ป่าวหนา พักนี้งานยุ่งนิดหน่อย
คงไม่ค่อยได้ตอบคอมเม้นต์เพื่อนๆนะครับ
แต่ก็ยังอ่านและขอบคุณทุกคอมเม้นต์แทนคุณ andreas ด้วยนะครับ
ถ้ารอผมตอบคอมเม้นต์นี่คงได้อ่านช้าลงไปอีก เอิ้กๆ
***************************************************************************
บทที่ 11 คำสารภาพ และ ความประทับใจ
ภูผาต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งสิ้นสี่วันหลังจากอุบัติเหตุตกน้ำ เพราะว่าปอดเกิดการติดเชื้อจากน้ำในอ่างแก้วที่ไม่สะอาด ทำให้แพทย์ต้องรับตัวไว้รักษาเพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามจนกลายเป็นปอดบวม หรือ pneumonia ในที่สุด
ศิวะก็มาเยี่ยมภูผาทุกวันหลังทราบข่าวจากฟ้าลั่น โดยบางครั้งก็ขอนอนค้างคืนเป็นเพื่อนภูผา....แต่ฟ้าลั่นก็อาสารับภาระอยู่เฝ้าไข้ภูผาในตอนกลางคืนเสียเอง โดยให้ศิวะรับหน้าที่ในตอนกลางวันแทน เนื่องจากว่าบางครั้งเขามีเรียนทั้งวัน และไม่อยากที่จะทิ้งภูผาไว้เพียงคนเดียวในห้องพิเศษของโรงพยาบาล
ดังนั้นศิวะซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาโทชั้นปีสุดท้าย ที่ไม่มีเรียนวิชาในห้องเรียนแล้ว จึงสามารถมาเฝ้าภูผาได้ในตอนกลางวัน โดยที่ศิวะก็จะหอบเอาคอมพิวเตอร์แบบพกพามาเพื่อเขียนรายงานวิทยานิพนธ์ด้วย
ด้วยคุณสมบัติความช่างสังเกตของศิวะ เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างน้องชายของเขาทั้งสองคน.....ทั้งฟ้าลั่นและภูผาดูเงียบขรึมลงกว่าแต่ก่อน และมีปฏิสัมพันธ์ทางวาจาด้วยกันน้อยมาก ซึ่งดูคล้ายว่าทั้งคู่จะคอยระมัดระวังคำพูดหรือพยายามเก็บงำความรู้สึกอะไรบางอย่างระหว่างกัน
แต่ดวงตาคู่สวยของฟ้าลั่นดูเหมือนว่าจะไม่สามารถถูกควบคุมด้วยความคิดของตนได้เท่าที่ควร....เพราะทุกครั้งยามทอดผ่านมายังร่างของภูผาที่หลับสนิทบนเตียง.....ดวงตากลมสดใสคู่นั้นกลับฉายแววของความห่วงใย...และเต็มไปด้วยความหมายบางอย่าง.......จนกระทั่งศิวะสามารถรับรู้ได้
แม้ไม่ค่อยจะแน่ใจสักเท่าใด.....แต่ศิวะคงพอที่จะคาดคะเนได้ว่าฟ้าลั่นคงรักหนุ่มหน้าหวานคนเดียวกับที่เขาฝากหัวใจไว้เสียแล้ว......
เมื่อเข้าใจอย่างนั้น ศิวะก็ย้อนกลับมาถามตนเองว่า
“เราจะทำอย่างไร..............ถ้ารู้ว่าน้องหมอกก็รักฟ้าลั่น”
“แล้วถ้าน้องหมอกรักฟ้าลั่น.....แล้วเราจะอยู่ที่ไหน”
ศิวะยอมรับกับตนเองว่า...เขารักและเป็นห่วงภูผามาก.....มากเกินกว่าทุกคนที่เขารู้จัก....หัวใจของเขาอยู่ที่ภูผาตลอดเวลานับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกในช่วงรับน้องรถไฟ.....จนบัดนี้ก็เกือบสามปีเต็ม......
แต่สิ่งที่ศิวะเฝ้าหาคำตอบมาอย่างยาวนานก็คือ .....หัวใจของภูผาอยู่ที่ใด....เพราะแม้ว่าภูผาจะแสดงทีท่าว่าเอาใจใส่เขาอย่างมากตลอดเวลาที่ผ่านมา....แต่ลึกๆแล้วศิวะรู้ว่า.....ความพยายามของตนเองยังไม่บรรลุผล
ศิวะยังจำประโยคที่ภูผาบอกตนเองครั้งแรกได้อย่างแม่นยำว่า
“แต่หัวใจของผม.....มันอาจจะยังไม่มีใครในตอนนี้ .....แต่ก็ให้โอกาสคนที่จะมาคว้ามันไปเสมอครับ”
“พี่จะพยายามครับ” ตัวเขาเองกล่าวอย่างหนักแน่นในตอนนั้น แต่จนแล้วจนรอด ความรู้สึกลึกๆ ได้ตอกย้ำกับเขามาตลอดว่า....เขาไม่อาจไคว่คว้า...และครอบครองพื้นที่ทั้งหมดของหัวใจภูผาได้....
ไม่เพียงแต่ความผิดปกติของฟ้าลั่นที่ศิวะสังเกตเห็น.....เขายังสามารถรับรู้ความรู้สึกบางอย่างของภูผาที่มีต่อฟ้าลั่นได้....โดยเฉพาะแววตาชื่นชมระคนเศร้าขณะมองชายหนุ่มผมยาวยามเผลอ......แม้มันจะไม่ชัดเจนนัก เพราะภูผาก็ดูเหมือนจะพยายามปิดบังความรู้สึกอะไรบางอย่างอยู่........แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะตอกย้ำสมมุติฐานที่ศิวะตั้งไว้ในใจว่า.....
หัวใจของภูผาคงเอนเอียงไปหาฟ้าลั่นอย่างแน่นอน........
เมื่อรับทราบอย่างนั้น....ความเจ็บปวดก็มาเยือนหัวใจของศิวะทันที....เพราะดูเหมือนว่าความพยายามตลอดสามปีของเขาที่ผ่านมามันช่างสูญเปล่าเสียนี่กระไร........
“เราจะทำอย่างไรดี”
“เสียสละหรือ” เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจของชายหนุ่มผิวสีแทน.....ร่างสูงใหญ่
“หรือจะไม่ยอมเสียน้องหมอกไป........จะรั้งน้องหมอกไว้”
ศิวะใช้เวลาเก็บข้อมูลตอกย้ำข้อสรุปของตนทุกวัน จนกระทั่งแน่ใจว่าภูผาคงรักฟ้าลั่นแน่นอน....ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเป็นผู้เสียสละ.......เขารักภูผามากเกินกว่าจะทำร้ายความรู้สึกของภูผาได้.......เขาต้องยอมเจ็บ......เจ็บเพื่อให้คนที่เขารักสุดใจสมหวัง.....โดยที่เขาก็จะเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา......
“วันใด.....ที่น้องหมอกต้องเจ็บซ้ำ ...และไร้ซึ่งคนข้างกาย....พี่จะกลับมา....กลับมาดูแลหัวใจของพี่อีกครั้ง...........” นี่คือคำปฏิญาณที่ศิวะให้ไว้กับตนเอง.....โดยไม่มีทางรู้เลยว่า....มันจะกลายเป็นความจริง
“บางที....ผู้แพ้ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ.......หากยังคงรักษาไว้ซึ่งความรัก.......แม้มิได้ครอบครอง” ศิวะสรุปคำตอบในใจ มือข้างขวาของเขาเอื้อมมาแตะที่อกด้านซ้าย...ตำแหน่งของหัวใจ...และกดลงไปเบาๆ เพื่อบรรเทาความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้น.....น้ำตาของลูกผู้ชายปริ่มขึ้นในดวงตา....ศิวะบอกตนเองหลายครั้งว่า....
“เราจะไม่เสียใจ....ในการตัดสินใจของตนเอง......”
ก่อนวันที่ภูผาจะออกจากโรงพยาบาล.......ฟ้าลั่นจัดการชำระค่าใช้จ่ายต่างๆให้เสร็จเรียบร้อย พร้อมทั้งโทรศัพท์บอกศิวะให้เป็นธุระในการพาภูผาเข้าห้องพัก โดยฟ้าลั่นอ้างว่าติดธุระ ไม่สามารถไปรับภูผาได้ด้วยตนเอง จึงขอรบกวนให้ศิวะจัดการให้........
ศิวะรับรู้ความผิดปกติจากน้ำเสียงของฟ้าลั่นแต่ก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
ศิวะมาส่งภูผาที่ห้องพัก และอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา ก่อนจะขับรถออกไปซื้ออาหารเย็นเตรียมไว้ให้ภูผา....เพราะคิดว่าอย่างไรเสียฟ้าลั่นคงกลับมานอนที่ห้องพัก..เพื่อคอยดูแลภูผาในตอนกลางคืนดังเช่นปกติ
แต่ทว่า.......เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวันใหม่...ฟ้าลั่นก็ยังไม่กลับเข้าห้องพัก........
ภูผารู้สึกเป็นห่วงฟ้าลั่น และรับรู้ถึงความผิดปกติได้ในตอนเช้าของวันถัดไป เขาพบว่ากระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมที่ฟ้าลั่นใช้อยู่เป็นประจำหายไปจากตู้เสื้อผ้า พร้อมด้วยเสื้อผ้าบางชุด ......
“ฟ้าลั่นหายไปไหนนะ......”
“ทำไม...ไม่เห็นโทรศัพท์ หรือทิ้งโน๊ตบอกไว้” ภูผาตั้งคำถาม
เพราะปกติเมื่อฟ้าลั่นจะต้องไปธุระหรือไม่สามารถกลับหอมานอนพักได้ เขามักจะเขียนโน้ตหรือโทรศัพท์มาบอกเสมอ......แต่ครั้งนี้.....ดูผิดแปลกไป
ภูผาตัดสินใจโทรศัพท์ถามเพื่อนๆของฟ้าลั่นเพื่อสอบถามว่าฟ้าลั่นไปธุระที่ไหนหรือไม่ โดยใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการพูดคุยกับหลายคน ......ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาคือ
“ไม่เห็น ไอ้ฟ้าลั่นเลยหมอก.....มันโดดเรียนด้วย.....ทั้งๆที่วิชานี้มันไม่เคยโดดเลย” เพื่อนคนหนึ่งบอก
“ไม่เห็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วหมอก” คำตอบที่ได้จากเพื่อนอีกคน
“เมื่อคืน กับ เมื่อเช้าโทรไป มันก็ไม่รับสายเลยหมอก” คำตอบที่ได้รับจากเพื่อนคนสุดท้าย ก่อนที่ภูผาจะตัดสินใจ เดินสำรวจห้องพักอีกครั้งเพื่อลองค้นหาโน้ตที่ฟ้าลั่นเขียนไว้ เขาหวังว่ามันอาจตกลงบนพื้นที่ไหนซักแห่งในห้อง
การค้นหาผ่านไปไม่นานนัก.......สายตาของภูผาก็สัมผัสเข้ากับกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ที่สอดไว้ในหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ ที่เขาเดาว่าฟ้าลั่นคงซื้อมาให้ขณะนอนอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะเป็นหนังสือการ์ตูนที่ภูผาชอบอ่านเป็นประจำ...... “ถ้วยน้ำชากับเทวดาตัวจิ๋ว”
กระดาษโน๊ตแผ่นเล็ก...มีข้อความเขียนด้วยลายมือบรรจง......เป็นระเบียบสวยงามว่า.....
........................หมอก
........................เราขอโทษนะที่ต้องทิ้งนายไปในเวลาที่นายอ่อนแอที่สุดเช่นตอนนี้......
........................เราอยากอยู่ข้างนายเหมือนเช่นทุกวันนะหมอก
........................สัญญานะว่าจะไม่ร้องไห้...เมื่อเราจากมา
........................คนดีของฟ้าลั่น
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของลายมือสวยที่เขียนอยู่บนกระดาษบางแผ่นนี้......แต่ทว่า....ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นมันบาดลึกลงไปในจิตใจของภูผา.....เพราะคำว่า “เมื่อเราจากมา”...........
ภูผาไม่อาจรักษาสัญญาให้กับคนที่เขียนโน้ตไว้..... น้ำตาของเขาเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาคู่งาม......ช้าๆ....หยดลงสู่กระดาษแผ่นนั้นอย่างแผ่วเบา
“ฟ้าลั่น...นายอยู่ที่ไหน......ทำไมต้องไปล่ะ...ฟ้าลั่น”
“นายกำลังจะไปไหน...ฟ้าลั่น”
“ทำไมนายไม่บอกเรา......เราไม่ใช่เพื่อนกันแล้วเหรอ.....” เสียงครวญจากภูผา......ร่ำร้องในหัวใจ
***************
ภูผาจำช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายในน้ำที่มืดสนิทได้เป็นอย่างดี....หัวใจของเขาพร่ำภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์.......และต่อสู้กับความตายอันน่ากลัว.....เพื่อที่จะรอคอย.....รอคอยให้ฟ้าลั่นหาตนเองให้พบและนำขึ้นจากน้ำที่เย็นจัด.....ให้ตนเองได้เห็นหน้าฟ้าลั่นอีกครั้ง......
ก่อนที่ลมหายใจจะหยุดลง.......ความฝันย้อนกลับเข้ามาในจิตใต้สำนึกของภูผาอีกครั้ง.......ครั้งนี้เขาเห็นชัดเจนว่าชายหนุ่มตาหวานซึ้ง...ที่มีสัมผัสอันอ่อนโยนในฝันคือใคร......
“ในทีสุดเราก็รู้ว่าเป็นนาย....ฟ้าลั่น.....นายอยู่ในฝันเราตลอดมา.......”
“นายคือคนที่เรารัก.....รักมาตลอด..... แต่บัดนี้.......เราคงไม่มีโอกาสจะเห็นหน้านายอีกแล้ว......เราคงไม่อาจนำแม้กระทั่งความฝันติดไปกับเราในความตายอันแสนน่ากลัวได้.........ลาก่อนความฝันที่สวยงาม.....ลาก่อนฟ้าลั่น....คนในโลกของความเป็นจริงที่เรารัก.....รักเสมอ และตลอดไป” เมื่อสิ้นความคิดนี้.....ภูผาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย
ลาก่อนนะ...ความฝัน......อันแสนหวาน...
ลาก่อนนะ.....ราตรีกาล.....อันสุดซึ้ง
ลาก่อนนะ.....ฟ้าลั่นที่รัก.....สุดคำนึง
ลาก่อนนะ....อ้อมกอดที่คิดถึง.....ตลอดไป
ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ภูผาจะจากไปตลอดกาล.....ฟ้าลั่นก็สามารถฉุดรั้งเขาออกมาจากท้องน้ำอันมืดมิด....และออกจากอุ้งหัตถ์พญามัจจุราชอย่างทันท่วงที.......
ภูผาลืมตาขึ้น...พร้อมกับหัวใจที่รับรู้อย่างกระจ่างแจ้งว่า....เขารักฟ้าลั่นมากเพียงใด......เขารักคนที่นอนกอดเขาเกือบทุกคืน.....รักคนที่เขาโหยหามานาน......คนที่อยู่ในฝันมาตลอดเวลา........ ฟ้าลั่น....คือคนที่ภูผารักสุดใจ
ในตอนนั้น....ภูผาตัดสินใจแน่วแน่ที่เก็บความรักของตนเองไว้ในหัวใจ.....โดยไม่คิดจะบอกฟ้าลั่นแต่อย่างใด..... ด้วยความกังวลว่าความเป็นเพื่อนที่คบหากันยาวนานจะสูญสิ้น.....เพราะฟ้าลั่นคงไม่อาจรับได้
ภูผาแค่หวังว่า...จะได้เห็นหน้าฟ้าลั่นทุกวันหลังจากออกจากโรงพยาบาลก็เท่านั้น......แค่อยากอยู่ด้วยคนที่ตนรัก.......ทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม....เหมือนหลายปีที่ผ่านมา......ภูผา....จะเป็นแค่เพื่อนสนิทของฟ้าลั่น....เท่านั้น
*********************
ความกังวลและความห่วงใยที่มีในใจ ทำให้ภูผาตัดสินใจตามหาฟ้าลั่น...ด้วยแรงทั้งหมดที่ตนมี...เพียงเพื่ออยากจะพบหน้าและรับรู้ถึงปัญหาที่ฟ้าลั่นกำลังเผชิญ....ในฐานะเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
อันดับแรกเขาโทรศัพท์ไปหาบิดามารดาของฟ้าลั่น หลังเรียนถามท่านทั้งสองคนแล้ว เขาพบว่าฟ้าลั่นไม่ได้กลับไปที่บ้าน.....ภูผาจึงต้องนั่งคิดถึงสถานที่ที่ฟ้าลั่นชอบและคาดว่าจะไปพักอยู่ .....ในที่สุด จึงลองเสี่ยงโทรศัพท์ไปที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง...เขาค่อนข้างมั่นใจว่าฟ้าลั่นน่าจะอยู่ที่นั่น...ที่ที่ทั้งสองคนชอบเหมือนกัน..... “ม่อนเอื้องดอย”
ภูผาพาร่างที่ยังไม่แข็งแรงของตนเองมาถึงม่อนเอื้องดอยในตอนเย็นหลังรับทราบจากพนักงานรีสอร์ท ว่ามีคนชื่อฟ้าลั่น ศรีสิริโชคชัย เข้าพักอยู่ .....
เขาเลือกที่เดินไปที่ห้องพักของฟ้าลั่นโดยใช้ทางเดินเลียบริมลำธารน้ำที่ไหลผ่านใจกลางของรีสอร์ท.....สายน้ำไหลที่คงความงามเหมือนปีที่แล้ว..... ภูผาก้าวเดินอย่างช้าๆ พร้อมด้วยหัวใจที่สับสน....อ่อนแรง....และหวาดกลัว...
ภูผามองเห็นชายหนุ่มผมค่อนข้างยาว ใส่แว่นกรอบสีดำสนิทนั่งอยู่บนเก้าอี้ บริเวณระเบียงห้องพักที่ยื่นตัวออกมาจากบ้านไม้ผสมการก่ออิฐทรงยุโรป สู่เบื้องบนลำธารใส ..... หันหน้ามองออกไปในท้องฟ้ากว้าง......ฟ้าลั่นดูเหงา...เหงาเหลือเกิน
“ฟ้าลั่น” ภูผาตัดสินใจตะโกนเรียกฟ้าลั่น
เสียงจากคนคุ้นเคยร้องเรียก ทำให้ฟ้าลั่นหันกลับมามองที่ต้นเสียง....ดวงตาทั้งคู่ของเขาสัมผัสเข้ากับร่างที่บอบบางของคนที่ทำให้เขาต้องหนีมา.....
ฟ้าลั่นหนีหัวใจตนเองมา.....มาเพื่อทำให้มันแข็งแกร่งอีกครั้ง....เพื่อที่จะกลับไปหาคนที่เขารัก.....เก็บความรู้สึกรักไว้ให้ลึกสุดใจ....เหลือไว้แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้นที่จะฉายชัดออกมาให้ภูผาได้รับรู้
ภูผาเดินมาเข้ามาหาฟ้าลั่นช้าๆ.....แต่คนที่หัวใจยังอ่อนแอ...กลับต้องหลีกหนี.... ฟ้าลั่นลุกจากที่นั่งเดินเข้าไปในห้องพักแล้วปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว .....ไม่มีแม้กระทั่งคำพูดที่จะเอ่ยออกมา .....เพราะว่าเขากลัว....กลัวว่าจะหลุดปากบอกรักภูผา....คนที่เขารักมากที่สุดในโลกที่อยู่ต่อหน้าตนเองในเวลานี้ ......แล้วพบว่ามันเป็นรักที่เขามอบให้เพียงฝ่ายเดียว.......และหลังจากนั้นความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ยาวนานก็จะสิ้นสุดลง
ร่างบางของภูผาทรุดตัวนั่งลงช้าๆ หันหลังเข้าพิงประตูห้องพัก....ห้องที่ทั้งคู่เคยพักด้วยเมื่อวันปีใหม่ปีที่แล้ว........ ห้องที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน......แต่วันนี้.....ปีนี้....มันกลับทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่าง.....ความเสียใจ....ความกังวล...... และความสับสนในหัวใจ
ฟ้าลั่นทรุดตัวลงช้าๆ เช่นกัน หันหลังพิงประตูบานเดียวกับภูผา........ร่างของทั้งสองใกล้กันแค่เพียงความหนาของประตูกั้นขวาง......แต่ในหัวใจกลับดูห่างกันเสียเหลือเกิน.......
ใกล้เพียงแค่.....บานประตู......ที่กั้นขวาง
กลับสุดกว้าง.....กว่าท้อง....ทะเลใส
เหมือนท้องฟ้า....พสุธา....ห่างกันไกล
สุดอาลัย.....สองฤทัย.....มิพบพาน
“ฟ้าลั่น.....นายเป็นอะไร.....ทำไมนายไม่พูดกับเรา” ภูผาพูดเบาๆให้คนในห้องได้ยิน ....น้ำตาที่ตนเองพยายามกลั้นไว้.....มันไหลหลั่งลงมาอย่างห้ามไม่ได้.......พรอมหัวใจที่เจ็บปวด
“เราทำอะไรผิดเหรอฟ้าลั่น......เราทำอะไรผิด.......ถ้าเราทำผิด...เราขอโทษ” เสียงสะอื้นยังคงแผ่วเบา แต่มิอาจปิดบังคนตัวใหญ่ที่นั่งพิงประตูเดียวกันให้รับรู้ได้
“นายบอกกับเราซิ.....อย่าเงียบอย่างนี้.......ทำไม.....ทำไม.....เราเป็นเพื่อนนายไม่ใช่เหรอ......ทำไมไม่บอกเรา” ร่างบางยังคงพูดต่อ โดยไม่คิดจะเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมา
“นายไม่ผิดหรอกหมอก........นายไม่ผิด.....ผิดที่เราเอง” ฟ้าลั่นตัดสินใจพูดออกมาอย่างช้าๆ
“ฟ้าลั่น....เราไม่เข้าใจ....นายอย่าทำอย่างนี้ได้มั้ย.....อย่าทำอย่างนี้เลย”
“นายอย่าโทษตัวเองที่เราตกน้ำนะฟ้าลั่น......มันเป็นอุบัติเหตุ......เราหายดีแล้ว......นายเป็นคนนำเราขึ้นมานะฟ้าลั่น.......นายคือคนช่วยชีวิตเรานะ.........” ภูผายังคงพยายามพูดต่อ เพื่อที่จะทำไห้ฟ้าลั่นสบายใจ
“ไม่ใช่หรอกหมอก....ไม่ใช่เรื่องนั้น.......ขอเวลาเราได้มั้ยหมอก.......ให้เราพร้อมกว่านี้” ฟ้าลั่นพูดช้าๆ เพราะพยายามกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายไม่ให้ไหลออกมา ......ความรักที่มีอยู่เต็มอก...มันช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน...เจ็บปวดเพราะมันไม่อาจประกาศออกไปได้....ทำได้แค่เพียงเก็บมันเอาไว้......ให้ลึกที่สุด....
“ทำไม.......” ประโยคสุดท้ายที่ภูผาพูดออกมา ก่อนที่จะไม่สามารถอดทนต่อความเสียใจไปมากกว่านี้....ปล่อยน้ำตาและเสียงร้องไห้ออกมาเต็มที่
คนที่อยู่ในห้องตอนนี้ก็เสียใจไม่แพ้กัน....ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นของคนที่ตนรักแล้ว....ความเจ็บปวดในหัวใจก็ทวีเพิ่มขึ้น......ถ้าเป็นไปได้....ฟ้าลั่นอยากคว้าร่างนั้นเข้าหาตัว......พร้อมกับใช้ริมฝีปากห้ามน้ำตาที่ไหลริน......จะปลอบประโลมภูผาอย่างอ่อนโยนเท่าที่หัวใจรักเขาจะนำพา
สองหนุ่มร้องไห้ด้วยกันหน้าประตูที่กั้นขวาง........... ทำไมนะ..ความรัก.....มันน่าจะสวยงาม....แต่ความรักของสองหนุ่มคู่นี้กลับช่างเจ็บปวดเหลือเกิน......
ภูผาสงบสติอารมณ์......ปาดน้ำตาออกจากใบหน้า.....ด้วยความรู้สึกที่แม้ตนเองก็ยากที่จะเข้าใจ....พร้อมความน้อยใจ....และสับสน.....เขาตัดสินใจบอกความรู้สึกของตนออกมา ทั้งๆที่ตอนแรกตัดสินใจว่าจะเก็บมันไว้ในหัวใจส่วนลึก......
ในวินาทีนี้....หัวใจของเขาร่ำร้องให้บอกความรู้สึกตนเองที่แท้จริงออกมา......บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้....หรือบางที...ก็อาจทำให้ฟ้าลั่นเปิดประตูออกมาพูดอะไรกับตนเองบ้างก็ได้......นิดเดียวก็ยังดี.....
ในที่สุดภูผาก็กล่าวบอกฟ้าลั่นว่า......
“ฟ้าลั่น.....นายฟังให้ดีนะ........เราขอพูดอะไรเป็นครั้งสุดท้าย....แล้วเราก็จะไป......แม้กระทั่งเดินออกไปจากชีวิตของนาย......เราก็จะทำ”
“เรารักนายนะฟ้าลั่น.........เรารู้สึกตัวเองก็ตอนที่เราตกน้ำนั่นแหละ........คนที่เราคิดถึงมากที่สุดขณะที่เรากำลังขาดอากาศหายใจคือนายนะฟ้าลั่น.....ไม่ใช่พี่เสือหรือใครๆ......คือนาย....คือคนที่เราอธิษฐานให้พบเรา...ให้ช่วยเราขึ้นมา..........ให้นำเราขึ้นมาจากความตายอันน่ากลัว...........”
“นายรู้มั้ยว่า......เมื่อเราลืมตาขึ้นมาเห็นนายเป็นคนแรก.....เราดีใจมาก....มาก .....เพราะหมายความว่าเราจะได้อยู่กับนายอีกครั้ง......เรารู้ว่าเรารักนาย.....และขาดนายไม่ได้ในตอนนั้นนะฟ้าลั่น.....นายได้ยินมั้ย.....ฟ้าลั่น”
“เรารู้ว่านายไม่ได้รักเราแบบนั้น.......แต่เราสัญญานะฟ้าลั่น......เราจะรักนายและเป็นเพื่อนนายตลอดไป....เราย่อมเรียนรู้และหาทางเก็บความรู้สึกนั้นในลึกที่สุด....จะไม่ให้มาทำลายความเป็นเพื่อนที่มีต่อกันอย่างยาวนานได้.....” ประโยคสุดท้ายจบสิ้น พร้อมร่างบางลุกขึ้นยืนและเดินออกมาจากประตูบานนั้น.....บานที่ปิดกั้นความรักของเขา....รักที่ไม่มีวันที่จะสมหวัง
ทุกถ้อยคำของภูผาแทรกซึมเข้าไปในหัวใจทุกห้องของฟ้าลั่น.......เขารับรู้แล้ว......เขารู้ว่าคนที่เขารัก.....ก็รักเขาไม่แพ้กัน....... ความกลัว....ความกังวลในจิตใจจางหายออกไปอย่างรวดเร็ว
ฟ้าลั่นเปิดประตูออก... เห็นหลังของภูผาที่กำลังเดินออกไป........เขารีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว และคว้าข้อมือของภูผาไว้ให้หันกลับมา แล้วรวบร่างบางที่กำลังร้องไห้เสียใจเข้ามากอดในทันที.... เพื่อไม่ให้หนีไปไหนได้อีก.....ก่อนจะพูดว่า
“หมอก......เราก็รักนายนะ.......รักมาก.....กว่าใครๆ”
“อย่าร้องไห้นะหมอก........เราจะไม่หนีแล้ว.....เราจะอยู่กับนาย......อย่าร้องให้อีกเลยนะคนดี”
“นายเจ็บ.....เราก็เจ็บด้วยนะ”
“หัวใจของเราอยู่ที่นายนะหมอก......อย่าร้องไห้” ฝ่ามือที่นุ่มนวลลูบไล้ไปข้างแก้มของคนรัก...เพื่อเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาคู่สวย....สัมผัสทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความแผ่วเบา....และจบลงด้วยความรักอันลึกซึ้งที่ถ่ายทอดออกมา
“นายอย่าหนีเราไปไหนอีกนะฟ้าลั่น.........อย่าทำอย่างนี้อีกนะ.......” ภูผากล่าวเสียงสั่น ใบหน้ายังแนบอยู่กับอกแข็งแรง แขนทั้งสองข้างยังคงโอบกอดคนที่ตนเองรักเช่นกัน.....อ้อมกอดนี้ที่อบอุ่น....อ้อมกอดที่รอคอย
ฟ้าลั่นเดินจูงมือภูผาเข้ามาในห้องพัก.... ปิดประตู.... แล้วพาให้เดินไปยังโซฟาที่หันหน้าเข้าหาผนังกระจกใส ทำให้เห็นบรรยากาศรอบนอกของรีสอร์ทอย่างชัดเจน.....
เวลานี้ธรรมชาติได้แต่งเติมสีสรรพ์ให้กับตนเอง...ราวกับจะให้เป็นของขวัญกับคู่รักคู่ใหม่....ที่น่ารักคู่นี้
ฟ้าลั่นนั่งลงบนโซฟาตัวนั้น.... แล้วรั้งร่างบางให้นั่งลงบนตักตนเอง......ก่อนจะแนบคางสวยลงบนไหล่ภูผา แล้วเอาแขนตนเองโอบกอดลำตัวของภูผาไว้อย่างหลวมๆ
“หมอก...เราขอโทษ....เราไม่ได้ตั้งใจทำให้นายร้องไห้นะ”
“เราสับสน...และกลัว.......เรากลัวว่าเราจะบอกรักนาย......แล้วมันกลายเป็นว่าเรารักนายข้างเดียว......ความเป็นเพื่อนที่มีอาจจะสูญไป” น้ำตาของผู้พูดไหลออกมาเป็นทาง หยดลงบนไหล่ของหนุ่มร่างบางที่ถูกโอบกอดอยู่
“ตอนนี้เราไม่กลัวแล้ว.......เรารู้ว่าเราไม่ได้รักนายข้างเดียว”
“เราสัญญานะหมอก.......เราจะอยู่เคียงข้างนายเสมอ..... เราจะไม่มีวันสูญเสียนายไปเด็ดขาด” ฟ้าลั่นพูดอย่างหนักแน่น ก่อนที่จะยกคางขึ้นจากไหล่ภูผา แล้วหันหน้าไปสูดความหอมหวานของพวงแก้มใสช้าๆ หลายครั้งโดยที่แขนแข็งแรงก็โอบกอดลำตัวภูผาอย่างนุ่มนวล......เนิ่นนาน
ภูผายังคงไม่กล่าวอะไรออกมา.....แต่ก็ไม่ปฏิเสธการลุกล้ำของฟ้าลั่น..... ภูผากำลังดีใจอย่างสุดซึ้ง......แต่หลังจากนั้นไม่นาน....ความกังวลในหัวใจก็เกิดขึ้น ....และถ่ายทอดออกมาจนคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเริ่มรู้สึกได้
“หมอก....เป็นอะไร.....ไม่ดีใจเหรอ......นายจะมีแฟนที่หล่อและน่ารักที่สุดในโลกเลยนะ” ฟ้าลั่นหยอกล้อ เพราะเห็นว่าคนรักของตนแสดงสีหน้ากังวลอย่างชัดเจน
“อืม........เราแค่กังวลว่าจะบอกพี่เสืออย่างไรดี.....เราไม่อยากให้พี่เสือเสียใจน่ะ.....” ในที่สุดภูผาก็พูดออกมา
“ความรักมันบังคับกันไม่ได้นะหมอก.......เราคิดว่าพี่เสือน่าจะเข้าใจ......แต่คงห้ามไม่ได้ที่จะเสียใจ”
“แหม.....ก็น้องหมอกผู้น่ารัก.....ถูกนายฟ้าลั่นสุดหล่อ....ฉวยมาแบบนี้....พี่เค้าคงจะโกรธแย่เลย” ฟ้าลั่นยังคงอารมณ์ดีเสมอ จนทำให้ภูผาต้องหันมาค้อนให้อย่างอดไม่ได้
“ไม่เอาน่าอย่าคิดมาก.....เราสองคนก็แค่ไปอธิบายให้พี่เสือเค้าฟัง......พี่เค้าคงเข้าใจนั่นแหละ”
“แต่หวังว่านายคงไม่มีอะไรกับพี่เสือมาก่อนนะ..... หรือว่ามี ....เลยห่วงพี่เสือมากขนาดนี้” ฟ้าลั่นแกล้งหลี่ตามองสำรวจภูผา ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เฮ้ย....ไอ้บ้า.....ไม่มีอะไรกันซักหน่อย......” ภูผารีบบอก โดยไม่วายจะหันมาค้อนให้อีกทีหนึ่ง
“เราก็แค่เป็นห่วงพี่เสือ ไม่อยากให้พี่เค้าเสียใจ......มันเหมือนกับเราหลอกพี่เค้ามาตลอดเลย”
“ดีแล้ว......ถ้ามีอะไรกัน....เราจะทำโทษนายเดี๋ยวนี้เลย.....นายต้องเป็นของเราคนเดียวนะหมอก.....ห้ามนอกใจเราด้วย” ฟ้าลั่นพูดเบาๆก่อนที่จะกอดรัดภูผาแน่นขึ้นเพราะความหวง.....ระคนห่วงใย
“อย่าคิดมากเลย.....เราสองคนไปอธิบายให้พี่เค้าเข้าใจ.....พี่เค้าคงไม่ว่าอะไร.....อย่างมากก็ตาย” ฟ้าลั่นหัวเราะเบาๆ เขาแสร้งทำเป็นอารมณ์ดี ทั้งที่ในใจก็เกิดความกังวลไม่แพ้คนในอ้อมกอด
ถึงแม้ฟ้าลั่นจะพยายามปลอบใจ...แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภูผาคลายความกังวลออกมาได้แต่อย่างใด...เขาคงยังรู้สึกผิดที่เพราะเหมือนกับว่าเขาได้หลอกลวงศิวะมาตลอด......
**************
ท้องฟ้าโปร่งมืดมิดยามค่ำคืนในดินแดนแห่งขุนเขา......ดวงดาวนับร้อยพันพาส่องแสงระยิบระยับ...ราวกับจะตื่นเต้นที่ได้รับรู้ความรักอันหวานชื่นของสองหนุ่ม ที่นั่งคลอเคลียกันหน้ากองไฟเล็กๆกลางบริเวณสนามกว้าง....ริมลำธารสวย
ในมือของคนผมยาว....ตัวโตกว่า...กำลังถือกีตาร์ที่ขอยืมมาจากรีสอร์ท......คนตัวเล็กกว่านั่งข้างๆคอยฟังนิ้วสวยได้รูป......วาดลวดลายลงบนเส้นสาย......ก่อเกิดเป็นทำนองที่ไพเราะ....จับใจ
“เพราะอยากให้หมอกมีความสุข......อยากให้อ้อมกอดของเราคือวิมานนายนะหมอก” ฟ้าลั่นพูดออกมา ก่อนจะกรีดนิ้วลงไปช้าๆบนกีตาร์ตัวงาม......เปล่งเสียงนุ่มหวานออกมาเบาๆ...เขาขอแค่ให้คนที่ตนรักได้ยิน.....เพียงคนเดียวเท่านั้น.....