“...ไม่....ถ้าไม่ได้เพิ่มสองเท่าตามที่เราตกลงกันเอาไว้ตั้งแต่แรกก็จบแค่นี้...ผมคงอะลุ่มอล่วยอะไรให้ไม่ได้...” คนพูดมีสีหน้าเคร่งเครียด แววตาอ่อนล้ามองไปทางลูกน้องของตัวเองที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่ข้างโต๊ะ “ถ้าทำตามที่ตกลงกันไม่ได้ก็ยกเลิกไปซะ”
“ครับ” ตี้เฉินรับคำ ตอนนี้เขาไม่ต้องคอยตามคุ้มครองพระจันทร์อีกแล้ว ชายหนุ่มจึงได้กลับมาทำงานอยู่ข้างกายของสุริยะมณฑลอีกครั้ง
“มิสเตอร์หยาง...ตอนนี้บริษัทของคุณเซี่ยกำลังขาดทุนอย่างหนักจริงๆนะครับ มิสเตอร์จะไม่รับฟังคำขอของเขาสักหน่อยจริงๆเหรอครับ”
“เหยียนจวิ้น...ฉันยังมีเรื่องอื่นให้ต้องทำอีกเยอะนะ แล้วเรื่องการแก้ฮวงจุ้ยที่ที่ดินใหม่บนเกาะเกาลูนล่ะว่าไง” สุริยะมณฑลหยิบแฟ้มปกเทาที่อ่านค้างไว้บนโต๊ะมาอ่านต่อพลางถามเรื่องที่เขาฝากงานให้ลูกน้องตัวเองไปทำ เหยียนจวิ้นถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เจ้านายเขานี่...ยิ่งนับวันก็ยิ่งแย่แฮะ
“เรียบร้อยแล้วครับมิสเตอร์ รายงานกำลังถูกพิมพ์ คาดว่าเย็นนี้ก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย”
“ฉันให้เวลานายได้แค่บ่ายสามเท่านั้น ฉันอยากจะเริ่มสร้างโครงการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้” สุริยะมณฑลเอ่ยบอก เหยียนจวิ้นมีท่าทางอยากจะอ้าปากค้าน แต่ทว่าสุดท้ายก็พยักหน้ารับคำเมื่อเห็นสภาพของเจ้านายหนุ่มที่เริ่มหันไปสนใจงานชิ้นอื่นต่อเมื่อมีอีเมล์เด้งเข้ามาในกล่องอินบ็อกซ์ข้อความ
เหยียนจวิ้นงับประตูห้องของประธานกรรมการบริษัทอย่างแผ่วเบา แล้วจึงถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงเพื่อปลดปล่อยความเครียดที่สะสมมาหลายวัน และชายหนุ่มก็พบว่าไม่ได้มีแต่เขาเท่านั้นที่ยืนถอนหายใจอยู่หน้าห้องท่านประธาน ที่ตรงนั้นยังมีทั้งซานตงและตี้เฉินที่เพิ่งออกมาจากห้องท่านประธานยืนอยู่โดยพร้อมเพรียงกัน
“อ้าว...อาตง เพิ่งมาถึงเหรอ” เหยียนจวิ้นทักเพื่อนร่วมงานที่ยืนหนีบแฟ้มฉบับหนึ่งไว้ที่รักแร้ ดูท่าสองคนนั้นคงกำลังคุยอะไรกันอยู่ก่อนหน้าที่เขาจะออกมาล่ะสินะ
“ใช่...กำลังจะเอาแฟ้มรายงานการประชุมเข้าไปให้ แต่ตี้เฉินหวังดีห้ามไว้ บอกว่าตอนนี้งานเต็มมือบอสไปหมดแล้วอย่าเพิ่งเอาเข้าไปเพิ่ม ไม่งั้นวันนี้ทั้งนายทั้งฉันคงได้อยู่ยาวเฝ้าออฟฟิศยันเที่ยงคืนอีกแน่” ซานตงตอบ เหยียนจวิ้นฟังคำพูดเหมือนจะหวังดีต่อเจ้านายของเพื่อร่วมงานแล้วก็ยักไหล่ นี่ก็ปาเข้าไปหนึ่งเดือนแล้วที่งานในบริษัทรุดหน้าไปมากอย่างรวดเร็ว เพราะท่านประธานบริษัทมีกำลังไฟแรงสูงและมุ่งมั่นในการทำงานเป็นอย่างมาก แต่เหยียนจวิ้นกลับมองว่ายิ่งท่านประธานของเขาใช้แรงทำงานหมดไปเท่าไหร่ แรงใจข้างในก็ค่อยๆหมดไปเท่านั้น
...หรืออาจจะหมดไปตั้งนานแล้วก็ไม่ทราบ...
“เฮ้อ...เอาเถอะ ทนๆเอาหน่อย เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” เหยียนจวิ้นบอกเพื่อนพร้อมเขย่งเท้าตบบ่าพวกมันไปคนละที ที่ต้องใช้คำว่าเขย่งเพราะในที่นี้นั้นมีเขาที่เตี้ยที่สุดในกลุ่มแล้ว
“แล้วเดี๋ยวของแกนี่มันเมื่อไหร่วะ...นี่มันเดี๋ยวจนจะเดือนกว่าแล้วนะ ยิ่งนับวันบอสยิ่งแย่หนัก ทำงานได้เลือดเย็นขึ้นทุกวัน” ซานตงผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเรื่องการทำงานของเจ้านายมากกว่าใครพูดวิเคราะห์ออกมา โดยมีตี้เฉินพยักหน้าให้เป็นลูกคู่
“ก็ไม่แปลกหรอก บอสเขาทำงานด้วยสมอง...ไม่ใช่หัวใจเหมือนแต่ก่อนแล้วนี่” ตี้เฉินพูด พลางนึกถึงเมื่อก่อนที่เจ้านายของเขามักจะทำงานด้วยอารมณ์สุนทรีย์มากกว่านี้ อย่างกรณีคุณเซี่ยนี่..ถ้าเป็นเมื่อก่อนหากรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเดือดร้อนหนักจริงๆเจ้านายก็คงจะผ่อนปรนให้บ้าง แต่นี่กลับไม่มีแม้แต่ความปราณีให้กับลูกค้า...ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้นานๆเข้าต้องแย่แน่
“อะแฮ่ม...อะไรใครทำงานด้วยสมองแต่ไม่ใช่หัวใจนะ”
ในระหว่างที่ทั้งสามกำลังก้มหน้าครุ่นคิดหาทางออกกับปัญหานี้ เสียงทุ้มห้าวของใครบางคนก็ดังขึ้น ทั้งสามยืดตัวตรงแหน่วพร้อมทั้งหันไปมองต้นเสียงโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะก้มตัวลงเป็นเชิงแสดงความเคารพให้กับผู้มาใหม่อย่างนอบน้อม
“มิสเตอร์เหมิงหลง...” เป็นเหยียนจวิ้นที่ส่งเสียงทักออกไปก่อน สายตาหลังแว่นไร้กรอบเหลือบมองไปทางผู้ที่เหมิงหลงลากติดมือมาด้วยก่อนจะเอ่ยปากทักต่อตามมารยาทว่า “คุณเหวินจิ้ง...เอ๋ แล้วก็...คุณหนูน้อยคนนั้นนั่น...?”
ดวงตาสามคู่ของลูกน้องสุริยะมณฑลเงยมอง ‘คุณหนูน้อย’ ที่เหยียนจวิ้นเอ่ยถึงอย่างพร้อมเพรียงกัน เด็กน้อยแก้มยุ้ยผิวคล้ำเล็กๆตัดกับผิวขาวจั๊วะอย่างลูกเชื้อจีนของเหวินจิ้งที่เป็นคนอุ้มกำลังเกาะคอคนอุ้มแน่น สายตาไม่ค่อยเป็นมิตรถูกส่งให้ทั้งสามที่กำลังยืนอึ้งพิจารณาตนเองอยู่อย่างไว้ที
“อ้อ...ลูกชายฉันกับเหวินจิ้งน่ะ” มังกรตอบราวมันเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่คนฟังทั้งสามนั้นคิ้วกระดกเพราะความสงสัยกันถ้วนทั่วทุกตัวคน
...เดี๋ยวนะ...ลูก!!?? เฮ้ย...มันออกมาจากหลืบไหนซอกไหนวะ! แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นใหญ่...บอกว่าลูก แต่ทรงหน้าและสีผิวไม่มีส่วนไหนที่เหมือน ‘พ่อแม่’ เลยสักกระผีก! ทั้งคุณเหวินจิ้งและเหมิงหลงต่างก็ผิวขาวจั๊วะตาตี่คล้ายกันทั้งคู่ แต่ลูกชายคนที่ว่ากลับมีตาโตผิวคล้ำ แถมคิ้วยังเข้มเป็นลักษณะโหงวเฮ้งของคนที่ดื้อมากแฝงอยู่เล็กๆอีกด้วย แล้วจะมาโผล่เป็นลูกของสองคนนี้ได้ยังไง...
“ไม่ต้องสงสัยไปหรอก ลูกบุญธรรมน่ะ...แล้วนี่หยางหลงอยู่ใช่รึเปล่า” และโดยไม่รอคำตอบของลูกน้องหนุ่มทั้งสาม มังกรก็หันไปคว้าเอวของเหวินจิ้งพามายืนข้างตัวก่อนเอ่ย “เข้าไปกัน...หนักมั้ย ผมอุ้มให้”
“ฮื้อ...ไม่อาว” ทว่าแค่ชายหนุ่มร่างสูงกว่าพยายามจะเอามือสอดเข้าไปใต้แขนเด็กน้อย เสียงร้องงอแงปฏิเสธก็ดังขึ้นมาทันที เหวินจิ้งจึงต้องรีบโอ๋ลูบหลังลูบไหล่เด็กน้อยบนไหล่ตัวเองพลางหันไปจุ๊ปากใส่มังกรที่ทำท่าหมั่นไส้เด็กเสียจนออกนอกหน้า
มังกรมีท่าทางไม่ค่อยพอใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นคนรักเข้าข้างเด็กมากกว่าตนเอง กระนั้นก็พยายามอดทนกับการโดนแล่บลิ้นปลิ้นตาใส่จากเด็ก ‘ใสซื่อ’ ที่เหวินจิ้งนิยาม
ฝ่ามือหนาเป็นผู้เคาะประตูก่อนจะเปิดมันเข้าไปแผ่วเบา เสียงกดคีย์บอร์ดที่ดังมาอย่างต่อเนื่องหยุดชะงักไปชั่วครู่ แต่เมื่อเจ้าของห้องเห็นแล้วว่าใครมาก็หันกลับไปสนใจตอบอีเมล์ต่อทันที
“เฮ้ยๆ หุ้นส่วนใหญ่มาหานี่ไม่คิดจะต้อนรับขับสู้หน่อยเหรอวะ” มังกรทักเพื่อนเป็นภาษาจีน เพื่อให้เหวินจิ้งได้เข้าใจด้วยว่าพวกเขาพูดอะไรกัน
“...มีอะไร” สุริยะมณฑลถามเพื่อนด้วยท่าทีเมินเฉยที่มังกรชาชินเสียแล้ว
“โฮ่...ไม่มีอะไรนี่มาดูไม่ได้แล้วเหรอ ก็ได้ข่าวว่าเพื่อนใกล้ตายเพราะขาดอากาศหายใจ ก็เลยมาหาก่อนว่าเผื่อมีอะไรจะสั่งเสียก็จะช่วยรับฟังให้ ว่าไง...”
“เหมิงหลง! คุณพูดแรงไปแล้วนะ...” เหวินจิ้งแตะแขนคนรักเป็นเชิงปราม เข้าใจอยู่ว่าทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน และตอนนี้ก็กลับมารีเทิร์นกันได้เรียบร้อยดี ทว่าคำพูดเมื่อกี๊ก็ออกจะรุนแรงไปหน่อย...เรื่องเป็นเรื่องตายใครเขาเอามาพูดเล่นกัน
“เอาน่า...พูดแค่นี้มันไม่สะดุ้งสะเทือนหรอก ก็ขนาดหัวใจมันหายไปตั้งเดือนแล้วมันยังไม่ตายเลย มันคงเป็นอมตะแล้วมั้งที่รัก” มังกรพูดไปก็แอบเหล่ตาดูเพื่อนไป สาบานได้ว่าเมื่อครู่เขาเห็นเพื่อนหยุดชะงักการพิมพ์งานไปช่วงหนึ่งด้วย
“เหมิงหลง...หยุดพูดน่า แค่นี้หยางหลงก็เสียใจจะแย่แล้วนะ” เหวินจิ้งพยายามบอกคนรักให้หยุดเย้าแหย่เพื่อนตัวเองที่นิ่งเงียบไปแล้วด้วยเพราะสงสาร แค่เห็นสภาพแก้มซูบตอบและไรเคราที่ดูเหมือนจะไม่ได้โกนมาสี่ห้าวันก็พอดูออก ว่าอาการของมังกรสุริยันนั้นหนักหนากว่าที่คิด
“ก็จริงนี่ ดูอย่างเราสิ ตั้งแต่กลับมาจากเรือฉันเคยปล่อยให้ห่างมือรึเปล่า ทั้งไฟต์กับพ่อนาย...พ่อฉัน นายโดนพ่อพาตัวไปขังไว้ที่บ้าน ฉันยังตามไปอาละวาดเสียบ้านนายแตกเลยไม่ใช่เหรอ”
“เหมิงหลง...มันใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจมั้ยเนี่ย”
“ใช่ที่สุดในชีวิต...และคิดไม่ผิดด้วยที่บุกไปชิงตัวนายมา คนเราน่ะนะ..ถ้าอยากได้อะไรแล้วไม่ได้มันก็เสียชาติเกิดเปล่าๆ ฉันไม่มัวมานั่งเหงาเป็นหมาหงอยเหมือนใครบางคนแถวนี้หรอก...แค่แม่ตัวเองแกล้งเอาตุ๊กตาสุดที่รักขึ้นไปซ่อนไว้หลังตู้หน่อยเดียวก็ไม่ยอมเขย่งเท้าขึ้นไปหยิบ อย่าให้พี่พูดเลย...เดี๋ยวจะหาว่ารังแกคนขี้แพ้เสียเปล่าๆ”
...ปัง...!
แฟ้มที่ถูกโยนลงบนโต๊ะก่อให้เกิดเสียงดังจนหนูน้อยที่เหวินจิ้งกำลังอุ้มอยู่สะดุ้งแล้วเริ่มเบะปาก
“ไม่ลูก ไม่ร้องๆ...” เหวินจิ้งร้องโอ๋เด็กน้อยขึ้นมาทันควัน แขนขาวๆโยกเด็กน้อยไปมาเพื่อกันไม่ให้เขาเบะปาก และดูเหมือนมันจะค่อนข้างได้ผลอยู่
“สรุปที่มานี่ต้องการอะไร...ถ้าแค่จะมาพล่ามแค่นี้ก็ขอโทษที แต่ฉันยังมีงานอีกเยอะที่ต้องทำ เพราะงั้น...”
“ไม่ต้องรีบไล่หรอกน่า เดี๋ยวฉันก็ไปแล้ว...ความจริงก็แค่จะพาลูกชายมาเปิดตัว แต่ฤกษ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะพามาปุ๊บก็ถูกทำให้ร้องไห้เสียแล้ว...เอาเป็นว่าฉันค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน...”
“เดี๋ยวก่อน” จู่ๆในตอนที่มังกร เหวินจิ้งและเด็กน้อยกำลังจะเดินออกไปจากห้อง เสียงเรียกทักเป็นภาษาไทยก็ดังขึ้น เหวินจิ้งนั้นฟังไม่เข้าใจ แต่แขนแกร่งที่รั้งเอวเขาไว้ก็ทำให้พอรู้ว่าเขาต้องหยุดเดิน
“เหวินจิ้ง พาลูกไปนั่งรอที่โซฟาก่อน คุยกับหยางหลงเสร็จแล้วฉันจะเรียกนะ” ชายหนุ่มหันบอกคนที่พามาด้วยก่อนจะจบลงที่การจูบหน้าผากทั้งคนรักและลูกชายบุญธรรมคนละที ก่อนที่จะเดินหันกลับไปอัญเชิญตัวเองลงนั่งต่อหน้าโต๊ะตัวใหญ่กลางห้อง ซึ่งเจ้าของโต๊ะกำลังเอานิ้วเท้าศีรษะตัวเองอย่างคิดไม่ตก
“โอเค ฉากนี้มันเป็นของเพื่อนพระเอกอยู่แล้ว...ว่ามา” ท่อนขาใหญ่ยาวยกไขว้กันอย่างไว้ท่า มือสองข้างเท้าลงบนที่วางแขนรอคอยเพื่อนที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มว่าจะระบายอะไรออกมากับเขาบ้าง ตอนแรกก็กะแค่ว่ามาดูหน่อยเดียวว่ามันยังอยู่ดียังไม่ตายก็คิดจะลากลับเลย แต่พอมาเห็นสภาพมันซึ่งต่างกับเขาสุดขั้วในเวลานี้ก็พูดได้อย่างไม่อายปากเลยว่า ‘สงสาร’...
...เอาน่ะ อย่างน้อยก็เคยเป็นเพื่อนรักกัน...
“...คือ ตอนนี้ฉัน...”
“กำลังคิดถึงพระจันทร์จนสุดหัวใจ...”
มังกรเอ่ยต่อให้อย่างรู้ใจ สุริยะมณฑลยอมจำนนต่อข้อกล่าวหาแล้วพยักหน้ารับอย่างหมดแรงขัดขืน
“ใช่...ทั้งอยากหอม อยากจูบ...อยากกอด...ฉันคิดถึงเขาจนจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว” สุริยะมณฑลระบายความอึดอัดออกมาเป็นภาษาไทยให้เพื่อนฟัง “ทุกวันนี้ฉันรับรู้เรื่องราวของเขาแค่วันละสองหนจากแม่ พอฉันทนไม่ไหวส่งเสียงทักออกไปแม่ก็วางสายลงไปทันที ยิ่งบางวันฉันได้ยินเสียงเขาลอดออกมาจากโทรศัพท์ด้วยแล้วฉันยิ่ง...”
“แล้วทำไมไม่ตามเขากลับมาวะ ปกติแกไม่ใช่คนแบบนี้นี่...อยากได้อะไรก็ต้องได้ ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็พุ่งชนใช้กำลังทั้งหมดที่มีคว้ากลับมา กับอีแค่อังกฤษ...มันไม่ได้ไกลอะไรเลยนะเว้ย”
“ฉันรู้ แต่ถ้ามันง่ายขนาดนั้นฉันคงไม่ต้องมัวแต่บ้าทำงานให้ลืมความคิดถึงเขาหรอก...คราวนี้แม่ฉันเอาจริง ถ้าคนของแม่รู้ว่าฉันบินไปอังกฤษเมื่อไหร่ แม่จะทำเรื่องฟ้องหย่าพ่อ แล้วก็จะพาพระจันทร์หนีฉันออกไปอีก”
“หนีอีกก็ตามอีกสิวะ เมียทั้งคนนะเว้ย...”
“...ส่วนอีกคนก็แม่ฉัน”
“เออ แม่แก...แม่แกนี่ก็แปลก จะว่าห้ามไม่ให้แกสมหวังกับพระจันทร์ก็เหมือนจะไม่ใช่ ดูจะออกไปแนวปกป้องพระจันทร์จากซาตานผู้โหดร้ายอย่างแกเสียมากกว่า แล้วแม่แกจะทำไปทำไมวะ...ทั้งๆที่ฉันเองก็โทรไปยืนยันกับแม่แกให้แล้วนะว่าเรื่องวันนั้นมันเป็นการจัดฉาก เพื่อตัดความสัมพันธ์ของแกกับหงส์ให้จบลงอย่างสวยงาม...แม่แกยังไม่เข้าใจอีกเหรอวะ”
“เข้าใจ แล้วก็อธิบายให้พระจันทร์ฟังแล้วด้วย...แต่สุดท้ายเขาก็ยังยืนยันเจตนาเดิม ไม่ต้องการให้ฉันไปพบกับพระจันทร์”
สุริยะมณฑลทิ้งตัวลงพิงเบาะอย่างหมดแรง ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งกดลงที่ขมับแล้วกดคลึงเบาๆ สายตามองไปที่รูปใครบางคนที่สอดอยู่ใต้กระจกทับบนโต๊ะทำงานของตัวเอง ท่าทางเหมือนไม่ได้เครียดแค่เรื่องที่ตัวเองบอกออกไป
“ดูเหมือนแกจะกังขาอะไรกับพระจันทร์เขาหรือเปล่า” มังกรก็โพล่งถามได้ถูกจุดเมื่อมองแววตาแล้วรู้ใจกันตามประสาผู้ชายประเภทเดียวกัน
“ฉันแค่...สงสัย คืนนั้นก่อนที่แม่จะพาพระจันทร์ไป เราก็ยังเข้านอนด้วยกันตามปกติ จะมีก็แค่เขาถามฉันว่ามีอะไรอยากบอกเขามั้ย...ฉันไม่คิดว่าเขาจะรู้เรื่องงานนั่นแล้วก็เลยไม่ได้พูดความจริงออกไป พระจันทร์เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็ไม่ทันเอะใจกับคำถามนั่นว่ามันคงต้องมีอะไรสักอย่าง จนฉันมารู้ว่าแม่พาเขาไปแล้วนั่นแหละ...แต่ฉันก็ยังสงสัย พระจันทร์ไม่น่าจะยอมอยู่ห่างจากฉันได้ง่ายดายขนาดนี้ ปกติมีแต่ร่ำร้องขอจากฉันว่าอย่าทิ้งเขา...”
“ฮ่าๆๆ แต่สุดท้ายดันกลายเป็นแกที่ต้องขอร้องอ้อนวอนเขาแทนว่าอย่าทิ้งแกไป แหม่...นายแม่ของแกนี่สุดยอดจริงๆว่ะ ทำให้นายอาทิตย์ผู้สุดแสนจะเย่อหยิ่งและทะนงตนหาใครเปรียบยอมศิโรราบกับหัวใจตัวเองได้ โชคดีจริงๆที่ไม่มาเป็นแม่ฉันหรือเหวิ้นจิ้ง ไม่งั้นฉันคงปวดหัวตาย ฮ่าๆ...”
เสียงหัวเราะสะใจราวทีมฟุตบอลทีมโปรดที่เขากับเพื่อนมักจะชอบไม่ตรงกันเตะลูกบอลเข้าโกลด์ในนาทีสุดท้ายเฉือนคู่แข่งทิ้งไปได้ทำให้สุริยะมณฑลปวดหัวจี๊ด อาการวิงเวียนที่มักมาเยี่ยมเยียนในยามเช้าและยามได้กลิ่นหอมของน้ำหอมฉุนจมูกทำให้สุริยะมณฑลต้องยกกำปั้นขึ้นมาขู่เพื่อนเพื่อให้หุบปาก ก่อนจะโยนลูกอมรสบ๊วยเปรี้ยวๆที่มีติดโต๊ะเข้าปากเพื่อให้หายผะอืดผะอม เข้าใจว่าช่วงนี้เขาคงเครียดหนักทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ทำให้ร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอต้องทรุดโทรม
“โอเคๆ เอาเถอะๆ...เห็นแก่คนป่วยไข้ใจใกล้ตายที่ยอมแพ้จนหมดสภาพ ฉันจะซื้อตั๋วเพิ่มในทริปฮันนีมูนสวีทของฉันกับเหวินจิ้งที่เลค ดิสทริค (Lake District) ให้เป็นของขวัญก็แล้วกัน อีกไม่กี่วันก็จะวันเกิดแกแล้วด้วยนี่ เอาเป็นว่าฉันจะพาแกไปเปิดหูเปิดตาที่โรงพยาบาล พบคุณหมอผู้ช่วยชีวิตฉันตอนอยู่ที่อังกฤษให้เป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้าให้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้จะให้คนส่งตั๋วมาให้...ทำตัวให้ว่าง หรือลาพักร้อนยาวไปสักปีเลยก็ดีนะพวก...”
“ไอ้กร อย่าทำเป็นเล่น...ฉันไม่ว่างจะมาเล่นอะไรแบบนี้กับแกด้วยหรอกนะ งานฉันยิ่งมีท่วมหัว ถ้าแกจะหาของขวัญให้ฉันก็เอาเป็นอย่างอื่น ฉันไม่เอาทริป ก.ข.ค. ที่แกหวังดีหามาให้หรอก” ชายหนุ่มเอ่ยตัดบทเพื่อน ก่อนจะกดอินเตอร์โฟนเพื่อเรียกซานตงเลขาคู่ใจให้เข้ามาหาเมื่อแฟ้มที่ต้องเซ็นต์รับทราบได้อ่านครบหมดทุกอัน
“เฮ้ๆ...งานนี้ไม่ใช่แค่ฉันนะเว้ยที่หวังดีกับแก ทั้งพ่อแก แม่กะ...เอ่อ แม่ฉันและครอบครัวฉันต่างก็เป็นห่วงแกกันทั้งนั้น เอาน่า...เรื่องลูกน้องแม่แกฉันว่าพ่อแกคงพอเห็นใจช่วยลูกชายคนโตสุดที่รักได้อยู่หรอก โอเคนะเพื่อน...รอรับตั๋วเครื่องบินอย่างมีความสุขซะ ไอ้เพื่อนยาก...”
คำลงท้ายฟังทะแม่งๆราวเพื่อนบอกลาหมาทำให้สุริยะมณฑลมองเพื่อนที่ประคองพาคนรักกลับออกไปด้วยคิ้วขมวด รู้ทั้งรู้ว่าเขาโดนขึ้นมัมแบล็กลิสต์ห้ามเข้าประเทศอังกฤษโดยเด็ดขาดมันก็ยังอยากจะให้เขาแหกกฎ ทำครอบครัวตัวเองต้องพังพินาศหรืออย่างไร
สุริยะมณฑลยังคงคิดว่าเพื่อนคงแค่ล้อเล่นจนกระทั่งจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งมาที่โต๊ะในวันรุ่งขึ้น ชื่อจ่าหน้าก็ไม่มี ส่วนด้านในก็มีเพียงกระดาษมันบางๆที่มีตัวอักษรเด่นหราว่า ‘ฮ่องกง อินเตอร์เนชั่นแนล (HKG) - ลอนดอน ฮีทโทรว์ (LHR)'...
-------------------------------------------