บทที่ 12
‘ยินดีต้อนรับกลับบ้าน’ คนผมน้ำตาลลอบคิดกับตัวเองในใจขณะที่ผู้คุมคนหนึ่งปลดกุญแจมือให้เขา ชายหนุ่มก้าวเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าราบเรียบ สงบ เป็นสีหน้าแบบเดียวกับที่เขาทำเมื่อครั้งก่อนยามมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก
อย่าแสดงให้ใครเห็นว่ากลัว เพราะมันคือสัญญาณของความอ่อนแอ และความอ่อนแอจะเรียกคนที่แข็งแกร่งกว่าเข้ามาทำร้ายเรา
หลายคนในนั้นยังคงคุ้นหน้าคุ้นตาสำหรับเอลเลียต กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งเล่นเกมกระดานพร้อมกับสบถไปตามเรื่องราว กลุ่มหนึ่งที่รู้จักเขาหันมาทักทายให้เหมือนเพื่อนเก่า เอลเลียตส่งยิ้มตอบ ก่อนเจ้าตัวจะต้องหุบยิ้มลงเมื่อเดินผ่านกลุ่มของดีเอโก้… พี่เบิ้มที่เคยตรงมาขู่เขาเวลาที่มีตำรวจแวะมาแถมนู่นนี่ พอเห็นคนพวกนี้แล้วเอลเลียตก็ตระหนักได้ว่าตัวเองตกที่นั่งลำบากขนาดไหน
และเพราะแบบนั้นเองทำให้เขานึกเจ็บใจไอ้บ้าคีลขึ้นมาทั้งที่วินาทีที่แล้วยังอาลัยอาวรณ์ไอ้หน้าหล่อนั่นอยู่เลย
ไอ้บ้านั่น… บังอาจเตะเขาเข้าคุกเป็นครั้งที่สอง
ครั้งที่สอง
แม่งเอ๊ย ไอ้ที่เขาร่ายมนตร์ ใส่แบบจัดหนักจัดเต็มตลอดที่มีเซ็กส์ด้วยกันนี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสินะ หรือแม้แต่เทคนิคพิเศษตอนทำด้วยปากก็ไม่ได้ช่วยให้ไอ้สายสืบบ้างานนั่นรู้สึกติดใจกับการปรนเปรอของเขาเลย
...น่าเจ็บใจจังโว้ย!
“ไง พวก” เบลค เรมิเรซ ชายหนุ่มผู้เป็นรูมเมทในคุกของเขาทักขึ้น รู้สึกว่ากลับมารอบนี้เขาก็จะยังได้หมอนี่เป็นรูมเมทตามเคย ก็ดี จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาทำความรู้จักใครใหม่ “เป็นยังไงบ้าง ออกไปโบยบินข้างนอกมานานพอสมควรเลยนี่ คิดว่าจะไม่กลับมาอีกซะแล้ว”
“ไม่กลับมาได้ไง” เอลเลียตว่าขณะยกขาขึ้นพาดเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามคนพูด “กลัวเพื่อนคิดถึง ก็ต้องกลับมาหากันอยู่แล้ว”
“ทำเป็นพูดดีไป บอกฉันมาตรงๆ ดีกว่า” หนุ่มผิวสีพูดพร้อมกับโน้มหน้าลงมากระซิบกระซาบกับเพื่อน “ทำไมนายไม่หนีไปวะ โอกาสดีๆ แบบนี้หาไม่ได้แล้วนะเว้ย กลับเข้ามาอีกทำไมเนี่ย”
“แล้วคิดว่าฉันไม่ได้วางแผนหาทางหนีเหรอ” เอลเลียตพูดเสียงลอดไรฟัน “ก็พยายามจะชิ่งแล้วแต่โดนเตะโด่งเข้ามาอีกรอบนี่ไง”
“อะไรวะ ไม่ได้เรื่องเลย”
“หนวกหูน่า ไอ้คนที่คอยตามฉันแจเสือกหัวดี” หน้าตาก็ดี หุ่นก็ดี ลีลาก็ดี แต่แม่งใจร้ายฉิบหาย “เออ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ เรมิเรซ นายพอจะหามีดหรืออาวุธเล็กๆ น้อยๆ ให้ฉันหน่อยได้ไหม ไม่หวังถึงขั้นปืนหรอก แค่มีดพกสักเล่มก็คงจะขอบคุณมาก”
“ทำไมวะ เทย์เลอร์” เบลคขมวดคิ้วมุ่น “ก่อนหน้านี้ไม่เห็นนายจะสนเรื่องพวกนี้”
“ฉันว่าออกไปรอบนี้ฉันได้ของแถมพ่วงมาด้วย”
“อะไร นี่นายไปทำอะไรมากันแน่”
“จะอะไรก็ไม่สำคัญหรอก” เขาขี้เกียจเล่าลงรายละเอียด “ที่สำคัญคือ… ฉันคิดว่าตัวเองกำลังโดนสั่งเก็บ ต่อให้ยังไม่โดน ก็คงโดนในอีกไม่ช้านี้อยู่ดี”
“พูดเป็นเล่นน่ะ”
“หน้าฉันเหมือนตลกคาเฟ่หรือไง นี่ ฟังนะ ถึงฉันจะรู้ว่ามันอาจมีโอกาสรอดน้อยมาก แต่ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ โดนเก็บง่ายๆ นายเข้าใจใช่ไหม”
“นี่นายไปทำอะไรมากันแน่เนี่ย” เบลคพูดเหมือนทึ่ง “แทนที่จะหาทางหนีเอาตัวรอด ดันโดนตำรวจเตะกลับเข้ามา แถมยังไปสร้างศัตรูมาเพิ่มอีก? ตกลงออกไปคราวนี้มีเรื่องอะไรดีบ้าง”
“เออน่า อย่าเพิ่งตอกย้ำกันนัก ว่าไง นายคิดว่าจะช่วยฉันเรื่องนั้นได้ไหม”
“ได้ ฉันพอมีคนรู้จักอยู่ แต่ไม่ถูกนะไอ้หนู”
เอลเลียตพยักหน้า รู้ดีว่าระบบที่นี่เป็นยังไง “ฉันจะจัดการเรื่องเงินให้ ฝากด้วยแล้วกัน ยิ่งเร็วยิ่งดี”
“เฮ้ เทย์เลอร์” เสียงใครอีกคนดังขึ้นเรียกให้เอลเลียตหันกลับไปมอง ก่อนจะต้องเลิกคิ้วขึ้นอยากแปลกใจเมื่อเห็นโอเว่น ซิมส์ ชายหนุ่มที่ถูกเด้งเข้ามาในคุกเพราะเขาก้าวเข้ามาทักทาย “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพวก ว่างคุยหรือเปล่า”
เอลเลียตพูดพึมพำขอตัวกับเบลคจากนั้นจึงลุกตามเพื่อนร่วมทีมเก่าไปอย่างว่าง่าย โอเว่นพาเขามาคุยที่อีกมุมหนึ่งซึ่งไม่มีนักโทษคนอื่นๆ มาคอยกวนใจ เจ้าตัวเริ่มยกมือขึ้นกอดอก มองเอลเลียตด้วยสายตาอ่านยาก
“ตกลงว่าออกไปข้างนอกมาเป็นไง”
“นี่พวกเขาเอานายมาอยู่เขตนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” คนผมน้ำตาลถามกลับอย่างแปลกใจ เพราะตอนที่พวกเขาถูกตัดสินโทษให้มาอยู่ในเรือนจำ เขากับโอเว่นก็โดนสั่งขังแยกกันไปคนละที่ ไม่นึกว่าจะได้มาเจอหมอนี่ในคุกแบบนี้ด้วยซ้ำ
“เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ นี่ ไอเดน ฉันรู้เรื่องที่นายทิ้งเอเลน่า เคอร์ติสแล้ว”
อยู่ๆ เอลเลียตก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมา เขานึกถึงคำเตือนที่ลีโอเคยทิ้งท้ายเอาไว้ เรื่องที่เขาโดนสั่งเก็บ จากนั้นก็เรื่องที่โอเว่นได้ย้ายมาอยู่ที่นี่
“นายไม่น่าทำแบบนั้นเลยนะ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ไม่ได้สนใจร่างของเอลเลียตที่เกร็งขึ้นมาเล็กน้อย “นายทิ้งฉันหรือยัยซาร่าน่ะ พอจะเข้าใจ เพราะสถานะของเรามันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่เอเลน่า…” โอเว่นส่ายหน้านิดหนึ่ง “ยัยนั่นน่ะ… คนคนนั้นกำลังคั่วหล่อนอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วนายไปโยนยัยนั่นเข้าคุก คิดอะไรอยู่กันแน่ ไอเดน หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจทิ้งเอเลน่า”
“แต่นายก็ทิ้งหล่อนให้ตำรวจแล้ว และฉันมีข่าวร้ายจะบอกเกี่ยวกับเรื่องนั้น”
ยังมีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้อีกเหรอ
“ยัยนั่นตายแล้ว”
เอลเลียตขนลุกซู่ ใบหน้าซีดเผือดลงอย่างรวดเร็วจนเหมือนเขาจะล้มลงไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ
“นาย… พูดอะไรของนาย” เขาพึมพำอย่างไม่เข้าใจ “ยัยนั่นแค่เข้าคุกนะ ซิมส์ ไม่ได้โดนสั่งประหาร”
“ฉันก็ได้ยินมาอีกที” โอเว่นยักไหล่ “เห็นเขาว่ากันว่าหล่อนฆ่าตัวตายเพราะทนที่ต้องอยู่ในคุกไม่ไหว”
เอลเลียตยกมือขึ้นมากุมขมับจริงๆ แล้วตอนนี้ ไอ้ความหวาดกลัวที่อัดแน่นอยู่ในอกอยู่แล้วยิ่งท่วมท้นขึ้นมาใหญ่ ไม่ต้องแปลกใจเลยถ้าเขาจะอยู่ไม่รอดถึงเช้าพรุ่งนี้
“คราวนี้นายก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแค่ไหน” โอเว่นว่าต่อเมื่อเห็นว่าผู้ที่สนทนาด้วยเริ่มจะโงนเงน ยืนไม่ตรง
“นายมาบอกฉันเรื่องนี้ทำไม”
“อะไรนะ”
“คนคนนั้นส่งนายมาฆ่าฉันงั้นเหรอ”
โอเว่นอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ขอทีเถอะ เทย์เลอร์ ถ้าฉันโดนสั่งให้มาเก็บนาย ฉันจะมาพูดกับนายตรงๆ แบบนี้เหรอ”
“ฉันไม่รู้หรอก” เอลเลียตพูดตรงๆ สบตาคู่สนทนานิ่ง “ตอนนี้ฉันไว้ใจใครไม่ได้แล้ว ต่อให้เป็นนายก็เถอะ”
โอเว่นยกสองมือขึ้นเหนือหัวเป็นเชิงยอมแพ้ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นการบอกกลายๆ ว่าตัวเขาไม่มีอาวุธ และไม่ได้คิดจะทำร้ายอีกฝ่าย
“ฉันไม่โทษนายหรอก เทย์เลอร์” ชายหนุ่มว่าอย่างเข้าใจ ปล่อยให้เทย์เลอร์เดินกลับไปที่โต๊ะตัวเดิมซึ่งเพื่อนผิวสีของเขานั่งอยู่
เอลเลียตยังไม่อยากตาย… อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในคุกนี่
เขาต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง
…
“ขอโทษครับ”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์เงยหน้าขึ้นมา ขยับแว่นบนหน้าของตัวเองเล็กน้อยขณะที่คีลหยิบตราตำรวจของตัวเองมาให้อีกฝ่ายดูอย่างรวดเร็ว “ผมสายสืบวิลล์”
“มีธุระอะไรเหรอครับ คุณวิลล์”
“ผมอยากขอพบตัวนักโทษที่ชื่อเอลเลียต เทย์เลอร์”
ในที่สุดเจ้าตัวก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้เสียเอง คำพูดสุดท้ายที่เอลเลียตทิ้งไว้ให้ตกตะกอนอยู่ในใจเขา เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวขอเวลาครู่หนึ่งเพื่อติดต่อประสานงานกับผู้คุมด้านใน คีลมองอีกฝ่ายยกหูโทรศัพท์อย่างมีความหวัง เขารู้ดีว่าถ้าไม่ได้แจ้งล่วงหน้าหรือสอบถามก่อน หลายๆ ครั้งก็อาจไม่สามารถพบกับนักโทษในเรือนจำได้ และเหมือนครั้งนี้โชคจะไม่เข้าข้างเขาเพราะคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ส่ายหน้าให้หลังจากวางหูโทรศัพท์
“ขอโทษด้วยครับ คุณสายสืบ แต่ตอนนี้นักโทษออกไปบำเพ็ญประโยชน์นอกสถานที่… กว่าจะกลับก็ช่วงค่ำนู่นเลย”
“ไม่เป็นไรครับ” เขาว่า ซ่อนความผิดหวังไว้ในสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบของตัวเอง “ขอบคุณที่ประสานงานให้”
“คุณอยากแจ้งเรื่องขอพบแบบระบุวันและเวลาไว้ไหม”
คีลหยุดคิดครู่หนึ่ง ถ้าทำแบบนั้นเขาคงได้พบเอลเลียตแน่นอนกว่ามาแบบกะทันหันอย่างนี้ แต่ติดอยู่ที่ตารางงานไม่แน่ไม่นอนของเขานี่สิ
“ไม่เป็นไรครับ” สายสืบหนุ่มตัดสินใจ “ไว้เดี๋ยวถ้าหาเวลาได้ผมจะแวะมาใหม่ ขอบคุณมากครับ”
แล้วเจ้าตัวก็ออกจากเรือนจำแห่งนั้นไป
…
คนผมน้ำตาลกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำยังไงให้คีลใจอ่อนยอมฟังที่เขาพูดดีๆ ได้
นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วตั้งแต่ที่เอลเลียตโดนยัดมาอยู่ที่นี่
เขารู้ดีว่าหมอนั่นกำลังหัวเสียเรื่องที่เขาคิดหนี แถมมันยังเกือบจะเกิดขึ้นจริงๆ เสียด้วย เพราะงั้นคนที่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างคีลจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เอลเลียตครุ่นคิดขณะที่ปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลลงมากระทบตัว เขาพยายามตัดเรื่องอารมณ์และความรู้สึกเกินเลยที่มีต่อสายสืบหนุ่มคนนั้นทิ้ง พยายามโฟกัสความคิดอยู่แค่เรื่องผลประโยชน์ที่พวกเขาสองคนอาจตักตวงให้กัน
ตอนนี้เขาต้องการความช่วยเหลือ เรื่องนั้นไม่ผิดแน่ล่ะ และคนที่จะช่วยเขาได้ ที่คิดออกคนเดียวในตอนนี้คือคีล
อย่างน้อย ถ้าหมอนั่นฟังเขาพูดสักนิด ยอมให้เขาออกจากเรือนจำแห่งนี้สักหน่อย จะให้เขาอยู่ในฐานะนักโทษก็ได้ แต่เขาต้องการคนคุ้มกันเป็นอย่างมาก อะไรก็ได้แล้วตอนนี้ที่ทำให้เขาไม่ต้องตาย
เงินสักกี่ล้านดอลลาห์ก็ไม่มีความหมายเมื่อชีวิตถูกเดิมพัน ไพ่ในมือทั้งหมดที่เขามีเขาก็ยอมที่จะสละ
ถึงยังไงตอนนี้เขาก็โดนคาดโทษด้วยความตายอยู่แล้ว มันจะต่างกันตรงไหนล่ะ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เอลเลียตกลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนกปีกหักได้ขนาดนี้เพราะเจ้าตัวคุ้นเคยการทำงานของจูเลียน ฮอร์ตันดี เขาเคยเห็นอีกฝ่ายสั่งฆ่าคนมาต่อหน้าต่อตาแล้วด้วยซ้ำ
ทุกอย่างช่างง่ายดายเหลือเกินสำหรับผู้มีอิทธิพลและอำนาจเหลือล้นอย่างผู้ชายคนนั้น
เอลเลียตรู้ดีว่าจูเลียนทำได้จริง และเขาก็จะทำด้วย ไอ้เรื่องสั่งเก็บผู้ชายที่ทำให้อีหนูของเขาต้องตายน่ะ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด มันผิดที่แจ็ค พอร์เตอร์ที่พาเขาไปถึงรังของตัวเองแบบนั้น มันผิดที่เอเลน่า เคอร์ติสที่ทนแรงกดดันไม่ไหว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น… ต้องกลายเป็นเขาที่โดนสั่งฆ่าเนี่ยนะ?
ไม่เอาด้วยหรอกโว้ย!
คีลต้องช่วยเขา… ไม่ใช่สิ เขาต้องหาทางให้คีลช่วย จะพูดยังไงดี ต้องหาทางติดต่อกับหมอนั่นแล้วก็เกลี้ยกล่อม…
“เฮ้ ว่าไง คนสวย”
และเพราะกำลังคิดหนัก หมกมุ่นอยู่กับความกังวลของตัวเองนั่นเอง เอลเลียตจึงไม่ทันรู้ตัวเลยตอนที่มีชายหนุ่มสามคนล้อมกรอบเข้ามา สองในนั้นตัวเตี้ยกว่าเขา อีกคนรูปร่างใหญ่เทอะทะและดูเคลื่อนไหวช้า
นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองคนทั้งหมดและประเมินคร่าวๆ ในหัวอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ ถ้าคุณเป็นผู้ชายแล้วโดนทักว่า ‘คนสวย’ ตอนอยู่ในห้องอาบน้ำรวมของเรือนจำ มันมีความหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ให้ตายเถอะ นี่เขาต้องเจอศึกสักกี่ด้านคนบนฟากฟ้าถึงจะพอใจ หา?
“อาบน้ำคนเดียวเหงารึเปล่าจ๊ะ? ”
“ไปไกลๆ เลย”
เลือกใช้คำได้เฉียบคมมาก เอล พวกนั้นคงจะฟังที่นายพูดหรอก
“นี่ รู้รึเปล่า” ไอ้คนที่ตัวเตี้ยแต่ดูล่ำกว่าเขาเอื้อมมือมาแตะที่หน้า เอลเลียตขนลุกซู่พร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายทันที แต่เหมือนเจ้าตัวก็ไม่ได้ถือสามากมาย “มีเพื่อนเราที่ชื่อแจ็คกระซิบให้ฟังมาว่าข้างหลังนายมันเด็ดมาก”
“แจ็คเหรอ” เท่านี้ทุกอย่างก็ลงตัวโป๊ะเชะ
จะไปมีแจ็คไหนนอกจากแจ็ค พอเตอร์อีกล่ะที่เคียดแค้นเขาขนาดส่งคนมาปล้ำกันแบบนี้!
“แล้วดูไอ้รอยช้ำสีกุหลาบที่อยู่บนตัวนายสิ” คราวนี้คนที่อยู่ฝั่งซ้ายมือเป็นคนพูด แล้วไม่พูดเปล่า มันยังกวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าอย่างโลมเลีย อึ๋ย ขนลุกเป็นบ้า “นี่ไปซั่มกับใครที่ไหนมาเนี่ย บอกพวกเรามาได้ไหมว่าผู้หญิงหรือผู้ชายที่ทำรอยบนตัวนาย”
“เฮ้ ฉันถามอะไรหน่อย” เอลเลียตขัดขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “ทำไมต้องสาม”
ดูเหมือนไอ้พวกที่ล้อมกรอบเขาจะงงขึ้นมาพร้อมกันเลยทีเดียว
“นายว่าอะไรนะ” คราวนี้คนขวามือถามเขากลับ ไอ้หมอนี่ตัวสูงสุด แต่น่าจะอ่อนสุดในกลุ่ม บางทีเขาอาจหาช่องจากมันได้
“ก็เวลาจะขู่หรือทำร้ายใครเนี่ย ชอบยกพวกกันมาสามคนทุกที” พูดพร้อมกับส่ายหน้าเหมือนเอือมระอา “ทำไมไม่ลองสองหรือสี่ดูบ้างล่ะ? ต้องมากันสามคนตลอด เลขคู่มันไม่ดีขนาดนั้นเลยรึไง”
ในที่สุดเจ้าคนตรงกลางก็รู้ว่าเอลเลียตกำลังกวนประสาทเพื่อถ่วงเวลา มันส่งสัญญาณให้อีกสองคนเข้าไปกดคนตรงหน้า แต่เอลเลียตรอจังหวะนี้อยู่แล้ว ชายหนุ่มพุ่งตัวไปกระแทกศอกลงบนหน้าท้องของไอ้คนตรงกลางก่อน ยกขาขึ้นเตะคนฝั่งขวาที่พุ่งตัวเข้ามาจะจับตัวเขา แต่หมัดของไอ้คนฝั่งซ้ายก็กระแทกลงมาบนแก้มแรงไม่น้อย เล่นเอาเอลเลียตมึนไปวูบหนึ่งเหมือนกัน สามคนดูจะตึงมือเกินไปจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเอาตัวรอดไปจากตรงนี้ให้ได้
คนตรงกลางที่ดูจะอึดกว่าใครเพื่อนยกขาเตะเข่าของเอลเลียต แต่อีกฝ่ายถดตัวหนีราวกับรู้ทันก่อนจะหันไปกระแทกหมัดลงบนสีข้างของไอ้คนทางขวาอย่างแรง หากเอลเลียตก็ต้องเซไปด้วยแรงกระแทกที่ข้างลำตัวจากลูกเตะของคนฝั่งซ้ายจนเกือบจะล้มลง เขาพยายามประคองตัวไม่ให้กองไปกับพื้น สีข้างชาไปหมดจนเจ้าตัวต้องกัดฟันแน่น ฉากต่อสู้เปลือยเปล่าในห้องน้ำชายนี่มันเร้าใจจริง แต่เขาชักจะมึนหัวจากหมัดของใครสักคนที่ต่อยโครมลงมาบนหน้าแล้ว
เขาพยายามข่มความเจ็บปวดแล้วกระโจนตัวขึ้นเพื่อสวนกลับ ความเป็นจริงก็คือ ต่อให้คุณเก่งการต่อสู้แค่ไหน แต่ถ้าต้องรับมือกับคนสามคนพร้อมๆ กัน ต่อให้คนพวกนั้นกระจอกแค่ไหนก็ยังเอาชนะยากอยู่ดี เอลเลียตใช้จังหวะหนึ่งขัดขาของไอ้คนฝั่งขวาได้ และเพราะความลื่นของพื้น ไอ้หมอนั่นจึงล้มตึงหมดสภาพไปแล้วหนึ่ง แต่ยังเหลืออีกสอง และสภาพเขาตอนนี้ก็บอบช้ำไม่ใช่น้อยๆ หรอก
"เฮ้ย ทำอะไรกันน่ะ! หยุดนะ! " ในที่สุดผู้คุมก็ได้ยินเสียงแลกหมัดแลกลูกเตะกันนัวเนียนี่สักที เจ้าหน้าที่รักษาการณ์คนหนึ่งเข้ามากระชากใครสักคนที่เกือบจะกดร่างของเอลเลียตลงบนพื้นห้องน้ำได้สำเร็จ
ทันทีที่แรงกดหนักอึ้งถูกกระชากออกไปจากตัว กลิ่นเลือดคาวปร่าในลำคอก็แผลงฤทธิ์ทันที แต่เอลเลียตไม่มีเวลาหายใจหายคอนาน เพราะผู้คุมคนหนึ่งกระชากตัวเขาซึ่งถือเป็นหนึ่งในนักโทษที่ก่อความไม่สงบให้ลุกขึ้น ลากถูลู่ถูกังไปตามทางไม่ต่างจากไอ้สองสามคนที่โดนก่อนหน้าเขา
"เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นวะ ใครจะปล้ำกันในห้องน้ำ" เสียงของนักโทษที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งลอยแว่วมาให้ได้ยินขณะที่เอลเลียตถูกผลักเข้าไปในห้องแต่งตัว
"ใครจะปล้ำไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือคนจะโดนน่ะ เทย์เลอร์โซน D"
"อ้อ ไอ้หมอนั่นน่ะเหรอ ก็สมควรหรอก หุ่นแม่งยั่วขนาดนั้น ยิ่งวันก่อนได้อาบน้ำกับแม่งนะ รอยจูบนี่เต็มตัวเลย ไม่รู้ไปโดนใครปล้ำมา"
"แต่จะเอาไอ้หมอนี่ไม่ง่ายนะ เมื่อตอนมันเข้ามาใหม่ๆ แล้วไอ้จีนส์โซน A พยายามจะฟัดมันน่ะ ไอ้โหดนั่นเตะไข่กระเด็น"
"รอบนี้พวกแม่งเลยหัวใสไปกันสามคนเลยไง แต่ดูแววแล้วน่าจะแห้วแดก... เออ หรือมันจะได้กันไปแล้ววะ"
"ตรงนั้นน่ะเงียบๆ หน่อย! " ผู้คุมคนหนึ่งตะโกนอย่างหัวเสีย และได้เสียงโห่ร้องอย่างไม่พอใจจากบรรดานักโทษราวกับคณะประสานเสียง เอลเลียตหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมลวกๆ อย่างหงุดหงิดไม่แพ้กัน จากนั้นเขาก็โดนสับกุญแจมือแล้วลากตัวไปยังห้องขังเดี่ยวอันเป็นบทลงโทษของคนที่ก่อความวุ่นวายภายใน เสียงผิวปากและเสียงตะโกนแซวลอยแว่วมาให้เขาอารมณ์เสียอีกรอบ
"ไง สวีทฮาร์ท ของไอ้พวกนั้นใหญ่ไม่เร้าใจเหรอจ๊ะ"
"ไว้คราวหน้ามาเล่นกับพี่นะ รับรองไม่ทำรุนแรงจนเลือดตกยางออกแบบนี้หรอก"
เอลเลียตอยากจะหันไปตะโกนบอกเหลือเกินว่า 'ไม่โว้ย! ' ถ้าไอ้พวกหน้าเห่ยนั่นอยากได้ตัวเขาก็ไปทำศัลยกรรมมาให้หล่อเท่ากับคีล วิลล์ก่อนเถอะ! อ้อ แล้วไอ้หุ่นก้างๆ นี่เขาก็ไม่เอานะ ต้องหุ่นดีมีซิกส์แพ็คแบบคีลเท่านั้น เทคนิคก็ต้องเด็ดแล้วก็ต้องจูบเขาเก่งแบบไอ้สายสืบคนนั้นด้วย!
"เข้าไปสงบสติอารมณ์ข้างใน" ผู้คนที่ลากแขนเขามาว่าพร้อมกับดันตัวเอลเลียตเข้าไปในห้องขัง "แล้วเย็นนี้ก็งดข้าวเย็น"
คนผมน้ำตาลได้แต่สบถออกมาอย่างหัวเสียขณะฟังเสียงฝีเท้าของผู้คุมคนนั้นไกลออกไป แต่ถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยไอ้ผู้คุมพวกนั้นก็ช่วยไม่ให้เขาโดนขืนใจในห้องน้ำล่ะวะ ถึงจะโผล่มาช้าไปหน่อยก็ตาม
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกับเตียงแข็งๆ อย่างอ่อนล้า มือแตะเลือดที่ซึมบนมุมปาก วินาทีนี้เขานึกถึงคีลขึ้นมาจับใจ เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นถึงจะดุกับเขาบ้างแต่ก็ยอมทำแผลให้ และตอนนี้เขาก็เสียผู้ชายคนนั้นไปแล้วเพราะไอ้ความพยายามที่จะหนีจากอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่ตัดพ้อคีล เอาแต่ด่าตัวเองว่าโง่ที่เผลอใจให้สายสืบคนนั้น แต่ไม่เคยโทษตัวเองในเรื่องที่พยายามคิดจะหนีจากคีลเลย ทั้งที่หมอนั่นเองก็เคยขอ และเขาก็เอาแต่อ้างกับว่าตัวเองว่ามันช่วยไม่ได้ มันไม่มีทางเลือก แต่ความเป็นจริงก็คือเขาได้หักหลังชายหนุ่มคนนั้นลงไปแล้วอยู่ดี และตอนนี้เอลเลียตก็กำลังสำนึกผิดมากๆ ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะเจอหมอนั่นแล้วขอโทษตรงๆ สักครั้ง
คีลจะไม่ยกโทษให้ก็ไม่เป็นไร แต่เขาอยากจะขอโทษจริงๆ
เอลเลียตนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องขังเดี่ยวชั่วคราวของตัวเองอย่างคนไม่มีอะไรทำ และเมื่อผ่านพ้นช่วงหัวค่ำจนย่ำเข้ากลางดึก เจ้าตัวก็ต้องเริ่มนอนตัวงอเพราะกระเพาะอาหารแผดเสียงโครกครากอย่างน่าสงสาร ความหิวมักมาพร้อมกับความทรมานแบบนี้เสมอ แล้วไอ้ตอนกินข้าวกลางวันก็ใช่ว่าจะได้กินเยอะ
"เฮ้ เทย์เลอร์" เสียงกระซิบท่ามกลางความมืดและความเงียบสงัดของห้องพักทำให้ชายหนุ่มลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างรวดเร็ว เบลคนั่นเองที่โผล่หน้ามาหาเขาผ่านช่องกระจกเล็กๆ ที่มีเป็นซี่กรง เอลเลียตเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าพิศวง
"นายมานี่ได้ไง" เพราะพื้นที่ขังเดี่ยวตรงนี้มักจะมีผู้คุมอีกขั้น อีกฝ่ายยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นเชิงให้เอลเลียตเบาเสียงลงหน่อย จากนั้นจึงส่งขนมปังก้อนหนึ่งมาให้
"ไอ้หมอนั่นมันเผลองีบ ฉันเลยแอบย่องเข้ามา โทษทีนะที่เอามาให้ได้แค่นี้"
"แค่นี้ก็ดีพอแล้ว" เอลเลียตว่าอย่างซึ้งใจ "ขอบใจนะ เรมิเรซ"
"เออ แล้วก็ของที่นายฝากให้ฉันจัดการน่ะ ได้มาแล้วนะ แต่ยังเอามาให้ตรงนี้ไม่ได้"
เอลเลียตพยักหน้าหงึก เขาจ่ายเงินให้อีกฝ่ายไปก่อนล่วงหน้าแล้ว
ชายหนุ่มผิวสีชักสีหน้าแหยๆ "ฉันว่าฉันชักเข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงอยากมีอะไรป้องกันตัว นายไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่ได้โดนไอ้พวกนั้น แบบว่า ซัดไปใช่ไหม"
"ถ้านายหมายถึงเรื่องอย่างว่าล่ะก็ ฉันยังรอดปลอดภัยอยู่" ไม่ยอมให้ใครมากดทั้งๆ ที่ไม่สมยอมหรอก ถึงเขาจะง่ายแต่ก็เลือกเหมือนกันนะเว้ย
"ถ้าอย่างนั้นมาเจอกันที่เดิมช่วงเวลาฟรีก่อนมื้อเช้า ตอนนั้นนายน่าจะได้ออกมาแล้ว เจอกัน เพื่อน"
"เจอกัน" เอลเลียตว่าขณะฟังเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป
เดินกลับไปนั่งบนเตียงแล้วละเลียดขนมปังในมือ นึกถึงมื้อค่ำสุดหรูกับใบหน้านิ่งเฉยของคีลขึ้นมา แล้วพอนึกถึงรอยยิ้มอ่อนโยนที่อีกฝ่ายเคยส่งให้... โอย ทำเอาเขาเกือบตายด้วยความทรมานใจแล้ว
…
เอลเลียตมาถึงสถานที่นัดพบกับเบลคตรงเวลาเผง ช่วงเวลาฟรีก่อนข้าวเช้าที่พอจะทำอะไรลับสายตาผู้คุมได้มีไม่มาก แต่เขากับรูมเมทคนนั้นก็ใช้ช่วงเวลานี้ในตรอกมุมหนึ่งของอาคารเรือนจำในการส่งมอบอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สมควรมีอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้เอลเลียตจะเรียกร้องหาบุหรี่ แต่วันนี้เขาเห็นว่าแล้วอาวุธไว้ใช้ป้องกันตัวมีความสำคัญกับเขามากกว่าเจ้ายาสูบพวกนั้นเป็นไหนๆ
ชายหนุ่มผมน้ำตาลยืนกระดกเท้าบนแผ่นไม้ไปมาอย่างเบื่อหน่ายระหว่างรอ แผลจากการฟัดกับไอ้สามตัวในห้องน้ำเมื่อวานยังระบมไม่หาย บางทีเขาควรจะไปห้องพยาบาลเพื่อขอยารักษา หมอหนุ่มที่ทำงานในนั้นหล่อดี น่าเสียดายที่เจ้าตัวมีลูกมีเมียแล้ว
และเพราะว่ามัวแต่ใจลอย ตามองก้อนเมฆที่ลอยเท้งเต้งอยู่บนท้องฟ้า ชายหนุ่มจึงไม่ทันรู้ตัวเลยขณะที่มีใครอีกคนก้าวมาที่ด้านหลังเขา มือแกร่งตะปบลงมาปิดปากเจ้าตัวพร้อมกับฝังคมมีดลงบนสีข้างจากทางด้านหลัง
เอลเลียตทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นอย่างเชื่องช้าตามที่คนด้านหลังคอยบังคับร่างเขาเอาไว้ ความรู้สึกเจ็บเจียนตายกระแทกลงบนตัวเขาอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายดึงมีดออกแล้วเสือกลงบนสีข้างอีกรอบในบริเวณที่ไม่ไกลกับแผลเก่า เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอู้อี้อยู่ในลำคอเพราะมือที่อุดปากเขาไว้อยู่
เอลเลียตใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการเอี้ยวหน้าไปมองว่าใครคือคนที่แทงมีดลงมา และนัยน์ตาสีฟ้าก็ต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึงเมื่อพบว่าคนคนนั้นคือรูมเมทของเขานั่นเอง
"คนคนนั้นฝากข้อความมาให้นาย" เบลคกระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหู "คนทรยศ"
และเมื่อปลายมีดแทงผิวเนื้อเขาเข้ามาเป็นครั้งที่สาม โลกทั้งใบของเอลเลียตก็เริ่มเบลอดับ
แม่งเอ๊ย... พูดไม่ได้ดูตัวเองเลย
เป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่สติจะหลุดออกจากร่างไป ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสรับรู้เสียงสะอื้นและคำขอโทษพร่ำเพ้อที่มาจากปากของเบลค
"ฉันขอโทษ เทย์เลอร์ ฉันขอโทษ"
แล้วชายหนุ่มผิวสีก็จากไป ทิ้งให้เอลเลียตนอนจมกองเลือดที่เจิ่งนองจนกลายเป็นแอ่งไปทั่วบริเวณนั้น
-----------------------------------------------
Talk: kill me gently เป็นนิยายวายเลือดสาด... ทั้งความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย ถถถถถถ