-0-
คนที่รู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไป
ส่วนใหญ่มักจะตั้งตารอโดยไม่รู้ตัว
คนบางคนตั้งใจแทบตายกลับไร้ซึ่งเงา
เฝ้ารอชั่วชีวิตกลับไร้วี่แวว
แต่กับบางคนที่รู้ว่าขาด หากไม่เคยคิดหากลับได้มาครอบครองอย่างง่ายดาย
ก่อนเคยคิดว่าโชคดี
ทว่าเมื่อถึงวันหนึ่ง ‘ผม’ ก็เข้าใจ
มันไม่ใช่เพราะไม่คิดหาจึงได้มา
แต่เป็นเพราะ ‘เขา’ ช่วยพยายามในส่วนที่ขาด
‘เรา’ ถึงได้มีกันจวบจนทุกวันนี้
ทำไมคนเราถึงร่าเริงได้ขนาดนั้น...
ผมมองภาพเด็กผู้ชายสองคนในชุดนักศึกษาหัวเราะใส่กันเสียงดังแบบไม่สนใจโลกด้วยแววตาเฉื่อยชา ถึงแม้จะตั้งคำถามกับตัวเองในใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรนัก เด็กสองคนนั้นไม่ได้หน้าตาดี และต่อให้หน้าตาดี หรือต่อให้ผมชอบผู้ชาย ณ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำให้ผมสนใจได้มากเท่าหนังตาตัวเอง
อา...จะปิดอีกแล้ว
“มึงดูตาลุงนั่นดิ”
เสียงที่ดังเข้าหูไม่ได้ทำให้ผมสะกิดใจอะไรในวินาทีแรก แต่แล้วเมื่อประโยคต่อไปดังตามมา ผมเลยจำเป็นต้องฝืนถ่างหนังตาที่ใกล้จะปิดเต็มทีออกเพื่อหันไปมองเจ้าของเสียง
“จ้องพวกเราใหญ่เลย เฒ่าหัวงูเปล่าวะ”
ภาพที่เห็นคือเด็กสองคนที่ทำตัวน่ารำคาญมาโดยตลอดกำลังทำตัวน่ารำคาญมากขึ้นโดยการหันมานินทาผมระยะเผาขน
“ไม่มั้ง ใส่เสื้อกาวน์ด้วย ไม่ใช่หมอเหรอวะ”
“หมอห่าไรหนวดเฟิ้มขนาดนั้น โทรมฉิบหาย บอกว่าเป็นคนไร้บ้านยังน่าเชื่อกว่าเลย”
อดคิ้วกระตุกหน่อยๆ ไม่ได้เมื่อได้ยินคำนินทาเหมือนเกลียดกันมาสิบชาติ แต่ผมก็ยังทำหน้าง่วงอ้าปากหาวไม่สนใจต่อไป ใจคิดเพียงว่าเมื่อไหร่กาแฟที่สั่งจะได้เสียที ผมจะได้ไสหัวไปจากตรงนี้ ไม่ต้องโดนสายตาหลายคู่จับจ้องเหมือนเป็นตัวสกปรก
“ไอ้ห่านี่...ไปว่าเขาอย่างนั้น เดี๋ยวเขาได้ยินก็มีเรื่องหรอก”
เออ...รู้ตัวสักที
“ไม่ได้ยินหรอกน่า”
โทษนะน้อง...พี่ไม่ได้หูหนวก
“ไม่ได้ยินก็ไม่ควรนินทาโว้ย ไปเร็วๆ เลย เดี๋ยวก็โดนพี่ที่กองประกวดแดกหัวหรอก”
อ๋อ...ที่แท้ก็เด็กปีหนึ่ง ว่าแต่หน้าแบบนั้นได้ประกวดกับเขาด้วยเหรอวะน่ะ
ผมส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความอ่อนใจ ได้แต่หวังว่าน้องคณะตัวเองจะไม่ส่งคนหน้าตาแบบไอ้เด็กนั่นไปทำให้คณะอับอายขายขี้หน้า เห็นแบบนี้ผมก็เคยเป็นเดือนคณะมาก่อนนะ ถึงไอ้เด็กนั่นจะด่าแบบนั้น แต่ตำแหน่งรองเดือนมหา’ลัยน่าจะการันตีได้พอสมควรว่าผมเคยดูดีขนาดไหน
อืม...เคย
มองสภาพตัวเองในกระจกของร้านกาแฟแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด
หัวฟูๆ กับหนวดเคราเฟิ้มเพราะขี้เกียจโกนนี่คงปิดบังความดูดีของผมไปจนหมดแล้ว ไหนจะขอบตาดำเหมือนหมีแพนด้านี่อีก แล้วอะไรคือท้องแบนๆ นุ่มนิ่มกับแขนที่ไร้ซึ่งกล้ามเนื้อ หมดสภาพเดือนคณะที่เคยขึ้นไปถอดเสื้อโชว์หุ่นฟิตปั๋งบนเวทีเสียสนิท ตอนนี้สภาพใกล้เคียงกับเต้าหู้ยี้เต็มทน จับตรงไหนก็อ่อนนุ่มปวกเปียก ทุเรศตัวเองก็ทุเรศ แต่จะให้ลุกขึ้นออกกำลังกายก็ขี้เกียจ
“คุณหมอเจไดคะ กาแฟได้แล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกายกัน ในเมื่อชีวิตติดอยู่กับโรงพยาบาลแบบนี้ ถามว่ามีใครบังคับหรือเปล่าก็ไม่ ทุกอย่างผมเลือกเองทั้งนั้น คิดแล้วก็เครียด เครียดแล้วก็ต้องดูดกาแฟให้หายง่วง
‘หมอเจได’ คือชื่อที่ใครหลายๆ คนใช้เรียกผม จำได้ว่าตอนจบใหม่ๆ แล้วได้เข้ามาทำงาน ได้มีห้องตรวจเป็นของตัวเองครั้งแรก ผมดีใจจนเนื้อเต้น เพราะในที่สุดก็ทำตามความฝันของตัวเองสำเร็จ ผมทุ่มเทให้กับการรักษาคนไข้จนลืมเรื่องอื่นๆ ไปจนหมด ทั้งเลิกเที่ยว เลิกออกกำลังกาย เลิกมันหมดทุกอย่าง ชีวิตผูกติดอยู่กับงานที่ตัวเองเลือกเพียงอย่างเดียว
แล้วตอนนี้เหรอ...
‘นายแพทย์อนาคิน’
ตามองป้ายชื่อประจำตัวด้วยความว่างเปล่า เพิ่งนึกได้เมื่อผ่านมาสามสี่ปีหลังทำงานว่าตัวเองแทบไม่เหลืออะไรเลยในชีวิต ไฟที่มีให้การทำงานในตอนแรกมอดดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมยังคงตั้งใจรักษาคนไข้ ยังคงฝืนยิ้มไม่ให้คนไข้กลัวนักแม้หน้าตาโทรมๆ นี่จะไม่เอื้อเท่าไหร่ ผมเคยคิดว่าแค่ทำงานเลี้ยงครอบครัวให้พ่อแม่ภูมิใจก็พอ อย่างอื่นช่างหัวมัน ผมไม่ได้ต้องการอะไรเสียหน่อย
แต่สุดท้าย...อะไรบางอย่างก็ยังขาดหายไปอยู่ดี
ผมตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้สิ่งที่หายไปมันจำเป็นกับตัวเองตรงไหน แล้วก็นั่นแหละ...ช่างหัวมันเหมือนเคย คิดแล้วก็เหนื่อยจนต้องก้มหน้าลงเพื่อพักสายตา แต่เมื่อเห็นรายชื่อคนไข้ในความดูแลที่ยาวเป็นแถบ แทนที่จะดีขึ้นกลับกลายเป็นแย่ลงซะงั้น
อยากย้อนกลับไปตอนเรียนมหาลัย...ไม่สิ...ต้องบอกว่าตอนมัธยม อย่างน้อยชีวิตก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมายขนาดนี้
จะว่าไปไอ้เด็กสองคนนั้นที่นินทาผม...
เพิ่งจะนึกออกว่ามันใส่ไทด์ของคณะแพทย์...
หึ...
จบมหา’ลัยเมื่อไหร่ เดี๋ยวมึงรู้เลย!
“เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณหมอ”
ไม่เจอได้ไหม...
“เจอกันครับ”
ผมฉีกยิ้มให้คุณพยาบาลพอเป็นพิธีแม้ไม่รู้ว่าเธอจะเห็นหรือเปล่า จากนั้นก็รีบสะพายกระเป๋าประจำตัวแล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือเตียงนอน และอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการเดินไปขึ้นรถโดยไม่ต้องโดนเรียกตัวกะทันหัน
นั่นไง! ขอแค่ได้ออกประตูนั้นไปก็จะไม่มีอะไรมาฉุดรั้งผมไว้ได้อีก...
มือที่กำสายสะพายกระเป๋ากำแน่นขึ้น ขณะที่มืออีกข้างดึงปีกหมวกให้ปิดใบหน้ามากกว่าเดิมโดยตั้งใจ ผมรีบสาวเท้าเดินให้ไวขึ้น อีกนิดเดียว...
“คุณหมอเจไดครับ”
“…”
“คุณหมอครับคุณหมอ” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้รอยยิ้มที่เกือบจะมีเลือนหายไปกลางอากาศ
ผมหยุดเท้าทั้งสองข้างก่อนจะถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้งแล้วหันกลับไปมองคนเรียก บุรุษพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม ถ้าจำไม่ผิดหมอนี่น่าจะชื่อตูน ตาม ตาน อะไรสักอย่าง ผมเคยคุยด้วยอยู่ไม่กี่ครั้ง และดูเหมือนแต่ละครั้งจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก
“ว่าไงครับ”
“ท่านผอ.ฝากบอกว่าวันนี้จะกลับไปทานข้าวด้วยนะครับ”
“…”
“ผมขอตัวนะครับ” นายตูนตานตามอะไรสักอย่างยกมือไหว้ผมอย่างสุภาพ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปในทันที ทิ้งให้ผมยืนทำหน้าตายอยู่คนเดียวที่ด้านหลัง
สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้...
นอกจากตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ที่เคยโดนเรียกไปคุยด้วยและบอกให้ตั้งใจทำงาน คนคนนั้นก็ไม่เคยเรียกผมไปคุยเป็นการส่วนตัวอีกเลย ถึงจะบอกว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย แต่สำหรับ ‘พ่อลูก’ ที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันมาสามปีมันก็ออกจะแปลกไปหน่อย ยิ่งให้คนมาบอกเหมือนจะให้ผมรอกินข้าวด้วยแบบนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่...
ช่างเถอะ เดี๋ยวก็คงได้รู้เอง
เมอซิเดสสีดำคันโปรดที่เคยดีใจนักหนาตอนได้ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองไม่ได้ทำให้ผมตื่นเต้นอีกแล้ว วินาทีนี้อยากจะหายตัวกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วนอนหลับแบบไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย อย่างน้อยก็ขอให้ดวงตาช้ำๆ นี่ดีขึ้นสักนิดก็ยังดี
ถนนที่คุ้นเคย...
สองข้างทางที่คุ้นเคย...
ร้านค้าที่คุ้นเคย...
ทำไมชีวิตคนเราถึงต้องติดอยู่กับอะไรที่ซ้ำซากจำเจแบบนี้นะ
เลือกเองไม่ใช่เหรอ
เออ...รู้แล้วน่า ย้ำตัวเองจัง
รถก็ยังติดเหมือนเคย...
นั่นไง เลขหนึ่งร้อยยี่สิบสีแดงขึ้นมาอีกแล้ว
ระหว่างที่รถติดไฟแดงอยู่คันหน้าสุด ผมทอดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความเบื่อหน่าย มองทั้งเสาไฟต้นเดิม ต้นไม้ต้นเดิม ทางม้าลายที่เดิม ตึกหลังเดิม พยายามมองหาอยู่นานว่ามีอะไรที่ไม่ใช่สิ่งเดิมๆ บ้าง คำตอบคือ...ไม่มี
ส่วนคนพวกนี้แม้หน้าตาจะไม่เหมือนเดิม แต่เพราะผมไม่เคยจำหน้าได้อยู่แล้ว คำกำจัดความว่า ‘เดิมๆ’ เลยถูกใช้กับพวกเขาเช่นกัน
เมื่อไหร่จะไฟเขียวเสียที...
69
68
67
66
65
64…
ทันทีที่ละสายตาออกจากตัวเลขสีแดง ผมถูกร่มคันหนึ่งดึงดูดสายตาไปจนหมด...
มันเป็นร่มสีดำที่ดูตัดกับท้องฟ้าสีสว่างในเวลานี้โดยสิ้นเชิง อดคิดไม่ได้ว่าคนถือคงกลัวแดดน่าดูถึงได้เอาร่มมากางในเวลาข้ามถนนแบบนี้ แต่แล้วความคิดก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อไล่สายตาลงมาแล้วพบว่าเขาเป็นผู้ชาย...
61
60…
วินาทีนั้นผมเผลอจ้องมอง ‘เจ้าของความแตกต่าง’ นั่นโดยไม่รู้ตัว และในตอนนั้นเองที่ผมถูกดูดเข้าไปในห้วงอวกาศสีดำสนิทไร้ก้นบึ้ง...ยามเมื่อดวงตาสีดำสนิทบนใบหน้าสมบูรณ์แบบหันมาสบกันพอดี
หกสิบวินาทีที่ผมถูกดึงเข้าไป...
และหกสิบวินาทีที่ผมหาทางออกไม่เจอ...
เช่นเดียวกับที่เคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน
————————-