◑
คุ ณ ไ ม่ ต ร ง ป ก
ตอนที่ 16 : ประชุม
_________
เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน ในตอนที่เขากำลังดื่มด่ำกับไวน์แก้วโปรดอยู่บนโซฟาหลังใหญ่
‘อามีเรื่องอยากจะรบกวนหน่อยได้ไหม?’ด้วยประโยคขอร้องของปลายสาย —เป็นชายสูงวัยที่เขาให้ความเคารพนับถือมาโดยตลอด
อีกฝ่ายไม่ได้เท้าความอะไรมาก สอบถามความเป็นอยู่ของเขาชั่วครู่ตามประสาคนไม่ได้พบปะสนทนากันนาน น้ำเสียงทุ้มต่ำยังดูน่าเกรงขามไม่มีเปลี่ยน เขาตอบรับและถามกลับตามมารยาท ก่อนคนอายุมากกว่าจะเท้าความถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ตัวเองรักมากอีกคนหนึ่ง
ลูกชายคนนั้น
ที่สารภาพกับบิดาทุกอย่างว่าตกหลุมรักเขาสุดหัวใจ
ครั้งแรกที่คีรติได้ฟังก็ดูจะแปลกใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อนั้นคืออะไร แค่อยากบอกว่ามีคนแอบชอบเขาอยู่แค่นั้นน่ะหรือ? แค่อยากให้เขารับรู้เพียงแค่นั้น?
แล้วเขาสามารถทำอะไรต่อกับเรื่องนี้ได้บ้าง?
อันที่จริงแล้วมันก็ค่อนข้างจะงุนงงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรกลับ ตั้งใจฟังเรื่องราวที่อีกคนนั้นเล่าต่อ
‘ช่วยดัดนิสัยภัทรให้หน่อยสิ’แต่ชายหนุ่มกลับเอ่ยคำขอเป็นครั้งที่สองที่ทำให้เขาต้องคิดทบทวนอย่างหนัก มันอาจดูเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคนอื่นๆ แต่หัวอกคนเป็นพ่อที่ยอมขอเรื่องพวกนี้กับเขา —เมื่อทบทวนดูแล้วมันอาจไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างที่คิดเลยก็ว่าได้
อีกคนไม่ได้ร้องขอเอาคำตอบในทันที ปล่อยให้เขาได้กลับไปคิดทบทวนในสิ่งที่เราได้พูดคุยกันตั้งแต่เริ่ม นานหลายวันกว่าที่คีรติจะจำได้ว่ามีเรื่องให้ต้องทำ เขาจึงเริ่มให้เลขาส่วนตัวสืบประวัติลูกชายที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ
ภัทรจัดเป็นผู้ชายหน้าตาดี รูปร่างสมส่วน มีความสูงตามมาตรฐานชายไทย บนรูปภาพที่ถ่ายได้แต่ละอิริยาบถไม่ได้ดูมีพิษมีภัยอะไรนัก ไม่ได้เป็นคนที่น่าเข้าหา ไม่ได้มีเสน่ห์แบบที่ถูกตาต้องใจ
แต่เมื่อเขาได้เจออีกฝ่ายเข้าอย่างจังในคืนหนึ่งที่ผับชื่อดังย่านใจกลางเมือง คีรติก็อยากจะกลับคำทั้งหมดที่เคยพูดไว้ตั้งแต่ต้น
ภัทรเป็นผู้ชายอีกคนที่เขาแทบไม่อยากจะละสายตาจาก กิริยาท่าทางที่ดูเย้ายวนชวนเข้าหาดึงดูดสายตาเขาได้จนหมด และคงไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดแบบนั้น เพราะผู้คนที่อยู่รายล้อมก็จ้องมองอีกฝ่ายคล้ายกับเจอของถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยอะไรสักอย่าง ตอนยิ้มรับให้กับคนด้านข้างพร้อมโปรยสายตาหวานไปทั่ว ไม่รวมตอนที่ลำคอขยับตามจังหวะการกลืนกินของมึนเมา และตอนที่พ่นควันของการเผาไหม้พร้อมกับยกหน้าขึ้นสูง
เขาก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเลย
ว่าภัทรเป็นคนที่เขาอยากจะทำความรู้จักเป็นอย่างมากหลังจากนั้น
และอีกฝ่ายก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง หลังจากที่ได้ตกลงกับชายสูงวัยและปลอมเอกสารทำงานแล้วเสร็จ เขาก็ได้เจอ
‘ภัทร’ ที่ทำหน้าที่
เลขาคนใหม่ในเช้าวันหนึ่ง
แถมภัทรยังมาในลุคที่เขามักจะแพ้ให้อยู่ตลอดไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ถ้าให้พูดตรงๆ
ไม่ว่าใครก็คงไม่กล้าปฏิเสธคนที่ตัวเองถูกใจมากนักหรอก
คราแรกเขาก็ยังกังวลว่าอีกคนจะสามารถทำหน้าที่ที่แสนหนักหนานี้ได้หรือเปล่า เพราะดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่เคยลงสนามชีวิตทำงานเลยสักครั้ง เป็นปกติที่คนเราจะทำผิดพลาด แต่เขาก็ยอมละมุนละม่อมให้แต่โดยดี โดยมีเลขาคนเก่าคอยดูแลอยู่ห่างๆไม่ให้เจ้าตัวได้รับรู้
แต่พอผ่านไปนานเข้าภัทรก็ดูจะเป็นงานมากกว่าเก่าหลายเท่าตัว อีกคนเป็นคนหัวไว เมื่อเขาออกคำสั่งหรือบอกให้ทำอะไรก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง จนคีรติเองมีคำถามไปถึงบิดาผู้อยู่เบื้องหลัง ก็ได้คำตอบกลับมาว่าเจ้าตัวมีคนสอนและให้คำแนะนำเป็นอย่างดี บวกกับความตั้งใจที่มี ภัทรก็ดูจะค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิด
จากเด็กที่ไม่เอาไหน แต่จริงๆแค่เคยตัวกับการใช้ชีวิตสุขสบายเสียมากกว่า
ไม่กี่เดือนผ่านไปเลขาคนใหม่ก็ดูจะคล่องตัวในการรับคำสั่ง ภัทรทำงานได้ดีเยี่ยมเกือบทุกครั้ง และนั่นทำให้เขาเห็นความตั้งใจที่อีกฝ่ายมี
และนั่นคงเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่เขายอมเปิดใจเรียนรู้ภัทรจากนิสัย
เขาคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่อีกคนคอยเอาใจใส่และชิดใกล้อยู่ตลอดทำให้ตัวเองหวั่นไหวไม่เบา ก็ใช่ว่าภัทรจะมีเสน่ห์ดึงดูดน้อยซะที่ไหน ยิ่งเวลาที่เจ้าตัวขุดหลุมลึกเพื่อมาหลอกล่อ ก็ต้องบอกว่าคงเป็นเขาเองที่ยอมตกลงไปเพื่อให้อีกคนได้ใจและขุดหลุมนั้นต่อไปเรื่อยๆ
จนวันหนึ่ง เขาเองก็ไม่สามารถหาทางขึ้นมาจากหลุมนั้นได้อีก
การรอคอยให้ภัทรบอกความจริงคงจะ เป็นเรื่องยากน่าดู เพราะร่างโปร่งคงไม่กล้าพูดกับเขาโดยตรง ไม่กล้าเป็นฝ่ายเริ่มที่จะจบความสัมพันธ์นี้ลงโดยไม่รู้ทิศทางของการเสี่ยงดวง
ไม่ว่าจะไปทางซ้ายหรือทางขวา ก็ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเป็นทางตัน
ที่ผ่านมามีตัวแปรหลายอย่างที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ อันที่จริงเขาต้องขอบคุณตัวแปรพวกนั้นด้วยซ้ำที่ทำให้เขาและภัทรพัฒนาความสัมพันธ์ของเรามากขึ้นทีละนิด ทั้งพนักงานไอทีที่หลงเลขาเขาหัวปักหัวปำ เหตุการณ์ไม่คาดฝันต่างๆที่มันเกิดขึ้น
รวมไปถึงคนรักคนเก่าของเราทั้งคู่
เขายอมให้ธนกฤษเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นเล็กๆน้อยๆ คอยจับตามองอยู่ตลอดว่าภัทรจะดำเนินเกมส์ไปไหนทิศทางไหน เขาไม่ชอบนักหรอกที่เห็นอีกฝ่ายไม่สบายใจ แต่การที่ทำแบบนี้คงเป็นทางเดียวที่ดูจะแนบเนียนที่สุดให้ภัทรได้บอกความจริง
แต่สุดท้ายแล้ว โอกาสก็ลอยผ่านไปโดยที่ไม่มีใครไขว่คว้า
เขากำลังจะจบมันลงด้วยดีแล้วแท้ๆ ถ้าไม่ติดว่าคืนหนึ่งมันทำให้เขาเปลี่ยนใจเดินเกมส์รุกฆาตอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
คืนที่เขาเห็นภาพภัทรจูบกับใครบางคนที่ผับอย่างร้อนแรง
แค่จูบนั้นจูบเดียว
เขาเลยอยากจะให้ภัทรรู้สักหน่อย ว่าการที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวทั้งๆที่เราผูกมัดกันด้วยข้อจำกัดทางร่างกายไปแล้ว
มันเป็นยังไง
#คุณไม่ตรงปก
เป็นเวลากว่าสัปดาห์ที่เขาไม่ได้ออกไปพบเจอใคร ไม่ได้ทำการติดต่อคนใกล้ชิดแบบที่เคยทำ ภัทรแค่ปล่อยให้ความอ้างว้างเดินทางผ่านระลอกแล้วระลอกเล่า ปล่อยตัวเองให้นั่งจมอยู่กับความเหงาที่มันเริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิด
ความเป็นจริงเขาต้องเรียนรู้มันไว้ก่อนหน้าแล้วด้วยซ้ำ ต้องทำการตั้งรับในวันที่พบกับความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถมีคีรติอยู่เคียงกายได้อีก แต่ถึงอย่างนั้นช่วงเวลาที่หอมหวานก็เป็นสิ่งเย้ายวนใจจนทำให้เขาลืมมันไปจนหมด
เขาดำดิ่งสู่มหาสมุทรแห่งคราบน้ำตา
ไม่สามารถหาทางออกจากความเศร้าโศกที่ไม่เคยพานพบมาก่อน
แหวกว่าย เวียนวน และปล่อยตัวเองให้จมลึกลงไปเรื่อยๆ
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของใคร ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันสุดท้าย คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวที่ผ่านก็มีเพียงแค่เขาคนเดียวมาตลอด
สิ่งที่เขารู้สึกผิดเป็นอย่างมากคือความรู้สึกของคีรติที่มันเคยมีอยู่จริงในช่วงเวลาหนึ่ง ช่วงเวลาที่เราสองคนมีความสุขกับมันเป็นอย่างมาก จนเขาลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายแค่รักความสวยงามบนคราบความฉาบฉวย จอมปลอม และไม่ได้ดำรงอยู่นานเท่าที่คิด
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ภัทรก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามันเป็นช่วงที่เขามีความสุขมากที่สุดเลยก็ว่าได้ หัวใจเขาพองโต ใจเต้นแรงแทบทุกครั้งที่ได้เจอหน้า แถมเรายังมีความทรงจำร่วมกันมากมายเสียอีก
เพราะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง เขาถึงไม่สามารถหลุดพ้นจากมหาสมุทรที่ดำมืดนี้เสียที
คงจะจริงที่เขามักจะพูดกันว่ายิ่งรักมาก ก็ยิ่งเจ็บมาก
และยิ่งเจ็บมาก ก็ยิ่งลืมยากอีกเช่นกัน
ดวงตากลมโตเสมองไปยังหน้าต่างที่มีเพียงม่านผืนบางกั้น ข้างนอกนั่นมืดสนิท มีเพียงแสงจากตึกสูงระฟ้าลอดผ่านเห็นเป็นจุดเล็กๆ ทั้งห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานตลอดทั้งวันอย่างไม่หยุดพักดังแทรก ทุกอย่างดูเหมือนจะเคลื่อนที่เป็นสีเทา
ทั้งเขา และโลกใบเดิม
คนที่นอนอยู่บนเตียงถอนหายใจ รีบควานหาโทรศัพท์ที่วางไว้ที่ไหนสักแห่ง มือเล็กสะเปะสะปะไปยังฟูกนุ่มก่อนจะสะดุดเข้ากับมันยังมุมหนึ่งที่อยู่บนสุด
หน้าจอเครื่องสี่เหลี่ยมสว่างวาบหลังถูกเปิดใช้งาน รอไม่นานข้อมูลทุกอย่างก็กลับมาเป็นดังเดิม เวลาที่ปรากฏฉายชัดว่าตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงสี่ทุ่ม วันที่ที่แตกต่างจากครั้งล่าสุดที่เห็นพบว่าต่างจากเดิมถึงห้าวัน และหลังจากนั้นไม่นานแจ้งเตือนทุกอย่างก็พรั่งพรูจนมันสั่นไม่ยอมหยุด
เขาทิ้งโทรศัพท์ลงไว้สักแห่ง เหม่อมองเพดานห้องอีกครั้งก่อนจะกลั้นใจลุกไปอาบน้ำเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ สายน้ำเย็นพอจะช่วยดับความขุ่นมัวในใจไปได้บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มากพอที่จะทำให้ใครบางคนสามารถกลับมาเป็นดังเดิม หลังจากที่เดินกลับมายังที่เก่า เสียงเรียกเข้าก็เรียกความสนใจไปได้จนหมด
สายแรกดังขึ้น ตามด้วยสายที่สองและสามที่หน้าจอปรากฏเป็นชื่อบุคคลเดิมอยู่อย่างนั้น
และในตอนที่สายที่สี่กำลังเริ่มไปได้เพียงเสี้ยววิ เขาก็กดรับเพราะในใจกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นห่วง
“ครับ” เสียงเขาแหบแห้ง แทบจำไม่ได้ว่าพูดกับบิดาครั้งสุดท้ายตอนไหน
(หายไปหลายวันเชียวนะเรา) น้ำเสียงที่ส่งมายังเริงร่าเช่นเดิม เขานั่งนิ่ง ใช้มือหมุนผ้าที่อยู่ในมือไปมา
“ครับ”
(ติดต่อก็ไม่ได้)
เพราะป๊ารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น จากคำบอกเล่าสั้นๆของเขาเองหลายวันก่อน ส่งผ่านพี่หน่อยไปถึงเจ้าตัว
“ขอโทษครับ”
(...)
“ภัทรแค่อยากอยู่คนเดียวสักพัก”
(อืม)
คราวนี้บิดาเงียบไปนาน ก่อนเขาจะได้ยินเสียงตะกุกตะกักหลังจากเจ้าตัวพูดต่อ
(แล้วนี่ทานข้าวอะไรบ้างมั้ย? ไม่ใช่ว่าอยู่คนเดียวแล้วไม่หาอะไรทานเลยนะ) ความเป็นห่วงผ่านทางน้ำเสียงทำให้รอยยิ้มจางปรากฏ ดวงตากลมโตก้มมองยังฝ่ามือ ไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปวางไว้ที่ไหน
“ทานแล้วสิป๊า ไม่ได้อกหักขนาดนั้น”
(อยากจะเชื่ออยู่เหมือนกัน) เพราะคำต่อล้อต่อเถียงของอีกฝ่ายทำให้เขาหัวเราะออกมาไม่ได้ ไม่ว่ายังไงป๊าก็ยังเป็นที่พักพิงให้เขาได้เสมอ
(กลับมาที่บ้านสิ จะได้ไม่ฟุ้งซ่านเกินไป)
“ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะกลับบ้าน”
(ไม่งั้นก็มาช่วยกันทำงาน จะได้ไม่ต้องคิดอะไรเรื่อยเปื่อย)
ข้อเสนอที่ส่งให้ดูจะเป็นทางออกที่ดีไม่น้อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะออกไปดื่มและปาร์ตี้เพื่อให้ลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เมื่อนึกไปถึงความรับผิดชอบที่เขาต้องมี กับวัยที่ไม่ใช่น้อยแบบนี้ ภัทรก็คิดว่ามันถึงเวลาที่เขาต้องจริงจังกับตัวเองสักทีหลังจากเละเทะอยู่นาน
ไม่รู้เพราะเหตุการณ์เหล่านั้น
หรือเพราะกิจวัตรประจำวันที่มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
จนถึงตอนนี้ ชีวิตเขาก็ดูเหมือนจะไม่สามารถกลับไปเป็นดังเก่าได้แล้วจริงๆ
“ถ้าภัทรขอเข้าไปทำงานที่บริษัทได้ไหม?” เขาเอ่ยคำร้องขอ เป็นประโยคไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสพูดแบบนั้นออกไป
ภัทรน่ะหรอ
กับการทำงานอย่างจริงจังน่ะหรอ
(มาสิ)
ฟังแล้วดูตลกชะมัด
(ยินดีต้อนรับ)
#คุณไม่ตรงปก
บรรยากาศการทำงานที่บริษัทของคุณลุงไม่ได้แตกต่างจากที่เดิมเท่าไหร่นัก ผู้คนเดินกันขวักไขว่ในตอนเช้า ความวุ่นวายขนาดย่อมก่อตัวขึ้นแล้วก็หายไปหลังจากชั่วโมงเร่งด่วน ภัทรขึ้นลิฟต์มาพร้อมกับพนักงานหลายคนที่ทำงานตามชั้นต่างๆ จนกว่าจะถึงชั้นที่ตัวเองต้องการ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามหลังเขาออกมาแล้วเดินไปอีกทางเมื่อถึงทางแยก
จังหวะการก้าวเดินอย่างไม่เร่งรีบทำให้เขาสามารถเชยชมภาพวิวแสนสวยของผนังกระจกที่ทอดยาว รองเท้าหนังสีดำขลับกระทบกับกระเบื้องหินอ่อนเป็นจังหวะ ผิวขัดมันเรียบขลับให้สีน้ำตาลประกายทองของมันโดดเด่นสะท้อนแสงแดดในยามสาย
เขาติดกระดุมข้อมือข้างซ้ายอย่างประณีต ค่อยเลาะแขนเสื้อเชิ้ตตัวในสีขาวจับจีบให้ได้รูป หมุนนาฬิกาสีเงินที่ได้มาเมื่อหลายเดือนก่อน ก่อนจะกระชับสูทในยามที่เอ่ยทักทายเลขาส่วนตัวหน้าห้อง
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะคุณภัทร เชิญด้านในเลยค่ะ คุณลุงกำลังรออยู่เลย” หญิงสาวยิ้มหวาน เจ้าตัวตัดผมสั้น สวมใส่เสื้อผ้าสีพื้นที่เข้ารูปทรงดูสวยสดเมื่อรวมกับเครื่องสำอางสีอ่อนบนใบหน้า
“ครับ”
อีกฝ่ายเปิดประตูเข้าไปด้านในก่อนจะถือค้างไว้ให้เขาเดินตาม ภัทรก้มหน้าลงเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ ก่อนภาพแรกที่เห็นในห้องขนาดกว้างจะทำให้เขายิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เพราะชายวัยกลางคนที่สบตากลับมีรอยยิ้มส่งมาให้เหมือนกัน
เจ้าตัวลุกขึ้นจากเบาะนั่งแสนนุ่ม ขยับกายไม่กี่ก้าวก็สามารถรวบตัวเขาเข้าไปกอดไว้แน่น ภัทรเกยคางกับไหล่ของอีกฝ่าย สวมกอดด้วยแรงที่ไม่ต่างกันมากนัก
“ถึงแต่เช้าเลยนะ”
“รีบมาเพราะกลัวว่าคนแถวนี้จะคิดถึงน่ะครับ”
คุณลุงยิ้มกริ่ม เชิญเขานั่งลงยังโซฟารับแขกที่อยู่กลางห้อง
แสงแดดลอดผ่านมุมหนึ่งของห้องทำงานจนสว่างจ้า คล้ายกับว่ามันถูกออกแบบให้รับแสงเพียงแค่ด้านนั้นเพราะไม่นาน แสงพวกนั้นก็เลือนหายไปตามกาลเวลาที่เคลื่อนผ่าน ปล่อยให้แสงจากโคมไฟได้เข้าทำงานแทนที่
“ป๊าล่ะครับ”
“ยังมาไม่ถึงเลย”
“อ่อ”
เขากล่าวขอบคุณเลขาที่นำแก้วกาแฟพร้อมกับของว่างมาวางไว้ให้ ภัทรหยิบมันขึ้นจิบพร้อมกับชายที่นั่งด้านข้าง
“ที่บริษัทเป็นยังไงบ้างครับช่วงนี้?”
“ก็เรื่อยๆน่ะนะ ตามสภาพเศรษฐกิจที่เห็นๆกันอยู่ ทางฝ่ายพัฒนาก็เร่งปรับโครงสร้างการตลาดใหม่เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้แล้วก็สามารถหาลูกค้าใหม่เพิ่มด้วย ช่วงนี้ก็เลยวุ่นๆกันนิดหน่อย”
“งานเยอะเลยสินะครับ”
“ประมาณนั้นแหละ”
อีกคนยังมีรอยยิ้มจางเมื่อเราได้พูดคุยหลังจากเป็นเวลานาน
“ช่วงนี้ป๊าเราก็เข้าประชุมแทบทุกวัน จะบอกว่ายุ่งกว่าลุงอีกก็ว่าได้”
“วัยกำลังเหงา ปล่อยเขาไปเถอะครับ”
“นี่ๆ นินทากันยกใหญ่เลยสองคนนี้”
แขกมาใหม่แผดเสียงดังทำเอาเขาตกใจเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อรับอ้อมกอดจากหญิงสาวอีกหนึ่งที่มาด้วย
“สวัสดีครับพี่หน่อย”
“สวัสดีครับ ไม่เจอกันนาน แก้มพองขึ้นเป็นกองเลยนะเนี่ย” มือเล็กเอื้อมมาจับใบหน้าหวาน ใช้นิ้วโป้งลูบไล้อย่างที่เคยทำเป็นประจำ
“นี่ผอมลงไปเยอะแล้วครับ”
ป๊าของเขานั่งลงยังฝั่งตรงข้าม สายตาจ้องมองมาอยู่ตลอดเวลา ส่วนพี่หน่อยขอตัวไปเตรียมกาแฟยังห้องที่อยู่ถัดไป
“พร้อมเริ่มงานจริงๆจังๆแล้วหรอเรา?”
เขายักไหล่ อันที่จริงก็เขินอายเล็กน้อยที่ต้องให้พูดตรงๆ
“อย่าไปคาดคั้นลูกมากสิ เขาจะทำอะไรก็ตามใจเขาเถอะ”
“เพราะแบบนี้ไงหลานถึงได้เสียคน”
พี่หน่อยหัวเราะในตอนที่นำกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ หญิงวัยกลางคนนั่งลงข้างเขาก่อนจะเอ่ยปรามทั้งคู่
“ก็ทั้งสองคนนั่นแหละค่ะ ไม่ต้องเถียงกันเลย”
คราวนี้คุณลุงยักคิ้ว ส่วนป๊าก็ทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องราวแล้วทานมื้อเช้าอย่างเอร็ดอร่อย
“ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ” คราวนี้ภัทรพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ เรียกรอยยิ้มเจ้าของห้องและคนที่นั่งด้านข้างได้เป็นอย่างดี
“อยากไปประชุมด้วยกันไหมล่ะ?” ป๊ายื่นเอกสารสำคัญไปให้คุณลุงพร้อมกับยื่นคำถาม ใจเขาเต้นแรง ดูเหมือนวันแรกของการทำงานจะดูน่าตื่นเต้นไม่น้อย
“ถ้าจะไป อีกสามชั่วโมงเจอกันที่แผนกจัดส่ง”
และมันก็เป็นอย่างนั้นไม่มีผิด
เมื่อรถคันหรูจอดส่งพวกเขาที่หน้าบริษัทยักษ์ใหญ่
บริษัทของใครบางคนที่เขาเพิ่งลาออกไปได้ไม่ถึงสองอาทิตย์
‘แสตนไนล์กรุ๊ป’ใครคนนั้น
ที่นั่งยังหัวโต๊ะพร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้สักนิด
“เริ่มเลยครับ”
คีรติเอื้อนเอ่ย ก่อนจะจ้องมองเขาอยู่ตลอดหลายชั่วโมง
#คุณไม่ตรงปก
070819
before30october
:-)