถึงเวลานั้นผมก็ยังเป็นหมอเจได ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยต่อไป ไม่จำเป็นต้องออกไปค้นหา เป็นตัวขี้เกียจที่เอาแต่รอให้สิ่งที่ว่านั่นวิ่งเข้ามาหาตัวเองก็ดีอยู่แล้ว
แต่แล้วเขาก็เข้ามา...
คนที่ทำให้หัวใจสูบฉีดอยู่ตลอดเวลา คนที่ทำให้ตอนตื่นเช้าขึ้นมาทุกวันดูมีความหมาย เขาคือคนที่ตรงข้ามกับผมแทบทุกอย่าง เป็นคนที่ออกเดินทางเพื่อตามหาสิ่งที่ต้องการโดยไม่ย่อท้อ แตกต่างจากผมที่เอาแต่หลบอยู่ในพื้นที่ของตัวเองเพียงลำพัง ทว่าวันหนึ่งเขาก็เดินเข้ามาหา ลากผมออกไปจากมุมมืด ทำให้ผมได้รู้จักกับความหมายของคำว่าชีวิต
และท้ายที่สุดคือทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่า ‘รัก’
เพราะแบบนั้นผมถึงนึกขึ้นได้ เพราะแบบนั้นผมถึงได้เข้าใจ ว่าที่ผมได้เจอสิ่งที่ขาดหายไป มันไม่ใช่เพราะผมไม่พยายาม ไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นวิ่งเข้ามาหาตัวเอง...
แต่เป็นเพราะเขาช่วยพยายามในส่วนที่ขาด...เราถึงได้มีกันจวบจนทุกวันนี้
ดังนั้นต่อจากนี้ผมจะพยายามไปพร้อมกับเขา
จะยอมทำทุกอย่างเพื่อเรา
ขอแค่ให้เขาเป็นภามของผม
ให้ผมเป็นอนาคินของเขา
ทั้งจากนี้และตลอดไปก็พอ
END
TALK : จบแล้วค่า ขอบพระคุณทุกคนที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ ทั้งคนที่เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ และคนที่ติดตามมาตั้งแต่เรื่องแรกที่เจไดปรากฏตัว ยันเรื่องที่สองที่น้องภามตามมา สุดท้ายเขาก็ได้มาคู่กันจนได้ ฮ่าๆ
ตอนแรกเราเคยบอกว่าจะปล่อยให้เจไดเป็นโสด ไม่มีคู่ให้นาง แต่พอมาเขียนภูเก้า(คู่พี่ชายภาม) ความรู้สึกที่มีคืออยากเห็นภามมีความสุข น้องเจออะไรมาเยอะมาก ไม่ใช่แค่ PTSD ไม่ใช่แค่โรคซึมเศร้า มันมากยิ่งกว่านั้นจนทำให้เด็กคนหนึ่งไม่มีแม้กระทั่งความสุข เราเลยคิดว่าเจไดน่าจะเป็นคนนั้นได้ เพราะนางก็มีสิ่งที่ต้องการเหมือนกัน สรุปเลยกลายเป็นคนสองคนที่เข้ากันได้ คอยฮีลกันจนหายดี แฮปปี้น่าอิจฉาไปซะอย่างนั้น
สำหรับอนาคินจะเปิดพรีช่วงเดือนมกราคม2019กับสำนักพิมพ์ฟาไฉนะคะ(2เล่มจบ+BOX) เดี๋ยวใกล้ๆจะถึงเวลาเราจะมาแจ้งในหน้านิยาย แล้วก็จะเอาตัวอย่างตอนพิเศษในเล่มมาลงให้ด้วย (ตอนพิเศษในเล่มมี 9 ตอนเต็มๆ ยาวเท่าตอนหลักเลย)
ทั้งนี้ก็อยากจะฝากผลงานเรื่องเก่าๆ และเรื่องต่อๆไปของเราไว้ด้วยนะคะ หวังว่าจะได้พบกันใหม่ในงานเรื่องต่อไปน้า
สำหรับนิยายเซตนี้ (ออกซิเจน ไนโตรเจน อนาคิน) ยังเหลืออีกหนึ่งคู่คือคู่ของน้องมูนน้องระที่น่าจะได้เจอกันต้นปีหน้าค่ะ(น้องมูนเคยปรากฏตัวในออกซิเจน) แล้วก็มีเซต 3KINGS ที่คู่สองใกล้ออนแอร์แล้วด้วย (ยังมีโปรเจกต์ลับอีกมากมายเลย ยังไงรอติดตามได้นะคะ)
ขอบพระคุณค่ะ
Chesshire
ช่องทางการติดตาม FB Page : Chesshire. // Twitter : @Chesshire04