ซีรีส์ชุด Intania ภาค CE
เรื่อง Breaking Way
[CE : Civil Engineering วิศวกรรมโยธา ]
เขียนโดย Blue-Legend
CH 05
ถอย
ผมอยู่ได้ด้วยความหวังริบรี่เท่าขี้แมลงวันเพราะการคิดเข้าข้างตัวเอง แม้จะรู้อย่างนั้น ผมก็เลือกที่จะหลอกตัวเองต่อไป
เลือกที่จะมีความสุขกับอะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างการได้ดูแลใส่ใจช่วงชีวิตประจำวันที่ไอ้เจี๋ยละเลย อย่างการตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อพบว่ามันยังไม่นอน รีดชุดนักศึกษาสำหรับไปมหา'ลัยในทุกวัน ตระเตรียมข้าวของที่จำเป็นอย่างชีทหรืออุปกรณ์การเรียน รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับตัดทำโมเดลสารพัดยัดใส่ย่าม จำพวกกระดาษ โฟโต้บอร์ดหรือกระดาษแปลนที่มีขนาดใหญ่จนไม่สามารถยัดรวมกับของวิเศษในย่ามก็จะแยกไว้บนชั้นวางรองเท้าหน้าประตูทางออก ก่อนพยายามจ้ำจี้จ้ำไชให้มันอาบน้ำเตรียมตัว ซึ่งก็โดนด่าโดนรำคาญไปตามระเบียบ ก่อนจะพาตัวเองออกจากห้องเพื่อหาอาหารเช้าสำหรับเราสองคน
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนกลับถึงห้องพร้อมโจ๊กร้อนๆ และปาท่องโก๋ ก่อนจะพบว่าภายในห้องมีเพียงความเงียบงันของความว่างเปล่า ชุดนักศึกษาขาวสะอาดที่แขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าเหลือเพียงไม้แขวนสีเขียว ผมทอดถอนใจกับความเวิ้งว้างที่เข้าจู่โจม ลากขาเดินไปวางโจ๊กสองถุงกับปาท่องโก๋เหนือตู้เย็น
เป็นหมันอีกแล้วอาหารเช้ากู...
เพราะนี่ไม่ใข่ครั้งแรก แต่เกิดขึ้นซ้ำๆ ราวภาพฉายย้อน มันจึงกลายเป็นความชินชา สะบัดหัวตบหน้าตัวเองเปาะแปะเรียกสติและกำลังใจก่อนคว้าผ้าขนหนูสีเหลืองอ่อนที่ยังเปียกชื้นซึ่งถูกกองอยู่ที่พื้นลวกๆ เหมือนคนใช้เร่งรีบเข้าห้องน้ำ
กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยเกือบแปดโมง ผมส่องสำรวจเสื้อผ้าหน้ากระจกจัดเนคไทด์บริเวณคอให้เข้าที่ หยิบน้ำหอมฉีดพรมบริเวณข้อพับแขนและคอซึ่งความอุ่นร้อนของร่างกายบริเวณเหล่านี้จะช่วยกระจายความหอมได้คงทนยาวนานกว่าการฉีดพรมบนเสื้อผ้าโดยตรง ไม่ลืมที่จะเอาโจ๊กใส่ตู้เย็นและคว้าปาท่องโก๋เย็นชืดไปโยนให้หมาในคณะแดก ก็เพื่อนผมนั่นแหละ ก่อนเปิดตู้หยิบรองเท้าหนังใหม่เอี่ยมมาใส่
ในตอนนั้นเองที่ผมพบว่าของที่จัดเตรียมไว้ให้ไอ้เจี๋ยถูกวางลืมไว้อยู่บนตู้รองเท้าที่เดิม ผมส่ายหัวให้กับความละเลยสะเพร่าขี้หลงขี้ลืม ก่อนคิดทบทวนว่าวันนี้ตนเองมีเรียนทั้งวัน กว่าจะเลิกก็เย็นย่ำ จึงตัดสินใจจะแวะเอาไปให้ที่คณะก่อนไปอาคารเรียนรวม
ปลายเท้าที่หุ้มรองเท้าหนังสีดำมันเงาแปลบปลาบหยุดอยู่หน้าตึกขนาดใหญ่โอ่อ่า รูปทรงทันสมัยแต่เรียบหรูสมฐานะตึกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ซึ่งผลิตบุคลากรนักออกแบบสิ่งก่อสร้างอันอลังการณ์ทั้งหลาย ผมเลือกดึงสมุดเชียร์อินทาเนียที่สอดไว้ในกระเป๋าเสื้อซึ่งโดนรุ่นพี่บังคับให้เอาติดตัวไว้ตลอดยัดลงในกระเป๋ากางเกง เพราะนี่เป็นคณะคู่อริ หากชาวสถาปัตย์สังเกตและจับได้ว่าผมเป็นเด็กวิศวะคงไม่พ้นโดนเขม่นจนอาจกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก่อนดิ่งตรงไปยังใต้ตึกโล่งกว้างซึ่งมีนักศึกษาพลุกพล่าน
ก่อนออกจากห้องผมส่งข้อความหาไอ้เจี๋ยบอกจะเอาของมาให้ เนื่องจากหากโทรไปคงไม่พ้นโดนรำคาญ ผมคว้าโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงเพื่อพบว่าข้อความนั้นยังไม่ถูกเปิดอ่าน คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะโทรหาแม้จะโดนด่าว่าให้รำคาญบ้าง แต่ผมมันก็ชินชาซะแล้วหนิ
ไม่ทันที่จะเลื่อนไปยังรายชื่อโปรดเพื่อกดโทรออก สายตากลับเหลือบเห็นแผ่นหลังคุ้นเคยนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างเสาขนาดใหญ่กับเพื่อนร่วมคณะอีกสามสี่คน ผมยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนเดินมุ่งตรงไปยังเป้าหมาย
“เชี่ยเอ๊ย ยิงตีฟไม่ทันแหง แค่ตัดโมก็แทบจะเผาแล้ว ตายห่าแน่กู”
ผมได้ยินไอ้หนุ่มผมยาวหมายเลขหนึ่งบ่นกระปอดกระแปดแว่วมาเมื่อเข้าไปใกล้
“มึงยังดีมีแฟนสุดประเสริฐช่วยเหลือ สาวน้อยบอบบางแบบฉันสิ เวลาจะหาผัวยังไม่มี แต่คงไม่เท่าไอ้เจี๋ยดวงกุด ได้ข่าวแฟนมันทำงานเน่า ต้องเก็บรายละเอียดส่วนโครงสร้างตึกใหม่”
ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ผมถึงกระโจนมาหลบอยู่ตรงเสาข้างโต๊ะไอ้เจี๋ย สงสัยคงอยากเซอร์ไพร์สเล่นซ่อนแอบแบบเด็กๆ มั้ง
หลังจากสาวน้อยที่บอกว่าตัวเองบอบบางแต่ลักษณะทางกายภาพตรงข้ามโดยสิ้นเชิงพูดจบ ทุกสายตามุ่งตรงไปยังพระเอกหนึ่งเดียวที่นั่งสัปหงกน้ำลายไหลยืด ก่อนโดนตบหลังกระอักจนเจ้าตัวเบิกตาโพลง
ผมนึกสงสัยว่าตัวเองหลงมาอยู่ในดงหมีแพนด้าหรือไงฟระ ขอบตาดำคล้ำทุกคนเชียว
“เหี้ยไรอีป้อม! เมนส์มาหรือไงวะ กวนอยู่ได้คนจะนอนแม่ง กว่าจะได้ทำงานเมื่อคืน แฟนกวนยันตีสอง ห่ารากเอ้ย!!!”
“เยด... เยดดดดด... ขนาดตัวยุ่งเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตขนาดนี้ยังมีแรงกำลังไปสวีวี่วีเจ๊าะแจ๊ะกับแฟนอีกเหรอวะ โคตรน่าอิจฉา” ไอ้หนุ่มผมยาวหมายเลขสองเอ่ยแซว
“แม่มึงสิ กูกับมันไม่ได้เอากันมาจะครึ่งปีได้แล้วมั้ง น่ารำคาญเหี้ย!”
“อารมณ์เสียด้วย วอนท์ก็บอกเขาไป รุกเลยสิจ๊ะน้องเจี๋ย”
ผมแอบอมยิ้ม พูดถูกใจผมจัง สงสัยคืนนี้ต้องจัดซักดอก
“วอนท์กับผี สีกับหมอนข้างยังได้อารมณ์กว่ามั้ง เบื่อ... พวกมึงเข้าใจไหมว่ากูเบื่อ โคตรๆ ลำพังงานสุมหัวก็แทบเข้าโรงพยาบาลประสาทวันละสามรอบ แฟนแม่งยังงี่เง่าคอยกวนใจ เจ้ากี้เจ้าการสั่งนู่นสั่งนี่ ตามติดกูเป็นขี้ติดตูด เข้าใจรึยังว่ามันน่ารำคาญขนาดไหน”
รอยยิ้มที่มีค่อยๆ เจื่อนลง เรื่องความปากเน่าปากหมาผมชิน แต่ที่ไม่เคยรู้คือมันจะมาปากหมากับเพื่อนระบายเรื่องราวทุกอย่างให้เพื่อนฟังอย่างไม่คิดถึงใจผม แค่ถูกละเลยเหมือนก้อนหินไร้ค่าว่าแย่แล้ว กลับกลายเป็นสูงค่าขึ้นมาทันทีเมื่อเทียบกับขี้
เหนือสิ่งอื่นใดคือคำว่า ‘เบื่อ’ ที่ผมไม่เคยได้ยินจากปากมันสักครั้ง
“บอกจะช่วยกูตัดโมแต่หัวด้านศิลปะมันโคตรกาก”
ผมมันคนไร้ประโยชน์ไร้ความสามารถ…
“จะช่วยปั้นโมเดลขึ้น 3D แต่ดันต้องให้กูมาสอน AutoCAD”
ผมมันกระจอก เรียนเขียนแบบพื้นฐาน AutoCAD ก็เพิ่งหัด ช่วยอะไรมันไม่ได้...
“ตกลงจะมาช่วยหรือมาเป็นภาระ”
ใช่สิ! ผมมันก็แค่ตัวภาระ ทำไมผมไม่เกิดให้เร็วกว่านี้อีกสักสิบปีนะ จะได้เป็นผมที่คอยช่วยเหลือมัน...
เรื่องราวที่ผมได้รับรู้โดยบังเอิญทำให้แขนขาผมอ่อนยวบแทบทรุดลงไปกับพื้น เคยคิดที่จะพยายามเข้าข้างตัวเองแบบนี้ต่อไป ทั้งที่รู้ว่าสักวันความจริงที่ได้รับรู้มันจะทำให้เจ็บปวดยิ่งกว่า ผมปิดหูปิดตาทู่ซี้เชื่อมาตลอดว่าหากทำอย่างนี้ต่อไป ผมจะยังมีไอ้เจี๋ยอยู่ข้างๆ
“บางทีกูก็ต้องการความเป็นส่วนตัวบ้าง คงต้องหาโอกาสพูดให้ห่างกันสักพัก...”
ห่างกันสักพัก...หรือในอีกความหมายหนึ่งคือ ‘เลิกกัน’
ผมปิดหูปิดตาต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะความจริงที่ได้รู้มันกระจ่างชัดจนใจปวดหนึบ หายใจไม่ออกแทบทุรนทุรายตายไปตรงนั้น ผมคิดเข้าข้างและหลอกตัวเองมาตลอดเพื่อหวังว่าจะยังมีไอ้เจี๋ยอยู่ข้างๆ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร โดยไม่ได้รับรู้เลยว่า หากวันนี้มาถึง...
ผมจะเจ็บเจียนตายขนาดไหน
ผมไม่มีแรงพอที่จะเผชิญหน้า ในเวลานี้ เวลาที่ผมอ่อนแอ จึงเลือกที่จะหนีมาโดยฝากข้าวของให้เด็กสถาปัตย์แถวนั้นเดินเอาไปให้ ผมเลือกตรงดิ่งไปยังแลปภาครุ่นพี่ที่เป็นที่สิงสถิตประจำของไอ้พีไอ้เต็นบนชั้นหก โดยไม่ลืมส่งข้อความไปบอกพวกมัน
‘กูไปเรียนไม่ไหว ฝากเก็บชีทจดเลคเชอร์ด้วย’
แต่กลับพบพวกมันนั่งเสนอหน้าในห้องมืด...
ไร้เรี่ยวแรงจะเดินต่อ... ผมหลบไปทรุดลงที่มุมหนึ่งของห้องหลับตานิ่งข่มความปวดหนึบบนเส้นเลือดข้างขมับที่เต้นตุบๆ ราวกับจะระเบิดออกมา ไร้หยาดน้ำตาแต่ใจกลับแหลกสลายร้าวราน ทำไมถึงได้ทรมานแบบนี้
ที่รับรู้ได้คือเพื่อนทั้งสองเดินมาทรุดลงนั่งพิงกำแพงอยู่เคียงข้างโดยปราศจากคำพูด แค่นั้นก็เพียงพอ ผมแค่ขอเวลาสักพัก
ผมเริ่มระบายหลังจากผ่านความเงียบทะมึนราวครึ่งชั่วโมง แต่ในความรู้สึกผมกลับคล้ายชั่วกัปชั่วกัลป์ ทุกเหตุการณ์ถูกเล่าผ่านปากอย่างยากลำบากและอัดอั้น จวบจนสิ้นสุด
“กูเชื่อว่าสิ่งที่หลงเหลืออยู่ระหว่างกูกับเขาเป็นเพียงความผูกพัน ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ ไม่งั้นกูคงไม่เจ็บเจียนตายขนาดนี้ ทำไมกูถึงโง่ดักดานได้ตั้งนานวะ”
“มึงกำลังหลอกตัวเองไง”
ใช่สินะ... มันคงเป็นเพียงการปลอบโยนปลอบใจตัวเอง เพื่อหวังว่าในวันหนึ่งเมื่อเหตุการณ์แบบนี้มาถึง ผมจะได้ไม่เจ็บปวดและอ้างได้ว่าหมดรักและเดินจากมา เป็นเพียงกำแพงที่ผมสร้างเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของตัวเอง
“แล้วกูต้องทำไงวะ สุดท้ายเรื่องราวระหว่างกูกับเขาก็ต้องจบลงที่ทางแยกตามตำนานน่ะเหรอ ต่างคนก็ต่างต้องแยกย้ายกันไปตามทาง แล้วกูต้องทำไงวะ กูนึกถึงวันที่ไม่มีเขาไม่ออกจริงๆ...”
ผมกลั้นก้อนกระอักอึกที่จุกอยู่ในลำคอ มันพะอืดพะอมแทบอยากสำรอกออกมาตรงนั้น มีเพียงความเงียบปกคลุมอยู่นาน จนคิดว่าตัวเองคงสิ้นหวัง
“ดักดานนะมึงอ่ะ ถ้าตามตำนานมีทางแยกที่ต่างคนต้องเดิน ในฐานะวิศวกรโยธา มึงก็สร้างทางใหม่ขึ้นมาสิวะ...”
ทางใหม่?
ผมเงยหน้าสบไอ้พี สมเป็นมันแล้วที่พูดอะไรแบบไร้หัวคิด ไม่รู้ว่ามันหรือผมที่โง่ ทางแยกเป็นเพียงตำนาน แล้วกูจะไปสร้างทางในตำนานได้ไงวะ
“ก็เรามันกรรมกรก่อสร้าง จะสร้างตึกหรือสร้างถนนก็งานเราทั้งนั้น”
คล้ายความหนักหน่วงจะเบาบางลง แม้คำพูดมันจะออกมาแบบโง่ๆ ก็ตาม บางครั้งเราก็ไม่ได้ต้องการเหตุผล เพียงรอยยิ้มและคำพูดปลอบใจก็เป็นแรงผลักดันให้ผมพร้อมฮึดเดินหน้าสู้ต่อ อย่างน้อยผมก็สัมผัสสิ่งเหล่านั้นได้จากไอ้พี
และไอ้เต็น...
“สร้างทางที่พวกมึงสองคนจะสามารถเดินไปด้วยกัน”
มึงก็เอากับมันเนอะ พวกนี้นี่มันบ้าชัดๆ ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ก็ยังจะเออออบ้าบอตามกันไป กลายเป็นลูกบ้ามันถ่ายทอดมาถึงผมด้วย
“แล้วจะสร้างยังไงวะ”
ชีทเรียนวิชามนุษย์กับสังคมที่ซึ่งความจริงตอนนี้เราควรนั่งอยู่ใน slope700 ถูกฟาดแสกหน้าแปะ ผมรับมางงๆ
เวลาแบบนี้ยังมีกระจิตกระใจจะให้ไปเรียนอีกหรือไง...
“คาลิล ยิบราน นักปรัชญาชาวเลบานอนได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ไว้สามระดับ มีไรบ้างวะไอ้พี”
“ขั้นแรกทำงานร่วมกันได้ ส่วนชีวิตที่เหลือมึงจะไปตายห่าที่ไหนก็ไป” ไอ้พีก็ช่างตอบรับเป็นลูกคู่ได้จังหวะจะโคน
“ขั้นที่สองขั้นผูกสมัครรักใคร่... อยากให้เขาเป็นในอย่างที่เราอยาก... อย่างที่เราคาดหวัง... ซึ่งขั้นนี้แหละที่เป็นปัญหาระหว่างมึงกับแฟน ไอ้ป่าน... บางทีเขากับมึงอาจคาดหวังให้อีกฝ่ายเป็นอย่างที่ต้องการมากไป”
ผมคิดทบทวนตามคำพูดมีสาระของไอ้เต็น
ผมหมดสิ้นหนทางจนต้องหันมาพึ่งนักปรัชญาแล้วเหรอวะ หากไม่สำเร็จอีกผมไม่ต้องหันไปพึ่งหมอโรคจิตหรือหมอผีเลยเรอะ พวกนี้นี่เป็นจริงเป็นจังจนผมประสาทแดก
“แล้วกูต้องทำไงวะ”
แต่ผมก็ประสาทแดกไปกับพวกมัน... คนมันอับจนหนทาง หมามันกำลังจนตรอกก็เอาแม่งทุกทางแหละวะ
“ง่ายๆเลย เขาต้องการห่าง มึงก็ห่างออกมา”
“เฮ้ย แบบนี้ก็เลิกกันชัวร์ดิวะ ไม่... ไม่เด็ดขาด” ผมปฏิเสธเสียงแข็งส่ายหน้าหวือ
“มึงฟังไอ้ป่าน มึงต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ มึงรู้ไหมทำไมปู่ย่าตายายพวกเราถึงอยู่กันยืดยาว นั่นเพราะพวกท่านเข้าใกล้ความสัมพันธ์ขั้นสามตามหลักปรัชญาของคาลิล”
“แล้วไอ้ความสัมพันธ์ขั้นสามมันคืออะไรวะ” แม้จะรู้สึกย้อนแย้งแต่ก็เลือกที่จะถามกลับ
“เวรตะไล มึงไปนั่งเรียนหรือมึงไปนั่งหลับ ความสัมพันธ์ขั้นสามคือรักแบบบริสุทธิ์ เป็นห่วงเป็นใยแต่ก็เป็นอิสระ เชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายโดยไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัว”
ผมเริ่มระลึกชาติจากความทรงจำอันลางเลือน จะว่าไปตอนนั่งเรียนก็ได้ยินผ่านหูอยู่นี่หว่า แต่ไม่เคยจะคิดเก็บมาใส่ใจ กลับเมื่อมีปัญหาผมจึงได้คิด
ที่ผ่านมา... ผมตามติดชีวิตไอ้เจี๋ยจนแทบไม่มีช่องว่างให้หายใจหายคอ บางทีอาจเป็นผมเองที่ผิดมาตั้งแต่ต้น ทำตัวน่ารำคาญเกินไปอย่างที่ไอ้เจี๋ยว่า โดยไม่เคยรู้สำนึก
ต่อเมื่อสำนึกในตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะสายไปหรือยัง...
“มึงรู้ไหมว่ามันมีคำพูดหนึ่งที่คาลิลกล่าวไว้และกูชอบมาก มันเป็นคำกล่าวที่เข้ากับวิศวกรก่อสร้างแบบพวกเรา”
ไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน เพราะมันเป็นคำกล่าวเดียวกันกับที่ผมจำได้ขึ้นใจ
“เสาของวิหารสองต้นต้องอยู่ห่างกัน...จึงจะอยู่ได้” ผมงึมงัม
นั่นหมายถึงคนสองคนต้องมีช่องว่างระหว่างกัน...
ตลอดมาเพราะผมพยายามอยู่ใกล้มากเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างเราจึงอยู่ใกล้ขั้นล่มสลาย วิหารเริ่มมีรอยร้าวและมันกำลังจะพังลง ต่อเมื่อผมรู้ตัวพยายามจะโยกย้ายเสาต้นนั้นให้ห่างออกมา ทว่าเสาต้นนั้นกลับหนักอึ้งเกินกว่าจะเคลื่อนขยับ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผม ถึงรู้และเข้าใจแต่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ในทันที โดยเฉพาะผมที่ติดไอ้เจี๋ยมาตลอดตั้งแต่เริ่ม
ผมอาจจะทำไม่ได้ ไม่สิ... ผมทำไม่ได้แน่ๆ แล้วผมควรทำยังไง
“เสาร์นี้อาจารย์ที่ภาคเสนอจะพาพวกพี่ปีสี่ไปดูงานโครงการรถไฟความเร็วสูง แล้วยังเผื่อแผ่มายังปีอื่นๆ อีก มึงจะไปด้วยกันเปล่าวะ” ผมชะงักเล็กน้อย
“ไป”
ก่อนตอบกกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น...
โชคดีที่ผมมีเพื่อน ถ้ามันจะเป็นหนทางเดียวผมก็ไม่ลังเล ผมจะลองพยายามดูสักตั้ง...
ผมจะไม่รอให้มันบอกว่าให้ห่างกัน แต่ผมเองจะเป็นคนที่ห่างออกมา...
+++++++++
วันนี้คนเขียนทอร์ค(พี่ Blue-Legend)หาย ไว้จะมาตอนหลังนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
+++++++++