ช่วงนี้น้องเมศสอบท่าจะยุ่งๆแหะ(ตัวเองสอบแต่ก็ไม่สังวร)
น้องเมศสอบเสร็จแล้วมาปั่นแปะไวๆนะน้องเอ้ย
ตอนแรกว่าจะให้น้องเมศลงตอนพิเศษก่อนเวลาแต่เห็นไม่ว่างก็ลงตอน 15 ต่อเลยแล้วกันเน๊าะ
ว่าแล้วก็....
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO chapter# 15 สิ่งที่พิรุณาได้ทราบจากชายคนหนึ่งที่ปองแปลให้ว่าเป็นเจ้าอะไรสักอย่างไม่ชวนให้เขาสบายใจนัก พิรุณาสูดลมหายใจช้าๆ แผ่วเบา ดวงตาคู่สีน้ำตาลหลังแว่นกรอบดำเหม่อมองเงาดวงจันทร์กลมโตที่สะท้อนบนผิวน้ำของแม่น้ำเส้นสำคัญดั่งสายโลหิตของกรุงเทพฯ เรือยังคงล่องไปตามแม่น้ำสายสำคัญนี้อย่างช้าๆ ท่ามกลางบรรยากาศครื้นเครงของเพื่อนว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง แน่นอนว่าเจ้าภาพงานยอมเหมาเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ พิรุณาหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางสูบบุหรี่ เขารู้ว่าม้วนกระดาษนี่ยิ่งสูบก็ยิ่งเหมือนเอาเงินมาเผาเล่น แต่ก็ใช่ว่าจะสูบไม่เป็น ชีวิตเมื่อสมัยโน้น ใช่ว่าจะดีเลิศเสียหนักหนา จะเอาอะไรมากมายจากการอยู่บ้านอุปถัมป์จนๆ ท่ามกลางชนบท ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีชมพูเข้าคู่กับพิรุณาวางกล้องตัวโปรดลงอย่างถนอมก่อนจะถอดรองเท้าหนังเงาวับออกแล้วทรุดกายนั่งลงเคียงใกล้ ยื่นขายาวๆออกนอกตัวเรือผ่านระแนงไม้ฉลุลายดอกไม้ทับซ้อนกัน
“สูบบุหรี่ด้วยหรือ?”พิรุณายิ้มบางๆ แล้วทำมือข้างที่ว่างเอานิ้วโป้งนิ้วชี้มาใกล้กัน อันหมายถึงนิดหน่อย
“ทำไมไม่ไปสนุกกับเพื่อนล่ะ ปองเมาหลับไปแล้ว”ธีรธรกล่าวแล้วหัวเราะเบาๆ พลางเอาขายาวๆมาเกี่ยวขาพิรุณา พิรุณาจึงขยับขาหนี แล้วหันไปขมวดคิ้วใส่ธีรธรจึงหยุด แต่ไม่ลดละ มือแข็งแรงนั้นแย่งบุหรี่ที่พิรุณาทำท่าจะอัดควันพิษเข้าปอดมาไว้ในมือ
“บุหรี่ ไม่ดีต่อสุขภาพ สูบแล้วฟันเหลือง เสียงแหบ ไม่น่ารักเลย ไม่เท่ห์ด้วย” ธีรธรอัดควันพิษเข้าปอดบ้าง แล้วกระอักกระไอน้ำตาไหลแทบจะทันที พิรุณายิ้มขัน พลางคลำหาทิชชู่จากบนโต๊ะใกล้ตัวส่งให้ ก่อนจะควานหาที่เขี่ยบุหรี่มาดับบุหรี่เสีย
‘ไม่เคยสูบจะสูบทำไม?’ ธีรธรเงยหน้ามองพิรุณา ทั้งที่น้ำตายังเกาะอยู่ที่หางตา พิรุณาหยิบทิชชู่ช่วยซับให้แผ่วเบา
“แค่อยากรู้ว่าอร่อยหรือเปล่า”
‘ไม่อร่อยหรอก’
“แล้วสูบทำไม?”ดวงตาสีม่านราตรีทอดมองส่งกระแสแห่งความห่วงใยลึกซึ้ง พิรุณาหลบตา ทอดสายตาไปไกล มือใหญ่แข็งแรงจับหน้าพิรุณาให้หันกลับมาสบตากัน
“มีอะไรไม่สบายใจ บอกหน่อยได้หรือเปล่า?” พิรุณานิ่งอยู่พักใหญ่จึงหยิบสมุดเล่มเล็กสีเหลืองนวลและดินสอออกมา จรดปลายดินสออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเขียน
ถ้ามีคนมาบอกว่าอาจเป็นญาติคุณ คุณจะทำยังไง
มือแข็งแรงหยิบปากกาหมึกซึมของตนออกมาจากระเป๋าเสื้อเชิ้ต แล้วเบียดกายเข้าชิดใกล้ ก่อนจะเขียนข้อความลงไปบ้าง
มีอะไรเกิดขึ้นหรอ? ถ้ามีคนมาบอกผมอย่างนี้ ผมจะระวัง คนมีหลายประเภท
พิรุณาเปลี่ยนกระดาษใบใหม่ ก่อนจะเริ่มเขียนอีกครั้ง
หลังคอนเสิร์ต ผมไปพบหม่อมเจ้า...??...รักษ์ ท่านบอกว่า บางทีผมอาจเป็นลูกของพี่ชายท่านที่หายไปกว่า30ปีก่อน ท่านขอดูสร้อยที่ผมคล้องติดคอไว้เสมอ ท่านว่าตราด้านหลังเป็นตราประจำของอะไรสักอย่างเกี่ยวกับตระกูลของท่าน ป่านนี้แล้ว ยังจะมาหาอะไรกันอีก
ดวงตาสีน้ำตาลแดงต้องแสงจันทร์ไม่สะท้อนแววใดนอกจากความเงียบเหงา
เวลาเกือบสามสิบปี นานพอที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ นานพอที่จะทำให้ผมรู้ว่าโลกใบนี้โหดร้ายเกินกว่าผู้ที่อ่อนแอจะอยู่ได้ คุณเข้าใจไหม? ชีวิตไม่ใช่ละครที่จะบังเอิญอะไรง่ายๆ มันรู้สึกเหมือนตบหัวและลูบหลัง
ธีรธรพยักหน้าให้เบาๆ มือแข็งแรงนั้นตบหลังมือพิรุณาเบาๆ
แล้วแน่ใจแล้วหรือที่ว่าเป็นหลานท่านจริงๆ
พิรุณาพยักหน้าแล้วกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับไว้จนเหลือเป็นชิ้นเล็กพอจะใส่กระเป๋ากางเกงได้ ให้ธีรธร เขารับมาพิจารณา ใบหนึ่งเขียนเป็นภาษาไทยกล่าวถึงรายระเอียดการตรวจ ส่วนอีกใบเป็นภาษาอังกฤษ จากข้อความยืนยันชัดว่าผู้ตรวจทั้งสองร่วมสายเลือดอย่างแน่นอน ความรู้สึกของธีรธรนั้นบอกไม่ถูก ใจหนึ่งเขายินดีที่ได้ทราบว่าพิรุณายังมีญาติพี่น้อง มิใช่เดียวดายลำพังบนโลก แต่อีกใจก็หวั่นเกรง ด้วยการมีเชื้อสาย ‘เลือดสีน้ำเงิน’ ในระดับนี้ พิรุณาย่อมมีคำนำหน้าชื่อเป็นอื่น และแน่นอนว่า จักดึงดูดผู้คนเข้ามาหาพิรุณามากขึ้นอีก
พรุ่งนี้ ต้องให้คำตอบแล้ว ว่าจะเอาอย่างไร ท่านอยากให้ผมอยู่กับท่าน แต่ผมยังไม่สนิทใจนัก
ธีรธรสบตาคู่สีน้ำตาลแดงสวยนั้น มือแข็งแรงกุมมือนวลไว้แล้วบีบกระชับ ถ่ายทอดกำลังใจสู่กันและกัน
“ทำใจให้สบายเถอะ ทำในสิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุด มนุษย์มีสิทธิ์จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองมิใช่หรือ”
ดวงหน้าเนียนต้องแสงจันทร์ แย้มยิ้มส่งกระแสอ่อนหวานตอบ ธีรธรเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามหักห้ามจิตใจให้สงบ แต่ดูเหมือนหัวใจกับร่างกายไม่ไปด้วยกันเอาเสียเลย กระแสลมเย็นพัดเพียงแผ่วเบาจนเส้นผมสีน้ำตาลแดงของพิรุณาปลิวสะบัด กลิ่นหอมอ่อนโดยไม่ได้ใช้เครื่องหอมใดลอยมากับกระแสลม ดวงหน้าคมสันของธีรธรโน้มเข้าใกล้พิรุณา ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นหลุบลงต่ำก่อนจะหลับตาลงปล่อยหัวใจไปกับความหวานละมุนอุ่น ริมฝีปากหยักสวยของธีรธรสัมผัสได้ถึง ความเย็น ที่เย็นราวโลหะ หรือเครื่องแก้ว เขาจึงลืมตาขึ้น เห็นวัตถุสีครีมในระยะประชิด
ได้จูบก้นจานเสียอย่างนั้น!!ให้ตายสิ!!
“ไม่เกรงใจกันเลยนะ”ร่างสูงสง่าอย่างชาวตะวันตกพูด ดวงหน้าหล่อเหลารับกับดวงตาสีมรกตในชุดสีขาวครีม ที่ถอดเนคไทยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทกล่าว ที่ข้างขมับเห็นชีพจรเต้นตุบๆ แน่นอนว่าในมือมีจานเซรามิคสีครีมอยู่ในมือ
“อ้าว ไอ้หนุ่มแอนนิโมโต มากับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?”ธีรธรเงยหน้าขึ้นยิ้มเหี้ยม ชักมีอารมณ์แบบไม่ค่อยดีเสียแล้ว
“นานพอจะเห็นคุณลวนลามพิรุณานั่นแหล่ะ”เคนเหยียดยิ้มอย่างเย็นชาเช่นกัน ชายร่างโปร่งคนหนึ่งก้าวออกจากด้านหลังเคน ดวงหน้าสะอาดเกลี้ยงเรียบสนิท แต่ดวงตาสีเทาอมเขียวคู่นั้นส่งยิ้มให้ ธีรธรก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ พิรุณาลุกขึ้นแล้วสวมกอดร่างโปร่งบางนั้นก่อนจะทักทายเคนเสียอีก จนเคนกับธีรธรรีบแยกพิรุณาออกจากโดลเชกันพัลวัน
‘ไม่ทักทายกันเลยนะ’เคนส่งภาษามือต่อว่าต่อขานเพื่อนรัก
‘ทักแล้วไง เมื่อตอนขึ้นเรือ’
‘แล้วเรื่องอะไรปล่อยไอ้หมอนี่มาลวนลามอยู่ท้ายเรือ คนรักหรือก็ไม่ใช่’ดวงตาสีมรกตนั้นส่งสายตาดุๆใส่เพื่อนตัวเล็ก
‘ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วล่ะ’เคนช๊อคไปกับคำตอบที่ได้รับ เพื่อนของเขาหัดมีความลับกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นเขารู้เรื่องเลย
‘ไม่เห็นบอกกันเลยสักนิด’
‘ช่วยไม่ได้ ก็ใครล่ะ มัวแต่ไปไล่จับเลขา’ดวงหน้าคมคายอย่างชาวอิตตาเลี่ยนซับสีเลือดขึ้นน้อยๆ
‘สำเร็จแล้วสิ ถึงได้พามาด้วยเนี่ย’งานเลี้ยงบนเรือนี้ มีเฉพาะบรรดาเพื่อนสนิท คนที่พามาด้วยย่อมต้องสำคัญ
‘ก็ยังไม่แน่หรอก แต่ตอนนี้ก็...ก็ โอเค’พิรุณาหัวเราะ ขำขัน เมื่อเห็นว่าโดลเชกำลังจ้องเคนอย่างเดาได้ว่าตนถูกนินทา ร่างในชุดสีเขียวสดใสกลัดดอกไม้สีขาวบนอกที่วันนี้ดวงหน้านั้นแจ่มใส ดวงตาสีฟ้าใสแจ๋มฉายประกายแห่งความสุขอย่างลิ้นเหลือปรากฏร่างขึ้น
“ดูมีความสุขจังนะครับ”ธีรธรแซวว่าที่เจ้าสาว
“แน่นอนสิคะ ได้สละโสดกับเขาเสียที นึกว่าจะต้องอยู่เป็นโสดตลอดชีพเสียแล้ว” เกรซตอบเสียงใสพลางยิ้มกว้าง คนที่มีความสุขที่สุดในวันนี้คงไม่แคล้วเป็นเกรซนี่ล่ะ ดวงตาสีม่านราตรีจับจ้องเกรซที่มองเพียงครู่เดียวก็ทราบว่ากำลังอิ่มเอิบใจถึงเพียงไหน
‘นี่ พวกนายมาช่วยเล่นเพลงหน่อย เพื่อนๆเสี้ยนอยากจะจอยกันจะแย่แล้ว’เกรซส่งภาษามืออย่างชำนาญ จนธีรธรแอบนึกอย่างเรียนภาษามือบ้าง
‘ได้เลย’พิรุณา และเคนตอบรับอย่างขันแข็ง ร่างโปร่งบางของพิรุณากำลังจะเดินไปพร้อมกับเคนและเกรซ
“เดี๋ยว!”มือแข็งแรงนั้นจับยึดต้นแขนพิรุณาไว้อย่างสุภาพ ดวงตาสีน้ำตาลแดงคู่งามหันกลับมามองอย่างฉงน
“มีความสุขหรือเปล่า?” ธีรธรถาม ดวงตาสีม่านราตรีนั้นจริงจังหนักแน่น พิรุณายิ้มก่อนจะเดินอย่างมั่นคงมุ่งตรงไปยังวงดนตรีที่มีเพื่อนรออยู่แล้ว
ยกพื้นเตี้ยๆอันจัดไว้เป็นเวทีแสดงดนตรี ที่เครื่องดนตรีทุกชิ้นมีผู้เล่นประจำแล้ว ธีรธรมองร่างโปร่งบางบนเวทีที่กำลังส่งภาษามือให้เพื่อนๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สายลมแห่งแม่น้ำเจ้าพระยาในฤดูหนาวโชยพัดเบาๆเคล้าเสียงคลื่นซัดซ่า น่าแปลกที่เขาไม่เคยนึกสนใจบรรยากาศเช่นนี้มาก่อนเลย เขาเพิ่งเห็นว่า ท้องน้ำเจ้าพระยางดงามก็คืนนี้ เสียงเพลงแจ๊สนุ่มเบาละมุนหูทำให้ธีรธรยิ้ม ล่องเจ้าพระยาต้องแจ๊ส! เสียงเครื่องเป่าเป็นเมโลดีหลัก เพิ่มสีสสันด้วยเสียงเครื่องเคาะ เปียโนและดับเบิ้ลเบส เสียงกลองตีประกอบขับความรื่นรมย์ให้รู้สึกครื้นเครงยิ่งขึ้นอีก ธีรธรจำได้ ว่าเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ น่าแปลกที่นักดนตรีที่บรรเลงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนต่างชาติต่างภาษาทั้งสิ้น ยกเว้นแต่พิรุณาคนเดียวเท่านั้น
“เพลงแจ๊สเหมาะกับเจ้าพระยาดีนะครับ”โดลเชที่ยืนอยู่ใกล้กล่าว
“นั่นสิครับ ให้บรรยากาศสบายๆดี”ธีรธรยกกล้องตัวโปรดขึ้น ก่อนจะถ่ายรูปไว้
ท่วงทำนองเปลี่ยนไปแผ่วเบา เสียงเครื่องเป่าดังเบาๆ รับกับกลอง เสียงเปียโนจะขึ้นเมโลดี้นำ ก่อนจะจมหายไปเปลี่ยนเป็นเสียงเป่าขับขานถ้อยดนตรีเหงาเศร้าหากแฝงความขี้เล่นในสไตล์การเป่าของผู้บรรเลงไว้อย่างแนบเนียน เสียงร้องหวานสนิทหากยวนเย้าในทีของเพื่อนเจ้าสาวทำให้บทเพลงเติมเต็มสมบูรณ์ ผู้ฟังหลายขยับกายเข้าจังหวะอย่างเพลิดเพลิน ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวเต้นรำ โดยที่ในมือเกรซข้างหนึ่งถือไวโอลินตัวเก่งไว้ เมื่อหมดท่อนร้อง เสียงเปียโนด้วยลีลาอ่อนพริ้วราวสายลมดังแทรกขึ้นรับช่วงต่อ นิ้วเรียวนั้นกดลงบนแป้นคีย์อย่างแม่นยำ พลางโยกตัวน้อยๆ ก่อนจะโชว์ลีลาอย่างพิสดาร แขนนวลไขว้กันให้มือขวาไปเล่นคีย์ที่ต่ำกว่า ในทางกลับกันก็ให้มือซ้ายเล่นในคีย์ที่สูงกว่า เรียกเสียงเฮจากผู้ชมได้ไม่น้อย ดวงหน้านั้นแย้มยิ้มอย่างมีความสุข เกรซกระโดดขึ้นเวทีบ้าง เดาะคันชักในมืออย่างรอจังหวะ พอทำนองของเปียโนจางหายจึงยกมือขึ้น ดีดสายจนเกิดเสียงเป็นจังหวะแผ่วเบา ดวงตาสีฟ้าสดใสนั้นมองเพื่อนรัก พิรุณาพยักหน้าให้ก่อนจะเล่นประสานให้แผ่วเบาร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น ว่าที่เจ้าบ่าวงกๆเงินๆ หน้าดุๆนั้นดูดีกว่าทุกครั้งที่เห็น เขาขึ้นเวทีบ้าง พิรุณาพยักหน้าให้ แล้วเคลื่อนตัวไปชิดด้านหนึ่งของเก้าอี้เปียโน เหลือพื้นที่พอที่คนตัวโตจะมานั่งด้วยได้ พิรุณายังคงเล่นประสานให้ ก่อนจะค่อยๆปล่อยให้มือใหญ่โตของวทยากรหนุ่มว่าที่เจ้าบ่าวค่อยๆเข้ามารับช่วงต่อโดยไม่ให้เสียจังหวะ เมื่อลีอองรับช่วงต่อได้เรียบร้อยดีแล้ว พิรุณาจึงลุกขึ้นลงจากเวที ดวงตาพราวสวยคู่นั้นสบตากับธีรธร
“เหนื่อยไหม?”ธีรธรถามอย่างห่วงใยพลางจูงมือพาเดินออกจากกลุ่มคนไปยังมุมสงบท้ายเรือ เขารู้ว่าพิรุณาสนุกมาก คงเหมือนกับเขาที่ชอบถ่ายภาพมากๆนั่นแหล่ะ
‘เบื่อหรือเปล่า?’พิรุณาส่งภาษามือ แต่เขาเข้าใจได้จากดวงตาคู่นั้นว่าสื่อความหมายใด
“ไม่หรอก”เขาเก็บคำที่จะตามออกมา ด้วยเกรงว่ามันจะน้ำเน่ายุงชุมเกินไปที่จะบอกว่า
เห็นพิรุณาสนุก เขาก็สนุกด้วย
ธีรธรแก้เขินด้วยการถ่ายภาพลำน้ำเจ้าพระยายามค่ำคืน แต่พอพิรุณาเผลอ เขาก็แอบถ่ายพิรุณาเสียนี่
‘อย่ามาแอบถ่ายนะ เดี๋ยวเหมือนครั้งที่แล้วอีก อยากถ่ายจะให้ถ่าย’ ธีรธรยิ้มเฝื่อนๆ พิรุณาหัวเราะ ก่อนจะยอมให้ถ่ายภาพ โดยฉากเบื้องหลังเป็นฝั่งลำน้ำอันสงบร่มเย็น ธีรธรหยุดถ่ายภาพ คล้องกล้องไว้กับคอ ก่อนจะหยิบกระดาษที่เคยเป็นใบเสร็จร้านสะดวกซื้อมาขีดเขียนบางอย่าง แล้วส่งให้พิรุณา
มีความสุขไหม?
พิรุณาอ่านแล้วยิ้ม เป็นยิ้มที่อ่อนหวานที่สุดเท่าที่เขาเคยได้รับ มือนวลนั้นสัมผัสใบหน้าเขาเบาๆ ทำให้ธีรธรต้องก้มตัวลงเล็กน้อยไม่ให้ความสูงนั้นต่างระดับกันมากนัก แรงลมอ่อนพัดเอาเส้นผมอ่อนนุ่มมาถูกใบหู รู้สึกชวนจั๊กจี้อย่างไรชอบกล พิรุณาใช้ปลายนิ้วลากเป็นอักษรบนหน้าผากเขา เป็นข้อความง่ายๆด้วยภาษาไทย ที่ธีรธรพอเดาได้ว่าเขียนว่าอะไร
มากๆเลยครับ ริมฝีปากอุ่นนุ่มแตะข้างแก้มเขาแผ่วเบาราวลมพัด ก่อนพิรุณาจะดีดตัวออกมา ดวงหน้าซับสีเลือดชวนมอง
วังเพลงภิรมย์คืนนี้เงียบเหงา เสียงใบไม้เสียดสีกันก่อนร่วงกราว ห้องทรงพระอักษรมืดสลัวมีเพียงแสงจันทร์รำไรสาดแสงสลัวตกต้ององค์โปร่งบาง ดวงเนตรโศกสนิทหากสวยแจ่มละม้ายผู้ร่วมสายเลือดทอดออกไปไกล ผ่านพุ่มพฤกษ์อันร่มรื่นชื่นเย็น ใจหนึ่งทรงโสมนัสที่ได้พบบุตรขององค์พี่ แต่อีกใจก็ทรงนึกหวั่น หลายสิบปีที่ผ่านมา พิรุณาตกระกำลำบาก จะสนิทใจหรือที่จะอยู่กับ คนที่อ้างว่าเป็นอา ทั้งที่เวลายาวนานถึงเกือบสามสิบปี ท่านไม่เคยได้ทราบว่าหลานคนนี้อยู่ที่ใด ไม่ใช่ท่านไม่ตามหาแต่เพราะยิ่งตามหา ความหวังกลับยิ่งริบหรี่ลงจนมอบดับ ท่านยังทรงจำได้แม่นยำยิ่งว่า การตามหาครั้งสุดท้ายที่ฝรั่งเศสฉุดคร่าบุคคลอันเป็นที่รักดั่งพี่ชายร่วมสายเลือดของท่านอีกคนไป หลังจากนั้นท่านก็ไม่ทรงต้องการจะตามหาใครหรือสิ่งใดอีก ดั่งคำสุดท้าย
ปล่อยวาง....ที่ สิฐธรบอก ก่อนจะสิ้นลม
“ท่านชายยังไม่บรรทมหรือกระหม่อม” หม่อมเจ้าภูมิรักษ์เพียงแต่เบือนพักตร์มาเล็กน้อย จึงทรงทราบว่าเป็นมหาดเล็กที่อายุน้อยที่สุด บุตรชายคนเดียวของสิฐธร ดวงหน้านั้นถอดแบบมาจากผู้เป็นบิดาแทบพิมพ์เดียว
“ยังหรอก เธอเองเพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยเหนื่อยๆ ไปพักผ่านเถอะ”
“ท่านชาย กระหม่อมทราบว่าทรงกลุ้มเรื่องคุณพิรุณา ทรงพักบ้างเถอะ” รอยยิ้มแตะแต้มบนพักตร์องค์รักษ์ แม้กาลเวลาล่วงผ่าน แต่ดวงพักตร์นั้นยังกระจ่าง
“เถอะ ฉันดูแลตัวเองได้ เรียนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีกระหม่อม”บุตรชายของสิฐธรพูดน้อยเหมือนพ่อไม่มีผิด
“ดีแล้ว ต่อไปจะได้ทำงานกับนายห้าง เจริญในหน้าที่การงาน พ่อเธอจะได้ชื่นใจ ว่าลูกชายเก่ง”
“กระหม่อมจะไม่ไปไหน จะอยู่รับใช้ท่านชายตลอดไป”หม่อมเจ้าภูมิรักษ์มองชายหนุ่มผู้เป็นมหาดเล็กอย่างเมตตา ท่านชุบเลี้ยงฐากูรมา รักเหมือนบุตรชายแท้ๆ เพราะการชุบเลี้ยงบุตรของสิฐธร ดูจะเป็นทางเดียวที่จะทรงทำให้ผู้ที่ล่วงลับแล้วได้
“คำว่าตลอดไปไม่มีอยู่จริงหรอกฐากูร ฉันเป็นคนรุ่นเก่าแล้ว แม้จะหัวสมัยอยู่บ้าง แต่เรี่ยวแรงกำลังใดก็ใกล้จะสูญสิ้นเสียแล้ว เธอเป็นคนรุ่นใหม่ สมควรแก่การก้าวต่อไปเพื่อความเจริญในหน้าที่การงาน ไม่ใช่เป็นมหาดเล็กแบบนี้ วิชาของเธอจะเสียเปล่า”
“ไม่หรอกกระหม่อม ถึงกระหม่อมจะเรียนจบทำงานแล้ว แต่ยังรับใช้สนองพระบาทได้”
“ขอบใจ”
พิรุณานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่กับพื้นพรม โดนมีปองนั่งอยู่ใกล้ๆ บนพระเก้าอี้ หม่อมเจ้าภูมิรักษ์ทอดพระเนตรมองพิรุณาอย่างทรงเอ็นดู ท่านชายทราบดีว่าวันนี้พิรุณาจะมาให้คำตอบ ด้วยพระพลานามัยไม่สมบูรณ์นักจึงอยากให้มีลูกหลานคนสนิทชิดใกล้จึงทรงยื่นข้อเสนอให้พิรุณาตัดสินใจว่าจะอยู่กับท่านในฐานะ คุณชายแห่งวังเพลงภิรมย์หรือไม่ ท่านชายภูมิรักษ์ทรงทำพระทัยไว้แล้วว่าคำตอบจากพิรุณามีสองประการ ทางที่ดีควรเผื่อพระทัยไว้บ้างไม่มากก็น้อย
“ทูลฝ่าบาท เอ่อ....กระผม เอ๊อ...กระหม่อม”ปองทูลผิดๆถูกอย่างประหม่า คำราชาศัพท์ใดที่ได้ท่องมาพลันหายไปสิ้นเหลือเพียงความขาวโพลนสว่างในห้วงคิด
“ฉันอนุญาตให้เธอพูดคำสามัญกับฉันได้ เพราะเธอดูจะไม่สันทัดเอาเสียเลย”ท่านชายภูมิรักษ์ตรัสอย่างทรงมีพระอารมณ์ขัน ปองแอบถอนหายใจโล่งอก
“ว่าอย่างไร ฉันอยากฟังคำตอบเต็มทีแล้ว”ปองส่งภาษามือให้พิรุณา พิรุณาจึงตอบกลับปองทูลตามภาษามือที่ตนแปลได้
“คุณพิรุณาได้ตัดสินใจแล้ว ว่าคงไม่สามารถทำตามที่เอ่อ...ท่านชายทรงเสนอให้ได้ เพราะยังมีงานอีกมากที่ต้องสะสางในระยะนี้ ”พักตร์ท่านชายภูมิรักษ์แม้สงบหากดวงเนตรเศร้า
“เธอจะไม่รับแม้แต่ฐานันดรศักดิ์หรือ?”
“คุณพิรุณาทูลว่า ไม่อยากได้ฐานันดรศักดิ์ใดๆ เพราะรู้สึกว่าฐานันดรนั้นสูงเกิน และดูจะเป็นการหมิ่นเบื้องสูงครับ”
“จะหมิ่นอย่างไร เธอเองก็มีหน้ามีตา เรียนหรือก็สูง”พิรุณาเม้มปากครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตอบ
“คุณพิรุณามีเรื่องส่วนตัวบางอย่างที่เกรงว่าจะไม่เป็นการสมควรที่เปิดเผย รวมถึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะจะเชิดหน้าชูตาได้น่ะครับ” ปองเองก็ยังงง ว่าพิรุณาหมายถึงเรื่องใด
“อย่างนั้นหรือ?”สุรเสียงนั้นแหบพร่ากว่าปรกติ
“ศักดิ์เดียวที่คุณพิรุณาจะรับไว้ คือ ศักดิ์ของการเป็นหลาน คุณพิรุณาน้อมรับด้วยหัวใจครับ” ปองทูลแล้วยิ้มกว้างขวาง ท่านชายผู้สูงวัยแย้มโอษฐ์ ดวงเนตรพราวอย่างปิติ พิรุณาเดินเข่าอย่างสำรวม ก่อนจะก้มลงกราบแทบบาท หัตถ์อุ่นนั้นแตะศีรษะพิรุณาอย่างทรงเมตตาล้นเหลือ ฐากูรนึกนิยมในความอ่อนน้อมนั้น
ต่อไปท่านชาย จะไม่ทรงเศร้าพระทัยอีกแล้ว แม้เขาจะไม่ได้รับใช้ ‘คุณชาย’ เพิ่มอีกคน แต่เขามั่นใจ ว่าเขาจะได้พี่ชายที่น่ารัก เพิ่มเข้ามาในชีวิตแน่นอน
เคนมองแผ่นหลังเพรียวบางที่สวมชุดคลุมอาบน้ำยืนชมวิวแม่น้ำสายสำคัญของกรุงเทพฯยามค่ำคืนอย่างสบายใจ เส้นผมสีน้ำตาลเปียกลู่ระต้นคอ เคนมองร่างนั้นอย่างสงสัยว่าทำไมร่างกายนั้นถึงผอมบางถึงเพียงนี้ แผ่นหลังเล็กนิดเดียว เล็กพอที่จะโอบด้วยแขนข้างเดียว ข้อมือนั่นอีกเล็กจนกำได้รอบได้อย่างสบาย ช่างผิดกับพี่ชายสองคนเหลือเกินที่รูปร่างดูสมชายกว่าคนเล็กอย่างโดลเชมากนัก
“มองอะไรหรือครับ?”โดลเชคนสุขุมกลับมาอีกครั้ง เคนยิ้มบาง
“กำลังมองว่า ครอบครัวกูดาร์เชไม่ยุติธรรม” โดลเชขมวดคิ้ว
“ตรงไหน?”เคนยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อน้ำเสียงนั้นเริ่มแข็งขึ้น
“ก็ตรงที่ให้มาไม่เท่ากัน” เคนก้าวเข้าไปใกล้ร่างนั้น พลางสัมผัสแขนที่กอดอกไว้หลวมๆ
“อะไรไม่เท่ากัน?” เสียงนั้นชักจะคาดคั้น เคนยิ้มกว้างขวางพลางจับข้อมือบางมากุมไว้
“ยิ้มอะไร?”คราวนี้น้ำเสียงนั้นเปลี่ยนไปเป็นไม่มั่นใจ ปนวิตกกังวล
“ยิ้มที่คนบางคนชักหวั่นไหว”วงแขนแข็งแรงอุ่นร้อนโอบล้อมร่างบาง กลิ่นสบู่บางเบาทำให้เคนสูดลมหายใจลึก
“จำได้ไหมที่ครั้งที่แล้วผมเคยบอกว่า บางทีผมอาจจะรักคนที่ไม่มีหัวใจมอบให้ผมก็ได้”โดลเชพูดเสียงอู้อี้อยู่บนแผ่นอกกว้างที่โอบล้อมร่างตน
“ผมอยากถามอย่างตรงไปตรงมา ว่าคุณมีหัวใจจะมอบให้ผมบ้างหรือเปล่า? ไม่ยากเกินไปที่จะตอบใช่ไหม?”
“โดลเช....”เคนคลายอ้อมกอดนั้น ใจโดลเชวิบหวิว ดวงตาสีเทาอมเขียวคู่นั้นเงยขึ้นสบดวงตาสีมรกต
“ถ้าคุณยังตอบไม่ได้ ได้โปรด อย่าแตะต้องผม อย่าทำร้ายกันด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆ ถ้าคุณยังรักคุณพิรุณาอยู่ก็ปล่อยผมไปเสีย”น้ำตาหยดหนึ่งร่วงรินจากหางตา โดลเชรีบเช็ดมันออก เขาไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอในหัวใจตัวเองออกมา ถ้าได้คนรักมาเพราะน้ำตาตัวเอง จะหาความสุขได้จากที่ไหน
“โดลเช พิรุณาในตอนนี้เป็น เพื่อน ที่ฉันรักมาก คุณอาจไม่รู้ว่าแต่ก่อนพิรุณาเปราะบางเหลือเกินถึงแม้จะดูเข้มแข็ง แต่เขาตัวคนเดียวมาตลอดแทบจะทั้งชีวิต ทำให้พอเรามาเจอกันเลยเหมือนแม่เหล็กต่างขั้ว เราแลกในสิ่งที่เราต่างไม่มี พิรุณามีความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจ แต่ผมมีความสดใส สนุกสนาน พอเราอยู่ด้วยกันจึงถูกคอ”โดลเชพยายามตั้งใจฟังอย่างสงบ ทั้งที่ใจว้าวุ่น
“แต่คุณ มอบความคิดอ่านอย่างผู้ใหญ่ให้ผม เมื่อวานคุณก็เห็นใช่ไหม ว่าคุณธีรธรรักพิรุณาขนาดไหน และแน่นอนว่าผมดูออกว่าพิรุณาก็รักคุณธีรธรเหมือนกัน ผมจะรักคนที่เขารักคนอื่นอยู่เต็มหัวใจทำไม ในเมื่อหัวใจตัวเองก็มีเจ้าของแล้วโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน”โดลเชสบตากับดวงตาสีมรกตน้ำงาม ชั่งใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“อยากได้อะไรเป็นหลักฐานไหมครับคุณตำรวจ?”เคนพูดแซว หวังจะเรียกรอยยิ้มกลับมาบนใบหน้านั้นบ้าง
“ตำรวจอะไรกันเล่า?”
“ตำรวจจับหัวใจ” โดลเชหน้าเหวอกันคำตอบที่ได้รับ เป็นการหยอดคำหวานที่แย่ที่สุดที่เคยเจอมา ก่อนจะเบือนหน้าหนีรู้สึกตัวเองหน้าร้อนไปหมด
“ว่าไง? อยากได้อะไร” อ้อมแขนกอดกระชับรวบร่างโปร่งนั้นไว้กับอก แต่โดลเชยื้อร่างตัวเองไว้ไม่ให้โอนอ่อนตามแรงนั้น
“อยากได้ไอ้นี่ ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เอา”ปลายนิ้วนั้นชี้ไปที่อกซ้ายของเคน เคนยิ้มกว้าง ริมฝีปากหยักสวยสัมผัสลงบนริมฝีปากอิ่มนั้นแผ่วเบา
“ให้หมดตัว ทุ่มสุดแรงเกิดเลย” เคนกระซิบริมหู โดลเชเอียงวูบหลบราวต้องของร้อน ดวงตาสีเทาอมเขียวคู่นั้นสวยกว่าคืนไหนๆที่เคนเคยได้เห็น
ราตรีโรยตัวลงอย่างช้าๆ ดาวบนท้องฟ้ากระพริบพราวบ้างริบหรี่บ้างสุกใส แสงไฟจากอาคารบ้านเรือนเบื้องล่าง ขับแสงเปล่งช่วยกันแข็งขัน ละม้ายเหล่าดารางามตกต้องพื้นดิน ใครบ้างหนอจะได้ชมความงามอันรังสรรค์โดยธรรมชาติที่ผสานกับความงามด้วยมือมนุษย์อย่างลงตัว ใครหนอจะได้ชมชื่นยามค่ำแห่งมหานครอันมิเคยหลับไหล ...น่าเสียดายที่ใครหลายคนมิได้มีแม้โอกาสจะมองจันทร์
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
เสพความรู้สึกครึ่งแรกไว้นะครับ...หึหึo8
ปล.ตอนพิเศษวันวาเลนไทน์ก็เป็นของคู่โดลเชกับเคนนี่แหละครับ ^^