บทที่ 39 – ความเป็นผู้ใหญ่ 2 “แล้วนายก็เดินหนีออกมาดื้อๆเลยเหรอ” เบสท์ถามด้วยความตื่นเต้น ดวงตากลมโตลุกวาวราวกับว่าเรื่องที่ได้ฟังเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์นัก
ฟินพยักหน้าเบาๆพลางถอนหายใจ เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องขบขันอย่างที่ทุกคนคิด ตรงกันข้ามมันเป็นเรื่องที่กดดันใจเขาอย่างมาก “มันน่าขำตรงไหนติณณ์” เขาหันไปถามติณณ์ที่นั่งอยู่ข้างๆอินตา
ติณณ์หัวเราะร่า น้ำหูน้ำตาแทบไหล “ก็พี่มีนเคยบอกว่าพี่ฟินน่ะกลัวพ่อมาก ขนาดที่ว่าไม่กล้าเถียงเลยสักแอะ พอมาฟังเรื่องวันนี้ก็เลยขำๆน่ะ นึกภาพไม่ออกเลยว่าพ่อของพี่จะทำหน้ายังไง”
“จะทำหน้ายังไงล่ะ นอกจากโมโหจนแทบกระอักเลือด” ฟางข้าวเสริม ฟินหันไปทำตาเขียวใส่เธอก่อนจะพูดต่อ “พ่อคงไม่คิดว่าเราสองคนจะกล้าเถียง ลำพังฉันคนเดียวไม่เท่าไหร่หรอก แต่แม่ตัวดีคนนี้ดันพูดจาไม่เกรงกลัวฟ้าดินออกไปน่ะสิ”
“เยี่ยมมากสาวน้อย พี่ว่าถึงเวลาที่เราต้องพูดอะไรออกไปบ้างล่ะนะ เพราะบางทีการแข็งข้ออาจจะทำให้พวกผู้ใหญ่ตาสว่างขึ้นมาบ้าง” ติณณ์ขยิบตาให้ฟางข้าว
ฟินปรายตามองอย่างขัดใจ สองคนนี้อยู่ด้วยกันทีไรเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทุกที
อินตาที่นั่งฟังอยู่นานก็แสดงท่าทางเห็นด้วยกับคำพูดของติณณ์ เธอคิดว่า บางครั้งพวกผู้ใหญ่ก็คงต้องการคำแนะนำดีดีจากเด็กอย่างเราบ้าง แต่คิดไปคิดมา... พวกเราๆที่นั่งอยู่ ณ ตรงนี้ ก็ไม่ใช่เด็กกันเสียแล้ว
“อินว่ามันยากนะที่จะเปลี่ยนความคิดของคนเป็นพ่อเป็นแม่” อินตาบอก
ทุกคนในวงสนทนาถกเถียงกันไปมาถึงประเด็นนี้ ในขณะที่ฟินก็กำลังขบคิดว่าจะวุ่นวายไปทำไม ในเมื่อเรื่องของเขาและภีมก็จบไปตั้งนานแล้ว ต่อให้ไม่มีอุปสรรคอะไร เขาสองคนก็คงไม่มีวันหวนกลับมาเดินเส้นทางเดิมที่เคยเดินด้วยกันอีกแล้ว
เพราะตอนนี้ ต่างคนก็ต่างโตขึ้น ต่างก็มีหนทางเป็นของตัวเอง ยิ่งเวลาสี่ปีที่ไม่ได้ติดต่อหากัน มันยิ่งทำให้คิดได้ต่างๆนานา ภีมอาจจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เรื่องที่เคยเกิดขึ้นอาจจะถูกวันเวลาลบเลือนหายไปจนกลายเป็นเพียงภาพอดีตที่ไม่น่าจดจำ
สี่ปี มันนานเสียยิ่งกว่านาน นานพอที่จะทำให้ความทรงจำต่างๆถูกบิดเบือนไป นานพอจะทำให้คนๆหนึ่งทิ้งอดีตไว้เบื้องหลังและตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
แต่... สำหรับฟิน ช่วงเวลาสี่ปีทำให้เขาได้คิดและเข้าใจตัวเองมากขึ้น คนเราถ้าลองได้รักใคร มันจะฝังใจอยู่อย่างนั้นจนยากที่จะลืมเลือน ยิ่งพยายามลืมเท่าไหร่ ความทรงจำนั้นกลับยิ่งตราตรึง ฝังแน่นในใจจนลึกลงไปทุกที
“คิดอะไรอยู่น่ะ” เบสท์ตบหลังฟินเบาๆ พอให้เขาได้สติ ฟินคงไม่รู้ตัวเองว่าตอนนี้ดวงตาของเขาช่างเคว้งคว้างและล่องลอยมากเพียงใด
ฟินส่ายหน้าแทนคำตอบ เบสท์ยิ้มบางๆอย่างเข้าใจ ถ้าผู้ชายคนนี้ส่ายหน้าแสดงว่าต้องมีอะไรอย่างแน่นอน “คิดอะไรอยู่ พูดออกมาซะดีดี”
“ไม่มีอะไรซักหน่อย” ฟินปฏิเสธ
“เก็บไว้คนเดียวมันดีนักหรือไง มีอะไรก็บอกกันสิ เราเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” เบสท์ทำหน้าจริงจังจนฟินต้องใจอ่อนพูดออกไป
“คิดอยู่ว่าฉันจะมานั่งกลุ้มใจเรื่องนี้ไปทำไม ในเมื่อฉันกับภีมก็จบกันไปแล้ว ภีมก็อาจจะไม่เหมือนเดิม”
เบสท์เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องแล้วพูดออกมาเบาๆ “ภีมมันลืมยากกว่าที่นายคิดนะ บางทีตอนนี้เขาอาจกำลังคิดเหมือนที่นายกำลังคิดอยู่ก็ได้ คิดว่าอย่างไรซะ มันคงไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม”
“แต่ภีมเลือกที่จะไป” ฟินเถียง
“จำไม่ได้หรือไงว่าทำไมภีมต้องไป ถ้าจำไม่ได้ฉันจะบอกให้ฟังอีกรอบ”
“ไม่ต้องหรอก แต่ฉันรู้สึกว่าภีมไม่น่าหายไปอย่างนี้ หายไปเหมือนกับว่าจะไม่เจอกันอีกตลอดชีวิต” ฟินพูดแล้วก็ถอนหายใจ การวกวนคิดเรื่องนี้ทำให้เขาจิตตกอยู่ร่ำไป ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ช่วยให้เขาเข้มแข็งขึ้นเลยสักนิดเดียว
“ฉันว่าภีมคงตั้งใจจะลืมจริงๆนั่นล่ะ ภีมคงอยากตั้งต้นชีวิตใหม่ แต่อยู่ที่ว่า... เขาจะลืมและเริ่มชีวิตใหม่ได้หรือเปล่าก็เท่านั้นเอง” เบสท์พูดพลางถอนหายใจ
“แต่ฉันเชื่อว่าคนอย่างภีม ถ้าจะลืม... ก็ต้องลืม” ฟินบอก
“แต่ฉันก็เชื่อเหมือนกันว่าคนอย่างภีม ยิ่งจะลืม... ก็ยิ่งจำ” จบประโยคนี้ เบสท์ก็ลุกขึ้นเดินหนีไป เธออยากให้ฟินได้อยู่คนเดียวเพื่อใช้ความคิด ความคิดที่มีแต่ความรู้สึกของเขาไม่ใช่เอาความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นมาเจือปนด้วย
แต่สิ่งที่ฟินคิดอยู่อย่างเดียวตอนนี้ก็คือ มันไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน
ภูรดานั่งทำงานอยู่ในห้องอย่างเคร่งเครียด หลายวันมานี้ ยอดขายของบริษัทลดลงไปมากจนน่าตกใจ ทั้งๆที่เป็นบริษัทส่งออกอันดับหนึ่งแท้ๆ แต่ตอนนี้ยอดสั่งซื้อกลับต่ำลงจนน่าใจหาย เช็คไปเช็คมาก็พบว่า ลูกค้าที่เคยสั่งซื้ออัญมณีจากพิริยะ กลับหันไปสั่งซื้อกับอีกบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นคู่แข่งกัน
มันน่าแปลกที่อยู่ๆลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจกับพิริยะมากว่าสิบปีเลือกที่จะสั่งซื้ออัญมณีจากที่อื่น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายไปยังท่านรองประธาน นั่นก็คือ ภีมดา แม่ของเธอเอง
ภีมดากำลังง่วนอยู่กับการคัดเลือกแบบสร้อยเพชร เมื่อเลขาส่วนตัวเดินเอาโทรศัพท์มาให้ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที “ใครกัน โทรมาเวลานี้ เธอก็อีกคน ไม่รู้จักพูดออกไปว่าฉันไม่ว่าง”
“คุณภูโทรมาค่ะ บอกว่ามีเรื่องสำคัญ” เลขานุการสาวบอกเสียงแผ่วแล้วเดินออกไปจากห้องทันที
ภีมดาละสายตาจากแบบสร้อยเพชรกว่าหนึ่งร้อยแบบ แล้วหันมาใส่ใจกับเรื่องที่ลูกสาวกำลังจะพูด เธอคิดว่า ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญล่ะก็ ต้องออกปากว่าลูกคนนี้สักหน่อยนึง
“มีเรื่องอะไร รู้ไหมว่าฉันกำลังยุ่ง”
“ไม่รู้ค่ะ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ว่าตอนนี้ลูกค้าที่เคยสั่งซื้ออัญมณีจากเราเปลี่ยนไปซื้อจากที่อื่นแทน ยอดขายของพิริยะก็เลยตกลงไปมาก และถ้าเป็นอย่างนี้ไปอีกสักสองเดือน เงินหมุนเวียนในบริษัทต้องไม่เหลือแน่ๆค่ะ”
ภีมดาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พิริยะเป็นบริษัทส่งออกอัญมณีที่มั่นคงมาหลายปี จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร ต้องมีใครสักคนสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของบริษัทอย่างแน่นอน
“แล้วโทรไปถามลูกค้าหรือเปล่าว่าทำไมถึงไปสั่งซื้อจากที่อื่น”
“โทรแล้วค่ะ แต่ไม่มีใครยอมบอกเหตุผลเลยสักคน”
“ฉันจัดการเรื่องนี้เอง” ภีมดาบอกลูกสาวก่อนจะวางโทรศัพท์ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว สิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพิริยะเลยสักครั้ง ว่าแล้วภีมดาก็ต่อโทรศัพท์ไปยังสามี
ทางด้านภีตา พอได้รับโทรศัพท์จากภรรยาก็กระหยิ่มยิ้มย่องราวกับว่าได้ชัยชนะ คนอย่างภีมดา ถ้าไม่ใช่เรื่องธุรกิจเงินทองล่ะก็ อย่าหวังว่าเธอจะโทรมา
“โทรมาหาผมเองแบบนี้ แสดงว่าต้องเกิดเรื่องยุ่งๆล่ะสิ” ภีตาพูดเสียงเรียบ พยายามระงับความขบขันไม่ให้เล็ดลอดผ่านน้ำเสียง
ภีมดาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ เธอเบื่อที่สุดคือคนรู้ทัน “บริษัทลูกค้าที่เคยสั่งซื้ออัญมณีจากเรากลับเปลี่ยนไปซื้อจากที่อื่น ที่อังกฤษเกิดเรื่องแบบนี้บ้างหรือเปล่า”
ภีตายิ้มบางๆ “คุณเพิ่งรู้หรืออย่างไรว่าบริษัทเรามียอดสั่งซื้อลดลงจากเดิมเกือบหกสิบเปอร์เซนต์ ผมรับรองว่าไม่เกินสองเดือนต้องเจ๊งแน่ๆ”
ภีมดาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าท่านประธานใหญ่ของพิริยะจะพูดจาไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้ “คุณพูดเหมือนกับว่าอยากให้มันเจ๊ง”
“เจ๊งก็ดีเหมือนกัน ตอนนี้พิริยะก็รวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บไว้ที่ไหนแล้ว ฉะนั้นเราสองคนน่าจะหยุดทำงานแล้วกลับไปอยู่กับลูกที่ประเทศไทยได้แล้วนะ หรือคุณว่าไง” ภีตาพูด
ภีมดารับฟังสามีด้วยความโกรธ เธอไม่ยอมให้มันเป็นแบบนี้หรอก ไม่ยอมแน่นอน “คุณบ้าไปแล้วหรือไงคะ พิริยะจะจบแบบนี้ไม่ได้ ฉันไม่มีวันทิ้งเงินเป็นสิบๆล้านเพื่อไปอยู่กับลูกๆหรอก ไม่มีทางแน่นอน”
“นี่คุณเลือกงานมากกว่าเลือกลูกๆเหรอ ฟังผมให้ดีนะ เราถึงเวลา...”
“คุณเงียบไปเลย ชีวิตฉัน งานต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ฉันจะไม่ทิ้งชื่อเสียงและเงินทองไปหรอก” ภีมดากล่าวเสียงแข็ง
ภีตาขมวดคิ้วอย่างหนักใจ ภรรยาของเขาดื้อดึงเกินกว่าจะกล่าวจริงๆ “พิริยะเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณนั่นล่ะภี คุณลองนึกดูให้ดีสิ ว่าเดือนก่อนคุณทำอะไรไว้”
ภีมดาทำตามที่สามีบอก แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ภีตาจึงเป็นฝ่ายเฉลยออกมา “คุณส่งอัญมณีไม่ได้มาตรฐานให้กับลูกค้าถึงสามแห่งทั้งๆที่คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าของชุดนั้นมันไม่ได้มาตรฐานแต่คุณก็ยังดันทุรังส่งให้เขาและบอกว่าลดราคาให้สิบเปอร์เซนต์เพราะเห็นว่าซื้อขายกันมานาน”
ภีมดาเงียบไป ครั้งนี้เป็นความผิดของเธอจริงๆ ภีมดาไม่ทันคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำลายความน่าเชื่อถือของพิริยะได้ถึงเพียงนี้
“คนเราน่ะนะ ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต แล้วใครจะไว้วางใจเรา คุณอาจจะอ้างว่ามันเป็นความผิดพลาดก็ได้ แต่นั่นมันคือข้ออ้างครั้งแรกสำหรับความผิดที่พอให้อภัยได้ แต่คุณกลับทำมันเป็นครั้งที่สอง ทางลูกค้าโทรมาหาผมแล้วบอกว่าอัญมณีชุดใหม่ที่ได้รับจากคุณมันขนาดเล็กกว่าที่สั่งไปหลายเท่า ร้องเรียนไปกับคุณ คุณก็ไม่สนใจ”
“ฉันไม่ว่าง คุณก็รู้นี่คะ ว่าตอนนี้ทางเรากำลังง่วนอยู่กับการจัดงานเดินแบบโชว์สร้อยเพชรชุดใหม่ที่ทางบริษัทผลิตขึ้น” ภีมดาอ้าง
“คุณจะมาพูดชุ่ยๆแบบนี้ไม่ได้นะภี ลูกค้าทำให้เราอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ถ้าคุณยังไม่เลิกเก็บเล็กเก็บน้อยอย่างนี้ล่ะก็ คงกู้สถานการณ์คืนไม่ได้หรอก”
“คุณต้องช่วยฉันนะคะ ให้ทางลูกค้ากลับมาสั่งซื้อกับเราเหมือนเดิม” ภีมดาพูดอย่างร้อนรน
ภีตาขอสัญญาจากเธอสองข้อแลกกับการกู้ชื่อเสียงของพิริยะคืนมา ภีมดาอิดออดบอกว่ามันก็เป็นบริษัทของเขาเช่นกัน ทำไมพูดเหมือนกับว่ามันเป็นของเธอเพียงคนเดียว แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ภีตาก็ไม่สนใจ จนในที่สุดเธอต้องยอมรับข้อเสนอนั้น
“ถ้ามันจะแลกกับเครดิตของพิริยะ บอกฉันมาเถอะค่ะ” ภีมดาพูดอย่างใจเย็นทั้งๆที่ในใจรุ่มร้อนแทบตายยิ่งคิดถึงยอดเงินที่เสียไปในช่วงเดือนที่ผ่านมานี้ ยิ่งทำให้ร้อนรุ่มจนบอกไม่ถูก
ภีตาถอนหายใจบางๆไม่คิดเลยว่าภรรยาจะเห็นแก่ความสำคัญของเงินมากถึงเพียงนี้ เขาเคยคิดว่าในบั้นปลายชีวิตจะได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขกับภีมดาที่บ้านเกิดเมืองนอน แล้วขายหุ้นให้กับผู้ที่สนใจ โดยให้ตำแหน่งประธานใหญ่แก่ลูกสาวคนโต แต่ดูท่าจะเป็นไปได้ยากเสียแล้ว ในเมื่อภรรยาของเขาหลงอยู่ในวังวนของธุรกิจอย่างไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้
“ข้อแรก คุณต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ฟังผมนะภี ตอนนี้เรามีเงินมากพอที่จะใช้ไปทั้งชีวิต มากพอที่จะให้ลูกๆของเราอยู่ได้สบายๆ แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องโกงใครเพื่อให้ได้เงินมาอีกแล้ว”
“ตกลงค่ะ บอกข้อสองมาสิคะ ฉันต้องรีบไปดูแบบสร้อยคอต่อ”
ภีตาถอนหายใจอีกครั้ง “ข้อสอง คุณต้องเลิกบงการชีวิตของลูกๆเสียที ทั้งภูและภีม คุณเคยบังคับยัยภูมาแล้ว ตอนนี้คุณยังจะบังคับภีมอีกเหรอ ลูกโตแล้วและมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” ภีมดาถาม
“ผมรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว คุณให้ภีมมาอยู่กับผมเพราะอะไร ผมรู้แล้ว และตอนนี้ ผมจะให้เขากลับไป กลับไปทำในสิ่งที่เขาอยากทำ คุณจะไม่มีวันบังคับเขาได้อีก เขาจะเล่นดนตรี คุณก็ห้ามเขาไม่ได้ หรือว่าเขาจะเป็นอย่างไร คุณก็ไม่มีสิทธิ์บอกให้เขาเลิกเป็น เขาจะเป็นตัวของตัวเอง”
“คิดดีแล้วหรือคะกับเรื่องขายหน้าพรรค์นั้น ลูกชายคุณทำเรื่องดีดีกับเขาเป็นบ้างมั้ย เกเรก็ที่หนึ่ง ไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกภูมิใจเลย”
ภีตารับฟังอย่างตกใจ เขาเลือกที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไรกัน “ถ้าผมรู้ว่าคุณเป็นคนแบบนี้ คนที่เห็นเงินมีมูลค่ามากกว่าคน ผมจะไม่แต่งงานกับคุณเลย”
“คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง” ภีมดาตวาดใส่
“ผมจะวางแล้ว และกรุณาทำตามสัญญาที่ให้ไว้ด้วยแล้วคุณจะได้รับสิ่งที่คุณต้องการ” ภีตาวางสายทันทีที่พูดจบ เขานั่งลงที่เก้าอี้แล้วกุมขมับด้วยความเครียด โชคดีที่ภีมกลับไปแล้ว ไม่อย่างนั้น เขาต้องมาได้ยินเรื่องแบบนี้ มันไม่ดีแน่นอน
ส่วนภีมดา เธอตกอยู่ในห้วงความโกรธได้เพียงชั่วครู่ก็หันมาจดจ่อกับงานเหมือนเดิม แน่นอนว่า งานและเงินต้องมาก่อนเรื่องอื่นใด ยิ่งได้รับโทรศัพท์จากภูรดาเรื่องลูกค้าที่กลับมาสั่งซื้ออัญมณีเหมือนเดิมก็ยิ่งทำให้เธอห่างเหินไปจากครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น
ฟินไม่ได้เดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ามานานมากแล้ว วันนี้มีโอกาสเขาจึงพาฟางข้างมาซื้อของ ฟางข้าววิ่งไปโน่นไปนี่ไม่หยุดจนเขาตามไม่ทัน สุดท้ายก็คลาดกันจนได้ ฟินยืนงงอยู่ที่หน้าร้านเสื้อผ้าผู้หญิงที่เมื่อกี้ยังเห็นน้องสาววิ่งไปวิ่งมาอยู่ในร้าน
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเสียใจที่ไม่มีโทรศัพท์มือถืออย่างคนอื่น ฟินยืนรอน้องสาวอยู่ตรงนั้นพักหนึ่งก่อนจะทนไม่ไหวแล้วเดินไปหาประชาสัมพันธ์ที่อยู่ชั้นล่าง
ในระหว่างนั้นเอง สายตาของเขาพลันสะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งที่อยู่ในร้านขายเครื่องดนตรี ฟินยืนนิ่งอย่างนั้น รอคอยให้คนๆนั้นหันหน้ามา แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่หันหน้ามาเสียที ความร้อนรุ่มแล่นปราดเข้าสู่ร่างกายโดยที่ฟินไม่รู้ตัว ทำไมเขาต้องอยากเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นด้วยนะ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่ตนเองอยากจะพบหน้าแน่ๆ แต่ถึงจะบอกอย่างนั้น ฟินก็ยังไม่ยอมขยับตัวไปไหน สายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่ที่เส้นผมยาวระบ่าลงมาด้วยความตื่นเต้น
ผู้ชายที่อยู่ในร้านนั้น กำลังตั้งหน้าตั้งตาโซโล่กีต้าร์อย่างไม่คิดชีวิต เขานั่งท่านั้นเป็นนานสองนานกว่าจะขยับตัว
มือเรียวสวยยกขึ้นเสยผมไปด้านหลัง ก่อนจะหยิบยางรัดผมในกางเกงออกมาเส้นหนึ่งแล้วจัดการรวบผมที่ระแผ่นหลังจนน่ารำคาญให้เรียบร้อย
“ผมเอาตัวนี้ล่ะครับ” เขาส่งกีต้าร์ไฟฟ้าตัวนั้นให้พนักงานในร้านก่อนจะลุกขึ้นยืน ในวินาทีนั้นที่ขยับตัว คนที่ยืนมองอยู่ข้างนอกร้านก็นิ่งอึ้งไปเสียแล้ว
แค่เพียงคนในร้านยกมือขึ้นเสยผม เขาก็จำได้ในทันที... และยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อใบหน้านั้นเผยออกมา
ภีม
แทนที่จะรู้สึกดีใจ ฟินกลับลนลานอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ต้องเดินเข้าไปหาแล้วกล่าวคำทักทายอย่างนั้นหรือ
พลั่ก!
กระเป๋าสตางค์ใบใหญ่มีตรายี่ห้อชื่อดังตกอยู่เบื้องหน้าเขา ฟินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะก้มลงเก็บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ต้องเป็นผู้หญิงคนที่เดินผ่านไปเมื่อกี้แน่นอน ฟินคิด
ฟินมองภีมสลับกับผู้หญิงคนนั้น “มันอะไรกันเนี่ย” เขาสบถเบาๆอย่างหัวเสียก่อนจะกำกระเป๋าสตางค์ใบนั้นเสียแน่นแล้ววิ่งตามเธอไป ในใจก็หวังว่าภีมยังคงอยู่ในร้านนั้น ไม่ออกไปไหนเสียก่อนที่เขาจะวิ่งกลับมา
ฟินวิ่งกระหืดกระหอบตามหญิงสาวเจ้าของกระเป๋าสตางค์มาจนทัน
“คุณทำกระเป๋าสตางค์ตกครับ” เขาพูดพร้อมกับยื่นของคืนให้เธอ
หญิงสาววัยไล่เลี่ยกับเขายิ้มบางๆอย่างมีเลศนัย “ขอบคุณมากค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” ฟินพูดแล้วหมุนตัวจะเดินกลับ แต่เธอดันคว้าแขนเขาไว้เสียแน่นจนไปไหนไม่ได้
“ให้ฉันเลี้ยงอะไรคุณเป็นการตอบแทนดีไหม” เธอบอกพลางส่งยิ้มเชิญชวนไปให้
ฟินตีหน้าเฉยก่อนจะกล่าวออกมาเบาๆ “อย่าดีกว่าครับ พอดีผมรีบ”
“รีบอะไรกันคะ ตอนแรกนึกว่าคุณจะไม่เก็บมาคืนซะแล้ว... อุ๊บส์” พูดไปพูดมาก็เปิดเผยความจริงออกมาเองเสียนี่ เธอรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองทันที
ฟินส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ มารยาผู้หญิงนี่มีกี่ร้อยเล่มเกวียนกัน เธอเหล่านั้นจึงขยันงัดขึ้นมาใช้ได้ไม่ซ้ำกันเลยแม้แต่เล่มเกวียนเดียว “เก็บกระเป๋าให้ดีนะครับ คราวหน้าคงไม่มีใครวิ่งตามเอามาคืนคุณแน่นอน” ฟินทิ้งท้ายก่อนจะหมุนตัววิ่งกลับไป หญิงสาวคนนั้นขบริมฝีปากด้วยความอาย
ฟินรีบวิ่งกลับมาที่ร้านขายเครื่องดนตรีอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่ภีมไม่อยู่ในร้านแล้ว “เฮ้อ... หายไปจนได้ ไม่เคยจะตามทันเลย” ฟินบ่นเบาๆไปตามประสาก่อนเดินมาที่ประชาสัมพันธ์ให้ช่วยประกาศเรียกตัวน้องสาวให้ที
ฟินยืนรอฟางข้าวอยู่ราวสิบนาที แม่น้องสาวตัวดีก็โผล่มาพร้อมกับถุงเสื้อผ้ากว่าสิบถุง “จะซื้ออะไรนักหนา” ฟินถาม
“ก็มีแต่ของสวยๆทั้งนั้นเลย เลือกไม่ถูกเลยเอามาให้หมด จะได้ไม่ต้องเลือก” ฟางข้าวตอบอย่างอารมณ์ดี
“เมื่อกี้พี่เจอภีม” ฟินพูดขึ้นมา ฟางข้าวอ้าปากค้างอย่างตกใจก่อนจะปล่อยข้าวของที่อยู่ในมือตกลงพื้น
“เรื่องจริงเหรอเนี่ย โลกกลมชะมัดเลย” ฟางข้าวพูดอย่างเหลือเชื่อ “แล้วได้คุยกันหรือเปล่า”
ฟินส่ายหน้า
ฟางข้าวขมวดคิ้วอย่างขัดใจ “น่าเสียดายจริงๆ แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีกล่ะเนี่ย เออ... เอางี้มั้ย บุกไปหาที่บ้านเลย ถ้าพี่ภีมกลับมาที่นี่จริงก็ต้องกลับไปบ้านอยู่แล้ว คงไปที่อื่นไม่ได้หรอก”
ฟินนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “ตกลง งั้นเราไปหาภีมที่บ้านกันเลยดีกว่า”
สองพี่น้องเดินเคียงคู่กันออกไป
ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆโต๊ะประชาสัมพันธ์กล่าวเสียงเย็นชา “ถึงจะไปที่นั่นก็เถอะ นายก็ไม่มีวันเจอฉันหรอก เพราะฉันจะไม่กลับไปที่นั่นแน่นอน”
และก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ ภีมไม่ได้กลับไปที่บ้าน
เมื่อไม่พบภีมที่บ้าน ฟินและฟางข้าวก็มุ่งหน้ากลับบ้านทันที
“คงไม่ได้เข้ากรุงเทพฯอีกนานเลยเนอะ เพราะพ่อคงไม่ปล่อยมาง่ายๆอีกแล้ว” ฟางข้าวพูดขึ้น
ฟินไม่พูดอะไรตอบ
“เฮ้อ... แล้วชีวิตมันจะเป็นยังไงต่อไปล่ะเนี่ย” ฟางข้าวยังคงพูดต่อ
ฟินก็ยังเงียบเช่นเคย
“เอาเถอะนะ เดี๋ยวก็มีเรื่องต้องให้เจอกันอีกนั่นล่ะ”
ฟินยิ้มบางๆกับประโยคนี้ของน้องสาว ถ้ามันมีเรื่องแบบนั้นเข้ามาในชีวิตก็ดีสิ
ทันทีที่กลับถึงบ้าน ทั้งสองคนก็รีบเข้าบ้านไปหาผู้เป็นแม่ทันที
อาภากอดลูกทั้งสองอย่างรักใคร่ “สนุกมั้ย” เธอถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว กรุงเทพฯมันก็มีอะไรดีดีเหมือนกันนะ” ฟางข้าวพูดอย่างร่าเริง ส่วนฟินก็เอาแต่ยิ้มบางๆ ไม่พูดอะไรในแบบที่เขาเป็น
“ไปหาพ่อเขาหน่อยสิ อยู่ที่คอกม้าแน่ะ” อาภาหันไปหาลูกชาย ฟินขมวดคิ้วอย่างงุนงงแต่ก็ลุกขึ้นเดินออกไปหาผู้เป็นพ่อ
ฟางข้าวเงยหน้ามองอาภาด้วยความสงสัย “ระหว่างที่พวกเราไม่อยู่ พ่อกับแม่คุยอะไรกันหรือเปล่า”
อาภายิ้มบางๆ “ไม่รู้สิ แม่ไม่รู้อะไรเลย” ในรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความยินดี ฟางข้าวยิ้มตามบ้าง เธอรู้ว่าต้องมีเรื่องอะไรดีดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ฟินไปหานทีที่คอกม้า ชายร่างสูงใหญ่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ริมคอกม้า ฟินเดินเข้าไปหาอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับพ่อ” เขายกมือไหว้
นทีถอนหายใจอย่างใช้ความคิด ฟินมองดูสีหน้าของผู้เป็นพ่อแล้วก็รับรู้ได้ถึงความกดดัน และคนที่กดดันก็คือพ่อของเขาเอง
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นแทนคำทักทายกลับ นทีหลับตาลงครู่หนึ่งอย่างใจเย็น “ฉันห้ามแกไม่ได้สินะ”
ฟินมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่คาดหวัง
นทีเองก็เลิกที่จะคาดหวังแล้วเช่นกัน “วันก่อนพ่อคุยกับแม่น่ะ” น้ำเสียงของนทีเย็นลง “เราคุยกันถึงเรื่องที่ผ่านมา ตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่น คุยกันทุกๆเรื่องจนกระทั่งเรื่องปัจจุบัน มันทำให้พ่อได้คิดทบทวนอะไรหลายๆอย่าง”
ฟินมีสีหน้าเรียบเฉย เขาเฝ้าแต่รอคอยว่าพ่อจะกล่าวอะไรอีก
นทียิ้มบางๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสบายใจแบบนี้ สองวันก่อนอาภาพาเขาไปพบหลวงพ่อท่านหนึ่งที่อยู่ในวัดถัดไปจากฟาร์มประมาณสามกิโลเมตร
หลวงพ่อสั่งสอนอะไรมากมายแก่เขา และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องลูก คนเป็นพ่อเป็นแม่ให้ชีวิตลูกก็จริงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะควบคุมทุกอย่างที่หลอมรวมมาเป็นลูกได้ ทั้งทางใจและกาย พ่อและแม่ไม่อาจหยุดการเจริญเติบโตทางร่างกายและไม่อาจหยุดการเจริญเติบโตทางจิตใจ ไม่อาจควบคุมจิตวิญญาณและไม่อาจรั้งให้เขาอยู่ข้างกายไปตลอดชีวิต
เหนือสิ่งอื่นใด ทุกการกระทำของพ่อและแม่ก็ตั้งอยู่บนความรัก แม้บางครั้งอาจจะไม่สมเหตุสมผลไปบ้างแต่นั่นก็เพราะกลัวว่าลูกจะผิดพลาด เสียใจ
นทีถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อ “เหนื่อยมั้ยที่เกิดมาเป็นลูกของพ่อ” เขาถาม
ฟินไม่ตอบอะไรนอกจากส่ายหน้า
นทีหลับตาลงแล้วหยิบซองจดหมายที่เหน็บไว้ข้างหลังส่งให้ฟิน “แม่เจอในกางเกงตอนที่จะเอาไปซักน่ะ โชคดีที่ยังไม่ได้ซัก”
“ผมลืมไปสนิทเลยว่าได้รับจดหมายนี้” ฟินเปิดซองจดหมาย ในซองมีกระดาษหนึ่งแผ่นและบัตรเชิญร่วมงานอีกหนึ่งใบ
ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่า
“ฉันหวังว่าจะได้พบเธอในงานนี้ งานของนักเปียโนระดับโลกชื่อดัง ภีมจะขึ้นเล่นเปียโนเป็นแขกรับเชิญ”
ฟินรีบหยิบบัตรเชิญขึ้นมาอ่าน มีชื่อของภีมปรากฏอยู่บนบัตรเชิญนั้น แสดงว่าเจ้าของงานคงให้ความสำคัญไม่น้อยกับนักเปียโนรับเชิญคนนี้
งานจัดขึ้นในวันที่ 29 มีนาคม... เวลา 19:00 น.
“พ่อครับ วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว” ฟินละสายตาจากจดหมายแล้วหันหน้ามามองผู้เป็นพ่อแทน
“28” นทีตอบสั้นๆ แล้วขยับฝีเท้าเดินไปที่อื่น ฟินรู้ว่าพ่อต้องการอยู่คนเดียว เขายิ้มบางๆ อยู่เบื้องหลังชายวัยกลางคนที่หันหลังให้เขาอยู่ หลังจากนั้นถ้อยคำขอบคุณก็เปล่งออกมาจากริมฝีปาก “ขอบคุณครับพ่อ”
ฟินไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อทำหน้าอย่างไรเพราะเขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินอย่างเดียว ฟินคิดว่าพ่อคงไม่ได้ยิน แต่ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนก็ดังขึ้น “เอาเถอะ เรื่องที่แล้วก็ให้มันแล้วกันไป เริ่มใหม่ยังไม่สายนี่นา”
นทีหันมายิ้มให้ลูกชายก่อนจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง แล้วน้ำตาที่กลั้นอยู่นานก็ไหลออกมา ไม่มีใครรู้ว่าหยดน้ำตานั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกอะไร ไม่มีใครรู้นอกจากเขาคนเดียว
บางครั้งความเป็นผู้ใหญ่ก็ทำให้เรารู้จักที่จะยอมรับและทำความเข้าใจกับสิ่งที่เคยคิดว่าไม่อาจเข้าใจและยอมรับได้