ดีใจจังที่ยังมีคนเปิดอ่านกันเรื่อยๆ ขอบคุณแทนฮะคุโร่ด้วยคะ
Ps>>>คนเขียนฝากบอกมาคะว่า...อยากอ่านคอมเม้นท์ จะได้รู้ว่าเรื่องที่เขียนเป็นไงบ้าง^^
ตอนที่ 3ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากวันนั้น อิโนะอุเอะต้องกลับมาถามเจเรื่องโน้ตเจ้าปัญหาที่อ่านไม่ออกนั่นอีกจนได้ แต่ถึงแม้จะได้พูดคุยกันหลายครั้ง หากท่าทีที่เหมือนกั้นกำแพงเอาไว้อย่างแน่นหนาของอิโนะอุเอะก็ไม่ได้ผ่อนปรนลงเลย เพียงแต่ดูไม่เกร็งกับเจมากเท่าตอนแรก ๆ เท่านั้น
เจเองก็ไม่ได้รีบร้อน ถึงเขาจะเป็นคนใจร้อนอยู่บ้าง แต่เรื่องบางเรื่องเขาก็รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไรถึงจะได้ผลสำเร็จสูงสุด การเข้าใกล้สัตว์เล็ก ๆ ที่ตื่นกลัวมันต้องใจเย็น ต้องทำให้ฝ่ายนั้นวางใจให้ได้ และวิธีนี้ดูเหมือนจะได้ผล เมื่อตอนนี้ที่เขาเขยิบไปนั่งโต๊ะตัวติดกันแล้วอิโนะอุเอะก็ไม่ได้มีอาการผวาเขาอีกต่อไป
แต่อิโนะอุเอะปฏิเสธเขาในทุกเรื่อง แม้แค่เรื่องไปกินข้าวด้วยกัน
“นี่ ถามจริง ๆ เถอะ แค่กินข้าวด้วยกันเนี่ย มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?” เจถามทั้งที่ยังจับแขนอิโนะอุเอะไว้เบา ๆ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ หมอนี่จะต้องเลี่ยงหนีเขาไปอีกแน่
ร่างเพรียวกรอกตาอย่างลังเล แล้วในที่สุดก็พูดออกมาเบา ๆ
“...พี่ชายไม่ชอบ”
“อะไรนะ พี่ชาย?”
อิโนะอุเอะพยักหน้ารับ “พี่ชายไม่ชอบให้ไปกับคนอื่น”
ร่างสูงขมวดคิ้วนิด ๆ...มีพี่ชายขี้หวงอย่างนั้นหรือ โตจนอยู่มหาวิทยาลัยแล้วเนี่ยนะ...แต่เอาเถอะ โลกนี้มีคนแปลก ๆ เยอะแยะไป คนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ก็แปลกน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่ เจตัดสินใจปล่อยมือ
“โอเค ไม่ชอบก็ไม่ชอบ แล้วเจอกันนะ”
ขาดคำของเจ ร่างเพรียวเพียงแค่พยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องเรียนไป
แต่...มันน่าสงสัย...เจเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจเมื่อเขาพบอิโนะอุเอะที่ร้านทุกวันที่มาทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว ไหนบอกว่าพี่ชายไม่ชอบให้ไปไหนกับใคร แล้วมานั่งอยู่ที่นี่จนดึกดื่นแบบนี้จะไม่โดนว่าหรือไง
“แก้วนี้จากลูกค้าโต๊ะโน้นแน่ะ” เจบอกพลางวางแก้วเครื่องดื่มสีสวยลงบนโต๊ะที่ดูเหมือนอิโนอุเอะเลือกที่จะยึดเป็นที่ประจำไปเสียแล้ว ถึงจะห้ามเพื่อนร่วมงานไม่ให้มายุ่มย่ามได้ แต่ห้ามลูกค้าไม่ได้นี่นะ
ร่างเพรียวส่ายหน้า “ไม่เอาหรอก”
“ฉันปฏิเสธไม่ได้หรอก ฉันแค่รับฝากมา”
อิโนะอุเอะแค่ส่ายหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก เจเพียงแค่ถอนใจ เขาคงต้องทิ้งแก้วเหล้าไว้อย่างนั้นแล้วไปบอกคนที่ฝากมาละมั้งว่า ฝ่ายนั้นปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง...แต่ถึงไม่บอก ดูอาการก็น่าจะรู้ได้เองละนะ
ครู่ใหญ่ เจก็เห็นลูกค้าคนนั้นไปยืนอยู่ข้างโต๊ะของอิโนะอุเอะ ท่าทางเหมือนพยายามชวนคุยอะไรด้วย แต่อิโนอุเอะเอาแต่ก้มหน้านิ่งและขยับตัวอย่างอึดอัดเหมือนพยายามหาทางหนี แต่คนที่เข้ามาตีสนิทด้วยก็ไม่ยอมลดละ กระทั่งแวบหนึ่งที่เจเห็นอิโนะอุเอะเหลือบตาขึ้นมาสบตาเขา แววตานั้นเต็มไปด้วยแววอ้อนวอน เจจึงเดินเข้าไปหา
“ขอโทษนะครับ คุณลูกค้า หมอนี่แค่มารอผมเลิกงานเท่านั้นน่ะครับ อย่าไปยุ่งกับมันเลย” เขาบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แววตาไม่ใช่...หน้าตาท่าทางของเขาดูเป็นเด็กเกเรและน่ากลัวอยู่แล้ว จึงไม่ยากเลยที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมกลับไปที่โต๊ะแต่โดยดี
ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ “กลับบ้านดีกว่ามั้ย อิโนะอุเอะ ไม่งั้นหมอนั่นคงมาตื๊ออีก”
ร่างเพรียวพยักหน้าแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมากอด “...ขอบใจ”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง แล้วเจอกันนะ”
ร่างสูงเพียงแต่มองตามเพื่อนร่วมคณะที่เดินออกจากร้านไป...โดยไม่รู้เลยว่า คืนนั้น อิโนะอุเอะกลับไม่ถึงบ้าน
...
ในห้องที่มืดทึบด้วยผ้าม่านสีดำสลัวรัวรางด้วยแสงเทียนวอมแวม บรรยากาศที่หอมเย็นไปด้วยกลิ่นเมนทอลนิ่งสงัด มีเพียงเสียงสะอื้นฮักจากร่างที่นั่งทรุดอยู่กับพื้น ในมือซ้ายคือมีดคัตเตอร์ที่ใบมีดเต็มไปด้วยเลือด ข้อมือขวามีบาดแผลถูกกรีดหลายรอยพร้อมทั้งเลือดที่ไหลริน...แผลนั่นไม่ลึก หากความเจ็บปวดกลับดูเหมือนไม่สิ้นสุด
“พอแล้ว...พี่...ฉันขอโทษ...” ร่างเพรียวพร่ำบอกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ผู้รับฟังเพียงแต่ยกยิ้มที่มุมปาก “ถ้าฉันไปไม่ทัน จะเป็นยังไง คิดบ้างมั้ย?”
“แต่พี่ก็ไม่น่าฆ่าเขา”
“อ้อ...งั้นเรอะ” มือเรียวผลักอีกฝ่ายอย่างแรงจนล้มไปนอนอยู่กับพื้น “ไม่น่าฆ่ามันงั้นเรอะ? เพราะมันยังไม่ได้ใส่เข้าไปในตัวนายสินะ ฉันถึงไม่ควรจะฆ่ามัน”
“มะ...ไม่ใช่...” อิโนะอุเอะพยายามอธิบายแต่ดูเหมือนพี่ชายจะไม่ยอมฟังอะไรอีก
“คิโยะ...ฉันบอกกี่ครั้งแล้ว นายเป็นของฉัน ไม่ว่าใครก็แตะต้องไม่ได้” ดวงตาคมกริบเป็นประกายดุดัน “แต่นายกลับเอาตัวไปให้คนนั้นคนนี้ได้สัมผัส...คงเสี้ยนอยากเต็มทีสินะ”
“ไม่ใช่ ฉันไม่เคย...”
“เพราะไม่เคย ก็เลยอยากลองสักครั้ง” ว่าพลางก็หยิบคัตเตอร์จากมือของอิโนะอุเอะขึ้นมาถือไว้ ก่อนจะบรรจงกรีดลงบนแผ่นอกขาวเป็นแนวยาว “เป็นเด็กไม่ดีจริง ๆ นะ กระสันอยากถึงขนาดนี้...”
“อย่า!! พี่!! ไม่เอา...ไม่เอาแล้ว!!”
คำอ้อนวอนไม่เป็นผล คมมีดยังคงลากผ่านผิวเนื้อสร้างรอยแผลรอยแล้วรอยเล่า เสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจดังแทรกมากับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“คิโยะของฉัน...ฉันไม่ยอมให้นายเอาตัวไปให้ใครทั้งนั้น นายเป็นของฉัน...และเด็กไม่ดี ก็ควรแล้วที่จะถูกลงโทษ...มันที่พยายามแตะต้องนาย ก็สมควรแล้วที่จะต้องตาย...คิโยะของฉัน...นายเป็นของฉันคนเดียว...จำไว้...”
...
อิโนะอุเอะหยุดเรียนมาหลายวันแล้ว เจได้แต่นึกแปลกใจอยู่ว่าทำไม หรือหมอนั่นจะเป็นหวัด...แล้วจะมีใครดูแลไหมนะ แต่บอกว่ามีพี่ชายนี่นา คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ชายหนุ่มเดินเข้าห้องเรียนแล้วกวาดตาไปยังแถวหลังสุดของห้องด้วยความเคยชิน แล้วก็พบกับร่างเพรียวที่นั่งอยู่ตรงมุมประจำ...ในที่สุดก็มาเรียนได้แล้วสินะ ไม่ต้องเป็นห่วงจริง ๆ ด้วย
“ไม่สบายเหรอ อิโนะอุเอะ?” ชายหนุ่มเข้าไปเคาะเบา ๆ ที่โต๊ะพลางเอ่ยทักเหมือนที่มักจะทำเป็นประจำ และดูเหมือนว่าอิโนะอุเอะจะคุ้นเคยกับการทักทายแบบนี้แล้ว
แต่วันนี้อิโนะอุเอะกลับสะดุ้งเฮือก สายตาที่เหลือบมองเจเพียงชั่วแวบเต็มไปด้วยแววหวาดหวั่น ก่อนจะก้มหน้านิ่งโดยไม่มีคำตอบใด ๆ
เจนึกประหลาดใจ ก็อิโนะอุเอะเริ่มคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่งแล้วนี่นา แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ถึงได้กลับไปเป็นเหมือนตอนที่คุยกันครั้งแรกอีก ไม่สิ...ดูเหมือนจะเป็นมากกว่าเก่าเสียด้วย เพราะในตอนนี้ร่างนั้นดูจะสั่นน้อย ๆ เสียด้วยซ้ำ
“นายหยุดเรียนไปหลายวัน ไม่สบายเหรอ?” เจทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะตัวข้าง ๆ
ไม่มีคำตอบจากผู้ถูกถามนอกจากการส่ายหน้าน้อย ๆ...แบบนี้มันแปลกไปจริง ๆ ด้วย แต่เจก็ไม่ได้ว่าอะไร
ทว่าตลอดชั่วโมงแรก เจสังเกตเห็นว่าอิโนะอุเอะไม่ได้จดอะไรลงในสมุดโน้ตเลย ซ้ำยังทำท่าเหมือนจะกระเถิบหนีเมื่อเขาขยับตัวทุกครั้ง จนอดรนทนไม่ได้...ในช่วงระหว่างพักสิบนาที เจก็ถามขึ้น
“อิโนะอุเอะ เป็นอะไรไป วันนี้ท่าทางนายแปลก ๆ”
อิโนะอุเอะส่ายหน้าเหมือนจะปฏิเสธ แต่แล้วก็เอ่ยออกมาเบา ๆ “ช่วย...เขยิบไปนั่งโต๊ะตัวถัดไปได้ไหม?”
“เอ๋?”
“ขอร้อง”
เป็นคำขอร้องที่ดูประหลาด แต่เจคิดว่าเขาเข้าใจ...ไม่รู้ว่าระหว่างที่อิโนะอุเอะหยุดเรียนไปนั่นเกิดอะไรขึ้น แต่กิริยาท่าทางของหมอนั่นในตอนนี้เหมือนย้อนกลับไปเมื่อตอนที่พวกเขาพูดคุยกันครั้งแรกจริง ๆ...เอาเถอะ ไว้เลิกเรียนแล้วค่อยถามก็ได้...เจยอมเปลี่ยนที่นั่งให้โดยดี
ทันทีที่อาจารย์กล่าวจบคาบ อิโนะอุเอะก็รีบรวบสมุดบนโต๊ะใส่กระเป๋าแล้วลุกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว แต่ไม่เร็วเกินไปกว่าคนที่เล็งเอาไว้อยู่แล้ว เจคว้าข้อมือร่างเพรียวไว้ได้ทันท่วงที แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่ออีกฝ่ายร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย!!”
“อ๊ะ ขอโทษ” เจรีบปล่อยมือ
อิโนะอุเอะปล่อยกระเป๋าแล้วกุมข้อมือขวาของตัวเองไว้แน่น พร้อมกับมีสีหน้าเหมือนจะพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้
“อิโนะอุเอะ เป็นอะไรไป?” แบบนี้ไม่ธรรมดาแล้ว...หรือว่าบาดเจ็บ
ร่างเพรียวไม่ตอบหากก้มลงหยิบกระเป๋าตัวเอง เจรีบกวาดข้าวของบนโต๊ะเรียนลงกระเป๋าโดยไม่สนใจจะเก็บให้เรียบร้อย เขารู้ว่าถ้าปล่อยไปอิโนะอุเอะจะหนีเขาไปอีก...เขาต้องรู้ให้ได้ว่าท่าทางแปลก ๆ ของหมอนี่กับที่ข้อมือนั่นมันเป็นอะไรกันแน่
เจคว้าแขนอิโนะอุเอะไว้อย่างรวดเร็วพลางจ้องหน้า อีกฝ่ายมองตอบเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะรีบหลบตา...หมอนี่อยากจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา แต่ไม่กล้าที่จะบอก...ไม่เป็นไร เดี๋ยวเขาถามเองก็ได้
ร่างสูงออกแรงดึงให้คนตัวเล็กกว่าต้องเดินตามไปอย่างไม่มีทางเลือก เขาพาอิโนะอุเอะไปที่บันไดหนีไฟเพราะรู้ว่าแถวนั้นจะไม่มีใครมากวนได้ ชายหนุ่มเท้าแขนคร่อมร่างเพรียวเอาไว้อย่างไม่เปิดทางให้หนี ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงต่ำ ๆ
“เกิดอะไรขึ้น อิโนะอุเอะ มือนายเป็นอะไรไป?”
อิโนะอุเอะเอาแต่กอดกระเป๋าแน่นพลางส่ายหน้า หากไม่ยอมตอบอะไร
“เป็นแผลเหรอ? ที่หยุดเรียนไปเพราะบาดเจ็บ?” เจพยายามถามซ้ำ
เมื่อยังไม่ได้รับคำตอบ ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ จับมือขวาที่สวมผ้ารัดข้อมือของอิโนะอุเอะขึ้นมาดู ก่อนจะบรรจงถอดผ้ารัดข้อมือนั่นออก ร่างเพรียวพยายามขืนดึงมือให้หลุดจากการเกาะกุม แต่ก็ไม่เป็นผล เจถอดผ้ารัดข้อมือของเขาออกจนได้
ร่างสูงตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏแก่สายตา...บนข้อมือขวาของอิโนะอุเอะปรากฏรอยแผลอันเกิดจากการถูกของมีคมกรีดนับสิบแผล!! ดูก็รู้ว่าไม่ใช่การพยายามฆ่าตัวตาย แต่เป็นการลงมีดซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง บาดแผลทั้งหมดแดงช้ำและดูเหมือนจะอักเสบพอสมควร อาจเพราะที่เขาคว้าเอาไว้เมื่อกี้ และตอนนี้ก็มีเลือดซึมออกมาจากปากแผลเหล่านั้นนิดหน่อย แผลพวกนี้ยังใหม่อยู่เลย...หรือว่าช่วงที่หยุดเรียนไปนั่น...
“นี่มันอะไรกัน อิโนะ?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามแหบเหือดแทบจะไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ
อิโนะอุเอะยังคงเอาแต่ส่ายหน้า ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น มือที่อยู่ในอุ้งมือของเจสั่นน้อย ๆ
“นายจะฆ่าตัวตายเหรอ?”
“มะ...ไม่ใช่”
“แล้วทำทำไม?” แม้คำถามจะดูสั้นห้วน แต่น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
อิโนะอุเอะเงยหน้าขึ้นมองหน้าเจ แล้วก็พบกับสายตาที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว...ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย...สงสัย ไม่เข้าใจ และเป็นกังวล...ความอ่อนโยนที่ถ่ายทอดมาจากดวงตาคู่นั้นทำให้จิตใจของอิโนะอุเอะหวั่นไหวอย่างประหลาด
ถ้าเป็นคนคนนี้...กับคนคนนี้...เขาจะพูดออกไปได้ใช่ไหม...
“ฉัน...โดนพี่ชายทำโทษ” คำตอบแผ่วหวิวราวกับจะลอยหายไปกับสายลม หากบาดลึกลงไปในใจของผู้ฟัง
“หมายความว่าไง? โดนพี่ชายทำโทษ? นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ฉันทำตัวไม่ดี พี่ชายเลยทำโทษ”
คำตอบนั้นไม่ใช่คำตอบที่จะรับได้สำหรับเจ ชายหนุ่มจับไหล่บางไว้แน่น
“มันเรื่องอะไร เล่ามาซิ”
น้ำเสียงคาดคั้นทำให้อิโนะอุเอะตกใจอยู่บ้าง แต่สีหน้าและแววตาที่ร้อนรนเต็มไปด้วยความกังวลอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ของเจทำให้เขาใจสั่น
แต่ไม่ได้หรอก...พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว...
“ไม่มีอะไร...”
“จะไม่มีอะไรได้ยังไง แผลขนาดนี้...ทำโทษบ้าอะไร? หมอนั่น...พี่ชายนายเป็นคนกรีดข้อมือนายงั้นเหรอ? มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”
“ไม่ใช่...ฉัน...ทำเอง”
“บ้าไปใหญ่แล้ว นายทำเอง? หมายความว่ายังไง? นายบอกว่าโดนพี่ชายทำโทษ แล้วบอกว่านายกรีดข้อมือเอง แปลว่าอะไร? หมอนั่นบอกให้นายทำงั้นเหรอ?” เจขึ้นเสียงจนเกือบจะตะโกนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านจนสะกดไว้ไม่อยู่
อิโนะอุเอะก้มหน้านิ่ง เรียวปากอิ่มเม้มแน่น...เขาพูดมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว...แค่นี้ก็มากเกินไปแล้ว...
“พูดสิ อิโนะ!! หมอนั่นบอกให้นายทำงั้นเหรอ? แล้วนายก็ทำ!? ทำไม...มันเรื่องอะไรกัน นี่มันไม่ปกติแล้วนะ!!”
“...ขอโทษ...โอโนเสะซัง...”
“ขอโทษทำไม? อิโนะ ตอบฉันมาสิ พูดออกมา ไอ้หมอนั่นมันทำอะไรกับนาย? บอกฉันซิ อิโนะ!!”
แม้จะถูกตะคอกด้วยน้ำเสียงดุดัน ร่างเพรียวก็แค่ดึงมือออกจากการจับยึดของเจเท่านั้น
“...ขอโทษ...”
น้ำเสียงแผ่วหวิวนั้นบีบคั้นหัวใจของเจเหลือเกิน แบบนี้...แล้วเขาจะทำอะไรได้อีก เขาทำได้แค่ดูอย่างนั้นเหรอ...ชายหนุ่มปล่อยมือที่ยึดไหล่ของอิโนะอุเอะไว้ ทันทีที่เขาปล่อยมือ ร่างเพรียวก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่ง
“...ขอโทษ โอโนเสะซัง”
ดูเถอะ...จะขอโทษเขาเรื่องอะไร อิโนะอุเอะไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ตัวเองเป็นฝ่ายเสียหายแท้ ๆ และเขาต่างหากที่ผิด เพราะอยู่ ๆ ก็ตะคอกเอา ๆ ด้วยสะกดอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่...เจรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนใจเย็นมากนัก แต่กับเรื่องของอิโนะอุเอะเท่านั้นที่ดูเหมือนเขาจะใจเย็นได้อย่างเหลือเชื่อ ชายหนุ่มค่อย ๆ นั่งลงด้วย
“อิโนะ ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ...ขอโทษนะ”
มือใหญ่ค่อย ๆ วางลงบนเรือนผมสีน้ำตาลของคนที่นั่งกอดเข่าก้มหน้านิ่งอยู่อย่างนั้นแล้วลูบช้า ๆ เจรู้สึกได้ถึงแรงสะท้านเฮือกจากร่างนั้นก่อนที่มันจะแปรเป็นเสียงสะอื้นเบา ๆ
“อย่าร้องไห้สิ...แบบนี้ มันเหมือนฉันรังแกนายเลยนะ”
...ไม่ได้หรอก...เจบอกกับตัวเอง เขาจะทนดูอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอก เขาไม่รู้หรอกว่าไอ้การทำโทษบ้า ๆ นั่นมันเกิดจากอะไร แต่ที่รู้ตอนนี้คือเขาพอจะเข้าใจถึงสาเหตุที่อิโนะอุเอะเป็นคนแปลก ๆ แบบนี้แล้ว...ทั้งหมดนั้นต้องเป็นเพราะพี่ชายคนที่ว่านั่นแน่ ๆ
...โรคจิต...สรุปได้แค่นี้จริง ๆ ไอ้พี่ชายที่ว่านั่นมันต้องเป็นโรคจิตแน่ มันถึงได้ทำโทษน้องชายด้วยวิธีวิปริตแบบนี้...แม้จะยังไม่รู้ว่าทำไมอิโนะอุเอะถึงได้ยอมทำตามที่มันสั่ง แต่เขาจะปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้
“ฉันจะไปคุยกับพี่ชายนาย” เจโผล่งออกมาในที่สุด
อิโนะอุเอะรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาที่ยังชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นระคนตกใจเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ฉันจะไปคุยกับพี่ชายนายให้รู้เรื่อง ว่าทำไมถึงทำกับนายแบบนี้” เจพูดพลางลุกขึ้น
“อย่า!!” ร่างเพรียวคว้าเสื้อเจเอาไว้
“จะห้ามฉันทำไม แบบนี้มันไม่ได้แล้วนะ อิโนะ ถ้าถึงขนาดนี้ พี่ชายนายมันไม่ปกติแล้ว ฉันต้องคุยกับหมอนั่นให้รู้เรื่อง”
“อย่านะ! อย่าไปยุ่งกับพี่ ไม่ได้นะ! จะไปยุ่งกับพี่ไม่ได้นะ!!” อิโนะอุเอะร้อง นี่เป็นครั้งแรกที่เจได้ยินอิโนะอุเอะขึ้นเสียง
“แต่แบบนี้มัน...”
“ไม่ได้นะ! ไม่ได้!! อย่าไปยุ่งกับพี่ ไม่ได้นะ! ขอร้องหละ!! อย่า อย่าไปยุ่งกับพี่! จะแตะต้องพี่ไม่ได้นะ! อย่า ขอร้องหละ!” อิโนะอุเอะยึดเสื้อเจไว้แน่นพลางพร่ำซ้ำ ๆ เหมือนกับคนบ้า
ร่างสูงค่อนข้างตกใจกับปฏิกิริยาของคนตรงหน้ามากทีเดียว แต่ก่อนที่จะนึกออกว่าควรจะต้องทำอย่างไร ร่างกายก็ขยับไปก่อนความคิด...เจกอดร่างเพรียวเอาไว้แน่น
“ไม่เป็นไร...อิโนะ ไม่เป็นไรแล้ว ฉันไม่ไปแล้ว จะไม่ไปยุ่งกับพี่ชายนายแล้ว”
เจไม่รู้ว่าตัวเองเอ่ยคำปลอบโยนอะไรไปบ้าง แต่สิ่งที่ติดแน่นอยู่ในความรู้สึกและความทรงจำ คือเสียงสะอื้นไห้และร่างอันสั่นเทาในอ้อมแขน
...
การจะหาที่อยู่ของนักศึกษาสักคนในมหาวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก ในที่สุดเจก็รู้ว่าอิโนะอุเอะอาศัยอยู่ที่ไหน เขาพาตัวเองมาจนถึงแมนชั่นระดับกลางแห่งหนึ่งในย่านชานเมือง หลังจากสอบถามจากผู้ดูแลแล้ว เจก็ขึ้นไปที่ชั้น 6
ห้องริมที่อยู่ห่างจากลิฟท์ที่สุดคือเป้าหมายของเขา ป้ายชื่อหน้าห้องบอกเอาไว้ชัดเจนว่าที่นี่คือห้องพักของอิโนะอุเอะ
...พี่ชายของหมอนั่นจะเป็นคนยังไงนะ...หน้าตาแบบไหน...แล้ว...
ความคิดหลากหลายประดังเข้ามาในหัว จนชายหนุ่มต้องสะบัดหัวไล่มันออกไป...คิดไปก็ไม่ได้เรื่องอะไรหรอก เจอหน้าก็รู้เองว่าจะต้องจัดการยังไง...
ร่างสูงกดกริ่งหน้าประตูห้องอย่างไม่ลังเล ทว่า...เงียบ...ไม่มีสัญญาณใด ๆ ตอบกลับมา
มันควรจะมีคนอยู่ห้องสิ เช้าวันหยุดแบบนี้...หรือสองพี่น้องนั่นจะพากันออกไปข้างนอกแต่วัน...ลองดูอีกทีดีกว่า
เจกดกริ่งซ้ำอีกครั้ง คราวนี้มีเสียงอันคุ้นเคยตอบมาจากอินเตอร์โฟน
“ใคร?”
“อิโนะอุเอะ นี่ฉันเอง โอโนเสะ” เจตอบกลับไป
“โอโนเสะ?”
“ใช่ ขอโทษที่มากวนแต่เช้านะ ให้เข้าไปได้มั้ย?”
อีกฝ่ายเงียบไปนาน จนเจต้องถามซ้ำ
“อิโนะอุเอะ? ได้มั้ย?”
“...เข้ามาสิ”
หลังคำตอบนั้น ประตูห้องก็ค่อย ๆ เปิดออกรับผู้มาเยือน
“รบกวนหน่อยนะ”
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง ร่างสูงก็ถึงกับชะงัก...ทั้งที่ยังวันอยู่แท้ ๆ แต่ในห้องพักค่อนข้างกว้างขวางนั้นมืดมิดจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรด้วยผ้าม่านสีดำหนาทึบที่แขวนกั้นทุกบานหน้าต่างเอาไว้ อากาศในห้องเย็นเยียบ อาจจะด้วยเครื่องปรับอากาศ แต่มันก็ต่ำกว่าอุณหภูมิข้างนอกมากเสียจนเจรู้สึกสะท้านเยือก ในความเย็นเยียบนั้นอวลไปด้วยกลิ่นอายหอมเย็นของสารระเหยจำพวกเมนทอล แทบจะกดอุณหภูมิเลือดในร่างกายให้ลดต่ำกว่าความเป็นจริง...อิโนะอุเอะอาศัยอยู่ในห้องแบบนี้อย่างนั้นหรือ
พลันก็มีแสงสว่างดวงหนึ่งถูกจุดวาบขึ้น มันคือแสงของเทียนไขเล่มใหญ่ที่ตั้งไว้บนโต๊ะกลางห้อง แสงสลัวของมันส่องให้เห็นสภาพในห้องและคนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ
“เข้ามาสิ” ผู้เป็นเจ้าของห้องพูดพลางก็เดินไปจุดเทียนไขเล่มอื่น ๆ ที่วางอยู่ตรงนั้นตรงนี้ของห้อง
เจถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปในบรรยากาศอันแปลกประหลาด หัวใจเต้นระทึกน้อย ๆ อยู่ในอก...เขารู้ว่าอิโนะอุเอะเป็นคนแปลก ๆ แต่ไม่คิดว่าจะแปลกมากถึงขนาดนี้...บรรยากาศในห้องนี้ไม่ธรรมดาเลย
“เพิ่งตื่นเหรอ อิโนะอุเอะ?” เจชวนคุยเพื่อลดความกดดันที่เกิดขึ้นจากสภาพรอบด้าน
“เปล่า ตื่นนานแล้ว” ร่างนั้นตอบโดยไม่หันมามอง ในมือประคองถ้วยใส่เทียนไขใบหนึ่งขึ้นจากพื้น
“แล้ว...กินข้าวหรือยัง?”
“ไม่เกี่ยวกับนาย”
“เอ๊ะ?” เจแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง...เมื่อกี้อิโนะอุเอะพูดว่าอะไรนะ
“ฉันจะตื่นจะกินตอนไหน ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย”
ร่างเพรียวหันมาเผชิญหน้ากับเจ แสงเทียนในมือส่องให้เห็นดวงหน้าหวานอันแสนคุ้นเคย หากอะไรบางอย่างแปลกไป เจรู้สึกได้...แม้ร่างนั้นและใบหน้านั้นจะเหมือนอิโนะอุเอะที่เขาเคยเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ดวงตาที่จ้องมาคู่นั้นและรอยยิ้มที่มุมปากนั่น บอกชัด...คนตรงหน้าเขาไม่ใช่อิโนะอุเอะ
“โอโนเสะ...ใช่มั้ย?” กระแสกร้าวบางอย่างแทรกมาในน้ำเสียง แม้คนพูดจะยิ้มอยู่ก็ตามที
“...นายคือ...”
“นายนี่เอง ที่มายุ่งกับคิโยะของฉัน”
“พี่ชายของอิโนะอุเอะงั้นเรอะ?” ถึงจะได้ยินมาว่าเป็นพี่ชาย แต่รูปร่างและใบหน้าที่เหมือนกันทุกกระเบียดแบบนี้...ฝาแฝดงั้นหรือ
ร่างนั้นไม่ตอบหากย้อนถาม “มาทำไม?”
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงกระแสกดดันบางอย่างจากร่างเพรียวเล็กนั้น ทั้งที่คนตรงหน้าเหมือนกับอิโนะอุเอะทุกประการ แต่บรรยากาศที่น่ากลัวนั่นคืออะไร...แววตาคู่นั้นสะท้อนแสงเทียนเป็นประกายประหลาด และแสงเทียนที่ถูกจุดไว้รอบตัวก็เคลื่อนไหวก่อให้เกิดเป็นเงาวูบวาบยิ่งทำให้ร่างนั้นราวกับภาพฝันหรือภาพลวงตาที่ไม่มีอยู่จริง
เพราะแบบนี้หรือ...อิโนะอุเอะถึงได้กลัวพี่ชายนัก
ใช่...เพราะผู้ชายคนนี้ทำให้อิโนะอุเอะกลัวถึงขนาดนั้น เพราะผู้ชายคนนี้ทำร้ายอิโนะอุเอะถึงขนาดนั้น เขาถึงได้มาที่นี่...มาเพื่อที่จะคุยกับคนตรงหน้านี่ให้รู้เรื่อง
“เจอตัวก็ดีแล้ว ฉันมีธุระจะคุยกับนาย” เจเอ่ยขึ้นในที่สุด
“กับฉัน?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ “กับคนแปลกหน้าอย่างฉันนี่นะ?”
“ใช่ กับนายนั่นแหละ”
“หึ ๆ ๆ...ให้เดา...เรื่องคิโยะของฉันสินะ” ร่างเพรียวยังคงหัวเราะเรื่อย ๆ...เป็นเสียงหัวเราะที่เจรู้ดีว่าเขาจะไม่มีวันได้ยินจากอิโนะอุเอะเป็นอันขาด
“นายทำร้ายอิโนะอุเอะทำไม?” เจถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“ทำร้าย? เปล่านี่”
“แล้วแผลที่ข้อมือของหมอนั่นคืออะไร!?” ร่างสูงปราดเข้าไปหา
“อย่าเข้ามานะ!!” ผู้เป็นเจ้าของห้องตวาดลั่นจนเจต้องชะงัก
“หมอนั่นบอกว่านายทำ แล้วยังจะบอกว่าเปล่าอีกงั้นเหรอ?”
“ฉันไม่ได้ทำร้ายคิโยะ เด็กไม่ดีก็สมควรโดนลงโทษแล้ว” ดวงตาที่ปรายมองมาเป็นประกายดุดัน รอยยิ้มหายไปจากสีหน้า
“หมอนั่นทำผิดอะไร? แล้วลงโทษบ้าอะไรของนาย นั่นมันโรคจิตแล้ว”
“ไม่เกี่ยวกับแก” สรรพนามที่ใช้เรียกฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนไปทันที “ไสหัวกลับไปได้แล้ว”
“ฉันไม่กลับ จนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง”
“อย่ามายุ่งกับคิโยะของฉัน” น้ำเสียงแหบต่ำกดลงจนแทบจะเหลือเพียงเสียงกระซิบ หากเป็นเสียงกระซิบที่ทำให้คนฟังรู้สึกเย็นวาบไปถึงปลายนิ้ว “แกไม่เกี่ยวอะไรด้วย กลับไปได้แล้ว”
เจกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น รู้สึกถึงแรงกดดันจนหายใจลำบาก แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ “อิโนะอุเอะอยู่ไหน?”
“หมอนั่นจะไม่ออกมาพบแกหรอก ไสหัวไป” มือเรียวชี้ไปที่ประตูเป็นการไล่ส่ง
“บอกฉันก่อน...หมอนั่นทำผิดอะไร แกถึงได้ทำร้ายเขาแบบนั้น”
ร่างนั้นนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มแล้วเดินเข้ามาใกล้...ใบหน้าหวานยื่นเข้ามาจนแทบจะประชิดใบหน้าของชายหนุ่ม
“เพราะคิโยะชอบไปยั่วผู้ชายอย่างแกไงล่ะ”
ขาดคำ เจก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อน้ำตาเทียนจากถ้วยเทียนในมือร่างเพรียวถูกราดรดลงมาบนแขนของเขา
“รู้แล้วก็ไสหัวไปให้พ้น แล้วไม่ต้องเสนอหน้ามาที่นี่อีก!!”
ประตูห้องถูกปิดใส่หน้าตามมาด้วยเสียงลั่นกุญแจ เจถูกผลักไสออกมาโดยไม่มีโอกาสได้เจอหน้าอิโนะอุเอะเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มก้มลงมองแขนของตัวเอง น้ำตาเทียนจับเป็นคราบเกรอะกรังอยู่ เขาไม่คิดว่าหมอนั่นจะกล้าทำอย่างนี้กับคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรก แล้วยังสีหน้าและคำพูดนั่นอีกเล่า...เป็นโรคจิตสมบูรณ์แบบ
...อิโนะอุเอะอยู่ในห้องแบบนั้น...กับคนแบบนั้น...
นี่เขาจะทำอะไรเพื่ออิโนะอุเอะได้บ้างนี่!?
...