...จันทร์จ้าว...บทพิเศษ Christmas…again and again. (๒๔ ธ.ค. ๖๔/หน้าที่ ๖๙)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...จันทร์จ้าว...บทพิเศษ Christmas…again and again. (๒๔ ธ.ค. ๖๔/หน้าที่ ๖๙)  (อ่าน 746588 ครั้ง)

ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13
แค่นี้ก็ฟินยิ้มแก้มแตกแล้ว

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
โอ๊ยขำจันทร์เจ้า ทำบุญร่วมชาติมาแน่ ๆ ใจตรงกันไปเสียทุกอย่าง

ออฟไลน์ taltal020441

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ๊ายยยเค้าหวานกันจริง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เนียนจีบ???

ออฟไลน์ ★KVH™★

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 516
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
คุณจันทร์น่าเอ็นดู

ออฟไลน์ bradpitt

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

  ฟินอีกรอบ


ผู้ชายบอกรักแบบ แมนๆๆ  ...เอ๊ยยย  ชวนตีเทนนิสกันครัช :o8:


อ้างถึง
  “ผมไม่ได้อยากแข่งกับคุณชาติหน้า แต่ผมอยากแข่งกับคุณไปตลอดต่างหาก...”



ดวงตากลมใหญ่มองสบดวงตาคมทว่าอ่อนโยนที่ภวัตมองมา ก่อนที่จะเป็นฝ่ายจันทร์จ้าวที่เบี่ยงสายตาไปทางอื่น และก่อนที่จะยกแก้วขึ้นดื่ม ภวัตก็ได้ยินเสียงเบาแผ่วตอบกลับมา



“ผมก็ไม่ได้จะไปไหนนี่ จะอยู่กับแข่งเทนนิสกับหมอไปเรื่อยๆนี่ล่ะ”


 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven [/color]

ออฟไลน์ ๐๐ตะวัน๐๐

  • ๐๐๐ลูกตาล๐๐๐
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
เทนนิสสื่อรักจริงๆ  :hao7:

ออฟไลน์ zazoi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 970
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-1
 :z1:แหม่ ถ้าจะขนาดนี้เชียร์หมอทำคอร์ทเทนนิสในบ้านเถอะ ไม่ต้องไปบุ๊กให้เสียเวลา 555

ออฟไลน์ ppangssang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
แมนๆตีเทนนิสกันครับ :z2:

ว่าแต่เภากับคุณพงษ์นี่ยังไงกันนะ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
 :hao3: :hao3: :hao3: หมายถึงทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันรึเปล่าคะคุณหมอ แหมๆแบบเกิดมาคู่กันทุกชาติไปไรงี้ ละทำไมเรารู้สึกว่าเค้ากำลังจีบกันอยู่เลยละคะเนี่ย คุณหมอเห็นเงียบๆแต่ขยันหยอดแบบเนียนๆตลอดเลยนะคะ  :-[ :-[ :-[

 :กอด1: :กอด1: :กอด1: กอดคุณบัวรัวๆกับตอนที่ยาวสะใจมากๆค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Theshadowreader

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ฟังแล้วเขินแทน
หมอคงอยากทำอย่างอื่นด้วยกันตลอดไปมากกว่าแค่เทนนิสอย่างเดียว ใช่ม้า
ถึงชวนไปทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน
 :o8:

ออฟไลน์ LEO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 924
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +366/-3
ชอบ   เค้าทันกันดีน่ะ

ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
น่าจะเปลี่ยนจาากเรื่องจันทร์จ้าวเปนเทนนิสกระชับรักก เอะอะไรก้อ้างเทนนิสสตัลหลอดดดดดดเลยนะคุ่นี้ 

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
หมอออ รุกหนักมากก

ออฟไลน์ ma-prang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
แอบเขินล่ะสิจันทร์ ฮุๆๆ

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
หมอกับจันทร์ คู่นี้น่ารักจริง ใจตรงกันมาก

ส่วนคู่อาทิตย์กับคุณพิม ไม่รู้จะอีกนานไหมกว่าจะลงเอย อาทิตย์โดนกระตุ้นแล้วจะออกมาเป็นแบบไหนเนี่ย

ออฟไลน์ nongrak

  • ยังไงก็รักคาเมะจังที่สุด
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +912/-14
คุณหมอจะจับจองจันทร์จ้าวไว้ตีเทนนิสด้วยกันตลอดไปเลยเหรอ
กะจองล่วงหน้าสินะ

ออฟไลน์ PAiPEiPEi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-3
คุณหมอ ดูแล้วจี๊บจีบจันทร์จ้าว   นี่เค้าไม่รู้ตัวใช่มั้ยมันเป็นไปตามธรรมชาติใช่มั้ย    เก็บทุกเม็ดเลยนะคุณหมอ   

เรื่องนี้สรุปเป็นนิยายกีฬาซินะ เทนนิสสื่อรักซินะ

อยากเห็นจันทร์จ้าวพาภวัตไปเที่ยวบ้าน  นึกสีหน้าคุณแม่ กับ ดารา รอไว้เลยค่ะ

ออฟไลน์ PookPick

  • มองฉัน รักฉันสิ!
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
แมนๆคุยกันสินะหมอ~
555 เทนนิสกระชับรักมากกว่ามิตรแล้วละคะแบบนี้
คู่พี่อาทิตย์กับคุณพิมก็ช่าง ใสๆ~ อิอิ
รอตอนต่อไปค่ะ สนุกมากๆเลย

ออฟไลน์ รุ่งนภา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[   จันทร์จ้าวน่ารักอ่ะ :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
คิดว่ากว่าจะได้รักกันเป็นกิจลักษณะ คงตีเทนนิสกันจนแขนเดาะไปข้าง

ความจริงคุณหมอภวัตน่าจะระแคะระคายความรู้สึกตัวเองบ้างแล้ว เพราะเพียงแค่ให้เบอร์โทรศัพท์ไปก็รอเช้ารอเย็น พอจันทร์จ้าวไม่โทร.หา ก็คิดถึงขนาดนั้น นี่หมอไม่ค่อยแสดงออก (ให้คนอ่านเห็น) เลยนะ ส่วนจันทร์จ้าวยังคงไม่รู้ตัวว่าได้เข้าไปอยู่ในกรงเล็บของหมอเจ้าเล่ห์เสียแล้ว ฮา

ขอบคุณมากๆ ค่ะ คุณบัว สำหรับเรื่องราวละมุนละไมเรื่องนี้ รอคอยตอนต่อไปนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
เค้าจีบกันหยอดกัน รู้ตัวกันหรือเปล่าว่ามุ้งมิ้ง มากกกก

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook

อืม... พี่หมอคะ พี่หมอนั่งริกชอว์เลยป้ายไปไกลมากแล้วค่ะ
(ไม่รู้สมัยนั้นมีไหม แต่อาศัยว่าเก่าหน่อยเลยมั่วเอามาโยงเสียอย่างนั้น)
พี่หมอไม่ทันรู้ตัวใช่ไหมคะว่าอิ๊อ๊ะกับคุณจันทร์ไปแล้ว...
ตีเทนนิสกันแมนๆ... เอาตามที่พี่หมอสบายใจเลยค่ะ
ไว้ให้อยากกระทำมากกว่าตีเทนนิสเมื่อไร ป้าจะรอดูตอนพี่หมอตกใจก็คงไม่สายเนอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^

ออฟไลน์ monetacaffeine

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5
แอบสัมผัสได้ถึงความหวานเบาๆ >_____<
เราชอบอารมณ์แบบนี้มากกกกเลยค่ะ คาแรคเตอร์ของทั้งสองคนปั้นออกมาได้พอเหมาะพอเจาะสุดๆ
ทั้งคุณหมอที่มีความเป็นพระเอกสูง ทั้งอ่อยโยน ใจดี แถมยังไม่ถือสาเอาความคนเอาแต่ใจอีก
ส่วนด้านคุณจันทร์เธอก็น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆนะคะ ไม่ต้องคุณหมอหรอกค่ะ คิดว่าทุกคนที่อยู่รอบๆคุณจันทร์ก็เอ็นดูเธอทั้งนั้นแหละ
ถึงจะดูเอาแต่ใจ ถือดีอย่างไร แต่พอเวลาพูดความรู้สึกออกมาตรงๆแต่ละทีก็ทำเอาที่ผ่านมาสลายเป็นอากาศไปเลย
อะไรจะน่ารักขนาดนั้นคะเนี่ย  :-[
เห็นทีคราวนี้คุณหมอคงไปไหนไม่รอดแล้วล่ะค่ะ ~

ปล. แอบกลัวเวิ้งแห่งความดราม่าที่จะตามมาหลังจากนี้จริงๆค่ะ T ____ T
รักทั้งสองคนมากๆเลย อยากเห็นเค้าคู่กันหวานกันสุดๆเลยค่ะ ; ;

ปล2. คำผิดตอนล่าสุดนะคะ
นายแพท์หนุ่ม - แพทย์
เงียบเฉียบ - เงียบเชียบ รึเปล่าคะ ? . _ .
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2015 22:58:10 โดย monetacaffeine »

ออฟไลน์ dereel_nx

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น่ารักจังเลยน๊าาาาคุณหมอกับนายจันทร์เนี่ย  :mew1: :laugh:

ออฟไลน์ นางสาวกานาเลส

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
โอ้ยยยย เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ ดีงามพระรามสี่มากๆค่ะ ชอบการจีบกันโดยใช้เทนนิสเป็นสื่อกลาง 555555
ถ้าสมัยนี้แมนๆเตะบอล สมัยนั้นคงแมนๆตีเทนนิสแน่ๆ  :impress2:

ออฟไลน์ haemin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 318
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
 :mew1: โว้ โว้  แมนๆเค้าคุยกัน  ทำบุญร่วมชาติ อยากตีด้วยกันตลอดไป กรี๊ดดดดดดด ทำไม ป้าฟินนนน

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
จันทร์จ้าว
By: Dezair
…………………….
บทที่ ๗



เช้าตรู่ รถยนต์ของหมอภวัตก็มาจอดที่หน้าบ้านเช่าสีเขียวอ่อนอันเป็นมรดกตกทอดของคุณหญิงผกา ที่ทุกวันนี้กลายเป็นที่อาศัยของจันทร์จ้าว เขาไม่จำเป็นต้องลงจากรถเพราะเจ้าของบ้านเดินลิ่วลงมาจากบันไดราวกับรู้ว่าเขามาถึงแล้ว ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก้าวเท้าเร็วๆออกจากบ้านพร้อมด้วยดอกบัว ๒ ดอกในมือแล้วเปิดประตูขึ้นมานั่งข้างคนขับอย่างรู้งาน



“สวัสดีครับ” คนทักก่อนคือเจ้าของรถ จันทร์จ้าวหันมายิ้มเต็มหน้าจนเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้ายแล้วผงกศีรษะให้ทีหนึ่ง



“สวัสดี หมอมาตรงเวลาเป๊ะ”



“เรานัดกันไว้นี่ครับ แล้วนั่นเอาดอกไม้มาทำไมหรือ”

 

“ก็จะไปทำบุญ ผมไม่มีอะไรไปนอกจากมือเปล่าๆ ก็เลยไปขอดอกไม้จากข้างบ้านตั้งแต่เมื่อเช้า โชคดีคุณยายข้างบ้านมีดอกบัวถวายพระ แกเลยแบ่งมาให้ผม ผมขอมาเผื่อหมอด้วย” เพราะบอกว่าขอมาเผื่อ ในมือของจันทร์จ้าวจึงมีดอกบัวตูมสีเขียวอ่อน ๒ ดอก ภวัตมองคนพูดด้วยความรู้สึกอุ่นซ่านในอก

 

“ขอบคุณครับ” น้ำเสียงทุ้มนั้นอ่อนโยนจนร่างโปร่งต้องหันมอง ดวงตากลมใหญ่สบกับดวงตาดุที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนหวานเสียจนจันทร์จ้าวต้องเป็นฝ่ายเบี่ยงสายตาออกไปมองนอกหน้าต่างรถเพราะรู้สึกว่ายิ่งสบตากับนายแพทย์ผู้นี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดในใจมากขึ้นทุกที



“หมอพาผมไปวัดได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก เอ?...แล้วมีแต่ดอกบัวไปถวายพระอย่างนี้จะดีหรือ”



“ผมให้คนเตรียมกับข้าวใส่ปิ่นโตมาด้วยแล้วครับ” ภวัตพูดแล้วบุ้ยหน้าไปยังเบาะหลัง คนที่นั่งอยู่ข้างกายเขาจึงหันมองแล้วก็หันกลับมาทำตาโต



“เตรียมมาแยะเชียวหมอ!”

 

“สำหรับ ๒ คนครับ” คำว่าสำหรับ ๒ คน ในคำพูดของหมอภวัตจะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่จันทร์จ้าวและนายแพทย์หนุ่ม เป็นอีกครั้งของเช้านี้ที่บุตรชายคนรองแห่งบ้านรักษพิพัฒน์รู้สึกประหลาดในอกเสียเหลือเกิน เขาหันกลับไปมองนอกหน้าต่างรถอีกครั้งเพราะกลัวใจว่าหากต้องสบตากับอีกฝ่ายมากกว่านี้ เขาคงเสียความเป็นตัวเองมากขึ้นทุกที แต่แม้จะหันมองออกไปนอกรถ ภวัตก็ยังได้ยินประโยคแผ่วเบาจากคนที่ทำเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างรถ

 

“ขอบคุณที่เตรียมมาเผื่อผม”



“ยินดีครับ” แล้วนายแพทย์หนุ่มก็หมุนพวงมาลัยพารถยนต์ออกสู่ถนน คนหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาขับ อีกคนเอาแต่มองออกไปนอกรถ แม้คนทั้งคู่จะไม่ได้คุยกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ได้สนใจกัน ทว่าต่างรับรู้ว่าข้างกายยังมีใครอีกคนนั่งเคียงข้าง เป็นบรรยากาศแปลกประหลาดที่แม้จะเงียบเชียบแต่กลับให้ความรู้สึกสบายและสงบ



จันทร์จ้าวเอนหลังพิงพนักอย่างสบายอารมณ์



ภวัตขับรถอย่างสงบ


...ช่างเป็นความสบายและสงบที่ชักน่าถวิลหาเสียแล้ว...


.................................



วัดที่ภวัตพามาอยู่ในเส้นทางที่จะไปสำนักงานของจันทร์จ้าวพอดี พอรถจอดที่ลานวัด พวกเขาก็พากันลงจากรถ จันทร์จ้าวรับหน้าที่ถือดอกบัว ๒ ดอกที่เตรียมมา ส่วนภวัตถือเถาปิ่นโต พากันออกมายืนรอพระที่กลับจากบิณฑบาตรในยามเช้า อากาศเวลานี้กำลังเย็นสบาย ยิ่งฝนตกเมื่อคืน ตอนเช้าก็ยิ่งชื้นเย็นด้วยละอองน้ำค้าง



“วันนี้ฝนจะตกไหมก็ไม่รู้นะหมอ เมื่อคืนที่บ้านผมตกหนัก ที่โรงพยาบาลตกไหม”



“ตกครับ หนักเอาเรื่องเหมือนกัน ตอนแรกก็ว่าสงสัยวันนี้จะได้ใส่บาตรกับคุณท่ามกลางสายฝนเสียแล้ว โชคยังดีว่าฝนมาหยุดเอาตอน ๓ ยาม” จันทร์จ้าวหัวเราะเบาๆ ดวงตาระยิบยามเหลือบมองคนพูด



“พูดจาโบราณจริงหมอ ผมนักเรียนนอก ๓ ยามคืออะไร ไม่รู้จักหรอก ถ้าบอกว่า Three O’clock ล่ะว่าไปอย่าง”



“ก็ได้ครับ ๓ นาฬิกา”



“แต่เมื่อคืนฝนหยุดตอน ๒ นาฬิกาไม่ใช่หรือ” จันทร์จ้าวหยอก



“ก็คุณพูด ๓ นาฬิกาไม่ใช่หรือครับ” เป็นว่าภวัตแปลภาษาอังกฤษออก แม้จะไม่ยอมออกเสียงให้เขาฟังก็ตามที นึกว่าจะเป็นหมอเก่งแต่รักษาคนไข้ ที่ไหนได้ น่าจะฟังภาษาอังกฤษออกด้วย



“หมอรู้ภาษาอังกฤษด้วยหรือ” จันทร์จ้าวตั้งคำถาม ไม่ได้ดูหมิ่นดูแคลนแต่กำลังอยากเรียนรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายอย่างสนอกสนใจ



“พอรู้บ้างครับ แต่คงไม่สู้คุณจันทร์”



“แน่ซี ผมไปเรียนเมืองนอกตั้ง ๖ ปี”



“ไปอยู่แรกๆ ลำบากไหมครับ”



“ลำบากอย่าให้พูดเลยหมอ ภาษาอังกฤษที่เรามีสู้พวกอเมริกาจ๋าได้อย่างไรล่ะ ตอนแรกอุตส่าห์ฝึกกับแหม่มฝรั่งไปอย่างดี ไปถึงจริง อย่างกับต้องเรียนใหม่หมด ไหนจะอากาศอีก ช่วงฤดูหนาวน่ะหนาวเข้ากระดูก ดีหน่อยว่ามี Snow ให้ทำอะไรสนุกๆ ไม่อย่างนั้นคงเฉาตาย”



“ถ้ารู้ว่าลำบากแต่แรก คุณจะยังไปไหมครับ” เป็นคำถามที่ไม่เคยมีใครถามจันทร์จ้าว เขาหันมองหมอภวัต ก่อนที่รอยยิ้มจางทว่าจริงจังจะผุดขึ้นบนดวงหน้าขาวจนเห็นลักยิ้มที่แก้มซ้าย



“ไปสิ เหตุผลแค่ว่าลำบากทำอะไรผมไม่ได้หรอก คนเราเกิดมาหนเดียว ตายหนเดียว กลัวอะไรกับความลำบาก ไม่ลงมือทำเอง ต่อให้ได้รางวัลมาก็ไม่รู้ค่าของมันเพราะไม่ได้ผ่านความลำบากมาก่อน” ทั้งๆที่เป็นถึงบุตรชายของท่านนายพลเดชและคุณหญิงผกาผู้มั่งคั่งไปด้วยเงินทองและเกียรติยศ แต่กระนั้นจันทร์จ้าวกลับเรียนรู้ที่จะพยายามด้วยน้ำมือตนมากกว่าร้องขอรอมรดกตกทอดจากตระกูล



ดวงตาคมทอดมองใบหน้าของคนพูดด้วยความซาบซึ้งในเนื้อแท้ของคนเบื้องหน้า จนคนถูกมองชักเริ่มรู้สึกประหลาดอีกหนแล้วต้องเบือนสายตาหนีไปมองทางอื่น พอดีเหลือบไปเห็นพระกลับจากบิณฑบาตรแล้ว เขาจึงเอ่ยชวน



“พระมาแล้ว”



ไม่มีคำพูดอะไรอีก ภวัตและจันทร์จ้าวเดินเข้าไปขอนิมนต์ใส่บาตร อาหารในปิ่นโตล้วนเป็นของแห้งเช่นเนื้อแดดเดียว พวกเขาช่วยกันใส่บาตร และปิดท้ายด้วยดอกบัว ๒ ดอกที่แบ่งกันถือคนละดอก วางลงบนบาตรอีกที เสร็จพิธีก็รับพร รอจนพระสงฆ์เดินขึ้นศาลาไปแล้ว ภวัตจึงหันมาพูดกับคนข้างกาย



“สงสัยเราต้องมาใส่บาตรกันอีกรอบแล้วล่ะครับ”



“เอ้า! ทำไมล่ะ?!” จันทร์จ้าวได้ยินก็ถึงกับหันมาถามตาโต นึกว่าตนทำอะไรผิดพลาด



“ผมไม่ได้หยิบที่กรวดน้ำมาเสียด้วย ใส่บาตรไม่กรวดน้ำอย่างนี้ไม่ดีหรอกครับ จะไม่ได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล” คนฟังได้ยินเหตุผลก็ถึงกับหัวเราะ เขาไม่ใช่คนเคร่งศาสนา พอมาเจอภวัตที่ออกจะเคร่งเรื่องบุญเรื่องกรรมก็อดไม่ได้ที่จะเห็นว่าเป็นเรื่องขัน



“หมอท่าทางจะเอาจริงกับเรื่องบุญกรรมมากนะนี่”



“ผมเพียงแคอยากทำพิธีให้ครบถ้วน ไว้พรุ่งนี้จะไปรับมาใส่บาตรใหม่นะครับ ผมจะหยิบที่กรวดน้ำมาด้วย” ภวัตพูดแล้วยิ้มจางก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปที่รถ พลันนั้นจันทร์จ้าวก็นึกฉุกใจขึ้นมาเรื่องหนึ่ง คนที่ตระเตรียมปิ่นโตมาใส่บาตร จะลืมที่กรวดน้ำเชียวหรือ



“หมอ...” เขาเรียกเอาไว้ นายแพทย์หนุ่มจึงหันกลับมามอง



“...อย่าริอ่านโกหกในวัดเชียว หมอลืมที่กรวดน้ำจริงหรือแกล้ง เพราะจะได้หาเรื่องมาใส่บาตรกับผมอีกรอบ” ภวัตมองคนถามนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเผยรอยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเมื่อครู่



“ผมบอกว่าไม่ได้หยิบมา ไม่ได้บอกว่าลืมครับ”


สิ้นคำตอบนั้น จันทร์จ้าวก็ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะเดินกลับไปที่รถแล้วเก็บเรื่องหนึ่งเอาไว้ในใจ



...พวกเขามาใส่บาตรกันที่วัด และต่อให้เขาจะไม่เคร่งศาสนา แต่เขาก็รู้ว่าในวัดย่อมมีที่กรวดน้ำ แต่กระนั้น...จันทร์จ้าวก็ไม่เสนอให้ภวัตไปหยิบยืมที่กรวดน้ำของวัดมาใช้...



เขาไม่กล้าหยอกเย้าอีกฝ่ายว่าอยากใส่บาตรกับเขาจนถึงขนาดไม่หยิบที่กรวดน้ำมา เพราะตัวเขาเองก็เห็นว่าการใส่บาตรกับภวัตเป็นเรื่องสนุกจนไม่เสนอเรื่องที่กรวดน้ำของวัดเช่นกัน


........................................



หลังจากใส่บาตร พวกเขาไปหาอะไรรับประทานเป็นอาหารเช้า แล้วภวัตจึงมาส่งจันทร์จ้าวที่หน้าสำนักงานซึ่งชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายหนังสือ ตอนที่ผู้โดยสารลงจากรถนั้น พอดีกับที่เรย์มอนด์ อดัมส์เพื่อนฝรั่งผู้ร่วมหุ้นเปิดบริษัทด้วยกันเดินเตร่มาถึงหน้าสำนักงานเช่นกัน เขาเลิกคิ้วน้อยๆเพราะไม่เคยเห็นรถยนต์คันนี้มาก่อน นายฝรั่งรอจนรถคันนั้นขับออกถนนใหญ่และหายลับไปกับรถยนต์บนท้องถนนแล้วจึงรีบเดินเข้าไปทักทายเพื่อนรัก

 

“อรุณสวัสดิ์เช้าที่แสนสบายคุณจันทร์”



“สวัสดี เรย์” เรย์มอนด์เลิกคิ้วอีกหน วันนี้จันทร์จ้าวอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาดูเพื่อนออก



“เมื่อกี้รถใคร ผมไม่เห็นเคยเห็นมาก่อน เพื่อนคุณจันทร์หรือ”



“รถหมอน่ะ”



“หมอ? หมอไหน?”



“จะหมอไหน ก็หมอภวัตน่ะซี” จันทร์จ้าวตอบแล้วหมุนตัวจะเดินเข้าสำนักงานแต่เสียงของเรย์มอนด์ดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน



“เพิ่งรู้ว่าหมู่นี้คุณจันทร์สนิทกับคุณหมอ”



   ...สนิทหรือ?... จันทร์จ้าวถามตัวเอง เขากับหมอภวัตเพิ่งคุยกันได้อย่างไม่มีเรื่องขุ่นเคืองแค่ไม่กี่วัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเขาเหม็นหน้าอีกฝ่ายจะตาย บทจะหายเคืองก็หายเสียง่ายๆ แล้วพอหายเคืองแล้วก็ถึงได้รู้ว่าการคบหากับภวัตเป็นเรื่องน่าสนุกใช้ได้ จันทร์จ้าวไม่ทันคิดเรื่องนี้ จนกระทั่งเพื่อนฝรั่งทักขึ้นมา



   “ก็...ไม่ได้สนิทอะไร”



   “หือ? ไม่ได้สนิทแต่ให้คุณหมอมาส่ง? คุณจันทร์ท่าจะเพี้ยนเสียแล้ว คนอย่างคุณจันทร์น่ะเรื่องมากจะตาย นั่งรถใครง่ายๆเสียที่ไหน สมัยก่อน ใครนะที่หอ ที่เคยอาสาจะขับรถพาคุณเที่ยวแต่คุณไม่ยอมเพราะบ่นว่านายนั่นขับรถไม่ได้เรื่อง เบรคทีหัวทิ่มหัวตำ” จันทร์จ้าวฟังเรย์มอนด์นำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่แล้วได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยเพราะนึกไม่ถึงว่าตนเองจะเรื่องมากถึงเพียงนั้น



   “ผมเคยด้วยหรือ?” เขาจำไม่เห็นได้ว่าเคยทำอะไรเช่นนั้น แต่เรย์มอนด์พยักหน้าอย่างจริงจัง



   “เคยซี! แต่จำไม่ได้แล้วว่าเจ้าคนที่ขันอาสาคุณจันทร์ชื่ออะไร ดูเหมือนจะเป็นคนจีนที่ชื่อนายหวังหรืออะไรสักอย่าง เอาเถอะ! เรื่องมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้คุณจันทร์เจอคนที่ถูกใจแล้ว หมอภวัตขับรถให้คุณนั่งได้ ซ้ำยังตีเทนนิสก็เก่ง เป็นคู่ซ้อมคุณได้ทุกเมื่อ หือ?! ตั้ง ๒ เรื่องแน่ะที่ถูกใจจันทร์จ้าวผู้แสนเรื่องมาก  อย่างนี้ต้องเรียกว่า Soulmate!!”



จันทร์จ้าวหัวเราะลั่นสมกับที่เรย์มอนด์ประเมินเพื่อนรักชาวไทยคนนี้เอาไว้ว่าวันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะแม้เขาจะพูดภาษาอังกฤษ แต่เจ้าตัวก็ไม่ยักจะกินหัวเขาเหมือนทุกที



   “แค่ ๒ เรื่องเรียกว่า soulmate ผมก็คงมี soulmate สัก ๑๐๐ คนแล้วล่ะมั้ง” ชายหนุ่มร่างโปร่งผู้เป็นเจ้าของลักยิ้มที่แก้มซ้ายว่าอย่างนั้นก่อนจะเดินผิวปากอารมณ์ดีเข้าสำนักงานไป เรย์มอนด์มองตามแล้วคันปากยิบอยากย้อนนักว่า soulmate ๙๙ คนที่จันทร์จ้าวพูดถึงอาจมีเรื่องที่ทำถูกใจคนเรื่องมาก ๒ เรื่องเหมือนหมอภวัตก็จริง แต่เขาเชื่อว่า ๙๙ คนพวกนั้นไม่มีทางทำให้จันทร์จ้าว รักษพิพัฒน์อารมณ์ดีได้เท่ากับที่หมอภวัตทำในวันนี้



   “ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ผมว่าหมอภวัตนี่ล่ะ soulmate ของคุณ” นายฝรั่งพูดตามหลัง แต่จันทร์จ้าวทำเพียงยกมือโบกไปมาประหนึ่งจะบอกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้



   ... soulmate ของผู้ชายที่ชื่อจันทร์จ้าว รักษพิพัฒน์ไม่มีทางเป็นหมอภวัต...จันทร์จ้าวยืนยันกับตนเองเช่นนั้น...


...................................



เพราะเรย์มอนด์พูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างเรื่องหมอภวัตคือ soulmate ของจันทร์จ้าว ช่วงบ่ายวันนั้นเมฆฝนก้อนใหญ่จึงปกคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯ ที่สำนักงานของพวกเขาก็มีฝนตกห่าใหญ่เช่นกัน



ชายหนุ่มร่างโปร่งนั่งอยู่ในห้องทำงานแคบๆของตนเองแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเหนื่อยหน่าย เพราะว่าฝนตก อดเล่นเทนนิสอย่างไม่ต้องสงสัย และเพราะฝนตก จันทร์จ้าวจึงยังนั่งอยู่ในห้องทำงานต่อไปทั้งๆที่ควรจะกลับบ้านได้แล้ว



...เขาว่าจะรอให้ฝนซากว่านี้อีกสักหน่อย แต่ดูท่าเม็ดฝนจะไม่บางลงเสียเลย...



“กลับก็กลับ...” เขาได้แต่บ่นกับตนเอง ไม่มีรถจึงแย่อย่างนี้ ระหกระเหินขึ้นรถรางหาสามล้อกลับบ้านเอง บางทีเขาควรจะซื้อรถสักทีก็ดีเหมือนกัน


 
จันทร์จ้าวก้าวเท้าเดินออกจากห้องทำงาน บอกลาพนักงานที่ยังทำงานกันอยู่ ก่อนจะลงมาชั้นล่างที่เปิดเป็นหน้าร้านวางหนังสือ แล้วจึงออกมาที่ถนน ฝนเม็ดใหญ่ยังคงตกไม่ลืมหูลืมตา เขาก็ได้แต่ยืนอยู่ใต้กันสาดเท่านั้น ตอนที่กำลังคิดว่าจะฝ่าฝนกลับบ้านหรือกลับเข้าไปนั่งอยู่ในสำนักงานต่อ รถยนต์คุ้นตาคันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอดที่ริมฟุตบาธหน้าร้าน แล้วกระจกรถก็ถูกเลื่อนลงเล็กน้อยให้ร่างโปร่งเห็นคนขับรถคันนั้น



“หมอ?!”

 

“ขึ้นมาสิครับ คุณจันทร์” คนที่ยั่งนั่งอยู่หลังพวงมาลัยร้องบอก ฝนยังคงตกไม่ลืมหูลืมตา และอยู่ดีๆก็มีรถยนต์มาจอดอยู่ตรงหน้า หากจันทร์จ้าวบอกปัด เขาก็คงด่าตนเองว่าโง่บรม คนถูกชวนวิ่งออกจากใต้กันสาดหน้าร้านไปขึ้นรถทันที ชั่วอึดใจเดียว ร่างสูงโปร่งของจันทร์จ้าวก็มาอยู่ในรถยนต์ของภวัตแล้ว



“ฝนแรงน่าดูเลยนะครับ ใช้นี่เช็ดเสียก่อน” คนขับรถเอ่ยแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าสีเข้มให้ผืนหนึ่งเมื่อเห็นว่าคนที่วิ่งฝ่าฝนมาขึ้นรถเขานั้นเปียกไม่ใช่น้อย แม้ระยะห่างระหว่างหน้าร้านกับรถของเขาจะใกล้กันแค่ความกว้างของฟุตบาธเท่านั้นเอง



“ขอบคุณหมอ” คนตัวเปียกรับมาอย่างไม่เกี่ยงงอนแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดศีรษะและเสื้อของตนเอง เมื่อนั้นภวัตจึงเริ่มหันหัวรถออกสู่ถนนอีกครั้ง



“ฝนตกหนักอย่างนี้คงอดเล่นเทนนิสเสียแล้วนะครับ” สารถีเริ่มชวนคุย จันทร์จ้าวใช้ผ้าเช็ดหน้าของเจ้าของรถเช็ดจนรู้สึกว่าพอจะสบายตัวขึ้นแล้ว จะส่งคืนก็กระไร จึงเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อตั้งใจจะนำไปซักเสียก่อนแล้วค่อยนำมาคืนอีกหน



“นั่นซี วันนี้จู่ๆฟ้าก็รั่ว แล้วนี่หมอออกเวรแล้วหรือ”



“ครับ ผมเห็นฝนตก คิดเอาว่าคุณคงกลับลำบาก ก็เลยลองแวะมาดู กำลังจะกลับบ้านพอดีหรือครับ”



“อื้อ นั่งรอตั้งแต่บ่าย เห็นว่ายังไม่หยุดเสียทีก็เลยตั้งใจว่าจะกลับแล้ว โชคดีหมอมาถึงพอดี ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดเราคงคลาดกัน” จันทร์จ้าวพูดแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายช่างโมเมเรื่องการทำบุญกรรมร่วมกันมาเลยรีบดักคอไว้ก่อน



“หมออย่าบอกล่ะว่าที่หมอมาทันผมพอดีเป็นเพราะเราทำบุญร่วมกันมาอีก” ภวัตหัวเราะน้อยๆอย่างอารมณ์ดี



“แล้วมันไม่จริงหรือครับ คิดดูสิ คนไม่ทำบุญร่วมกันมาจะบังเอิญได้ขนาดนี้เชียวหรือ” จันทร์จ้าวไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่ส่ายศีรษะไปมา



“ผมไม่เถียงกับหมอหรอก หมอส่งผมที่หน้าซอยบ้านผมได้ไหม จะแวะกินข้าวเสียหน่อย ที่บ้านไม่มีอะไรสักอย่าง”



“ถ้าอย่างนั้นก็แวะทานอะไรที่ร้านเสียเลยดีไหมล่ะครับ”



“ไม่เอา ฝนตกเฉอะแฉะอย่างนี้ มัวแต่ขึ้นๆลงๆรถก็พอดี เบาะเปียก”



“ถ้าอย่างนั้นไปทานที่บ้านผมไหมครับ ผมหมายถึงบ้านพักหมอในโรงพยาบาล”



“บ้านหมอมีอะไรทานด้วยหรือ”



“มีครับ ปกติผมจะฝากให้แม่ครัวของโรงพยาบาลจัดอาหารให้ เวลาจะทานก็เอามาอุ่นเสียหน่อย รสชาติใช้ได้ทีเดียว”



“แล้วมีพอสำหรับเรา ๒ คนหรือ” จริงอยู่ว่าอาหารที่แม่ครัวจัดให้นั้นถึงจะมีกับข้าว ๓ อย่างในทุกๆมื้อ แต่ก็เป็นปริมาณที่อิ่มท้องสำหรับคนเดียว ทว่า...คำถามของจันทร์จ้าวกลับทำให้ภวัตรู้สึกอุ่นในอก ต่อให้ปริมาณอาหารจะน้อยกว่าปกติเสียครึ่งหนึ่ง เขาก็ยังคิดว่าพอสำหรับ ‘เรา ๒ คน’ อยู่ดี



“ลองไปดูก่อนแล้วกันครับ ถ้าไม่พอ ผมจะเจียวไข่เพิ่มให้อีก” เมื่อคนชวนว่าอย่างนั้น จันทร์จ้าวก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธ เขาเอนกายพิงพนักอย่างสบายเหมือนเมื่อเช้าก่อนจะเอ่ยปากอย่างอารมณ์ดี



“ตามใจหมอ สงสัยชาติที่แล้วเราจะทำบุญด้วยกันมามากจริง ชาตินี้ได้กินข้าวด้วยกันอีกแล้ว” แล้วรถยนต์ของหมอภวัตก็เคลื่อนตัวไปตามถนนที่พร่างพรายไปด้วยฝน ทว่าในรถกลับอุ่นอย่างน่าประหลาด



คนหนึ่งขับรถอย่างสงบและมีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้า



อีกคนนั่งอย่างสบายและมีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้าเช่นเดียวกัน


................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2015 20:41:49 โดย Dezair »

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8


บ้านพักแพทย์อยู่ในเขตโรงพยาบาลแต่ค่อนมาทางด้านหลัง เป็นบ้านชั้นเดียวขนาดเล็ก รถต้องจอดอยู่ที่หน้าตึกโรงพยาบาล แล้วจึงวิ่งเข้ามา แต่เพราะฝนแรงและระยะทางค่อนข้างไกล กว่าที่จันทร์จ้าวและหมอภวัตจะมาถึงบ้านพักก็พากันเปียกมะล่อกมะแล่ก



“ผมจะหาเสื้อผ้าให้คุณเปลี่ยน ขืนใส่อย่างนี้มีหวังเป็นหวัดกันพอดี” เจ้าของบ้านพูดแล้วดึงแขนแขกผู้มีเกียรติเข้ามาในห้องนอนของตน ห้องนอนของหมอภวัตเป็นห้องนอนขนาดกะทัดรัด เตียงกว้างกลางห้องมีโต๊ะข้างเตียงวางโคมไฟ มุมหนึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าและกระจก อีกมุมคือตู้หนังสือและโต๊ะทำงาน



“นี่ครับ ผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้า”



“ผมขอแค่ผ้าเช็ดตัวก็พอ...” จันทร์จ้าวติดนิสัยไม่ชอบใส่เสื้อผ้าคนอื่น แต่อีกฝ่ายก็ติดนิสัยของนายแพทย์เช่นกัน



“ไม่ได้ครับ เสื้อผ้าคุณเปียกขนาดนี้ ถ้าไม่เปลี่ยน พรุ่งนี้คุณได้ย้ายเข้าไปนอนในโรงพยาบาลแน่”



“แต่...”



“ไม่มีแต่ครับ เปลี่ยนเสื้อผ้า ผมจะรอข้างนอก” หมอภวัตสำทับเสียงเข้ม ดวงตาที่เคยอ่อนโยนเข้มงวดราวกับบิดากำชับบุตรก็ไม่ปาน



“ผมไม่ชอบใส่เสื้อผ้าของคนอื่นนี่!” ดวงหน้าขาวเริ่มจะหงุดหงิดที่ถูกบังคับ “...ของคุณพงศ์ ยังไม่เคยใส่เลยสักครั้ง” กับหม่อมหลวงพงศ์ภราธรผู้เป็นเพื่อนสนิทยิ่งกว่าผู้ใด จันทร์จ้าวยังไม่เคยคิดจะใส่เสื้อผ้าร่วมกัน แล้วภวัตเป็นใคร อยู่ๆจะมาบังคับให้เขาใส่เสื้อผ้าด้วย



นายแพทย์หนุ่มมองคนดื้อแพ่ง เขาเป็นคนใจเย็นและใจดีก็จริง แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพแล้ว ภวัตก็เข้มงวดและเคร่งครัดไม่แพ้ใคร



“ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าของคนอื่น ผมเองก็ไม่ใช่คนอื่น เป็นคู่ตีเทนนิสของคุณนี่เอง แล้วของคุณพงศ์ ไม่เคยใส่ ก็ลองใส่ของผมจะเป็นไรไป เสื้อผ้านั่นซักมาใหม่ๆ ใช้ผงซักฟอกแบบฝรั่งที่ยังไม่มีขายในเมืองไทยด้วยนะครับ” จันทร์จ้าวอ้าปากจะเถียง แต่ภวัตที่ดูเชื่องช้าและใจเย็นกลับพูดแทรกอย่างรวดเร็วกว่า



“เอาล่ะครับ ผมจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้ำด้านหลัง คุณใช้ห้องนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็แล้วกัน แล้วถ้าผมกลับมา คุณจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว มิเช่นนั้น คุณจะได้รู้ว่าผมจะทำอะไร” นายแพทย์หนุ่มกล่าวแล้วจับจ้องดวงหน้าขาวอย่างจริงจังแล้วจึงเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตนออกจากห้องไป พอบานประตูปิดลง เมื่อนั้นจันทร์จ้าวจึงเพิ่งนึกขึ้นได้



“นี่หมอขู่ผมหรือ?!! คิดว่าผมจะกลัวรึไร?!! หมอ! กลับมาคุยก่อนซี!!” แต่ภวัตไปแล้วไปลับ ไม่เปิดประตูกลับเข้ามา คนโวยวายเลยได้แต่ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดแล้วจำต้องก้มลงมองเสื้อผ้าชุดใหม่ที่อยู่ในมือของเขา



‘…เสื้อผ้านั่นซักมาใหม่ๆ ใช้ผงซักฟอกแบบฝรั่งที่ยังไม่มีขายในเมืองไทยด้วยนะครับ’ คำพูดของหมอภวัตยังคงดังก้องอยู่ในหัว และดูเหมือนนั่นจะเป็นสาเหตุให้คนไม่ชอบใส่เสื้อผ้าร่วมกับใครยอมยกเสื้อผ้าในมือขึ้นดม

   

ดวงหน้าขาวนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อพบว่ากลิ่นที่ติดจมูกเป็นกลิ่นผงซักฟอกแบบฝรั่งจริง ดวงตากลมใหญ่จับจ้องเสื้อผ้าในมือ ก่อนจะคลี่มันออกมาดู



‘…ผมเองก็ไม่ใช่คนอื่น เป็นคู่ตีเทนนิสของคุณนี่เอง แล้วของคุณพงศ์ ไม่เคยใส่ ก็ลองใส่ของผมจะเป็นไรไป…’



ถ้าลองใส่แล้วรู้สึกไม่ดี ผมจะลงโทษหมอด้วยการไม่เป็นคู่ตีเทนนิสด้วยอีกเลย คอยดูเถอะ!



...................................



ภวัตอาศัยเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำทางด้านหลัง ตอนที่เขากลับเข้ามาในบ้านอีกหน จันทร์จ้าวก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเรียบร้อย เจ้าตัวดูเหมือนจะผอมกว่าเขาเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าใส่เสื้อผ้าของเขาได้พอดี



“มองอะไรหมอ” คนถูกบังคับให้เปลี่ยนเสื้อผ้าถามเสียงห้วน ดูจะไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไร นายแพทย์หนุ่มเจ้าของบ้านจึงเดินเข้ามาหา



“เสื้อผ้าเปียกอยู่ตรงไหนครับ”



“ผมเอาออกไปไว้หน้าบ้าน” ภวัตเดินออกไปที่หน้าบ้านซึ่งเป็นเฉลียงนั่งเล่นมีหลังคาคลุม เสื้อผ้าของจันทร์จ้าวพาดอยู่ตรงนั้นเพื่อผึ่งให้แห้ง เขาจึงหยิบมันขึ้นมาจัดเสียใหม่ เพราะวิธีการผึ่งของเจ้าของเสื้อผ้าออกจะยับย่นไปเสียหน่อย ดูแล้วคงจะแห้งยาก จันทร์จ้าวเดินตามออกมาดู แล้วก็ถึงได้เห็นว่าภวัตเป็นคนช่างดูแลแม้กระทั่งเสื้อผ้าของเขา



“ถ้าฝนยังตกอยู่อย่างนี้ คุณคงต้องใส่เสื้อผ้าชุดนั้นกลับบ้านไปก่อน” ภวัตหันมาพูด ทำเอาร่างโปร่งก้มลงมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ จริงอยู่ว่านี่เป็นเสื้อผ้าของคนอื่น และเขาก็รู้สึกไม่ค่อยจะดีเสียเท่าไร แต่...เมื่อลองใส่ดู ก็พบว่ามันไม่ค่อยจะอิหลักอิเหลื่อเสียเท่าไร อาจจะเพราะหมอรับประกันว่ามันถูกซักด้วยผงซักฟอกแบบฝรั่ง จันทร์จ้าวจึงพอจะทำใจยอมรับกับเสื้อผ้าของคนอื่นบนร่างกายตัวเองได้อยู่บ้าง



“หมอไปเอาผงซักฟอกฝรั่งมาจากไหน ที่เมืองไทยยังไม่นำเข้ามาไม่ใช่หรือ”



“เพื่อนที่ต่างประเทศส่งมาให้ลองใช้ครับ สะดวกและสะอาดดีนะครับ กลิ่นก็หอมด้วย ผมว่าอีกไม่นานคงมีคนนำเข้ามาขายในเมืองไทยบ้าง” คนฟังพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ หมอภวัตจึงเปลี่ยนเรื่องชวนคุยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายพะวักพะวงอยู่แต่กับเรื่องเสื้อผ้าของเขาที่สวมอยู่



“แล้วหิวหรือยังครับ”



“อืม...เอาอาหารออกมานั่งทานตรงนี้ได้ไหม หน้าบ้านลมเย็นดี” จันทร์จ้าวเสนอแล้วบุ้ยหน้าไปที่เฉลียง มีหลังคาคลุมกันฝนอย่างนี้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นหวัด ซ้ำยังลมเย็น ได้ยินเสียงฝนตกจ้อกๆด้วย



“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะไปจัดอาหารมา” เจ้าของบ้านว่าอย่างนั้นแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน หากแขกอย่างเขาจะยืนอยู่ที่เดิมก็จะดูมารยาทเลวไม่น้อย จันทร์จ้าวจึงจำต้องเดินตามไปเลียบๆเคียงๆหาเรื่องช่วยเล็กๆน้อยๆบ้าง



นายแพทย์หนุ่มมาเป็นพ่อครัวใหญ่ เขาลำเลียงเอาอาหารที่อยู่ในปิ่นโตออกมาอุ่นเสียใหม่แล้วจัดจานชามอย่างสวย โดยมีจันทร์จ้าวคอยเดินไปเดินมายกอาหารจากครัวเล็กๆออกไปตั้งที่โต๊ะ



เมื่อทุกอย่างพร้อม คนทั้งคู่ก็นั่งลงที่โต๊ะตรงเฉลียง ได้ยินเสียงฝนตกจ้อกๆ ลมเย็นกำลังสบาย ยิ่งทำให้อารมณ์ดี



“ผมเพิ่งเคยเข้ามาแถวนี้ของโรงพยาบาลเป็นครั้งแรก ปกติก็มักจะอยู่แถวตึกนู่น” จันทร์จ้าวพูดแล้วบุ้ยหน้าไปที่ตึกของโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ห่างจากบ้านพักแพทย์เสียเท่าไร



“คุณจันทร์มารักษาที่นี่ประจำเลยสินะครับ”



“ใช่สิ บ้านผมอยู่ใกล้แค่นี้เอง” จันทร์จ้าวหมายถึงบ้านเรือนไทยรักษพิพัฒน์ที่อยู่ถัดจากโรงพยาบาลไปหน่อยเท่านั้นเอง



“ไม่ยักเคยเจอกัน” ภวัตเอ่ยปาก ทว่าทำเอาอีกคนหัวเราะ



“ก็แน่สิหมอ ผมไม่อยู่เมืองไทยตั้ง ๖ ปี เราได้เจอกันก็แปลกแล้ว”



“จริงด้วยสินะครับ คุณไปเรียนที่อเมริกามา ไปเรียนด้านไหนหรือครับ”



“เศรษฐศาสตร์น่ะ”



“คุณคงเก่งเลขซีนะครับ” เป็นอีกครั้งที่ภวัตทายผิด เพราะอีกฝ่ายโบกมือว่อน



“ตรงกันข้ามเลยหมอ ผมอ่อนวิชาเลขมากที่สุด เพราะว่าไม่เก่งก็เลยเรียนเสียเลยจะได้เลิกไม่เก่งอย่างไรล่ะ” คราวนี้คนฟังถึงกับหัวเราะ “คุณเป็นคนที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ”



“ตอนเด็กๆผมเคยอยากเป็นหมอด้วยนะ หมอรู้จักพยาบาลที่ชื่อคุณอนงค์ไหมล่ะ”



“คุณอนงค์หรือครับ? เอ?...ที่เป็นหัวหน้าพยาบาลไหม”



“ใช่ๆ สมัยก่อนคุณอนงค์สวยที่สุดในบรรดาพยาบาลทั้งหมดของโรงพยาบาลนี้ นั่นล่ะแรงบันดาลใจให้ผมอยากเป็นหมอล่ะ”


ช่างสมเป็นจันทร์จ้าวผู้เจ้าสำราญ ภวัตหัวเราะไม่หยุดแต่ก็ยังไม่วายตั้งคำถาม “แล้วทำไมถึงล้มเลิกเสียล่ะครับ”



“จะเพราะอะไร? ก็เพราะว่าคุณอนงค์แต่งงานน่ะซี” จันทร์จ้าวพูดแล้วหัวเราะร่วน แต่สุดท้ายก็โบกมือไปมา “ล้อเล่นหรอก...ตอนหลังผมอยากเก่งเลข ก็เลยหันไปสนใจเศรษฐศาสตร์แทน จริงๆควรจะเรียนเกี่ยวกับบัญชีใช่ไหม แต่ผมทำสลาก ๒ ใบ ใบหนึ่งเขียนคำว่าบัญชี อีกใบเขียนคำว่าเศรษฐศาสตร์แล้วก็เลยจับได้คำว่าเศรษฐศาสตร์น่ะ”



“คราวนี้พูดจริงหรือล้อเล่นครับ” ภวัตถามทั้งๆที่ยังหัวเราะ



“พูดจริง! แต่ครึ่งเดียว เพราะว่าตอนนั้นมีทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์พอดี แล้วใจผมก็อยากเรียนเกี่ยวกับเศรษฐกิจอยู่แล้วด้วย ช่วงสงคราม อะไรๆก็แพง ถึงบ้านผมจะพอมีพอกิน แต่เราก็เห็นหลายคนลำบากมากขึ้น ตอนนั้น จู่ๆผมก็นึกขึ้นมาว่าหลังสงครามแล้ว คนอาจจะไม่รบกันด้วยระเบิดหรือปืน แต่คงจะหันมารบกันด้วยเศรษฐกิจ ระเบิดทำให้คนตาย หรือพิการในวินาทีสั้นๆ แต่เศรษฐกิจจะกัดกินคนเข้าไปเรื่อยๆ มันเป็นอาวุธที่ร้ายกาจ” ภวัตมองคนพูดด้วยคาดไม่ถึงว่าคนสนุกสนานเช่นจันทร์จ้าวจะคิดเรื่องเช่นนี้



“ทั้งๆที่คิดว่ามันอันตราย ก็ยังคิดจะเรียนหรือครับ”



“จะได้อยู่กับมันอย่างปลอดภัยอย่างไรล่ะ” ภวัตมองคนพูดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและหลากใจกับความคิดความอ่านของอีกฝ่ายแล้วจึงเอ่ย



“หมายความว่าถ้าเกิดตอนนั้นจับได้สลากที่มีคำว่าบัญชี คุณก็จะจับสลากใหม่จนกว่าจะได้สลากที่มีคำว่าเศรษฐศาสตร์ใช่ไหม” จันทร์จ้าวหัวเราะกับคำถามนั้นแล้วพยักหน้ารับอย่างจำนน



“หมอรู้จักผมดีเกินไปแล้ว แล้วหมอล่ะ ทำไมถึงเป็นหมอ อย่าบอกนะว่าอยากช่วยเหลือคน” ภวัตยิ้มจางแล้วพยักหน้ารับ



“ใช่ครับ” ดวงตากลมใหญ่จับจ้องใบหน้าของคุณหมอหนุ่มอย่างมีชั้นเชิง



“เป็นชาวนาก็ปลูกข้าวทำให้คนไม่อดอยาก เป็นสามล้อก็รับส่งคนเดินเท้าทำให้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย อาชีพไหนๆก็ช่วยเหลือคนได้นี่” คราวนี้คนฟังหัวเราะ ดวงหน้าคมดุทว่าอ่อนโยนยังคงถูกจับจ้องด้วยดวงตาของจันทร์จ้าวที่มองมาเหมือนรอคอยคำตอบ



“จริงครับ ไม่ว่าจะอาชีพไหนก็ได้ช่วยเหลือคน ถึงจะเป็นการช่วยเหลือที่แลกกับเงินทอง แต่ถ้าหากชาวนาไม่คิดจะปลูกข้าว หรือสามล้อไม่คิดรับจ้าง ต่อให้เรามีเงินมากมายเพียงใด เราก็อดอยากและเราก็เหน็ดเหนื่อยกับการเดินถนนอยู่ดี แต่ที่ผมเป็นหมอ เพราะผมอยากทำให้ชาวนาที่ป่วย หายป่วย อยากช่วยให้สามล้อที่บาดเจ็บ หายเจ็บ พวกเขาจะได้กลับไปปลูกข้าวและรับจ้าง คนอื่นๆจะได้ไม่อดอยากและไม่ต้องเหนื่อยเดินถนน” เป็นคำตอบที่ทำให้จันทร์จ้าวนิ่งงัน เขาคิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม แต่กลายเป็นภวัตที่ยืนยันตัวตนอย่างเข้มแข็ง



“หมอชอบปิดทองหลังพระสินะ” เขาเอ่ย ดวงตากลมที่เมื่อครู่มองอย่างเหนือกว่ากลายเป็นลูกแก้วใสที่จับจ้องหมอภวัตราวกับอยากเรียนรู้นิสัยใจคอของอีกฝ่ายให้มากขึ้นกว่านี้



ภวัตหัวเราะเบาๆ “คุณเองก็ดูเหมือนจะรู้จักผมดีเช่นกัน”



ดวงตา ๒ คู่มองสบกัน ราวกับพยายามเรียนรู้ตัวตนของกันและกันให้มากยิ่งขึ้น แล้วก็ราวกับรอบกายพวกเขาเหลือเพียงเสียงฝนที่กระทบหลังคาเบาๆเป็นจังหวะ จังหวะที่จันทร์จ้าวคิดไปเองว่ามันช่างคล้ายจังหวะของบางอย่างที่กำลังเต้นถี่อยู่ในร่างกายของเขาเสียเหลือเกิน



ดวงตากลมใหญ่เป็นฝ่ายเบี่ยงลงมองจานข้าวตัวเอง รู้สึกอับจนคำพูดขึ้นมา



“พรุ่งนี้ถ้าฝนไม่ตก เราไปตีเทนนิสกันไหมครับ” แล้วก็กลายเป็นภวัตที่ตั้งคำถามในช่วงที่จันทร์จ้าวคิดคำพูดใดๆต่อไปไม่ออก คนถูกชวนเหลือบตาไปมอง บรรยากาศประหลาดเมื่อครู่นี้จางหายไปแล้ว ที่อยู่รอบตัวพวกเขาตอนนี้กลายเป็นเรื่องตีเทนนิสแทน ร่างโปร่งเลยรู้สึกเหมือนจะหายใจได้สะดวกขึ้น



“ถ้าหมอว่างและถ้าฝนไม่ตก ผมไปตีก็ได้” นายแพทย์หนุ่มยิ้มจางรับ



“พรุ่งนี้ตอนเช้าผมจะโทรศัพท์ไปจองคอร์ดครับ” แล้วหลังจากนั้น พวกเขาก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันต่ออีกครู่ใหญ่ๆจนกระทั่งมื้ออาหารเย็นจบลง ภวัตจึงเป็นคนอาสาไปส่งอีกฝ่ายที่บ้านเช่าสีเขียวอ่อน เป็นอันว่าจันทร์จ้าวจำต้องใส่เสื้อผ้าของ ‘คนอื่น’ ไปจนกระทั่งหมดวันนั้นเลย



...........................................



ช่วงนี้หม่อมหลวงพงศ์ภราธรแทบจะไม่ได้พบปะหน้าตาเพื่อนรักอย่างจันทร์จ้าวเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่วังฉัตรกับบ้านเช่าสีเชียวอ่อนที่เพื่อนของเขาอาศัยก็อยู่ใกล้กันเท่านี้เอง แต่เพราะช่วงนี้บิดาจะซื้อที่ดินผืนใหม่ หน้าฝนอย่างนี้ เดินทางไปที่ไกลๆก็ลำบาก แต่เพราะเห็นว่าเป็นที่ดินทำเลดีและราคาถูก บิดาของเขาก็อดไม่ได้ เขาจึงต้องติดตามไปด้วย จึงทำให้แทบไม่มีเวลาพบหน้าใคร เมื่อวันนี้มีโอกาสได้พักผ่อนหลังจากต้องติดตามบิดา หม่อมหลวงพงศ์ภราธรจึงตรงปรี่ไปที่สโมสรเทนนิสในตอนเย็นทันที หลังจากแวะไปที่สำนักงานแล้วพบว่าจันทร์จ้าวเข้ามาทำงานในช่วงเช้า ก่อนจะหายหน้าออกไปหลังจากพักเที่ยง



“สวัสดี คุณพงศ์! หายไปนานเชียว นี่จะลืมหน้าเสียแล้ว!” นายวินิตรีบเข้ามาทักทายเมื่อเห็นราชนิกูลหนุ่มในสโมสร



“สวัสดี คุณวินิต ช่วงนี้ผมต้องติดตามคุณพ่อ วันนี้ได้พักเลยจะมาตีเทนนิสเสียหน่อย” เขาว่าอย่างนั้นแล้วสอดส่ายสายตาไปทั่วทั้งสนาม แต่ไม่พบจันทร์จ้าวเลยแม้แต่นิดเดียว



“มองหาใครหรือคุณพงศ์ มองหาคุณจันทร์อยู่ล่ะซี! ประเดี๋ยวก็มา! แกต้องรอให้คุณหมอออกเวรก่อนแล้วจึงมาพร้อมกัน” นายวินิตพูดสิ่งที่พบเห็นตลอดหลายวันมานี้ ที่จันทร์จ้าวโผล่มาที่สโมสรทุกเย็น โดยมาพร้อมกับคุณหมอภวัต มาแล้วหากไม่แข่งกันเอง ก็จับคู่กันแข่งกับคนอื่น แล้วใครจะรอดเล่า? ๒ คนนั้นกลายเป็นคู่หูคว้าชัยทุกครั้งที่ลงสนาม



“รอคุณหมอออกเวร?” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรทวนถามด้วยความสงสัย



“ใช่! คุณพงศ์ไม่โผล่มาเสียนาน รู้ไหมตอนนี้คุณจันทร์กับคุณหมอตัวติดกันเป็นตังเม! เจอคนหนึ่งต้องเจออีกคนหนึ่ง ช่วงนี้มาตีเทนนิสกันแทบทุกวันเลยล่ะ แล้วตีแต่ละที อ้ายผมจะเข้าไปตีด้วยก็จะกลายเป็น ๓ คน ตีไม่ได้อีก ต้องวิ่งรอกหาคู่มาตีด้วย แล้วคู่ผมก็ขาจรทั้งนั้น คุณประจักษ์อย่างนี้ คุณกิตติอย่างนี้ ไฮ้! ตีไปก็แพ้ สุดท้ายต้องยอมให้เธอตีโต้กัน ๒ คนแทน แทรกลำบาก!”



“หมายความว่าจันทร์กับคุณหมอจับคู่กันตีกับคุณวินิตอย่างนั้นหรือ”



“ก็ใช่น่ะซี! ฝีมือคุณจันทร์คนเดียวก็ว่าแย่แล้ว นี่เจอคุณหมอด้วยอีก แค่เสิร์ฟไปก็แพ้แล้วคุณพงศ์!” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรขมวดคิ้วฉับด้วยความงุนงง เขาไม่ได้แวะไปที่สำนักงานและมาตีเทนนิสหลายวัน จันทร์จ้าวกัลภวัตกลับสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ



“พูดถึงก็มาพอดี นู่นไง! มากันนู่นแล้ว” นายวินิตร้องบอก พลางบุ้ยหน้าไปที่มุมหนึ่งของสนามเทนนิส ราชนิกูลหนุ่มมองตามแล้วก็เห็นจริงดังว่า จันทร์จ้าวมาพร้อมหมอภวัต



“คุณพงศ์! มาได้อย่างไรน่ะ?!!” จันทร์จ้าวเห็นเพื่อนรักก็รีบวิ่งเข้ามาทักทายอย่างยินดี หม่อมหลวงพงศ์ภราธรหันไปยิ้มและค้อมศีรษะทักทายนายแพทย์หนุ่ม ก่อนจะหันมาทางร่างโปร่งเจ้าของดวงตากลมใหญ่และลักยิ้มที่แก้มซ้าย



“มารถน่ะซี! เมื่อบ่ายเข้าไปหาแกที่สำนักงาน แต่เขาบอกว่าแกออกมาตั้งแต่เที่ยง”



“ผมมีธุระตอนบ่าย แต่ผมไปทำงานแต่เช้านะ! คุณพงศ์เถอะ หายหน้าไปนาน ผมกับเรย์กำลังจะตกลงฮุบหุ้นส่วนคุณพงศ์แล้วเชียว!” จันทร์จ้าวพูดติดตลกแล้วหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี



“ก็นี่ไง เลยรีบกลับมาให้เห็นหน้าเสียหน่อย”



“เห็นหน้าไม่พอ ต้องตีเทนนิสด้วย รู้ไหม ช่วงที่คุณพงศ์ไม่อยู่ เรย์ก็ไม่ยอมมาตีอ้างแต่ว่ามีธุระ สักวันผมจะสืบดูสักทีว่าธุระอะไรนักหนา เพราะพวกผมเดือดร้อนหนัก ต้องตะเวนหาคนมาตีคู่ด้วย แล้วก็ไม่มีใครอยากจะตีกับพวกผมเลย เขาหาว่าผมกับหมอเก่งเกินไป ตีด้วยแล้วแพ้ เมื่อวานนี้เลวสุด คนที่มาจับคู่กับคุณวินิตคือคุณประจักษ์ คุณประเจิดอะไรไม่รู้ ตีแทบจะไม่ตรงลูกด้วยซ้ำ คุณวินิตเลยถอดใจ ผมกับหมอต้องตีโต้กันเอง” จันทร์จ้าวบ่น แต่ไม่ทันจะชักชวนเพื่อนรักลงไปที่คอร์ด หม่อมหลวงพงศ์ภราธรก็ดึงคอเสื้อเอาไว้



“ให้คนอื่นตีไปก่อน กันมีเรื่องจะคุยด้วย” คนถูกรั้งหันมามองด้วยความสงสัย แต่สายตาของราชนิกูลหนุ่มดูจริงจังเสียจนจันทร์จ้าวต้องหันไปบอกให้นายวินิตและหมอภวัตลงไปตีกันเพียงลำพัง ส่วนตนเองเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่ชุดเก้าอี้ข้างคอร์ด



“แกคิดจะทำอะไร จันทร์ ทำไมจู่ๆถึงไปสนิทกับคุณหมอได้” ก่อนหน้านี้หม่อมหลวงพงศ์ภราธรจำได้ว่าเพื่อนรักออกจะเหม็นหน้านายแพทย์หนุ่มออกจะตายไป แต่ทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าคบหาสนิทใจได้ขนาดนี้



“ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร เขาดีมา ผมก็ดีตอบ หรือคุณพงศ์อยากให้ผมร้ายตอบล่ะ”



“กันไม่ได้หมายความอย่างนั้น จันทร์ กันไม่เข้าใจแกเอาเสียเลย ตอนแรกก็ไม่ชอบคุณหมอ ตอนนี้ก็สนิทกับเขา อะไรดลใจแก หือ?”



...อะไรดลใจหรือ?...ก็คำพูดตรงไปตรงมาของหมอภวัตที่กล้าบอกกับจันทร์จ้าวว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับหม่อมหลวงพิมพัชราน่ะซี...พอรู้ว่าภวัตจะไม่ขัดขวางความสัมพันธ์ของพี่ชายและราชนิกูลสาว จันทร์จ้าวก็สบายใจเพียงพอที่จะสานสัมพันธ์กับนายแพทย์หนุ่มในฐานะเพื่อน และพอได้พูดคุยช่วงหลายวันที่ผ่านมา เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าคบหาทีเดียว



“คุณพงศ์ไม่ดีใจหรือไร ที่ผมกับหมอสนิทกัน”



“ดีใจซี! คุณหมอเธอเป็นคนดี จะให้เจอแกพูดจาแขวะเธอแบบที่แล้วๆมา กันก็ไม่สบายใจ”



“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกถามได้แล้ว อะไรกัน...ผมไม่ดีกับเขา คุณพงศ์ก็บ่น ผมดีกับเขา คุณพงศ์ก็บ่น”



“กันไม่ได้บ่น...” พอแก้ต่างไปเท่านั้น จันทร์จ้าวก็หันมาจ้อง สุดท้ายหม่อมหลวงพงศ์ภราธรจึงได้แต่ยกสองมือขึ้นเหนือไหล่อย่างยอมแพ้ “...ก็ได้ กันไม่พูดแล้ว อ้อ...แต่มีอีกเรื่องอยากจะถาม เมื่อหลายวันก่อน คุณหมอไปหาแกที่บ้านแต่เช้าหรือ ไปหาทำไม” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรตั้งคำถาม ด้วยเพราะช่วงที่ติดตามบิดาไปทำธุระแถบชานเมือง ทำให้ต้องออกจากวังแต่เช้าตรู่ ตอนที่รถแล่นผ่านหน้าบ้านเช่าสีเขียวอ่อนที่เพื่อนรักมาอาศัย ราชนิกูลหนุ่มทันเห็นรถยนต์ของนายแพทย์หนุ่มจอดอยู่ที่หน้าบ้านของจันทร์จ้าว ความสงสัยทำให้เขาอยู่ไม่สุข แต่ก็อดทนจนกระทั่งวันนี้ที่ว่างพอจะควานหาตัวเพื่อนรักเพื่อจับตัวมาถามไถ่ให้รู้เรื่อง



“วันไหน” จันทร์จ้าวย้อนถามอย่างฉงน



“วันไหนกันจำไม่ได้หรอก อาจจะสัปดาห์ที่แล้วหรือสัปดาห์ก่อน หรือก่อนหน้านั้นก็ไม่รู้ จำได้แต่ว่ามีวันหนึ่งที่กันนั่งรถผ่านหน้าบ้านแก แล้วเห็นรถคุณหมอ”



“หมอมาหาผมตั้งหลายวัน ช่วงนี้เข้าเวรเช้า แวะมารับผมไปส่งบ้าง หรือไม่อย่างนั้นก็ไปหาอะไรทานบ้าง อ้อ มีวันหนึ่งพาไปทำบุญด้วย”


   
“ทำบุญ?!!!”



“อื้อ ผมแพ้พนันหมอ เลยต้องไปทำบุญกับหมอน่ะซี” จันทร์จ้าวเล่าเสียงเรื่อยเปื่อยเพราะไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องน่าปิดบังอย่างไร



“อุวะ! ก้าวหน้าถึงขั้นทำบุญร่วมกันแล้วรึ?!!!” ราชนิกูลหนุ่มยิ่งกว่าตกตะลึง ทว่าร่างโปร่งที่อยู่ข้างๆกลับหัวเราะ



“ก้าวหน้าอะไร ผมบอกอยู่แหม่บๆว่าผมแพ้พนันหมอ” หม่อมหลวงพงศ์ภราธรได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก



“เอาเถอะ แพ้พนันก็แพ้พนัน แต่นี่นะ...ถ้าแกหรือคุณหมอเป็นผู้หญิง กันคงคิดว่าเป็นคู่รักกันแน่” ทายาทวังฉัตรว่าอย่างนั้น ก่อนจะส่ายศีรษะไปมาเหมือนไม่คิดอะไร “ไปเถอะ ไปตีเทนนิส กันไม่ได้ตีมาหลายวัน แขนท่าจะยึดเสียแล้ว” ว่าแล้วเขาก็คว้าแรกเก็ตเดินลงสนามไปร่วมเล่นกับนายวินิตและหมอภวัต ทิ้งจันทร์จ้าวให้ชะงักอยู่ที่เดิม



    ‘…ถ้าแกหรือคุณหมอเป็นผู้หญิง กันคงคิดว่าเป็นคู่รักกันแน่’



..คู่รักหรือ?...จะเป็นไปได้อย่างไร ทั้งเขาและหมอภวัตต่างก็เป็นผู้ชาย...เป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด เขาและหมอภวัตเป็นคู่รักไม่ได้เป็นอันขาด!...



....................................



ในขณะที่บุตรชายคนรองอยู่ที่สนามเทนนิสกับเพื่อนฝูง บุตรชายคนใหญ่ของท่านนายพลเดชและคุณหญิงผกากลับถึงบ้านเรือนไทยรักษพิพัฒน์แล้ว ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารดับเครื่องยนต์รถ ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นเรือนอย่างเงียบเชียบเรียบร้อย ทว่ายังไม่ทันจะก้าวเท้าถึงชั้นบนสุด เสียงของบิดามารดาที่กลางเรือนก็ดังมาให้เขาได้ยิน



“ท่านอยากจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพ่อจันทร์ เห็นว่าจะจัดให้ในวัง พี่ล่ะเกรงใจท่านจริง” เสียงของบิดาทำให้นายทหารหนุ่มหยุดยืนอยู่ที่กลางบันได



“คุณชายท่านคงจะเอ็นดูพ่อจันทร์นะคะ”



“ท่านก็เห็นมาแต่เล็ก แต่ว่า...พี่ว่าท่านคงอยากจะดูตัวพ่อจันทร์ด้วย ธิดาของท่านก็อายุอานามพอจะออกเรือนได้แล้ว กับพ่อจันทร์ก็เหมาะสมกันดี คุณหญิงว่าไหม”



“ยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยกอีกนะคะ คุณพี่...พ่อจันทร์ของเรา กับหม่อมหลวงพิมพัชรา...” อาทิตย์ใจหายวาบเมื่อได้ยินบิดามารดาพูดคุยกัน



...จันทร์จ้าวกับหม่อมหลวงพิมพัชราอย่างนั้นหรือ?!!!...



ชายหนุ่มก้าวเท้าไม่ออก เขาได้แต่ยืนอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงน้องสาวจากใต้ถุนเรือน อาทิตย์จึงพอจะมีสติรับรู้อยู่บ้าง ทว่ายังไม่ทันจะก้าวเท้าขึ้นเรือนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียงของนภาสรวงก็ดังจากเบื้องล่าง



“พี่อาทิตย์ทำอะไรตรงนั้นหรือคะ” เจ้าของชื่อหันไปมอง แต่เขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดอะไรออกมาได้ นายทหารหนุ่มทำได้แค่ส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นเรือนอย่างรวดเร็ว เขาแวะไหว้บิดามารดาโดยไม่พูดคำใด ก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้อง พอดีกับที่ดารารัศมีซึ่งเข้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเดินออกจากห้องและนภาสรวงที่เดินตามขึ้นมาบนเรือน



“พี่อาทิตย์กลับมาแล้วหรือ” ดารารัศมีตั้งคำถามพี่สาวแฝด



“จ้ะ แต่ดูเธอแปลก หน้าซีดเซียว ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น”



“คงจะงานหนักกระมัง” ดารารัศมีว่าอย่างนั้น ก่อนจะเดินกลับไปที่ยกพื้นกลางเรือนซึ่งมีบิดามารดานั่งอยู่ นภาสรวงนำคนรับใช้ที่ยกเครื่องดื่มคลายร้อนและของว่างมาที่โต๊ะ



“นภา ดารา วันนี้คุณพ่อเข้าไปที่วังฉัตรมา คุณชายท่านว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพ่อจันทร์แน่ะ!” คุณหญิงผการีบอวดด้วยความยินดีที่บุตรชายคนรองผู้เป็นหัวแก้วหัวแหวนถูกหมายตาจากผู้ใหญ่ของบ้านเมือง



“งานเลี้ยงเชียวหรือคะ คุณชายฉัตรท่านใจกว้างจริง” ดารารัศมีออกปากทั้งชื่นชมและสงสัยที่หม่อมราชวงศ์ฉัตรให้ความเมตตากับพี่ชายคนรองของตนถึงเพียงนี้



“แต่แม่ว่า ท่านคงจะอยากดูตัวน่ะซี! ถึงได้หาข้ออ้างจะจัดงานเลี้ยงให้พ่อจันทร์” คำว่าดูตัวจากปากมารดา ทำเอาดารารัศมีปล่อยช้อนในมือลงในถ้วยดังเคร้งด้วยความตกใจ



“คุณแม่ว่าอย่างไรนะคะ?! ดูตัวหรือ?!!”



“ดาราตกใจอะไรน่ะลูก พี่จันทร์กับคุณพิมก็เหมาะสมกันดีไม่ใช่หรือ” หญิงสาวพูดไม่ออก หล่อนไม่กล้าแย้งว่าจันทร์จ้าวและหม่อมหลวงพิมพัชราไม่เหมาะสมกัน หล่อนรู้! ทั้ง ๒ คนเหมาะสมกัน แต่กระนั้นก็มีอีกคนที่เหมาะสมไม่ต่างกัน และใครคนนั้นมีใจรักมอบให้เพื่อนผู้เป็นราชนิกูลของหล่อนด้วย!



ดารารัศมีเหลือบไปมองยังประตูห้องพักส่วนตัวของพี่ชายคนใหญ่ แล้วก็พลันนึกได้ว่านภาสรวงบอกหล่อนเมื่อครู่ว่าอาทิตย์มีสีหน้าซีดเซียว



...หล่อนทราบแล้ว ว่าเหตุใดอาทิตย์จึงเป็นเช่นนั้น...



ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้าค่ะ)

อ้าว....ดราม่าพี่อาทิตย์ซะงั้น บอกก่อนว่าบัวยังย้ำคำเดิมว่านี่คือนิยายวายนะคะ ยังไม่ใช่ชายหญิงค่ะ แต่เนื่องจากเรียงตามลำดับอาวุโส เพราะงั้นเชิญพี่อาทิตย์ก่อน ฮาฮา

แต่อย่าได้ตกใจไป บัวก็ยังย้ำอีกเหมือนเดิมว่าเราจะเป็นนิยายวายยุคก่อน 2500 ที่เป็นสไตล์ลูกกวาด เราจะอมลูกกวาดกันให้ฟันผุไปข้าง เผื่อจะมีคุณหมอหนุ่มใจดีใจเย็นแต่เคร่งครัดสุขภาพมาดูแลมั่ง

ตอนที่แล้วมีคนแก้คำผิดให้ด้วย บัวติดพิมพ์ ‘เงียบเชียบ’ เป็น ‘เงียบเฉียบ’ บ่อยมากๆ เวลาอ่านทวนมันอ่านเพลินก็ผ่านตาไปเลย ขอบคุณมากๆที่มาบอกค่ะ


ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ ทุกๆกำลังใจ และพื้นที่บอร์ดเช่นเคยค่ะ แล้วเจอกันพฤหัสฯหน้า

ปุจฉา: ทายกันดีกว่า ว่า ๔ พี่น้องรักษพิพัฒน์จะได้ใครคู่ใครกันมั่ง ใบ้ให้อย่างใจดี๊ใจดีว่า 1 คู่ชายชาย และ 3 คู่ชายหญิง ( คู่หนึ่งนั่นต้องลุ้นอีกมั้ย คือทำบุญร่วมชาติกันแล้วนะ ชาตินี้ชาติหน้าก็คงไม่พ้นกันแล้วล่ะค่ะ ฮา)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2015 20:41:35 โดย Dezair »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ไม่ใช่โซลเมทเลยค่ะคุณจันทร์
แค่คุณหมอเช้าถึงเย็นถึง พอว่างก็ไปตีเทนนิสกัน
รู้ทันกันทุกเรื่อง แถมไปทำบุญร่วมกันมาแล้ว ไม่ใช่โซลเมทจริงจริ๊งงงงง

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด