บทที่ ๑๕
ยามรุ่งอรุณในวันหยุดสุดสัปดาห์ของผู้บริหารเดอะแกรนด์อ็อฟสยามคนใหม่ผู้ที่กุมบังเหียนธุรกิจทั้งหมดไว้อย่างเต็มตัวเพราะโปรเจ็กต์ใหญ่ที่เขาได้สรรค์สร้างทุกอย่างด้วยความคิดทั้งหมดอย่างสุดตัวนั้นทำให้ภวินท์เป็นที่ยอมรับในบอร์ดบริหารของเดอะแกรนด์อ็อฟสยามได้อย่างง่ายดาย ร่างหนาพลิกตัวเล็กน้อยเมื่อแสงแดดยามเช้าเริ่มเล็ดลอดและสาดส่องออกมาจากช่องของผ้าม่าน ดวงตาคมค่อยๆเบิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเบิกโตเต็มที่เมื่อร่างบางที่มีกลิ่นหอมหวานติดตัวที่เขานอนกอดทั้งคืนนั้นได้หายไปจากอ้อมแขนแกร่งเสียแล้ว ภวินท์ยิ้มขำเล็กน้อยเมื่อนึกไปถึงใบหน้านวลที่มีสีแดงพาดริ้วน่ารัก กลิ่นหอมหวานราวกับดอกไม้จากกายบางที่ทำให้เขานอนหลับสบายตลอดทั้งคืนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะช่วงหลังๆมานี้เขาเครียดเรื่องงานมากจนบางคืนก็นอนหลับแทบไม่เต็มตาเลยสักคืนจนกระทั่งเมื่อคืนนี้ที่เป็นอีกหนึ่งคืนที่เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรยืนเต็มความสูงพร้อมยืดแขนและขาไปมาก่อนจะเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวให้เสร็จอย่างเร็วไวเพราะเขาอยากรีบลงไปเจอกับคนที่ทำให้เขาคิดถึงตั้งแต่ในฝันจนกระทั่งตอนตื่นนอนให้เร็วที่สุด
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณภพ” เสียงพี่นวลเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มทำให้ภวินท์ยิ้มตอบ
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่นวล”
เสียงทุ้มเอ่ยตอบพี่เลี้ยงคนสนิทของภรรยาพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเสตามองคนที่ลุกหนีไปจากเตียงเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ด้วยแววตากรุ้มกริ่มจนเจ้าตัวยู่ปากขึ้นหน่อยๆ
“วันนี้วันหยุดแต่ตื่นเช้าเชียวนะคะ” พี่นวลทำเสียงแปลกใจเพราะเนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดของอีกฝ่ายแท้ๆแต่กลับตื่นเช้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เมื่อคืนหลับสบายน่ะครับเลยมีแรงตื่นเช้า”
คนตื่นเช้าเอ่ยบอกพี่นวลแต่ตาคมจับจ้องไปยังร่างบางที่นั่งตักอาหารเช้าเข้าปากทำไม่รู้ไม่ชี้ใส่เขา ภวินท์หัวเราะในลำคออย่างนึกขันเมื่อใบหน้านวลเริ่มหงิกงอขณะที่เขาทรุดนั่งลงที่เก้าอี้เคียงข้างร่างบาง
“อ่า… งั้นเหรอคะ -- ว่าแต่คุณภพจะทานอาหารเช้าเป็นอะไรดีคะ วันนี้มีอเมริกันเบรกฟาสต์กับโจ๊กหมูบะช่อทานคู่กับหมั่นโถวทอดค่ะ”
พี่นวลเอ่ยถามพร้อมบอกตัวเลือกของอาหารเช้าในวันนี้ให้สามีของเจ้านายทราบตามหน้าที่ของพี่เลี้ยงคนสนิทพ่วงตำแหน่งหัวหน้าแม่บ้านของกิจจานนท์ในตอนนี้
“ขอเป็นกาแฟดำสักแก้วก็พอครับพี่นวล”
ภวินท์เอ่ยบอกอาหารเช้าที่เขามักจะทานเป็นประจำนั่นก็คือกาแฟดำแค่หนึ่งแก้วเท่านั้นเพราะตอนเช้าเขาต้องรีบไปทำงานและตัวเขาเองก็ไม่ค่อยเจริญอาหารในช่วงเช้าสักเท่าไร
“ไม่อยากลองทานโจ๊กบ้างเหรอคะคุณภพ วันนี้คุณนทลงครัวเองเลยนะคะ"
พี่นวลเอ่ยบอกขณะที่เทกาแฟดำใส่แก้วเพื่อมาเสิร์ฟให้กับสามีของคุณหนูแม้จะทราบดีว่าภวินท์ไม่ชอบทานอาหารเช้าก็ตามแต่เธอก็คิดว่าการทานอาหารเช้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“ถ้ามีใครไม่อยากทานก็ช่างเถอะครับพี่นวล โจ๊กนี้นทตั้งใจทำให้อากงทานคนเดียว ส่วนคนอื่นจะทานหรือไม่ทานนทไม่แคร์ครับ”
นทีรินเอ่ยบอกพี่นวลแต่น้ำเสียงค่อนไปทางประชดประชันคนที่นั่งเคียงข้างเสียมากกว่า ใบหน้านวลที่ฉายความแง่งอนออกมานั้นทำเอาภวินท์หลุดยิ้มอย่างขำขัน
“ถ้างั้นเอาโจ๊กด้วยก็ดีครับพี่นวล ผมรู้สึกอยากทานฝีมือภรรยาตัวเองขึ้นมาเสียแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพี่นวลก่อนจะหันไปยักคิ้วกวนๆใส่ภรรยาที่ทำปากคว่ำหน้าคว่ำใส่เขาอยู่
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะคุณภพ เดี๋ยวพี่ไปเตรียมให้ค่ะ” สิ่งที่ภวินท์เอ่ยบอกทำเอาพี่นวลรู้สึกแปลกใจไม่น้อยแต่ก็ยินยอมทำตามคำสั่งที่ถูกเปลี่ยนโดยสามีของคุณหนูของเธอ
“เป็นอะไรหืม…” เมื่อพี่นวลเดินออกไปจากห้องอาหารแล้วภวินท์จึงเอ่ยถามคนข้างๆที่นั่งตักโจ๊กเข้าปากไม่สนใจเขา
“…”
“เคืองที่พาไปนอนด้วยเมื่อคืน?”
เมื่อได้รับแต่ความเงียบตอบกลับมาเสียงทุ้มติดกวนก็แสร้งถามต่ออย่างนึกสนุก ทั้งๆที่รู้เหตุผลอยู่แล้วว่าภรรยานั้นเคืองเขาด้วยเรื่องอะไร
“…”
“เคืองที่โดนกอด?”
เสียงทุ้มยังคงแกล้งคนตัวเล็กอย่างไม่ลดละ นทีรินขมวดคิ้วมุ่นอย่างขัดใจเมื่อเริ่มรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังกวนประสาทเขาอีกแล้ว ก็ใบหน้าหล่อคมที่ฉายแววไปด้วยความสนุกนั่นแหละที่บ่งบอกทุกอย่างแต่ต่อให้จะรู้สึกขัดใจที่โดนแกล้งอย่างไรแต่นทีรินก็มีแต่ความเงียบให้กับภวินท์เท่านั้นเพราะเขารู้ดีว่าคนแบบภวินท์ก็ดีแต่แกล้งเขาอยู่ร่ำไป
“…”
นทีรินกำลังจะตักโจ๊กเข้าปากทานอย่างไม่สนใจอยู่แล้วหากไม่ได้ยินประโยคแสนกวนจากอีกฝ่ายที่ทำให้เขาหมดอารมณืทานอาหารเช้าไปเสียก่อน
“หรือว่าเคืองที่โดนจูบ?”
“คุณภพ!” เสียงหวานแหวขึ้นลั่นเมื่อคนเป็นสามีพูดเรื่องน่าไม่อายออกมาได้หน้าตาเฉยซ้ำยังดูชอบใจอีกต่างหาก
“หน้าแดงแบบนี้ แสดงว่าเรื่องจูบสินะ”
ภวินท์หัวเราะอย่างพึงใจที่สามารถแกล้งให้ภรรยาหลุดมาดเงียบนิ่งได้ใบหน้านวลขึ้นสีแดงพาดริ้วเต็มแก้มไม่รู้ว่าเพราะโมโหที่โดนเขาแกล้งหรือว่ากำลังเขินกับรสจูบเมื่อคืนกันแน่
ยิ่งภวินท์ล้อคนตัวเล็กก็ยิ่งหน้าแดงจนพาลทำตัวเลิ่กๆลั่กๆดวงตาหวานก็หลบดวงตาคมที่กำลังจดจ้องมาอย่างไม่ลดละก่อนจะแสร้งลุกขึ้นเตรียมหนีคนขี้แกล้งแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อมีมือหนาเกี่ยวเข้าที่เอวบางของเขาให้รุดลงไปนั่งบนตักแกร่ง
“ผมไม่อยากคุยกับคุณแล้ว! อ๊ะ..”
“นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่างอนน่ะหืม?”
เสียงทุ้มเอ่ยข้างหูเบาๆจมูกคมแสนซุกซนก็ปัดผ่านแก้มนวลไปมาจนนทีรินต้องเอียงแก้มหนีพลางมือบางก็ได้แต่จิกลงบนมือหนาที่กอดเอวเขาไว้แน่นราวกับมือนั้นเป็นกลอนล็อคแสนแน่นหนาจนแกะไม่ออกเพราะภวินท์ดูไม่ได้เจ็บจากการโดนเล็บจิกเลยสักนิด
“คุณภพ! ปล่อยผมนะ! ผมโกรธคุณแล้วนะครับ!”
เมื่อสู้ไม่ได้นทีรินจึงโวยวายใส่คนขี้แกล้งอีกคราด้วยความขัดใจที่เขาไม่เคยต่อกรกับภวินท์ได้เลย หากแต่คำโวยวายนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้คนจอมขี้แกล้งนั้นสำนึกแต่อย่างใดกลับกันที่ใบหน้าคมนั้นฉายแต่รอยยิ้มขำอย่างเห็นได้ชัด
“พี่จะปล่อยนทก็ต่อเมื่อนทหายงอนพี่… หายงอนนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยติดอ้อนพลางวางคางไว้บนไหล่บอบบางอย่างออดอ้อนไปด้วยจนคนโดนอ้อนหัวใจพองโตขึ้น
“ผมไม่ได้งอนคุณ ไม่ได้มีความรู้สึกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว”
แต่ต่อให้จะโดนอ้อนจนจิตใจหวั่นไหวสักเพียงใดแต่คนตัวเล็กก็แสร้งทำโกรธโดยที่ใบหน้าหวานเชิดขึ้นคอตั้งตรงอย่างที่เคยทำเวลางอนอีกฝ่าย ภวินท์ยิ้มขำกับท่าทางแง่งอนของภรรยาที่ทั้งน่ารักและน่าหมั่นเขี้ยวในคราวเดียวกัน
“ง้อนะครับ”
ร่างสูงเอ่ยบอกเสียงนุ่มติดอ้อนก่อนจะฝังจมูกคมลงบนแก้มนวลฟอดใหญ่จนคนโดนขโมยหอมแก้มตกใจจนแหวออกมาด้วยความโมโหปนเขินอาย
“คุณ!” มือบางจับแก้มข้างที่โดนหอมด้วยความตกใจ
“สงสัยยังไม่หาย”
ว่าไม่พอจมูกคมแสนซนก็กดที่ข้างแก้มนวลไปอีกฟอดใหญ่จนนทีรินเขินอายจนแทบแทรกแผ่นดินเมื่อจมูกคมประทับลงมาสลับแก้มทั้งสองข้างของเขาไปมาอีกหลายๆครา
“คุณภพ! หยุดเดี๋ยวนี้นะครับ”
เสียงปรามแสนหวานปนเกรี้ยวกราดของภรรยาไม่ได้ทำให้ภวินท์รู้สึกกลัวแต่อย่างใดแต่กลับรู้สึกชอบใจและชื่นใจเสียมากกว่าที่มีแก้มหอมหวานให้เชยชมตั้งแต่เช้า
นทีรินเห็นใบหน้าหล่อคมนั้นฉายความสนุกซ้ำยังหัวเราะชอบใจที่แกล้งเขาได้ก็ใช้มือบางตีเขาที่แขนแกร่งหลายๆทีแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สะทกสะท้านใดๆกลับกันที่ภวินท์ละจากแก้มนวลเป็นตัวของเขาแทนเพราะจมูกคมและปากหนาแสนซนนั้นระดมจูบและหอมที่แก้มของเขาก่อนจะลากไปที่คอระหงของเขาซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้นทีรินชะงักนิ่งก่อนจะย่นคอหนีจากนั้นจมูกคมก็ลากเลื่อนไปที่ไหล่มนก่อนที่ปากหนาจะกดจูบที่ไหล่เบาๆหลายๆที มือหนาคลายออกจากเอวบางก่อนจะจัดการจับคนตัวเล็กให้หันมาสบตากับเขาแต่คนบนตักก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา ใบหน้าหล่อคมเลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าหวานจนปลายจมูกชนกันเบาๆมือหนาจับคางมนให้เชิดขึ้นก่อนที่ริมฝีปากหนาจะค่อยๆเลื่อนเข้าใกล้เพื่อประทับจูบลงบนปากบางแสนหวานอย่างอ่อนโยนโดยไม่ได้มีการรุกล้ำใดๆนทีรินหลับตาพริ้มมือบางขยุ้มเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆคลายมือแล้วยกแขนขึ้นคล้องคอแกร่งไปด้วยความเผลอไผล ภวินท์บรรจงจูบปากบางเนิ่นนานก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่งเสียดายเมื่อได้ยินเสียงพี่เลี้ยงคนสนิทของภรรยาดังแว่วมาแต่ไกล
“โจ๊กมาแล้วค่ะ… เอ่อ..”
พี่นวลที่เดินเข้ามาเตรียมเสิร์ฟอาหารเช้าให้แก่สามีของคุณหนูได้แต่ชะงักเท้าอยู่กับที่พี่เลี้ยงนทีรินนิ่งอึ้งไปทันทีเมื่อภาพตรงหน้าที่เห็นนั้นเป็นภาพที่คุณหนูของเธอนั่งอยู่บนตักแกร่งของภวินท์ซึ่งเป็นภาพที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน
“พี่นวล…”
นทีรินเอ่ยเรียกพี่เลี้ยงคนสนิทของตัวเองเสียงเบาหวิวก่อนจะรีบลุกขึ้นจากตักแกร่งของสามีทันที ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่อทั่วแก้มนวลอย่างนึกอาย เพราะไม่รู้ว่าพี่นวลทันมาเห็นภวินท์ทำตัวรุ่มร่ามใส่เขาหรือเปล่า ใบหน้านวลแดงเรื่อขึ้นมากกว่าเดิมกับสิ่งที่คนจอมฉวยโอกาสเอ่ยบอกพี่นวล
“ไม่เป็นไรครับพี่นวล ผมว่าผมทานของหวานอิ่มแล้วล่ะครับ”
คำพูดแสนกำกวมกับสายตาคมที่ฉายแววกรุ้มกริ่มจับจ้องมาที่ใบหน้าหวานของเขาไม่วางตาก่อนจะเป็นเขาที่หลบไปเสียเองเพราะถ้าเปรียบสายตาคมของภวินท์เป็นลูกกระสุนปื่นแล้วล่ะก็ตัวของเขาก็คงจะพรุนไปทั้งร่างเป็นแน่แท้
ของหวานบ้าอะไร! ฉวยโอกาสกับเราชัดๆ คนบ้า! ***
ร่างระหงของนทีรินที่ย่างเท้าเข้ามาที่บริษัทเดอะแกรนด์อ็อฟสยามนั้นเป็นที่ชินตาสำหรับพนักงานทุกคนไปเสียแล้วเพราะในตอนนี้นทีรินมีหน้าที่ส่งเสบียงอาหารกลางวันให้กับประธานกรรมการของบริษัททุกวันนับตั้งแต่ครั้งที่ภวินท์ป่วยหลังจากนั้นร่างสูงก็ออดอ้อนให้เขาทำอาหารมาให้เขาทานทุกวันในคราแรกนทีรินก็ไม่ได้ตกปากรับคำใดๆหากแต่คนเจ้าเล่ห์เอ่ยขู่ว่าถ้าไม่ได้ทานอาหารกลางวันฝีมือของเขาก็จะไม่ยอมทานอะไรเลย ด้วยความเป็นห่วงของนทีรินจึงทำให้ร่างบางตกปากรับข้อเสนอของสามีอย่างง่ายดายจนบัดนี้ก็เกือบอาทิตย์แล้วที่ร่างบางทำอาหารมาส่งให้คนเป็นสามีที่ทำงานในทุกๆวัน ตอนแรกนทีรินก็รู้สึกแปลกๆกับสายตาคนรอบข้างแต่ตอนนี้เขาเองก็เริ่มชินเสียแล้วแถมยังรู้สึกดีทุกครั้งที่ต้องคิดว่าวันนี้เขาจะทำอะไรให้ภวินท์ทานเป็นอาหารกลางวันดี วันนี้ก็เช่นเดียวกันร่างบางอมยิ้มกับกล่องอาหารหลายๆกล่องที่ด้านในบรรจุไปด้วยแกงเผ็ดเป็ดย่างและปลาหมึกยัดไส้ผัดกระเทียมนอกจากนี้ยังมีขนมหวานเป็นขนมชั้นที่บรรจงจัดแต่งให้เป็นรูปดอกกุหลาบหลากสีสันที่เขาตั้งใจทำมาให้อีกฝ่ายได้ทาน
“สวัสดีครับคุณนท มาหาคุณภพเหรอครับ” อินทนิลยกมือไหว้พลางกล่าวทักทายภรรยาของเจ้านายอย่างคุ้นเคย นทีรินยกมือรับไหว้พร้อมรอยยิ้มเช่นเคย
“นทเอาข้าวกลางวันมาส่งให้เจ้านายของพี่อินตามเดิมนั่นแหละครับ”
เป็นที่คุ้นชินสำหรับอินทนิลเช่นกันในเวลาใกล้เที่ยงเช่นนี้เขาจะพบร่างบอบบางของนทีรินพร้อมกล่องอาหารกลางวันของท่านประธานแห่งเดอะแกรนด์ฯมาด้วยเสมอซึ่งไม่ใช่เพียงเท่านั้นแต่นทีรินยังมีขนมหรือของว่างเล็กๆน้อยๆติดมือมาฝากเขาสม่ำเสมอจนบางคราอินทนิลก็รู้สึกเกรงใจแต่ด้วยความน่ารักของนทีรินเขาก็เต็มใจที่จะรับไว้เพราะว่าฝีมือการทำอาหารและขนมของนทีรินนั้นรสเลิศจริงๆ
“งั้นเอามาครับ เดี๋ยวผมเอาไปจัดให้เอง” อินทนิลอาสาแต่นทีรินไม่ยอมยื่นให้
“ไม่เป็นไรครับ พี่อินงานเต็มโต๊ะเลย เดี๋ยวนททำเองก็ได้พี่อินจะได้ทำงานต่อ”
นทีรินเอ่ยบอกอดีตเลขาฯของตัวเองพร้อมรอยยิ้มเต็มใจเพราะเขาทราบดีว่าอินทนิลนั้นมีงานมากมายเพียงใดยิ่งต้องมาทำงานกับภวินท์แล้วอินทนิลก็ยิ่งงานเยอะมากขึ้นกว่าตอนที่ทำงานกับเขาเสียอีกเพราะโปรเจ็กต์ของภวินท์นั้นมากมายเหลือเกิน
“คุณนทนี่น่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะครับ”
อินทนิลเอ่ยชื่นชมภรรยาเจ้านายอย่างที่ทำประจำ ที่จริงเขาทราบมาเสมอว่านทีรินเป็นคนน่ารักและใส่ใจผู้คนรอบข้างเสมอแต่ถึงจะทราบเขาก็ยังอดที่จะชื่นชมอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี
“อุ่ย! ท่านประธาน…”
แต่ก่อนที่จะได้ชื่นชมอะไรไปมากกว่านี้อินทนิลก็ต้องตกใจสะดุ้งอย่างสุดตัวเมื่อท่านประธานสุดหล่อเจ้านายคนปัจจุบันของเขานั้นยืนจ้องเขาด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันเสียให้ได้ สายตาคมจ้องเขม็งมาที่เลขาฯด้วยสีหน้าหาเรื่องจนอินทนิลหน้าซีดตัวสั่น
“รู้นะว่าสนิทกัน แต่ชมภรรยาผมแบบนี้คิดอะไรหรือเปล่าอินทนิล” เสียงทุ้มเอ่ยถามเย็นเยียบจนอินทนิลรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบก่อนจะเอ่ยบอกเสียงตะกุกตะกักอย่างหวาดหวั่น
“ผ… ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะครับท่าน”
อินทนิลก้มหน้างุดอย่างหวั่นเกรงพลางเอ็ดตัวเองในใจที่เผลอไปชื่นชมภรรยาเจ้านายออกนอกหน้าจนทำให้เจ้านายไม่พอใจจนอาจจะทำให้เขาโดนเด้งออกจากงานได้ ที่จริงแล้วตั้งแต่ที่อินทนิลทำงานกับภวินท์มานั้นเขาก็ไม่ค่อยสนิทสนมกับผู้เป็นเจ้านายสักเท่าไรเพราะส่วนใหญ่ภวินท์จะคุยกับเขาแค่เรื่องงานเท่านั้นส่วนเรื่องอื่นๆหรือแม้แต่การพูดคุยเล่นตามประสาเจ้านายลูกน้องก็ไม่มีเลยสักนิด ซึ่งต่างกับตอนที่เขาทำงานกับนทีรินที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเสียมากกว่าที่จะเป็นเจ้านายและลูกน้อง
“ไม่คิดก็เอาอาหารไปจัดมาให้ที จัดสองที่นะ” ภวินท์เห็นสีหน้าหวั่นกลัวของเลขาฯก็เอ่ยบอกด้วยเสียงที่ปกติขึ้น
“อ่า.. ครับๆ” อินทนิลเงยหน้าขึ้นก่อนจะรีบกุลีกุจอเอากล่องอาหารในมือของนทีรินไปจัดให้เจ้านายตามคำสั่งทันที
เมื่อพ้นร่างของอินทนิลแล้วภวินท์ก็เดินไปจูงมือภรรยาเข้ามานั่งภายในห้องทำงานส่วนตัวของเขาด้วยกันโดยไม่พูดไม่จาอะไรนอกจากแสดงสีหน้าขมวดคิ้วมุ่นเหมือนกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่างซึ่งนั่นก็ทำให้นทีรินเกิดอาการงงงวยขึ้นเพราะไทม่ทราบว่าสามีนั้นไปอารมณ์ขุ่นมัวมากจากที่ไหน
“คุณภพไปใช้พี่อินทำไมครับ พี่อินกำลังงานยุ่งอยู่นะครับเดี๋ยวผมเอาไปจัดมาให้คุณเองก็ได้”
นทีรินเปิดประเด็นพูดก่อนโดยไม่รู้เลยว่ากำลังจุดชนวนอารมณ์ไม่ดีของภวินท์ให้ลุกโชนอีกครา ภวินท์ถอนหายใจยาวก่อนจะโอบเอวบางมาแนบชิดแล้วกอดไว้แน่นเป็นเชิงออดอ้อนซึ่งนทีรินก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดเพราะกำลังสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร
“เลิกทำตัวน่ารักใส่คนอื่นได้ไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ไม่ได้แข็งขืนหรือเยียบเย็นแต่อย่างใด
“อ.. อะไรนะครับ” สิ้นคำพูดนั้นนทีรินก็ยิ่งแปลกใจเพราะเขาไม่รู้ตัวเองเลยว่าไปทำตัวน่ารักใส่คนอื่นอย่างที่สามีกล่าวหาตอนไหน
“คนอื่นหลงเสน่ห์กันหมดแล้วรู้ไหม”
“คุณภพพูดเรื่องอะไรกันครับ” นทีรินกำลังไม่เข้าใจในสิ่งที่สามีพูดก่อนจะหน้าแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของสามี
“พี่หึงจะแย่อยู่แล้ว”
“ห.. หึงอะไรกันครับ หึงผมกับพี่อินน่ะเหรอ พี่อินเขาไม่ใช่แบบที่คุณภพคิดหรอกนะครับ”
นทีรินชี้แจงตามความจริงเพราะเขาและอินทนิลนั้นสนิทสนมกันแบบพี่น้องแล้วอีกอย่างเขาก็ทราบดีว่าอินทนิลเป็นอย่างไร เพราะต่อให้อินทนิลจะหน้าตาดีติดไปทางหวานนิดๆแต่แท้จริงแล้วอินทนิลเป็นผู้ชายที่มีแฟนเป็นผู้หญิงและนทีรินก็เคยพบกับแฟนของอินทนิลแล้วด้วย
“จะยังไงก็ช่าง พี่ก็หึงอยู่ดี” ภวินท์เอ่ยบอกก่อนจะกอดภรรยาไว้แน่นจนนทีรินแอบอมยิ้มกับท่าทางของสามีที่ดูแล้วเหมือนเด็กหวงของไม่มีผิด
“ไม่ต้องหึงหรอกครับท่านประธาน อ่า.. ผมมีภรรยาแล้วครับ”
อินทนิลที่เดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารได้ยินสิ่งที่เจ้านายคุยกันพอดิบพอดีก่อนจะชี้แจงความเป็นจริงให้เจ้านายหน้าดุเข้าใจ เพราะว่าเขามีภรรยาแล้วจริงๆและเขากับภรรยาก็แต่งงานกันมาหลายปีแล้วด้วย
“งั้นก็แล้วไป” เมื่อได้ยินเช่นนั้นภวินท์ก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อยแต่ก็ยังตีหน้าขรึมใส่ลูกน้องอยู่
“ผมจะไม่ถูกไล่ออกใช่ไหมครับ”
อินทนิลเอ่ยถามเสียงซื่อๆกับเจ้านายจนภวินท์ลอบยิ้มแต่ก็ต้องแสร้งทำหน้าดุๆใส่ไว้ก่อนเป็นการแกล้งที่อินทนิลทำให้เขาหึงภรรยาตัวน้อย
“ถ้าไม่รีบไปเคลียร์งานอาจจะโดนก็ได้นะ”
“เหวอ.. ไปแล้วครับ”
ได้ยินเช่นนั้นอินทนิลก็รีบย้ายร่างตัวเองออกจากห้องทำงานของเจ้านายเพื่อไปทำงานทันที ซึ่งท่าทางเช่นนั้นทำเอาทั้งภวินท์และนทีรินหลุดขำออกมาทั้งคู่
“เพิ่งรู้ว่าเลขาฯเก่าของนทนี่ก็กวนเหมือนกันนะ” ภวินท์พูดขึ้นเสียงขำขันเพราะเขาเองก็เพิ่งทราบว่าเลขาฯของตัวเองเป็นเช่นไรก็วันนี้
“ก็หัดใส่ใจลูกน้องสักนิดสิครับ ถ้าคุณภพเป็นกันเองกับลูกน้องแบบนี้บ่อยๆ ลูกน้องก็จะยิ่งแสดงความเป็นกันเองให้คุณได้เห็นแบบนี้นั่นแหละ เอาแต่ทำหน้าดุๆแบบนี้ลูกน้องไม่กลัวหัวหดแย่เลยเหรอครับ”
นทีรินเอ่ยบอกตามที่เห็นเพราะเวลาที่จากที่เขาสังเกตุตอนที่ภวินท์อยู่กับลูกน้องก็จะทำหน้าดุๆเสียงขรึมๆใส่เป็นประจำเลย เขาทราบว่าภวินท์ต้องรักษาภาพลักษณ์การเป็นท่านประธานแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเป็นเจ้านายใหญ่จะต้องเคร่งขรึมกับลูกน้องอยู่เสมอเสียเมื่อไร
“ก็พี่ทำหน้าใจดีแบบนทไม่เป็นน่ะสิ”
ตามความคิดของภวินท์เขาเองก็ไม่ได้อยากทำหน้าเคร่งขรึมจนทำให้ลูกน้องเกรงกลัวหรอกแต่บางคราเวลาทำงานที่เครียดมากๆใบหน้ามันก็แสดงออกไปเองจนเขาก็ไม่รู้ตัว
“เป็นสิครับ ตอนเด็กๆก็ทำออกบ่อยไป”
นทีรินเอ่ยบอกเสียงอ้อมแอ้มพลางนึกไปในวันที่เขาพบกับภวินท์เป็นครั้งแรก พี่ชายที่มีรอยยิ้มใจดีที่ช่วยเขาเก็บลูกโป่งในวันนั้นและเพราะความใจดีของภวินท์เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารักอีกฝ่ายมาตลอด
“พี่ทำเป็นแค่กับนทเท่านั้นแหละครับ”
ภวินท์เอ่ยบอกภรรยาในอ้อมกอดเสียงนุ่มก่อนที่สายตาคมจะสบเข้ากับสายตาหวานซึ้งอย่างมีความหมายเพราะต้องการสื่อว่าเขามีสายตาแบบนี้ให้กับคนในอ้อมกอดแค่คนเพียงคนเดียวเท่านั้นซึ่งนั่นก็ทำให้นทีรินหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“ก็.. ก็หัดยิ้มให้มันเยอะๆบ้างสิครับ ทีกับผมคุณยิ้มออกจะบ่อย กับพี่อินก็ลองยิ้มให้บ้างสิครับ”
“อินเขาไม่ใช่นทสักหน่อย แล้วอีกอย่างพี่หึงนะครับที่เรียกคนอื่นว่าพี่แต่ไม่ยอมเรียกพี่ว่าพี่บ้างเลย” เสียงทุ้มแกล้งเอ่ยตัดพ้อจนคนในอ้อมกอดอมยิ้มขำจนอยากแกล้งอีกฝ่ายคืนบ้าง
“อยากเป็นพี่เหรอครับ… ถ้าคุณภพอยากเป็นพี่ผมจะได้เรียก พี่.. อื้อ!”
ผลของการอยากแกล้งอีกฝ่ายไม่เป็นผลเพราะตัวเขากลับเป็นคนโดนกระทำเองเสียแล้วเมื่อริมฝีปากหนาฉกชิมบนริมฝีปากบางก่อนจะกดจูบหนักๆเท่านั้นไม่พอยังคงจู่โจมด้วยการดูดเม้มปากบางอย่างนึกอย่างมันเขี้ยวจนปากบางเริ่มบวมเจ่อความเร่าร้อนของรสจูบที่เริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนละมุนเมื่อปากหนาจูบลงที่มุมปากเล็กเบาๆก่อนจะถอดถอนออก
“ไม่อยากเป็นพี่แต่อยากเป็นที่รักครับ”
เสียงทุ้มกระเซ่าเอ่ยชิดแก้มนวลที่มีสีแดงพาดริ้วน่ารักทำเอาเจ้าของแก้มนวลทำตัวไม่ถูกได้แต่ก้มหน้างุดซ่อนใบหน้าแดงๆไว้
“ผม.. ผมจะกลับแล้วนะครับ คุณภพจะได้ทานข้าวสักที”
คำพูดที่ทั้งเซี้ยวทั้งน่าหมั่นไส้นั้นทำเอานทีรินเขินอายจนแสดงทีท่าตะกุกตะกักไปไม่เป็นและนั่นก็ทำให้ภวินท์หัวเราะในลำคอด้วยความเอ็นดูกับท่าทางแสนน่ารักของภรรยา
“จะรีบไปไหนหืม ทานข้าวเป็นเพื่อนพี่ก่อนสิครับ” มือหนาจับข้อมือบางพลางดึงเล็กน้อยให้นทีรินนั่งลงเคียงข้างตามเดิม
“ถ้าจะให้ทานเป็นเพื่อน ก็เลิกแกล้งผมได้แล้วครับ” นทีรินหน้ามุ่ยใส่คนขี้แกล้ง
“พี่ยังไม่ได้แกล้งอะไรนทเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยปฏิเสธแต่ดวงตาคมกลับวาววับปากหนายกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ทำให้นทีรินยู่ปากใส่งอนๆ
“ยิ้มแบบนี้แหละครับที่เรียกว่าแกล้ง”
“ยิ้มแบบนี้แปลว่ากำลังมีความสุขต่างหาก”
ภวินท์เอ่ยบอกพลางมือหนาวางลงบนกลุ่มผมนิ่มแล้วขยี้เบาๆอย่างนึกเอ็นดูภรรยา นทีรินอมยิ้มก่อนจะจัดอาหารกลางวันให้สามีได้ทานเสียทีเพราะว่าเลยเวลาทานอาหารมาสักพักแล้ว ตลอดการทานอาหารของทั้งคู่ไม่มีวินาทีไหนเลยที่สายตาคมของภวินท์จะละไปจากดวงหน้าหวานของนทีริน การทานอาหารในทุกๆมื้อกับภรรยาไม่ได้ทำให้เขาอิ่มท้องเพียงอย่างเดียวหากแต่ยังรู้สึกอิ่มเอมใจจนเขาอยากให้มีช่วงเวลาแบบนี้ในชีวิตในทุกๆวันไปตลอดกาล…
***
ต่อข้างล่างค่ะ