ตอนที่ 26
"แล้วมึงก็ยอมให้เขายึดคีย์การ์ดไปเนี่ยนะ" ไอ้ว่านโพล่งออกมาเสียงดังหลังจากผมเล่าเรื่องที่คุยกับคุณสาโรจน์ทั้งหมดให้มันฟัง
ความจริงผมตั้งใจจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ รอหาหอได้ก่อนค่อยย้ายออกจากห้องไอ้ว่านอย่างเงียบเชียบ หาเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นอ้างไปเรื่อยๆ มันคงไม่สงสัยอะไรมาก แต่แผนดันมาแตกอย่างรวดเร็วในวันรุ่งขึ้นตอนคุณสาโรจน์ส่งคนมาหาผม ไอ้ว่านได้ยินทุกประโยคที่น่าสงสัย พอเริ่มจับเรื่องราวได้มันก็แทบถีบไล่ผมออกจากห้องอีกคน
"แล้วมึงจะให้กูทำยังไง"
"ทำยังไงก็ได้ที่ไม่ใช่แบบนี้เว้ย! ทำไมมึงป๊อดแบบนี้วะ แล้วเป็นห่าอะไรไปเล่าว่าเป็นความผิดตัวเองแบบนั้น มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังหรือไง มึงไม่รักต้นสนแล้วเหรอถึงได้ยอมถอยง่ายๆ ถ้ากูเป็นแฟนมึงนะกูโคตรผิดหวัง" ไอ้ว่านยืนด่ายาวเป็นชุดจนผมสำนึกผิดไม่ทัน มันถอนหายใจใส่ผมหนึ่งทีก่อนกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา
ผมปล่อยให้มันสงบสติอารมณ์โดยไม่พูดอะไร ระหว่างนี้ก็คิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้ทำลงไปด้วย ข้าวของของผมส่วนใหญ่ขนมาไว้ที่ห้องไอ้ว่านแล้ว คีย์การ์ดก็คืนให้คนของคุณสาโรจน์ไปแล้ว แต่อย่าลืมว่าผมยังไม่ได้เลิกกับต้นสน แม้จะโดนพ่อเจ้าตัวพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจมาก็ตาม ยังไงซะผมก็ไม่มีทางยอมเลิกง่ายๆ เด็ดขาด แค่ถอยมาตั้งหลักเท่านั้น
"แล้วมึงจะทำยังไงต่อ" ไอ้ว่านถามหลังจากอารมณ์เริ่มเย็นลง
"คงหาหอก่อน"
"กูหมายถึงเรื่องต้นสน เค้ารู้หรือเปล่าว่ามึงโดนยึดคีย์การ์ดไปแล้ว"
"เหมือนจะยังไม่รู้"
เมื่อวานหลังกลับจากโรงพยาบาลผมยังคุยกับต้นสนปกติ เจ้าตัวย้ำแล้วย้ำอีกว่าแผลที่เห็นไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด พูดซ้ำๆ ให้กำลังใจผมว่าอย่าคิดมาก เป็นแบบนี้คงยังไม่รู้แน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ไม่รู้ด้วยว่าคุณสาโรจน์มาคุยกับผมเป็นการส่วนตัว
"แล้วตกลงมึงจะเอายังไงต่อ"
"กูยังไม่ได้เลิกกับต้นสนนะ กูกับเขายังเข้าใจกันดี"
"เพราะต้นสนยังไม่รู้ไงว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นแบบนี้เท่ากับโดนกีดกันนะ มึงจะทำตัวเอื่อยเฉื่อยไม่ได้ หรือมึงจะยอมให้เป็นเหมือนแฟนคนก่อนๆ มีปัญหาก็จบด้วยการเลิกกันไป"
"ไม่ คือกู"
"มึงรักต้นสนจริงๆ ป้ะวะ"
ทุกคำพูดของไอ้ว่านเหมือนเอาค้อนมาทุบหัวผม เชือดเฉือนตรงประเด็นประชดประชันแบบไม่เกรงใจ เป็นเพื่อนกันมาเกือบสองปีมันรู้เกี่ยวกับเรื่องราวความรักของผมดี ไอ้ความเอื่อยเฉื่อยคล้ายไม่จริงจังนั่นก็ด้วย แต่กับต้นสนไม่ใช่ ตั้งแต่เกิดเรื่องผมไม่มีความคิดเลยว่าอยากตัดปัญหาด้วยการเลิกลา
"กูรักต้นสนจริงๆ"
"งั้นก็ทำอะไรสักอย่างไม่ใช่ยอมให้พ่อเขายึดคีย์การ์ดไล่ออกจากห้อง แล้วบอกว่ามึงเป็นตัวทำให้ชีวิตลูกเขาแย่เพียงเพราะเด็กเมื่อวานซืนขี้อิจฉาที่ชอบมึง ไอ้ควาย!" คำด่าชัดเต็มสองหูมากกว่าทุกคำที่มันพร่ำบ่นมา
ผมยิ้มขำให้กับความขี้ขลาดของตัวเอง ยกให้ไอ้ว่านเป็นที่ปรึกษาด้านปัญหาชีวิต ทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน หรือแม้แต่เรื่องความรักยังได้มันคอยช่วยเหลือ
"ขอบใจมึงมากนะ"
"เออ! แม่ง! หงุดหงิด! หิว!" มันสบถใส่อารมณ์ทุกคำ ทำหน้าเหวี่ยงใส่ผมไม่พอยังลุกหนีเดินเข้าไปในครัว
กินให้หายอารมณ์เสียนะเพื่อนรัก แล้วช่วยกูคิดต่อด้วยว่าจะเอายังไงกับชีวิตตอนนี้ดี
สามวันแล้วที่ต้นสนหยุดเรียนเพื่อพักรักษาตัวอยู่บ้าน เรายังติดต่อกันทุกวัน คุยเล่นเหมือนปกติ ผมตัดสินใจจะย้ายกลับไปอยู่หอเดิมหากไม่สามารถกลับไปอยู่ด้วยกันได้จริงๆ ที่สำคัญต้นสนยังไม่รู้เลยว่าผมโดนคุณสาโรจน์ยึดคีย์การ์ดไปแล้ว
ตลอดสามวันที่ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่อาการของต้นสนดีขึ้นตามลำดับ แผลน้ำร้อนลวกระดับสองไม่ลึกมากใช้เวลาสองถึงสามสัปดาห์ก็หาย แต่มันจะกลายเป็นบาดแผลที่ทำให้ผมรู้สึกผิดไปตลอดนับจากนี้
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากงาน ป้านกเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย วันที่เกิดเรื่องแม้จะไม่ได้ตามมาที่โรงพยาบาลแต่ป้านกยังติดต่อกลับมาเพื่อรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ส่วนคนต้นเรื่องอย่างน้องตาลนับจากวันนั้นมาผมก็ไม่เห็นหน้าเธออีกเลย
(ใกล้ถึงหรือยัง)
"ซอยสิบสองใช่มั้ย"
(ใช่แล้ว เราให้ลุงพันออกไปรอรับ ปลื้มเคยเจอที่โรงพยาบาลน่ะ จำหน้าแกได้เปล่า)
ผมมองหาลุงพันคนขับรถของบ้านต้นสนตามที่เจ้าตัวบอก ก่อนจะเห็นผู้ชายชุดดำที่ขับมอเตอร์ไซค์ออกมาพอดี
วันนี้ผมมาเยี่ยมต้นสนที่บ้าน เสนอตัวมาเองโดยไม่ต้องมีใครชวน คิดถึง อยากมาดูอาการ และคุยเรื่องสำคัญที่ต้องบอกให้รู้ แม้ใจยังเกรงกลัวกับการเผชิญหน้ากับคุณสาโรจน์ แต่ได้ข่าวจากลูกชายมาว่าวันนี้พ่อแม่ไม่อยู่บ้านเพราะติดงานที่บริษัท ความกล้าหาญที่จะบุกมาถึงบ้านจึงเพิ่มขึ้นมาเป็นกอง
ลุงพันที่มีน้ำใจออกมารับขับรถมาจอดตรงหน้าผม ลุงแกยิ้มโชว์ฟันหน้าล่างที่หายไปหนึ่งซี่
"คุณปลื้มใช่มั้ยครับ"
"เจอลุงพันแล้ว แค่นี้ก่อนนะ สวัสดีครับลุง" ผมบอกต้นสนก่อนตัดสาย เก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงยกมือไหว้ลุงพันที่รีบรับไหว้ทันที
"ขึ้นมาเลยครับ บ้านอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ลุงเลยไม่ได้เอารถยนต์ออกมารับ"
"แค่มารับก็ขอบคุณมากแล้วครับลุง"
ผมก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายลุงพันก็ออกรถทันที ขับเข้าไปในซอยที่มีแต่บ้านหลังใหญ่หรูๆ ก่อนเลี้ยวเข้าบ้านหลังหนึ่งที่แบ่งอาคารในพื้นที่บ้านเป็นหลังเล็กใหญ่สองหลัง ความกว้างขวางและหรูหราที่เห็นแล้วต้องทึ่ง
ต้องรวยขนาดไหนกันผมถึงจะซื้อบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ได้
เมื่อคนนอกเข้ามาในเขตบ้านก็ได้ยินเสียงหมาก็เห่ากันระงม ลุงพันจอดรถในที่จอดหน้าบ้านชั้นเดียว ข้างกรงหมากรงใหญ่ ฝูงหมาตัวตอของบ้านยังเห่ากันไม่เลิกจนผมชักเกรงใจที่ทำให้พวกมันเสียงดัง กระทั่งลุงพันจอดรถลงไปยืนว่าพวกมันถึงได้เงียบ
ฝูงหมาที่ผมเคยเห็นจากรูปที่ต้นสนถ่ายมากับตัวจริงไม่สูงใหญ่นัก พวกมันตัวไล่ๆ กัน ยื่นจมูกออกมานอกกรงมองผมด้วยความสนใจ พอผมเดินเข้าไปใกล้มันก็เห่า เลยโดนลุงพันดุอีกรอบ ผมควรจะอยู่ห่างๆ พวกมันดีกว่า
"ปกติจะปล่อยมันวิ่งเล่นครับ แต่ช่วงนี้ต้องขังมันไว้เพราะคุณต้นสนเจ็บอยู่" ลุงพันบอก ซึ่งผมก็เห็นด้วย หรือไม่ก็ขังพวกมันตอนที่ต้นสนอยู่บ้านไปเลยก็ได้
"ปกติเล่นกันแรงมั้ยครับ ผมเห็นต้นสนได้แผลกลับไปตลอดเลย"
"ก็แรงเอาเรื่องครับ พวกมันชอบกระโดดใส่ คุณต้นสนก็ยอมให้มันรุม ได้รอยข่วนมาประจำ"
"ผมก็ได้บ่นเขาประจำเหมือนกัน"
ลุงพันหัวเราะชอบใจ ก่อนผายมือไปยังสนามหญ้าเล็กๆ ข้างบ้านสองชั้น ตรงนั้นมีศาลาไม้และน้ำตก ต้นสนนั่งอยู่ในศาลา ชะเง้อมองมาอย่างรอคอย ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเราสบตากัน
"คุณต้นสนอยู่ตรงนั้นนะครับ ลุงขอตัวก่อน"
"ขอบคุณมากครับ"
ผมยกมือไหว้ลุงพันก่อนเดินตรงไปยังศาลาไม้ นั่งลงตรงข้ามต้นสน วางของเยี่ยมบนโต๊ะที่มีทั้งโน้ตบุ๊ก ชีทเรียน กระดาษและอุปกรณ์วาดรูป
"ทำงานอยู่เหรอ"
"การบ้านเยอะมากเลย ไหน ซื้ออะไรมาให้" ต้นสนแทบจะโยนงานที่ทำอยู่ทิ้ง คว้าถุงของฝากที่ผมซื้อให้ไปเปิดดูแล้วยิ้มร่า
"เค้กช็อคหน้านิ่ม"
สำหรับผมจะเรียกบ้านหลังนี้ว่าคฤหาสน์คงไม่ผิดนัก ใหญ่โตกว้างขวาง มีอาคารถึงสองหลัง ซึ่งหลังเล็กชั้นเดียวตรงลานจอดรถนั้นผมเดาว่าน่าจะเป็นเรือนของลูกจ้าง บรรยากาศในสวนก็ร่มรื่น เห็นต้นสนเคยบอกว่ามีสระว่ายน้ำสำหรับสุนัขอยู่หลังบ้านด้วย
ผมกวาดตามองรอบบ้าน ทั้งที่เป็นวันหยุดแต่บ้านหลังนี้กลับเงียบสงบเหมือนไม่มีคนอยู่ ความจริงผมควรเดินสายทักทายเจ้าของบ้าน แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นใครเลยนอกจากลุงพัน
"ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอ"
"พ่อกับแม่ไปบริษัทไง ส่วนกล้าออกไปเรียนพิเศษ" ต้นสนแกะกล่องเค้กสำเร็จพอดี หยิบช้อนแล้วยื่นมาให้ผมหนึ่งคัน ผมรับมันไว้แล้วถามกลับ
"งั้นก็อยู่บ้านคนเดียวอ่ะดิ"
"อยู่กับลุงๆ ป้าๆ น่ะ"
ผมพยักหน้ารับ สนต้นเริ่มลงมือกินเค้ก ตักเข้าปากพยักหน้าเออออบอกอร่อย ผมเลยลุกขึ้นเดินอ้อมไปนั่งข้างเจ้าตัว ไม่ใช่ว่าอยากแย่งเค้กกิน แต่อยากนั่งใกล้ๆ กันมากกว่า
"แล้วแผลเป็นไงบ้าง"
"ดีขึ้นเยอะแล้ว"
"เจ็บอยู่หรือเปล่า"
"ไม่เจ็บแล้ว"
"ขอโทษนะที่..."
"ไม่เอาดิ อย่าดึงดราม่า อะ อ้าม"
ขัดผมพูดไม่พอยังตักเค้กมาจ่อปาก ผมเลยต้องหยุดพูดแล้วกินมันเข้าไป เค้กราคาแพงรสชาติอร่อยไม่เลว เป็นร้านดังที่ผมลงทุนซื้อมาฝากต้นสนโดยเฉพาะ
"อร่อยเนอะ" ต้นสนส่งช้อนที่เพิ่งออกจากปากผมเข้าปากตัวเองคล้ายจะเก็บเนื้อเค้กที่เหลือติดช้อนอยู่กินให้หมด
ทำแบบนี้ตั้งใจยั่วกันชัดๆ
ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ มองต้นสนดึงช้อนออกจากปากแล้วยกยิ้ม อยากจะจูบหนักๆ สักทีให้หายคิดถึง แต่ริมฝีปากยังไม่ทันสัมผัสกันเสียงของหญิงสูงวัยก็ทำให้ผมต้องผละออกมา
"ป้าเอาน้ำกับขนมมาให้ค่ะ"
ผมขยับตัวออกห่างจนอยู่ในระยะปลอดภัยก่อนหันมองตามต้นเสียง คุณป้าท่าทางใจดียืนยิ้มแฉ่ง ในมือถือถาดขนมกับน้ำยกวางไว้ให้บนโต๊ะ
"นี่ป้าจิต"
"สวัสดีครับ"
"ส่วนคนนี้แฟนต้นสนเอง"
ผมหันขวับไปมองคนพูดตาแทบถลน เล่นแนะนำกันแบบนี้เลยเหรอ
"แหม ป้ารู้ค่า ตามสบายนะคะคุณปลื้ม ป้าไม่กวนแล้ว" ป้าจิตยิ้มหวานก่อนเดินจากไป แต่ผมยังตกใจไม่หาย แล้วก็ไม่ชินด้วยกับการถูกเรียกว่าคุณ
"บอกป้าแกด้วยเหรอ"
"ก็รู้กันทั้งบ้านนั่นแหละ" ต้นสนพูดเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร กล้าบอก กล้ายอมรับ ในขณะที่ผมยังไม่กล้าบอกกับที่บ้าน แล้วมันต้องใช้ความกล้าขนาดไหนกันถึงจะพูดเรื่องนี้ออกมาได้
กำลังนั่งเรื่องเครียดๆ จนคิ้วขมวดต้นสนก็ตักเค้กมาจ่อที่ปากอีกครั้ง สลับกันกินสลับกันป้อนจนหมดแล้วลามไปกินน้ำกับขนมที่ป้าจิตเอามาให้ต่อ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู จนกระทั่งต้นสนเอ่ยปากชวนขึ้นมา ผมถึงคิดได้ว่าเราควรจะย้ายตัวออกจากศาลานี้ได้แล้ว
"ไปห้องเรากัน"
"ไปยังไงอะ เดินไหวใช่มั้ย" ผมมองเท้าที่ยังพันผ้าพันแผลอยู่ จะว่าไปแล้วก็อยากทายาทำแผลให้อยู่เหมือนกัน
"ไหวดิ แค่เจ็บขา ไม่ได้ขาขาด" ตอบคำถามได้กวนประสาทจนอยากจะหยิกเสียให้ช้ำ
"แล้วตอนมามายังไง"
"ก็เดินมานี่แหละ ไม่ต้องมาขมวดคิ้วใส่ ไม่ได้เจ็บปางตายสักหน่อย" ต้นสนว่าแล้วยิ้มล้อ แล้วผมจะเป็นห่วงไม่ได้หรือไง ภาพที่เจ้าตัวนั่งรถเข็นน้ำตาซึมวันนั้นยังติดตา จนไม่อยากให้ฝืนเดินเหินไปไหนถ้าไม่จำเป็น
"ก็เป็นห่วง กลัวเจ็บ"
"ถ้างั้นขี่หลังได้มั้ย ไหวเปล่า" ท้าทายทั้งสีหน้าและน้ำเสียง แล้วคิดเหรอว่าคนอย่างผมจะไม่กล้า
"ให้อุ้มท่าเจ้าหญิงยังไหว"
เราจดจ้องกันไปมา ยังไม่ทันได้ข้อสรุปต้นสนก็พับเก็บโน้ตบุ๊ก เก็บชีทมารวมกัน เก็บขยะใส่ถุง ก่อนชี้ให้ผมไปนั่งรอ แปลงร่างเป็นม้าเตรียมพาคุณหนูขึ้นห้องนอน
ผมรับเล่นตามบทโดยไม่อิดออด เดินลงจากศาลาแล้วย่อตัวลง ล็อกแขนขาให้ปลอดภัยหลังจากต้นสนปืนขึ้นหลังเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทาง
"แล้วกระเป๋าอ่ะ"
"ทิ้งไว้นี่แหละ ไม่มีใครขโมยหรอก"
ผมเริ่มออกเดินหลังจากได้รับคำยืนยันจากเจ้าของบ้าน เห็นตัวผอมบางแบบนี้ก็หนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ไม่หนักเกินกำลังของผม แฟนทั้งคนถ้าแบกยังไม่ไหวแล้วจะดูแลทั้งชีวิตได้ยังไง จริงไหม
เล่นขี่ม้าส่งเมืองกันมาถึงบันไดผมก็วางต้นสนลง ห้องนอนของเจ้าตัวอยู่บนชั้นสอง จะให้แบกเดินขึ้นบันไดนั้นอันตรายเกินไป ผมเลยใช้วิธีช่วยพยุงขึ้นไปแทน
ห้องที่คอนโดว่ารกแล้วห้องที่บ้านหลังนี้ไม่ได้ต่างกันนัก พื้นที่กว้างมีเตียงคิงไซซ์กับเฟอร์นิเจอร์ครบครัน การตกแต่งเป็นโทนขาวเทาดำ เพิ่มความมืดมนได้อีกเป็นเท่าตัว
เปิดประตูเข้ามาในห้องได้ผมก็ช้อนต้นสนขึ้นอุ้มในท่าเจ้าหญิง ใช้เท้าดันประตูปิดเดินตรงไปที่เตียงวางเจ้าตัวให้นอนลงแล้วคร่อมเอาไว้
ในที่สุดก็ได้อยู่ในที่ลับตาคนสักที
"ทนไม่ไหวแล้วเหรอ" ต้นสนถามกลั้วหัวเราะ ยกแขนขึ้นคล้องดึงให้ผมโน้มลงไปใกล้
เป็นแบบนี้จะว่าผมฝ่ายเดียวคงไม่ได้ในเมื่ออีกคนยินยอมพร้อมใจ ไม่ได้เจอหน้าไม่ได้สัมผัสกันมาหลายวันมันต้องมีความต้องการกันบ้างล่ะ
"เอาไงดี ไม่มีใครอยู่บ้านด้วยดิ" ผมแกล้งถาม
"นั่นดิ เอาไงดี"
โดนยิ้มยั่วแบบนี้ความอดทนของผมก็หมดลง ก้มลงไปกดจูบหนักๆ อย่างกระหาย สอดมือเข้าใต้เสื้อยืดตัวบางสัมผัสผิวกายที่คิดถึง ริมฝีปากดูดดึงเกลียวลิ้นหยอกล้ออย่างไม่มีใครยอมใคร ผละออกแล้วเข้าหากันใหม่อย่างไม่รู้จักพอ
"ปากช้ำหมดแล้ว" ต้นสนบ่นหลังจากผมละจากริมฝีปากไปคลอเคลียที่ต้นคอ แล้วใครกันที่สอดมือมากดหัวผมไว้จนจูบแนบชิดได้ขนาดนั้น พูดแบบนี้อยากจะทำให้ปากช้ำยิ่งกว่าเดิม
ผมฝังจมูกลงที่ต้นคอก่อนขยับขึ้นไปฝังเขี้ยวใต้หู ขบเม้มเบาๆ หวังให้เกิดรอยแข่งกับไอ้หมาบ้าพวกนั้น ถือว่ายังใจดีที่ผมไม่ทำในที่ที่เห็นชัดจนเจ้าตัวต้องลำบากใจ
แต่ก่อนความใกล้ชิดจะทำให้เกิดแรงอารมณ์ไปมากกว่านี้ผมต้องยับยั้งใจแล้วดันตัวลุกขึ้น ดึงเสื้อที่เลิกขึ้นไปเกือบถึงอกให้กลับมาเรียบร้อยเหมือนเดิม เล่นเอาเจ้าตัวทำหน้าขัดใจ
"รอให้หายดีก่อนแล้วกัน" ผมยกมือขึ้นยีผมยุ่งของต้นสนจนมันยุ่งกว่าเดิม ตั้งใจมาเยี่ยมไข้ ไม่ได้ตั้งใจมาทำให้อาการหนักกว่าเดิม
ต้นสนเขยิบตัวหลบให้ผมนอนลงข้างๆ เรากุมมือกันไว้แล้วหลับตาลง ผมอยากหลับสักงีบ อยากให้เวลาหยุดนิ่งอยู่แบบนี้ ไม่อยากกลับไปเผชิญความจริงที่ไม่มีต้นสนอยู่
"เหงามั้ย" ต้นสนถามพลางขยับมาหนุนแขนแล้วกอดผมเอาไว้
"เหงาดิ"
"เดี๋ยวหายกลับไปอยู่ด้วยก็ไม่เหงาแล้ว"
ได้ฟังประโยคนี้แล้วรู้สึกเศร้าขึ้นมาจับใจ ผมหลับตานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้นแล้วพูดสิ่งที่ตั้งใจจะมาบอกออกไป
"จากนี้คงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วล่ะ"
"ทำไมพูดแบบนี้อะ" ต้นสนผงกหัวขึ้นมาจ้องผม ทำปากคว่ำบอกให้รู้ว่าอย่าพูดเล่น
"โดนคุณอายึดคีย์การ์ดไปแล้วนะ"
"คืออะไรโดนยึด" คราวนี้ลุกขึ้นนั่งตัวตรงถามเสียงเครียดกว่าเดิม ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งตาม รวบรวมสติและคำพูด กระชับเรื่องราวให้คนฟังเข้าใจให้ได้มากที่สุด
"เราเล่าเรื่องน้องตาลให้คุณอาฟัง เขาบอกว่าเราคือสาเหตุ อยากให้เลิกยุ่งแล้วขอคีย์การ์ดคืน"
ต้นสนทำหน้านิ่งแล้วเงียบ เป็นไปได้ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจใจบอกอาจจะกระชับจนจับใจความได้ยากเกินจะทำความเข้าใจได้ในทันที
"เราคืนคีย์การ์ดให้พ่อต้นสนไปแล้วนะ"
"แล้วปลื้มก็ยอมคืนง่ายๆ น่ะเหรอ" ต้นสนเสียงดังจนคล้ายตะคอก ผิวขาวซับสีเลือดแต่ไม่ใช่อาการเขินอายอย่างทุกที เจ้าตัวกำลังโกรธ และโกรธมากด้วย
ผมหมดคำแก้ตัวเนื่องจากยอมคืนคีย์การ์ดให้ง่ายๆ โดยไม่มีการคัดค้านหรือตอบโต้ใดๆ เพราะผมทำแบบนั้นไม่ได้ ทั้งความกล้าและเหตุผลหลายๆ อย่าง รวบถึงระดับชั้นทางสังคม ผมมันไม่ต่างจากลูกจ้างต๊อกต๋อย เพียงคุณสาโรจน์สั่งก็พร้อมยอมทำตามทุกอย่างโดยไม่อาจขัดขืน ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้
ต้นสนโกรธจนหน้าแดง อารมณ์เสียรุนแรงขนาดผมจะยื่นมือไปจับยังเบี่ยงหลบ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความห่วงใยกันอยู่
"แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน"
"ห้องไอ้ว่าน"
"ปลื้มทำไมไม่บอกเราอะ"
"ก็คิดว่าคุณอาจะบอกแล้ว"
"อย่าคิดเองดิวะ"
อารมณ์รุนแรงขึ้นๆ ลงๆ จนผมชักเดาไม่ถูก ต้นสนจ้องกันเขม็ง ผมรู้ว่าตัวเองขี้ขลาด แต่ไม่เคยคิดอยากแยกจากกันเลยจริงๆ
"แล้วไง ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วเหรอถึงได้ยอมคืนง่ายๆ"
"ไม่ใช่แบบนั้น"
"แล้วแบบไหน"
ผมพ่นลมหายใจออกมาแล้วก็เงียบ พยายามคิดหาข้อแก้ตัวที่ฟังแล้วดูดี ทว่ากลับเห็นแต่ความขี้ขลาดในตัวเอง
"ปลื้มกลับไปก่อนไป"
"เดี๋ยวดิ เรา"
"กลับไปเหอะ เราอารมณ์ไม่ดีว่ะ ยังไม่อยากทะเลาะ"
เรายังจ้องตากันไม่เลิก แน่นอนว่าผมไม่มีทางยอมง่ายๆ หากยังคุยไม่รู้เรื่อง แต่ผมว่ามันแปลก อยู่ด้วยกันใช่ว่าไม่เคยทะเลาะกันเลย ทุกครั้งที่ผิดใจกันต้นสนจะพุ่งเข้าชนและเคลียร์ให้มันจบไป ทว่าครั้งนี้กลับไม่ แม้ว่าผมอยากอธิบายให้ดีกว่านี้แต่เพราะน้ำเสียงกับคำขอที่เอ่ยออกมาทำให้ผมยอมถอยออกมาโดยดี
"กลับไปก่อนเถอะนะ"
----------- ต่อด้านล่าง -----------