13 – อุบัติเหตุ
ใจเย็นไม่ได้ชอบดูแข่งรถ เป็นพิชญะต่างหากที่คลั่งไคล้ และตื่นเต้นดีใจกับการสร้างสนามแข่งรถมาตรฐานในประเทศตนเอง เพราะถึงจะมีเงินให้บินไปดูที่ต่างประเทศเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ แต่น้อยครั้งที่พิชญะจะได้รับอนุญาตจากแม่ของตนเอง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แม้การแข่งรถ Super GT จะถูกยกมาวางถึงในประเทศ แต่คุณแม่ทิพย์ก็ลังเลอยู่นาน จนใจเย็นเอ่ยปากบอกว่าอยากไป บอกว่าจะพาพิชญะไปด้วย นั่นแหละตัดสินใจจึงจบลง ทุกอย่างมักจะง่ายดายถ้าเป็นความต้องการของใจเย็น แม้แต่เรื่องที่อยากให้เป็นไทไปด้วยก็เหมือนกัน
เพราะกระชั้นชิดปุบปับและจำได้ว่าเป็นไทยังสอบไม่เสร็จ ใจเย็นจึงตั้งใจไปหาในเช้าของวันที่จะขึ้นเครื่อง รู้ว่าดูมัดมือชก รวบหัวรวบหาง แต่อย่างไรใจเย็นก็ไม่ได้คิดเผื่อไว้ว่าถ้าเป็นไทไม่ไปด้วยเขาจะชวนใครไปแทน บางทีอาจปล่อยที่นั่งบนเครื่องบินให้ว่างไปเลยก็ได้
ดังนั้นแล้วการที่มีเป็นไทมาอยู่ข้างๆ ตลอดการเดินทางจึงทำให้ใจเย็นรู้สึกพอใจ แม้ส่วนใหญ่เป็นการงีบหลับราวกับจะหนีหน้า ทั้งบนเครื่องบิน บนรถตู้ที่เช่าไว้สำหรับการไปไหนมาไหนในต่างถิ่น และบนห้องนอนของโรงแรมที่เป็นไทไม่ยอมให้ปิดไฟ
ตอนแรกเป็นไทยืนกรานที่จะนอนห้องเดี่ยว บอกให้ใจเย็นนอนกับพิชญะไป แต่ใจเย็นก็ยืนกรานเหมือนกันว่าจะอยู่ห้องเดียวกับเป็นไท อ้างเหตุผลสารพัดเอาแต่ใจจนเป็นไทเบื่อจะคัดค้าน ให้ใจเย็นได้นอนไม่หลับเพราะแสงไฟนีออนสว่างโร่ราวกับเป็นการแก้แค้น
กระนั้น เป็นไทก็ไม่ได้บอกเหตุผลเลยว่าทำไมถึงนอนเปิดไฟ เจ้าตัวดูตอบปัด เปลี่ยนเรื่อง ให้ใจเย็นรับรู้ได้ว่าถึงเซ้าซี้ถามไปก็เปล่าประโยชน์ เขาจึงไหลไปตามกระแสสนทนาจากเป็นไท ใจเย็นชอบเวลาที่เป็นไทเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นมาเองในความเงียบ จนจากที่ไม่ตั้งใจ ใจเย็นกลับอยากจงใจเงียบให้บ่อยครั้งขึ้น
แต่ใจเย็นก็ได้รู้ว่าการกระทำนั้นไม่ได้ผลเสมอไปถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย
มันเป็นตอนบ่ายแก่ แดดจ้า ร้อนระอุ แต่พิชญะก็ตื่นเต้นดีใจกับการได้ขอถ่ายรูปและลายเซ็นจากนักแข่งรถก่อนถึงเวลาลงสนาม มันเป็นตอนบ่ายแก่ที่ได้นั่งอยู่บนแสตนด์ที่มีหลังคาคลุมไม่ให้แสบผิวซึ่งพิชญะเลือกเอง ไม่ใช่ห้องวีไอพี และมันก็เป็นตอนบ่ายแก่ที่มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มกลืนกลบเสียงโฆษกไปหมดคำ
“มันไม่เหมือน F1 ใช่ไหมครับ สนามแข่งนี้จะปล่อยรถออกจากจุดสตาร์ทตอนรถกำลังวิ่งอยู่น่ะครับ” แล้วพิชญะก็เริ่มอธิบายหลังเป็นไทเอ่ยถาม เมื่อรถแข่งแต่ละคันเรียงแถวขับวนรอบสนามตามเซฟตี้คาร์ไปก่อนเริ่มแข่งจริง “เพราะปกติรถที่หนักกว่า เวลาออกตัวก็จะไปได้ช้ากว่า แต่การปล่อยรถแบบนี้จะทำให้ไม่เสียเปรียบ เรียกว่า Rolling Start ครับ”
ใจเย็นนั่งฟังเงียบงันเพราะเขาเองก็เพิ่งรู้ หรือจะเรียกว่าไม่ได้สนใจเรื่องรถแข่งมาก่อนก็ว่าได้ ผิดกับพิชญะผู้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวาน ไม่สิ พิชญะก็เป็นแบบนั้นเสมอมา และก็เสมอไปที่แววตาจะเป็นประกาย พูดจาฉะฉาน มีชีวิตชีวาเมื่อได้พาตัวเองเข้าข้องเกี่ยวเรื่องรถยนต์
“รถในสนามนี้แบ่งตามแรงม้าเป็น GT300 กับ GT500 ครับ วิธีแยกก็ดูพวกไฟหน้า สติกเกอร์คาดกระจกรถ และพื้นสีหมายเลขรถแข่ง ถ้าเป็น GT300 จะเป็นสีเหลือง แบบคันนั้นน่ะครับ”
ใจเย็นยังคงเงี่ยหูฟังเสียงพิชญะแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ในสนาม เหลือบมองเป็นไทที่นั่งข้างๆ ถัดไปก็เป็นพิชญะ ก่อนจะเบนสายตากลับไปในสนาม มองรถแข่งทั้งสองแบบที่ฟาดฟันหั้นห่ำกันอย่างไม่ลดละ มองจอมอนิเตอร์แสดงผลที่ทั้งอยู่ไกลและเล็ก หนำซ้ำยังน่าจะดีเลย์เพราะฟังจากการบ่นของคนด้านข้าง มองรถแข่งอีกครั้ง ก่อนจะเบนกลับมามองเป็นไท
“แล้วทำไมมันแข่งสนามเดียวกันหมดเลยล่ะ”
“ยังไงผลแพ้ชนะก็ตัดสินแยกเป็นรุ่นน่ะครับ อีกอย่างเวลาเห็น GT500 ต้องแข่งกันเองกับ GT500 และต้องหนีไม่ให้ GT300 ที่อ่อนกว่าแซงทันมันก็สนุกดีด้วย แต่ส่วนใหญ่ GT500 ก็น็อกรอบอยู่ดี”
ได้ยินเสียงตอบรับเออออของเป็นไท ใจเย็นเห็นสายตาที่มองรถแข่งในสนามแบบที่กำลังทำความเข้าใจ แน่นอนว่าใจเย็นก็ชอบสีหน้านี้ สีหน้าที่ยังไม่เคยเห็น หากก็สับสนซับซ้อนขึ้นมาจนไม่รู้ว่ารู้สึกอะไรที่สีหน้านั้นไม่ได้เป็นเพราะเขา ใจเย็นเพียงนิ่งเงียบ ฟังเสียงรถ เสียงของพิชญะที่เริ่มเงียบหายไปบ้างแต่ใจเย็นก็ยังไม่รู้จะพูดอะไร เขาพอจะรู้เรื่องรถแต่ไม่ได้รู้เรื่องรถแข่งเลยสักนิด สุดท้ายเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มยิ่งในแสตนด์ที่มีหลังคาปกคลุมให้สะท้อนก้องก็ประสานความตกร่องของบทสนทนา
ใจเย็นมองรถแข่งทั้งแบบ GT300 และ GT500 ที่พิชญะอธิบาย มองมันไล่บี้วนเวียนกันอยู่ในสนาม วนไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จนเมื่อรู้สึกว่าไร้จุดหมายเขาจึงเลือกจะตามติดรถ GT500 สัญชาติญี่ปุ่นคันหนึ่งเพราะถือเป็นจุดกำเนิดดั้งเดิมของสนามแข่ง Super GT ใจเย็นมองมันแซงรถยุโรปคันหนึ่งไป ดูได้เปรียบ ไวว่อง ล่องลอยในความเร็ว ก่อนที่จะมาถึงโค้งความเร็วสูงสุด คนขับพลาดท่าให้รถไถลไปกับขอบสนาม หน่วยแพทย์และเจ้าหน้าที่กรูกันเข้าไปดูแล พลันใจเย็นก็ไม่คิดสนใจอะไรอีกเมื่อรถกลับไปออกตัวได้อีกครั้ง เขากลับจ้องมองที่โค้งความเร็วนั้น เห็นรถคันต่อไปที่เข้ามาพลาดท่า จนคันที่สาม บ้างล้อรถ บ้างประตูเปิดอ้า และก่อนที่จะถึงคันที่สี่ เป็นไทก็หันมาพูดกับเขา
“มึงดูรู้เรื่องปะวะ” คำถามชวนให้เข้าใจว่าทำไมไม่ได้หันไปถามพิชญะ กระนั้นใจเย็นก็ยิ้มที่เป็นไทหันมาคุยด้วย
“พอรู้เรื่องครับ”
“เหรอ กูเบื่อๆ ว่ะ” เป็นไทบ่น กระนั้นก็หันกลับไปมองสนามตรงหน้าเหมือนเดิม “ดูถ่ายทอดสดในทีวีน่าจะรู้เรื่องกว่าอีก”
“ถ้าเป็นไทเบื่อ ลองมองตรงโค้งนั้นสิครับ โค้งที่สิบสอง โค้งความเร็วสูงสุดของสนาม” ใจเย็นบอกพลางชี้ทิศทาง
“เออ ทำไม”
“รถจะเลี้ยวพลาดบ่อย แล้วก็คว่ำ แก้เบื่อดีครับ”
“สัด มึงนี่โรคจิต” ทันควันที่เป็นไทออกปากด่า กระนั้นมุมปากก็ดูยิ้มขำ อาจจะเห็นด้วยกับการมองหาอะไรแก้เบื่อสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนรถแข่ง แต่ก็คงไม่ได้ติดใจภาพซ้ำเหล่านั้นเท่ากับใจเย็น แม้จะมีหลายครั้งที่ใจเย็นสลับเหลือบมองคนข้างๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวก็ตาม
จนเมื่อหมดครบ 66 รอบสนามของการแข่งขัน ประกาศผลและมอบถ้วยรางวัลให้แก่นักแข่ง ท้องฟ้าที่แดดเปรี้ยงมาตลอดบ่ายก็เริ่มเปลี่ยนสี ส่งเสียงขู่คำรามให้ไหวสะท้าน ใจเย็น พิชญะ และเป็นไทโดยสารรถสองแถวไปยังหน้าสนาม กลับขึ้นรถตู้ที่เช่าไว้สำหรับการเดินทางส่วนตัว และนั่นเองที่กลับมาชัดเจนว่าพิชญะนั้นแท้จริงเป็นคนที่งำเงียบ สงบเสงี่ยมเพียงไหน ทั้งยังอ่อนน้อมถ่อมตนจนบางครั้งใจเย็นก็อยากจะยุดยื้อให้ขึ้นมายืนบนตำแหน่งที่เท่าเทียมกันบ้าง แต่ก็เพราะแบบนั้นนั่นแหละที่ใจเย็นเป็นคนนำให้พิชญะมาที่นี่ แม้จะมีเอี่ยวผลประโยชน์ส่วนตัวที่อ้างกับคุณเกษราว่าเป็นไทจะมาด้วย ให้พอหมดกังวลไปอีกเปราะว่าไม่ได้มากันแค่สองคนพี่น้อง
กระนั้นเลย ใจเย็นก็รู้สึกว่าไม่ได้อะไรที่อยากได้จากเป็นไทเท่าที่ควร แม้จำได้ดีถึงรู้สึกที่ประทับในใจตอนทำลายกำแพงบางชั้นของเป็นไทลงได้ แต่ความเป็นจริงเป็นไทก็ยังห่างไกล อย่างเช่นตอนนี้ที่เสียบหูฟังเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นการตัดขาดไม่ต้องการสนทนาใดๆ หน้าตาเฉย
คล้ายกับตอนที่เป็นไทคุยกับพิชญะและแสดงสีหน้าสนอกสนใจในเรื่องราวใหม่ๆ ใจเย็นกำลังรู้สึกไม่ต่างจากที่รู้สึกในตอนนั้น มันสับสนซับซ้อน เข้าใจยากพอๆ กับที่เขาดูจะไม่เข้าใจอะไรในโลกนี้เลย แล้วโลกก็ยิ่งกลั่นแกล้งด้วยการเทฝนลงมา ให้ไม่ได้ไปไหนที่อยากไป ถนนคนเดินที่วางแผนกันไว้ว่าจะไปตอนค่ำก็เป็นอันยกเลิก ให้ไปแค่ห้างสรรพสินค้าในตัวจังหวัด และเพราะใจเย็นรู้สึกมืดตื้อในเรื่องราวที่อยากจะคุยกับเป็นไทไม่ต่างจากอื้ออึงของสายฝน เป็นไทที่ชวนพิชญะคุยเรื่องรถแข่งในวันนี้ระหว่างมื้ออาหารเย็นจึงดูยิ่งไม่มีที่ให้เขาแทรกเข้าไป
ประหลาด บางทีอาจเป็นคำสั้นๆ ที่สรุปความรู้สึกของใจเย็นได้ในวันนี้ และไม่มีคำอธิบายไหนดีไปกว่านั้น
จนกลับมาถึงห้อง สายฝนก็ยังคงอวดอ้างตัวเองว่าได้ครอบครองผืนแผ่นดินนี้ แม้จะชั่วครู่ชั่วยามก็ตามที เป็นไทไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียง ดูเกียจคร้าน คร้านแม้กระทั่งจะหาเรื่องคุยกับเขาที่งำเงียบ จนจังหวะที่เป็นไทวางโทรศัพท์มือถือและลุกไปค้นหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะไม้ของโรงแรม แสงจากภายนอกส่องสว่างวับวูบเข้ามาในห้องก่อนจะได้ยินเสียงฟ้าคำราม ฟาดตัวพรวดพราดมายังโลก เสียงบางอย่างระเบิดลั่น ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดชั่วพริบตา
ใจเย็นไม่ได้ตกใจอะไรเลยแม้แต่น้อย แค่คิดว่าอาจเพราะนี่เป็นโรงแรมเล็กและเก่าที่พิชญะจองได้ก่อนจะต้องระเห็จไปหาโรงแรมไกลถึงอีกจังหวัดในช่วงที่มีจัดงานแข่งใดๆ ระบบสำรองไฟจึงไม่ค่อยดีนัก
“ใจเย็น” แต่พลันก็แสลงหูขึ้นมาด้วยชื่อของตนเอง ในเมื่อเป็นไทไม่เคยเรียกชื่อของเขาเลยสักครั้ง “อยู่ไหน”
น้ำเสียงดูร้อนรนสับสนในความมืดมิด แต่ไม่ได้เงียบงันด้วยเสียงฝนยังคงเทกระหน่ำ จนเสียงเป็นไทเรียกอีกครั้งใจเย็นถึงรู้ตัวว่าไม่ได้ตอบออกไปทันที “มือถือมึงอยู่กับตัวไหม เอาออกมาส่องไฟดิวะ”
“อ่า ผมวางไว้ไหนไม่รู้ครับ”
“สัด” ด่ามาทันทีไม่พูดพร่ำทำเพลง กระนั้นใจเย็นก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรแปลกในน้ำเสียง และเพราะม่านหนาทึบที่ปิดหน้าต่างไว้ นานเท่าไหร่สายตาก็ยังปรับให้คุ้นชินกับความมืดไม่ได้ ใจเย็นจึงลุกไปควานคว้าหาเงารางของเป็นไท จับคว้าต้นแขนได้พลันก็รู้สึกถึงแรงสะดุ้ง
“ผมเองครับ” ใจเย็นเอ่ยบอก แต่เป็นไทไม่ได้ตอบอะไรกลับ ในห้วงเวลาเงียบงันของสนทนา ความทรงจำจึงไหลย้อนกลับให้ทบทวนบางอย่างได้ “เป็นไทกลัวความมืดเหรอ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ แต่ใจเย็นเดาว่าใช่ ไม่อย่างนั้นเป็นไทคงปฏิเสธมาไม่ลังเล
“งั้นเดี๋ยวผมไปหยิบมือถือเป็นไทให้ อยู่หัวเตียงใช่ไหม ผมเห็นอยู่”
“แบตหมด” ตอบสั้น แต่รู้สึกได้ถึงเสียงที่สั่น เครือ เริ่มได้ยินเสียงหายใจเหมือนพยายามหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อตั้งสติ
“ไปนั่งก่อนไหมครับ” ใจเย็นเอ่ยบอกแบบนั้น ด้วยเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรแก้ไขสถานการณ์แบบไหนหรือควรพูดอะไร แต่อย่างไรก็อาจจะดีกว่ายืนอยู่ในความมืดมิด ในเมื่อสัมผัสได้ถึงไหวสั่นจากต้นแขนของเป็นไท
“เออ ไม่ต้องไปไหนนะ” และเสียงเป็นไทก็พูดออกมาตอนที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง เคียงข้าง “ให้รู้ว่ามีคนอยู่ข้างๆ”
ใจเย็นรู้สึกว่ามันเป็นกลุ่มประโยคที่มีอิทธิพลกระทบความรู้สึกมหาศาลทั้งที่น้ำเสียงนั้นอ่อนแอ เปราะบาง และคงจะไม่พูดอะไรออกมาอีกแล้วในเมื่อจำเป็นต้องประคองไม่ให้สั่นเครือ หรือบางทีอาจจะดีขึ้นถ้าเขาหาเรื่องชวนคุย ใจเย็นอยากถามว่าทำไมถึงกลัวความมืด แต่เมื่อคิดทวนในเสี้ยววินาทีแล้วรู้สึกได้ว่าไม่ควรจึงทำให้กลืนมันลงคอและย่อยสลายไปไม่ถามออกมาในเวลานี้ เขาไม่อยากให้อะไรมันแย่ลง แต่ขณะเดียวกันความรู้สึกประหลาดสับสนซับซ้อนนั้นก็พลันหวนกลับ
ในตอนที่ใจเย็นลดระดับมือลงจากต้นแขนของเป็นไทไปจับอยู่ที่ข้อมือ ภาพของรถแข่งในสนามที่พลาดท่าในโค้งที่สิบสองกลับเลือนรางขึ้นมาในความคิด ก่อนวูบดับหายไปด้วยความรู้สึกอื่น เป็นความต้องการรุนแรงราวกับพายุฝนที่เกรี้ยวกราดให้เมืองทั้งเมืองมืดดับ ภาพของเป็นไทที่เขาจับจ้องในวันนี้คืนกลับ ภาพของสีหน้าและแววตาที่พยายามทำความเข้าใจรถแข่งในสนาม ภาพที่ดูเบื่อเพราะดูไม่รู้เรื่อง ภาพที่เขาแอบเหลือบไปจ้องมองหลายต่อหลายครั้ง ภาพอื่นในวันอื่น ภาพที่ยิ้มเมื่อแก้โจทย์เลขได้ ภาพของปุ่มที่กระดูกข้อมือที่สะดุดตาเขาในวันแรกที่พบ แล้วปัจจุบันก็พลันเลื่อนหาสัมผัสปุ่มกระดูกข้อมือนั้น ก่อนไล่ลามลงไปยังปลายนิ้วยาวที่จับแก้วน้ำเย็นชวนดื่มในวันที่อากาศร้อนจัด
เป็นไทนิ่งเงียบ ไร้ปฏิกิริยาตอบกลับ และอาจเป็นใจเย็นเองที่เริ่มสั่นไหว พรั่นกระเพื่อมในจังหวะหายใจ บางอย่างบีบรัดกลางอก อกที่ไม่เคยทำให้เขารู้สึกเข้าใจอะไรเลยสักอย่าง พลันภาพของรถแข่ง GT500 คันที่ชนขอบสนามก็เด่นชัดขึ้นมาในความคิด เขาเห็นถึงล้อที่หลุดออกจากตัวรถ สีข้างถลอกปอกเปิด และภาพอุบัติเหตุในสนามก็หยุดลงแค่นั้น
พร้อมกับมืออีกข้างที่เอื้อมออกไปหมายจะสัมผัสให้ถึงตัวตนทั้งหมดของเป็นไท
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------