22
((รั้ง)) ไม่รู้ว่านั่งมองคนตรงหน้าหลับอยู่นานเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเขากำลังฝันเห็นอะไรอยู่กันนะ คิ้วเรียวถึงได้ขมวดเข้าหากันแบบนี้ ทำให้อดยื่นมืออีกข้างไปคลึงหว่างคิ้วนั้นเบาๆไม่ได้ คิ้วเรียวถึงค่อยๆคลายออกจากกัน ใบหน้าตอนหลับแบบนี้มันไร้พิษสงจริงๆ มาดนางพญาคนเก่งหายไปหมดเลย
ผมขยับตัวเข้าใกล้เตียงคนไข้อีกนิด แนบหน้าลงกับหมอนใบนุ่มที่ซินหนุนอยู่ในองศาที่หน้าเราตรงกันพอดี ลมหายใจร้อนผะผ่าวจากเขากระทบหน้าผมเบาๆ ว่ากันว่าถ้าแพร่เชื้อให้คนอื่นแล้วตัวเองจะหาย มันจริงมั้ยครับ
งั้นผมควรดูดเชื้อหวัดมาจากซินดีมั้ยนะ ^^
จมูกโด่งเป็นสัน กับปากบางสวยที่อยู่ตรงหน้า ทำให้อดใจไม่ได้ยกมือขึ้นลูบไล้แผ่วเบา กลีบปากนี้ที่เคยมีสีสันสดใส แต่กลับต้องมาซีดเซียวลงแบบนี้เพราะผม ริมฝีปากที่เคยนุ่มนิ่มกลับแห้งผาก
แต่สัมผัสจากมือเพียงแค่อย่างเดียวคงไม่เพียงพอสำหรับความคิดถึง
คนหลับยาก พอจะหลับก็หลับลึกเชียวนะ ถ้าไม่รีบตื่นตอนนี้โดนเอาเปรียบแน่ๆเลยซิน
ไวเท่าความคิด ใบหน้ามันเคลื่อนเข้าหาคนป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็หลับตาพริ้มลิ้มชิมรสหวานจากคนป่วยเสียแล้ว เพียงแค่แตะริมฝีปากลงไปอย่างแผ่วเบา ไม่ได้ลุกรานแต่อย่างใด เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนการพักผ่อนของเขา
แต่แล้วคนที่คิดว่าหลับ กลับขยับปากเผยอออกน้อยๆอย่างเชิญชวน ทำให้อดยิ้มไม่ได้จริงๆ ริมฝีปากที่เคยแห้งผากกลับชุ่มชื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากความหวานที่เราพากเพียรมอบให้กัน
ฟันคมขบลงบนริมฝีปากล่างผมอย่างหมันเขี้ยว ทำให้อดใจไม่ไหวบดจูบลงไปหนักหน่วงอย่างลืมตัวว่าอีกฝ่ายกำลังป่วย ปลายลิ้นตวัดรัดรึงลิ้นเล็กที่เกี่ยวกระหวัดตอบกลับมาอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมกันกับพี่มือร้อนของคนป่วยยกขึ้นคล้องคอกัน
น่ารักเกินไปแล้ว...
เสื้อคนป่วยก็ดันสั้นเกินไปทำให้มือไม้มันอยู่ไม่สุก เลื้อยเข้าไปใต้เสื้อผืนบางลากไล้วนเล่นอยู่ที่หน้าท้องแบนราบของซิน ในขณะที่ริมฝีปากเรายังไม่ขยับห่างออกจากกันเลย
สำหรับความคิดถึงที่มีอยู่ตอนนี้ มากแค่ไหนก็ไม่พอ...
ยังคงบดเบียดเข้าหากันอย่างนั้น อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง จนอีกฝ่ายเริ่มหอบหายใจแรงขึ้น และเลื่อนมือมาบีบต้นแขนผมเบาๆอย่างขออากาศหายใจ ทำให้ต้องจูบย้ำลงบนกลีบปากล่างนั้นอย่างเสียดาย และถอนออกอย่างอ้อยอิ่ง แต่ไม่ได้ถอยตัวห่างออกมา เลือกที่จะวางหน้าผากลงบนหน้าผากมนของเขา ให้ปลายจมูกเราชนกัน
"รังแกคนป่วย นิสัยไม่ดี"
เสียงบ่นอ้อมแอ้มจากคนป่วยประท้วงขึ้นเบาๆ
"ก็เห็นนอนเฉยๆไม่ได้ว่าอะไร จูบตอบกลับมาง่ายๆแบบนี้นี่ ถ้าไม่ใช่ฉันขึ้นมาจะทำยังไง"
"ก็เพราะมั่นใจว่าใช่ไง ถึงได้ยอม"
"หึหึ... ขี้โกง พูดจาน่ารักแบบนี้ในตอนที่กอดไม่ได้ได้ไง"
"เคยเลือกสถานที่ด้วยเหรอ"
"พูดจาแบบนี้นี่เข้าห้องน้ำด้วยกันเลยมั้ย"
"แต่ในห้องน้ำไม่มีเตียงนะ"
"เดี๋ยวจะโดน"
คำพูดหยอกล้อจากเขาที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้ยิ้มได้เสมอ จนเผลอกดจูบลงไปบนริมฝีปากบางนี่อีกครั้งอย่างหมันเขี้ยว เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนป่วยได้เหมือนกัน
"มาตั้งแต่เมื่อไหร่"
ซินถามขึ้นเมื่อผมกลับมานั่งตัวตรงที่เก้าอี้ข้างเตียงอีกครั้ง แต่ก็ยังปล่อยให้เขาหนุนมืออยู่อย่างนั้นโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะปล่อยมือผมคืน
"ตั้งแต่เห็นใครบางคนกรนคร่อกๆนั่นแหละ"
"อย่ามามั่ว เราไม่กรนมั่งเหอะ"
"ตัวเองหลับ แล้วจะรู้ได้ไง"
"รู้"
"เถียงเก่งแบบนี้หายแล้วสินะ"
"จะให้กลับไปทำงานวันนี้ก็ยังไหว"
"เก่งๆ เก่งเหลือเกินนะครับคุณศิลปิน"
ซินนอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาผมยิ้มกว้าง ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะตรงหัวคิ้วผมเบาๆ เห็นคนป่วยยื่นแขนมาไกล จึงต้องโน้มตัวเข้าใกล้เพื่อที่เขาจะไม่ลำบาก ทั้งๆที่ไม่รู้หรอกนะว่าเขาทำไปไมเนี่ย หรือมีอะไรติดอยู่
"รู้ตัวบ้างมั้ยเนี่ย ว่าขมวดคิ้วตลอดเวลาเลย" คำเฉลยจากซิน ทำเอาต้องเลิกคิ้วอยางประหลาดใจ ผมเนี่ยนะขมวดคิ้ว ตอนไหน
"จะยิ้มก็ยิ้มสิ แงะเอาตรงนี้ออกจากกันด้วย" ไม่ได้พูดเปล่านะครับ ดึงขนคิ้วผมหลุดออกไปเป็นแถบๆ เล่นเอาร้องแทบไม่เป็นภาษา
"เจ็บนะเนี่ย! ดึงขนคิ้วทำไมอ่ะ แหว่งขึ้นมาเดี๋ยวก็หมดหล่อกันพอดี"
"อ่ะ หายแล้ว เลิกขมวดคิ้วแล้วเห็นมั้ย"
จนมาถึงตรงนี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองเกร็งคิ้วมาตลอดเวลาเลย เคยเป็นมั้ยครับ อยู่ดีๆมันก็รู้สึกว่าโล่งหัวแปลกๆ ในตอนที่เราผ่อนคลาย เพราะก่อนหน้านั้นเราเผลอขมวดคิ้วไปโดยไม่รู้น่ะสิ นี่ผมขมวดคิ้วมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ถึงว่าสิ หัวมันหนักแปลกๆ
สังเกตกันทุกอย่างเลยสินะ ก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่รักยังไงไหวล่ะครับ
ถ้าไม่มีซิน ผมจะอยู่ได้ยังไง...
"ขอบคุณนะ"
"อย่ามาซึ้ง จะอ้วก"
หมดมู้ด - - อย่างสิ้นเชิง
เอาคำชมเมื่อกี้คืนมา พอตื่นมาเขี้ยวเล็กก็เริ่มโผล่ออกมาทันที นอนต่อไปเป็นลูกแมวตัวน้อยอีกสักพักได้มั้ยเนี่ย
"แล้วเข้ามาได้ไง ป๊าบอกว่านักข่าวเต็มเลยข้างนอกห้อง อย่าบอกนะว่าฝ่าฝูงนักข่าวเข้ามา"
"ใช่แล้ว เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยเลย แต่รับรองได้ว่าไม่มีใครรู้แน่ๆ ว่าคนที่เข้ามาเป็นนัท"
"ยังไง"
"มีผู้ช่วยนิดหน่อย"
"ใคร"
"ไม่บอก"
"ไม่บอกก็ไม่อยากรู้"
ครับ การยั่วความอยากรู้อยากเห็นของซินจบลงเท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าเขาจะอยากรู้มากเหลือเกิน - -
"เดี๋ยวก่อนนะ เราว่าเรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน" แต่แล้วซินที่ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรได้ รีบยกหัวขึ้นและดึงมือผมออกจากหมอนในทันที และหันหน้าหนีไปทางอื่น
อะไรอ่ะ... อยู่ๆเปลี่ยนโหมดซะงั้น
"เรื่องอะไรซิน"
"ไปกินข้าวกับโอลีฟตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ฮะ?"
"เราถามว่าไปกินข้าวกับโอลีฟตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ใครไปกินข้าว... อ้อ! เรื่องข่าวอะนะ เชื่อด้วยเหรอซิน เราก็คุยกันตลอด ฉันไปไหนนายก็ต้องรู้สิ"
"ใครจะไปรู้ล่ะ ก็ข่าวเขาว่าอย่างนั้น แถมยังมีพาดพิงถึงเราด้วยนะ"
เนื้อหาในหนังสือพิมพ์ทำเอาความโกรธแล่นเข้ามาอีกรอบ ผู้หญิงคนนั้นพูดถึงซินในทางที่ไม่ดี ไม่แปลกเลยที่นักข่าวจะแห่กันมาขนาดนี้ คนที่รักความเป็นส่วนตัวอย่างซินก็คงไม่พอใจเป็นเรื่องธรรมดา อันที่จริง ผมน่าจะออกไปปกป้องซินสิถึงจะถูก
"งั้นให้ฉันออกไปให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตอนนี้เลยมั้ย จะให้บอกว่าเราคบกันอยู่ก็ได้"
"ไม่ได้นะ" คนที่หันหน้าหนีรีบสะบัดหน้ากลับมาทันที
"ทำไมล่ะ เรื่องมันจะได้จบๆไป ผู้หญิงคนนั้นจะได้หน้าหงายไปเลยไง"
"เก่งมากเลย รังแกผู้หญิงเนี่ย บอกนักข่าวแบบนั้นไม่ได้นะนัท เดี๋ยวได้กลายเป็นเรื่องใหญ่กันพอดี"
"ทำไมล่ะ คนเชียร์ให้เรารักกันมีเยอะแยะไป ไม่เชื่อลองไปอ่านในเน็ตสิ แฟนคลับนายออกมาต่อว่าโอลีฟกันตั้งเยอะ"
"เรื่องบางเรื่องให้มันคลุมเครืออยู่แบบนั้นน่าจะดีกว่า"
"ทำไมอ่ะ ก็ในเมื่อ..."
"นัท... วงการนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องจริงเสมอไปหรอกนะ อะไรหลบได้ก็หลบ อะไรหลีกได้ก็ควรจะหลีก ถ้ามันจะทำให้เราไม่เดือดร้อน การที่คนของนัทออกมาให้ข่าวแบบนี้ นั่นมันก็อยู่ที่ตัวของเขาเอง เขาอยากจะให้คนอื่นมองเขาว่าเป็นยังไงมันก็เรื่องของเขา เราไม่อยากสนใจ"
"โอลีฟไม่ใช่คนของฉันนะ นายต่างหากคนของฉัน"
คนป่วยไม่ตอบ แต่เบ่ปากส่งมาให้แทน มันน่าจับกดซะให้เข็ดจริงๆ - -
" ...แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ คนอื่นจะคิดว่านายผิดนะ"
"ในเมื่อเราไม่ผิด ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเรื่องก็เงียบไปเอง ดูอย่างตอนนี้ แฟนคลับเราก็ช่วยกันการให้แล้วไม่ใช่เหรอ"
"แล้วนักข่าวข้างนอกนั่นล่ะ จะเอายังไง"
"ปล่อยให้รอไปอีกสักพัก เดี๋ยวก็เลิกเฝ้ากันเองแหละ แล้วนี่ทำไมเราจะต้องมาเป็นฝ่ายอธิบายด้วยเนี่ย เราโกรธอยู่นะ"
"โกรธโอลีฟใช่มั้ยล่ะ ใช่ ฉันก็โกรธมากเลยตอนเห็นข่าว ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริงๆ"
"เปล่า โกรธนายนั่นแหละ"
"อ้าว ทำไมโกรธฉันล่ะ"
"รูปในหนังสือพิมพ์มีโอบเอวกันด้วยนี่"
"มีที่ไหน ไม่เคยโอบเลย!"
"ไม่โอบได้ไง หน้าตาเคลิ้มออกซะขนาดนั้นอ่ะ"
"ตลกและซิน อย่ามาใส่ร้าย"
"ใส่ร้ายที่ไหน ดูเอาเองเลย!" พูดจบก็หันไปคว้าหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะข้างเตียงมาโปะใส่หน้าผมเต็มๆ รูปพวกนี้นี่เห็นหมดแล้วล่ะครับเมื่อเช้า แต่...เอ๊ะๆ อาการแบบนี้นี่มันยังไง... ^^
"หึงเหรอซิน"
ถามออกไปเพราะหวังจะหยอกเขาล้วนๆแหละครับ และเตรียมตัวรับการโจมตีหลังจากนั้นเอาไว้แล้วด้วย แต่แล้วก็ต้องตกใจแทบตกเก้าอี้กับคำพูดที่อีกฝ่ายกระแทกเสียงตอบกลับมา
"ก็เอออ่ะดิ! แฟนทั้งคนนะเว่ย ไม่หึงได้เหรอ!"
โอ้ยยยย ใครอัดเสียงเมื่อกี้ทันบ้างมั้ยครับ ถ้าใครอัดทันช่วยไรท์ใส่แผ่นซีดีส่งมาให้ผมที่บ้านที จะเก็บเอาไว้ฟังก่อนนอนทุกคืนเลย ก็เล่นยอมรับออกมาเต็มปากเต็มคำซะขนาดนั้น โอกาสแบบนี้หาได้ยากนะครับ
"โห ไม่เอา ไม่หึงนะครับ มุมกล้องล้วนๆอ่ะ ซินก็เห็น"
"ไม่ต้องพูดเลย ชอบล่ะสิ ได้ทำงานใกล้ๆผู้หญิงสวยๆ"
"สวยแค่ไหนก็สู้ซินไม่ได้สักคน"
"ไม่ต้องมาปากดี"
"ดีไม่ดี ลองชิมอีกสักทีมั้ยล่ะ"
"พูดจาเอาแต่ได้ตลอด เข้าตัวตลอด"
"คนเรามันก็ต้องมีกันบ้าง"
"เหรอ... หึ!"
"ไม่โกรธนะครับ ไม่เข้าใจผิดนะ นัทรู้ว่าซินเข้าใจ ซินของนัทเป็นคนมีเหตุผลจะตายไป" พูดไปก็เอาหัวไปถูๆไถๆหน้าท้องคนป่วยเบาๆ แถมกอดเขาไปด้วย
ทำให้คนบ้าจี้ขำคิกคักๆ ดิ้นไปมา
ยิ้มออกแล้ว... เห็นมั้ย
"ไอ้นัท อย่าจั๊กจี๋! ผิดกติกา!" เสียงร้องโวยวายจากคนป่วย ทำเอาคนอยากแกล้งยิ่งจี้ไปที่เอวบางมากยิ่งขึ้น คราวนี้ดิ้นพลาดๆเลยครับ
เมื่อเห็นว่าคนป่วยเริ่มหอบหายใจ ก็เลยยอมหยุด เดี๋ยวอาการจะกำเริบขึ้นมาซะก่อน ตากลมโตมองค้อนกันมาอีกวงใหญ่ พร้อมกับชี้หน้าผมไปด้วย
ฮ่าๆๆ สู้ไม่ได้แล้วใช้สายตาเป็นอาวุธนะครับ
ในตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น และเมื่อประตูห้องเปิดออก ป๊ากับม้าซินก็เดินเข้ามา ทำเอาคนที่เพิ่งจะรังแกลูกเขาเอาไว้เหงื่อตกอย่างร้อนตัว รีบมยกมือไหว้ป๊ากับม้าแทบไม่ทัน
"สวัสดีครับป๊าม้า"
"สวัสดีจ้ะลูก ไงคนป่วย สีหน้าสดใสขึ้นเยอะเลยนะจ้ะ สงสัยจะได้ยาดี" โดนม้าแซวเข้าให้แล้วครับ ฮ่าๆๆ
"ใช่ที่ไหน นัทแกล้งซินนะม้า ป๊าจัดการเลย" ไหงพูดกับม้า แล้วหันไปฟ้องป๊าอย่างนั้นล่ะครับที่รัก
ไอ้คนมีความผิดติดตัวก็ได้แต่ยืนยิ้ม ขนท้ายทอยลุกอยู่อย่างนั้น
เดี๋ยวเถอะ ป๊าเผลอเมื่อไหร่แล้วจะเจอดี คาดโทษเอาไว้ก่อนเลย
พอป๊ากับม้าเขามา ไอ้ผมจะไปนั่งแหย่ลูกชายเขาต่อก็ใช่ที่ เลยต้องมานั่งทำตัวเป็นคนดีปอกผลไม้ให้คนป่วยกินอยู่ข้างเตียง ม้าก็น่ารักเหลือเกิน ซื้อผลไม้มาซะเต็มตะกล้าเลย แถมด้วยขนมอีกสารพัด นี่คงกะว่าจะขุนลูกชายให้อ้วนเป็นหมูไปเลยสินะ
แถมไอ้ตัวดีก็เอาใหญ่ เดี๋ยวร้องจะกินแอ๊ปเปิ้ล เดี๋ยวร้องจะกินส้ม พอปอกส้มจะกินสาลี่ พอปอกสาลี่จะกินองุ่น ดูเอาเถอะนะครับ
“เอ้า กินเข้าไปผลไม้น่ะ จะได้ไม่ป่วยบ่อยๆ” ผมพูดพลางจ่อแอ้ปเปิ้ลไปที่ปากคนป่วย แต่เจ้าตัวกลับเบ้หน้าและหันหนีซะอย่างนั้น
“ไม่เอา เบื่อแอ้ปเปิ้ล”
“ส้มก็ไม่เอา สาลี่ก็ไม่เอา องุ่นก็ไม่เอา แอ้ปเปิ้ลก็ไม่เอา แล้วจะเอาอะไรครับ เอานัทมั้ย...” แรกๆก็พูดเสียงปกติ แต่คำหลังนี่แอบยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูเบาๆ หึหึ...
ไม่เคยกลัวตายหรอกครับ กลัวอด... >..<
คนป่วยผงะถอยหลังไปติดหัวเตียงทันทีที่ได้ยิน แถมยังมือไวตะปบหัวดันกันแถบหงายหลัง ทำเอาคว้าเตียงคนไข้เอาไว้แทบไม่ทัน เสียงร้องโวยวายของผมเรียกให้ป๊าที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟาด้านข้างเงยหน้าขึ้นมามอง ไอ้ผมก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งๆตอบกลับไป ป๊าจึงส่ายหน้าช้าๆ และก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ ส่วนม้าที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำหลังจากเอาผลไม้เข้าไปล้างก็หัวเราะขึ้นเบาๆ
เป็นอย่างนี้มาสักพักแล้วล่ะครับ... จะว่าอึดอัดมั้ย ก็ไม่นะ เพราะป๊ากับม้าก็ไม่ได้ว่าอะไร
ออกจะดีด้วยซ้ำไป เพราะได้ทำอะไรอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่บ้าง
แต่มันทำอะไรลำบากอ่ะ - - ถึงป๊าจะไม่ได้ว่า แต่ก็แอบส่งสายตามาเป็นระยะนะครับ ทำเอาขนลุกกันเป็นช่วงๆ
“พูดบ้าอะไร ป๊ากับม้าก็อยู่นะ” คนป่วยที่ดูท่าทางว่าจะหายป่วยแล้วกระซิบลอดไรฟันมาเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เอ้า ก็ถามจริงๆ ไอ้นู่นก็ไม่กิน ไอ้นี่ก็ไม่กิน แล้วจะกินอะไรครับ”
“ก็อิ่มแล้ว จะให้กินไปถึงไหน ท้องแตกตายกันพอดี”
“กินเข้าไปเยอะๆ จะได้อ้วนๆกับเขามั้ง ผอมจะตายอยู่แล้ว”
“นั่นสิลูก ยิ่งป่วยๆแบบนี้ยิ่งซูบลงไปเยอะเลย ทานเยอะๆ จะได้หายไวๆ” ม้าเดินเอาผลไม้ที่ล้างแล้วมาให้ผมด้วยรอยยิ้ม และเดินเลยไปลูบหัวซินเบาๆ
“ซินกินเข้าไปตั้งเยอะแล้วม้า ไม่เข้าข้างลูกตัวเองเลยอ่ะ” ไอ้คนป่วยก็บ่นง้องแง้งไปเรื่อย แม่ลูกเขาก็ออดอ้อนกันไป โดยที่มีผมนั่งมองดูอยู่ใกล้ๆ ลูกแมวน้อยเขากำลังอ้อนม่าม้าเขาอยู่ น่ารักเชียวครับ ไอ้ผมก็มองไปยิ้มไป
ปากบางที่เคยซีดเซียวมีเลือดฝาดขึ้นมานิดๆแล้ว แก้มซีดก็เริ่มมีสีเปร่งปรั่งขึ้นมาบ้าง เห็นแบบนี้แล้วก็สบายใจ ทำให้อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
รอยยิ้มนี้ที่ผมเฝ้าปกป้องมาโดยตลอด และผมสัญญาว่าจะดูแลรักษารอยยิ้มสวยๆนั้นให้คงอยู่แบบนี้ตลอดไป
“แล้วนัทล่ะลูก หิวหรือยัง”
“ยังครับม้า แอบแย่งขนมคนป่วยกินไปเยอะแล้ว ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ครับ”
ผมยิ้มตอบกลับม้าที่หันมาถาม ตามด้วยอีกคนที่ชะโงกออกมาจากด้านหลังม้า
“นิสัยไม่ดี แย่งขนมคนป่วย ป๊าจัดการเลย”
เอ๊ะไอ้นี่... แน่จริงฟ้องม้าสิวะครับ! ป๊าเขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เงียบๆ ไปกวนเขาทำไม... จดบัญชีไว้ก่อนเถอะ อยู่สองต่อสองเมื่อไหร่ล่ะก็...
หึหึ ดูท่าทางว่าจะหายแล้วด้วยนี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นการรังแกคนป่วยแล้วล่ะ
ยิ่งไอ้ท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาใส่กันแบบนี้มันยิ่งน่านัก
“เอ้อป๊า นัดร้านต้นไม้เอาไว้ตอนกี่โมงนะ”
“บอกเขาไว้ว่าจะเข้าไปเที่ยงๆ นี่กี่โมงแล้วล่ะ”
“สิบเอ็ดโมงแล้วครับ” ผมที่นั่งฟังป๊ากับคุยกันอยู่รีบตอบออกไปอย่างหวังดี (ประสงค์ร้ายชัดๆ)
“อ้าว สิบเอ็ดโมงแล้วเหรอ งั้นรีบไปกันดีกว่ามั้ยป๊า เดี๋ยวที่ร้านเขาจะรอ”
“ไปไหนอ่ะม้า” ไอ้ตัวดีที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขาถามขึ้น
“ไปร้านต้นไม้จ้ะ ป๊านัดเขาไว้ว่าจะไปดูต้นจำปี จะเอามาปลูกหลังบ้าน”
“อ้าว แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนซิน”
“ก็นัทไงลูก ใช่มั้ยจ๊ะ”
“ครับม้า เดี๋ยวผมดูแลให้เอง รับรองได้เลยครับ” ในเมื่อม้ายื่นโอกาสให้ขนาดนี้แล้ว มีหรือที่ผมจะปฏิเสธ รีบตอบม้าที่หันมาถามด้วยรอยยิ้มกว้างทันที
“จ้ะ เดี๋ยวเย็นๆป๊ากับม้าจะกลับเข้ามาใหม่ ไปกันเถอะป๊า” แล้วหลังจากนั้นพ่อแม่ลูกเขาก็ล่ำลากันอีกสักพักก่อนจะเดินออกจากห้องไป