ดวงตาสีอ่อนของรักตปักษ์เบิกโพลงเช่นนั้นจนยามเช้ามาเยือน เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกไปยังระเบียงเพื่อรับลมยามเช้า เป็นเพราะห้องของเขากับสัตยาหันหน้าไปทางทะเลซึ่งเป็นทิศตะวันตก ทำให้แสงยามเช้ายังส่องมาไม่ถึง แต่สามารถเฝ้ามองพระอาทิตย์ยามเย็นได้สวยงามยิ่งนัก
ระเบียงของห้องรัตกปักษ์กับสัตยาเป็นระเบียงที่ใช้ร่วมกัน ชายหนุ่มจึงเดินไปทางหน้าห้องของสัตยา แล้วมองลอดกระจกใสเข้าไปเพื่อดูว่าอีกฝ่ายตื่นแล้วหรือยัง ทว่า กลับประจวบเหมาะที่สัตยากำลังจะเดินออกมา ประตูกระจกเลื่อนเปิดออกพร้อมกับร่างของสัตยาที่ก้าวโดยไม่ทันเห็นคนข้างนอก ทำให้เขาชนตุบเข้ากับแผงอกกำยำเปลือยเปล่าอย่างจัง โชคดีที่รักตปักษ์ทรงตัวได้ทันและสัตยาไม่ได้เดินออกมาเร็วนัก ทั้งสองจึงไม่ได้ล้มกลิ้งไปด้วยกัน เพียงแต่เซไปเล็กน้อยโดยที่รักตปักษ์รีบจับแขนสัตยาเอาไว้ด้วยความตกใจ
“ครุฑ!?” สัตยาเอ่ยชื่ออีกฝ่ายแล้วทำตาโตพราะไม่ทันได้นึกว่าจะมีคนมายืนอยู่ตรงนี้
“อรุณสวัสดิ์” รักตปักษ์เอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้านิยมถ้ำมองผู้อื่นยามนอนหรือยังไง?” เจ้าของห้องเหน็บแนมพร้อมขืนตัวออกก่อนจะขยับชุดนอนที่ไม่ได้กลัดกระดุมอย่างหวงตัว ผิวกายเนียนสวยอาบไล้ด้วยแสงตะวัน สร้างภาพที่งดงามอย่างหาได้ยาก
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ เพียงจะมาดูว่าเจ้าตื่นหรือยัง” ผู้ถูกกล่าวหาแก้ตัวเสียงร่าเริง หูของเขาได้ยินเสียงกอกแกกจากด้านล่าง ทำให้รู้ว่ากิ่งแก้วตื่นแล้วและกำลังเตรียมอาหารอยู่ “ลงไปช่วยกิ่งแก้วข้างล่างไหม? แต่ก่อนลงไปก็กลัดกระดุมด้วยล่ะ เดี๋ยวกิ่งแก้วจะหัวใจวายเสียเปล่าๆ”
“กิ่งแก้วเห็นข้ามาแต่เล็กแต่น้อย” ถึงสัตยาจะว่าอย่างนั้น เขาก็จัดการกลัดกระดุมทั้งหมด แล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง โดยไม่ลืมปิดประตตูระเบียงก่อน กระนั้น สัตยาก็ต้องหันกลับมามองด้วยความสนเท่ห์ เมื่อรักตปักษ์เดินตามเข้ามาในห้องด้วย
“ไหนๆก็จะลงไปด้วยกันอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องเดินกลับเข้าห้องตัวเองอีกล่ะ?” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม สัตยาจึงไม่ได้พูดอะไรตอบโต้ แล้วเดินออกจากห้องไปด้วความหงุดหงิดใจเล็กๆตามด้วยรักตปักษ์ที่เดินตามหลังไม่ห่าง จนลงมาถึงห้องครัว ซึ่งกิ่งแก้วกำลังทำอาหารอยู่และมีอาหารที่เสร็จแล้วอยู่สองอย่าง ข้าวก็กำลังตั้งหม้อหุง
“อ้าว อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณยา คุณรักต์ เมื่อคืนหลับสบายไหมคะ?” กิ่งแก้วทักทายเสียงใสไม่มีวี่แววของความง่วงงุน เป็นเพราะเมื่อวานนี้เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและทำงานบ้านจนหลับทันทีที่หัวถึงหมอน จึงสามารถตื่นได้ตามเวลาปกติ
“สบายดีครับ แล้วก้องกับเกริกล่ะครับ?” รักตปักษ์ถามไถ่ขณะที่สัตยาเดินไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำที่อยู่ข้างๆห้องครัว
“ยังหลับอยู่เลยค่ะ แต่อีกเดี๋ยวคงตื่น อาหารจะเสร็จแล้ว คุณรักต์กับคุณยาไปอาบน้ำเถอะค่ะ” กิ่งแก้วว่าไปก็ช้อนอาหารจากกระทะลงจาน กลิ่นพริกสับหอมฟุ้งเคล้ากับกลิ่นเครื่องปรุงกระตุ้นต่อมน้ำลายและน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานอย่างซื่อตรง รักตปักษ์เดินกลับขึ้นห้องไปเพื่ออาบน้ำ ส่วนสัตยาเมื่อล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็เดินออกมาดูอาหาร
“อาหารทะเลหมดเลยหรือ?”
“ค่ะ แถวนี้มีขายแต่พวกนี้แหละค่ะ” กิ่งแก้วตอบแล้วนำอาหารจานสุดท้ายมาวางบนโต๊ะ สัตยาเพียงพยักหน้ารับรู้ เขาไม่ได้มีปัญหามากนักกับการกินสัตว์เพื่อเป็นอาหาร เพราะเป็นธรรมชาติของสัตว์โลก ขอเพียงไม่ใช่การล่าเพื่อความสนุกหรือการทรมาน เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร
ไม่นานนัก รักตปักษ์อาบน้ำแต่งตัวลงมาสับเปลี่ยนให้สัตยาขึ้นไปอาบน้ำบ้าง ส่วนเขาก็ช่วยกิ่งแก้วตระเตรียมสำรับในครัวให้พร้อมสรรพก่อนที่สัตยาจะเสร็จธุระ จะได้พร้อมกินพอดี
หลังเสร็จสิ้นอาหารเช้า รักตปักษ์กับสัตยาก็พาก้องกับเกริกไปเล่นด้วยกันที่ชายหาด เพื่อดูแลไม่ให้เด็กทั้งสองวิ่งลงทะเลแล้วโดนพัดไป แต่พอตกบ่าย รักตปักษ์ก็ต้องไปทำงานที่หมายใจเอาไว้ตั้งแต่ก่อนจะมาถึง สัตยาจึงต้องดูแลเด็กทั้งสองตามลำพัง โดยกิ่งแก้วก็ทำงานอยู่ในบ้าน จะออกมาก็เพื่อเอาอาหารมาให้เท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้ก้ทำให้สัตยาลำบากพอสมควร เนื่องจากเขาไม่อยากเข้าใกล้ทะเลมากเกินไป หากว่าเด็กทั้งสองลงทะเลไปเขาก็อาจจะช่วยเหลือไม่ทัน จึงต้อนก้องและเกริกมาเล่นตรงทรายแห้งๆแทน
ไอเกลือจากทะเลพัดพายมากับสายลม ต้องผิวสัตยาทำให้รู้สึกแสบกอปรกับแสงแดดที่ส่องลงมายิ่งทำให้เขารู้สึกทรมาน ผิวของเขาเริ่มเกิดอาการคันและแสบเป็นรอยแดง หากว่าตากลมทะเลเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่เป็นไร แต่นี่เขานั่งมาเกินครึ่งวันแล้ว
“พี่ยา ทำไมพี่แขนแดง” เกริกสังเกตเห็นจึงเอ่ยถาม
“เอ่อ....พี่คงแพ้อะไรสักอย่าง ไม่เป็นไรหรอก” สัตยาว่าแล้วลูบแขนเบาๆ เขาไม่อยากขัดความสนุกของเด็กๆจึงทำเหมือนไม่เป็นอะไร
“แต่มันแดงขึ้นนะครับ” ก้องว่าแล้วเข้ามาแตะแขนเบาๆ สัตยาถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจและเจ็บแปลบบริเวณที่ถูกสัมผัส ในตอนแรกนั้น แขนของสัตยาเพียงมีรอยแดงจางๆเหมือนอาการแพ้ทั่วไป แต่เมื่อทิ้งเวลานานขึ้น รอยแดงนั้นกลับยิ่งขยายตัวจนลามไปทั่วและสีก็เข้มขึ้นเรื่อยๆสร้างความห่วงกังวลให้กับก้องและเกริกที่เกรงว่าชายหนุ่มจะไม่สบาย แต่ในขณะที่สัตยากำลังอธิบายกับเด็กทั้งสองว่าตนเองไม่เป็นไรมากอยู่นั้น กลับมาเสื้อตัวใหญ่คลุมลงบนศีรษะบังแสงแดดที่ส่องตรงลงมาอย่างพอดี ร่างของเขาถูกยกลอยขึ้นโดยแขนแข็งแกร่งคู่หนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว
“คุณรักต์!” สัตยาร้องเมื่อเห็นหน้าผู้กระทำอุกอาจ
“อากาศร้อนเกินไปแล้ว เข้าบ้านกันก่อนเถอะ ไป ก้อง เกริก เดี๋ยวตากแดดตากลมจนไม่สบายพี่จะไม่ให้ออกมาเล่นอีกนะ” รักตปักษ์เอ่ยชักชวนเด็กน้อยทั้งสองคนที่ทำท่าอยากจะเล่นต่อแต่ก็จำนนต่อคำขู่จนต้องเดินตามหลังต้อยๆด้วยความเสียดาย
“คุณยา? คุณรักต์ คุณยาเป็นอะไรไปคะนั่น?” กิ่งแก้วเห็นรักตปักษ์อุ้มสัตยาเข้ามาทั้งยังห่อผ้าด้วยเสื้อจนมิดจึงรู้สึกตกใจว่าเป็นอะไรมากหรือไม่
“ไม่เป็นไรมากหรอกครับ แค่ตากแดดมากไปหน่อยเลยจะเป็นลม แล้วก็ดูเหมือนจะไปโดนอะไรแปลกๆเข้าเลยแพ้ ถ้าเป็นไปได้ ผมขอยาทาแก้แพ้กับน้ำอุ่นด้วยก็ดีครับ” รักตปักษ์ตอบเป็นเหตุเป็นผลที่พอจะทำให้กิ่งแก้วไม่นึกสงสัย โดยมีเสียงของก้องและเกริกสนับสนุนถึงรอยแดงบนแขนของสัตยา กิ่งแก้วจึงไม่สงสัยอะไรแม้เธอจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสัตยาแพ้อะไร
รักตปักษ์อุ้มสัตยาขึ้นไปบนห้อง ก่อนจะวางลงบนเตียงอย่างเบามือ รูดม่านปิดให้เรียบร้อยแล้วจึงตลบเสื้อของตนออกวางบนเตียง
“ขอดูแขนหน่อย” เขาว่า
“เดี๋ยวก็หายเองนั่นแหละ ไม่ต้องหรอก” สัตยากลับปฏิเสธแล้วนั่งลูบแขนตนเอง ผิวของเขายังแสบแม้จะเข้ามาหลบในร่มแล้ว
“อย่าดื้อน่า คุณยา เมื่อครู่แสบมากไม่ใช่หรือ? ยื่นแขนมา” ครั้งนี้ รักตปักษ์ไม่ได้ใจดีอย่างเคย เขาดึงแขนที่เจ้าตัวหดเก็บมิดชิดออกมาดูโดยไม่รอให้สัตยาตอบรับ รอยแดงเป็นปื้นใหญ่ทาบอยู่บนแขนดูน่ากลัว สัตยาร้องซี้ดเบาๆเมื่อรักตปักษ์แตะมือลงบนรอยนั้น
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงของกิ่งแก้วจากนอกประตู ก่อนที่รักตปักษ์จะเดินไปเปิดประตูแล้วรับอ่างน้ำอุ่น ผ้าสะอาด และยาทาแก้แพ้มาแล้วกล่าวขอบคุณ เขาเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง วางอ่างน้ำอุ่นไว้บนเก้าอี้ และยาแก้แพ้วางบนโต๊ะ เขานำผ้าสะอาดชุบลงไปในน้ำอุ่แล้วบิดพอหมาด ค่อยๆซับลงบนแขนของสัตยาเพื่อล้างเอาไอเกลือจากทะเลออกให้หมด
“ถอดเสื้อออกด้วยสิ คุณยา” เขาว่า
“แต่ตรงตัวไม่ได้เป็นอะไร” สัตยาปฏิเสธ
“ก็ควรเช็ดให้สะอาด คุณยาใส่เสื้อบาง เวลาลมพัดไอเกลือก็เข้าไปได้” เมื่อรักตปักษ์ยืนยันเช่นนั้น สัตยาจึงยอมถอดเสื้อออกส่วนกางเกงขาสั้นนั้นรักตปักษ์ก็ถลกขาเช็ดเอา
ยามที่ผ้านุ่มลูบมาบนผิว สัตยารู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนและอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาจากมือของอีกฝ่าย รักตปักษ์เช็ดถูบนผิวบางนั้นอย่างเอาใจใส่ เหมือนเมื่อครั้งที่ลอกคราบไม่มีผิด เขาค่อยๆซับผ้าขนหนูลงบนรอยแดงอย่างเบามือเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้สัตยารู้สึกเจ็บมากนัก และจะซับซ้ำแล้วซ้ำอีกเช่นนั้นจนกว่าจะแน่ใจว่าไอเกลือได้ถูกล้างออกไปหมดแล้ว
จากบนแขน เขาก็ไล้ไปถึงแผ่นอกราบเรียบไม่มีมัดกล้ามแม้แต่น้อย เนื่องจากบนตัวนั้นไม่มีรอยจึงเช็ดอยู่ไม่กี่ครั้ง ก่อนจะเลื่อนลงไปเช็ดที่ขาซึ่งปรากฏรอยแดงจำนวนมากเช่นเดียวกับแขน ซ้ำยังมีทรายติดอยู่มากเพราะนั่งลงบนบนพื้นทรายโดยไม่มีอะไรรองก่อน
รักตปักษ์เริ่มจากนำกระดาษหนังสือพิมพ์มารองแล้วปัดทรายออกจากขาให้หมดเพราะพื้นปูด้วยพรม ยากจะทำความสะอาด บนกระดาษจึงเต็มไปด้วยเม็ดทรายสีน้ำตาลเข้มเพราะอุ้มน้ำไว้ เขาหันไปซักผ้ากับน้ำสะอาดนำมาลูบไปบนขาเรียวเล็กจนถึงปลายเท้า ไม่มีสักที่ที่รักตปักษ์จะเว้นว่าง
หลังจากเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น สัตยาก็รู้สึกดีขึ้น ผิวของเขาแสบน้อยลงและไม่รู้สึกเจ็บแล้ว
ผ้าถูกทิ้งลงในอ่างน้ำหลังจากเช็ดตัวเสร็จ ก่อนที่รักตปักษ์จะหันไปหยิบยาแก้แพ้มาทาลงบริเวณที่เป็นรอย โดยค่อยๆนวดลงไปบนผิวอย่างช้าๆและอดทนจนกระทั่งยาเหล่านั้นซึบซาบลงไปในผิวหมด เขาจึงทาซ้ำลงอีกครั้ง แล้วค่อยเปลี่ยนที่ ทำเช่นนั้นจนครบ ชายหนุ่มผมแดงก็หยิบเสื้อของสัตยาโยนลงไปกองบนพื้น แล้วเดินไปหยิบชุดใหม่ที่แห้งและสะอาดพอมาให้เปลี่ยน ในขณะที่สัตยาไปเปลี่ยนเสื้อผ้านั้น รักตปักษ์ก็ปัดทรายที่เปรอะบนเตียงลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วจึงห่อกระดาษป้อนกันทรายร่วงลงมา ตลบผ้าปูจากเตียงลงมากองกับเสื้อของสัตยา แล้วทำทั้งหมดนั้นลงไปข้างล่าง โดยเอาผ้าปูเตียงกับเสื้อไปแช่ในอ่างน้ำที่กิ่งแก้ววางเอาไว้เพื่อซักผ้า กระดาษหนังสือพิมพ์นำไปโยนทิ้งในถังขยะ
ในตอนแรก กิ่งแก้วบอกว่าจะซักให้ แต่รักตปักษ์ยืนยันที่จะซักเอง เพื่อแบ่งเบาภาระของกิ่งแก้วบ้าง บังกะโลหลังไม่ใช่น้อย จะให้กิ่งแก้วทำงานคนเดียวคงจะไม่ไหว
สัตยาถูกบังคับให้นอนพักบนห้อง ห้ามลงมาข้างล่างจนกว่าอาการจะดีขึ้นหรือถ้าพูดให้ถูกคือ รักตปักษ์ให้สัตยานอนพักจนกว่ารอยแดงจะหายไปหมด มิเช่นนั้นเรื่องนี้จะถึงหูของพงษ์ศักดิ์อย่างแน่นอน ตอนขู่เจ้าตัวไม่พูดเปล่า กลับหยิบโทรศัพท์มือถือมาเตรียมโทร ทำให้สัตยาต้องยอมจำนน
อาหารเย็นรักตปักษ์นำขึ้นมาให้ถึงบนห้องนอน พร้อมกับสำรวจรอยแดงบนแขนซึ่งจางจนแทบจะหายไปหมดแล้ว ทำให้ชายหนุ่มยิ้มอย่างพออกพอใจ
“หายแสบผิวหรือยัง คุณยา?” เขาถามแล้วลูบแขนเบาๆเพื่อทดสอบ
“หายแล้ว” สัตยาตอบพลางดันจานที่กินเรียบร้อยไปบนโต๊ะ
“คราวหลังก็ระวังหน่อยนะคุณยา แพ้ทะเลถึงขนาดนี้ก็อย่าเข้าใกล้มากเกินไป” รักตปักษ์เตือนด้วยความหวังดี “ถ้าผมมีธุระ ผมจะให้ก้องกับเกริกเข้าบ้านก็แล้วกัน คุณยาจะได้ไม่ต้องนั่งเฝ้าให้เป็นแบบนี้อีก แล้วคุณยา ถ้าเกิดมีอาการอะไรต้องบอกผมทันที จะได้แก้ไขทัน”
“ผมไม่รบกวนคุณขนาดนั้นหรอกครับ คุณรักต์” สัตยากล่าว
“แค่ช่วงที่อยู่ที่นี่เท่านั้น ผมต้องดูแลคุณให้ดีเพราะตาของคุณฝากฝังมา” ชายหนุ่มร่างสูงตอบก่อนจะเก็บจานขึ้นมาถือแล้วเดินออกไปจากห้อง น่าแปลกที่คืนนั้นสัตยาพบว่าเขาไม่ได้ยินเสียงรักตปักษ์จากอีกฝั่งของห้องเลยหลังจากที่เอาจานลงไปเก็บในตอนเย็น จนตอนนี้ก็สองทุ่มเข้าไปแล้ว
สัตยาลงไปถามกิ่งแก้วด้วยความสงสัย ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า รักตปักษ์ออกไปเดินเล่นที่โขดหินซึ่งสัตยาเล่าถึงเมื่อวานนี้
---------------------------->
ลมยามค่ำพัดโชยหอบเอากลิ่นเกลือขึ้นมาจากทะเล คลื่นโหมกระทบโขดหินเสียงดัง แสงจันทร์สาดส่องอยู่บนผืนฟ้ากว้างและสะท้อนเงาของมันลงบนผืนน้ำเป็นคลื่นไหวเปล่งประกายระยิบระยับน่ามอง เป็นดังที่สัตยาเคยกล่าวไว้ทุกประการ ที่สถานที่แห่งนี้สามารถชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนได้งดงามที่สุด เหตุเพราะอยู่บนที่สูงจึงสามารถมองเห็นพื้นทะเลได้กว้างไกลสุดสายตา
หูของรักตปักษ์เงี่ยฟังเสียงที่มากับสายลม เสียงคลื่นสาดซัด และยังแฝงไว้ด้วยเสียงของบทเพลงจากท้องทะเล
ที่ขอบฟ้าอันแสนไกลนั้น เป็นอีกครั้งที่รักตปักษ์ได้เห็นเกล็ดสีมรกตแวววาวเหนือผิวน้ำ และครั้งนี้สิ่งที่ยืนยันความมั่นใจของเขา คือหงอนสีทองที่อาบด้วยแสงจันทร์นั้น
“ครุฑ”
เสียงของสัตยาดังขึ้นจากเบื้องหลัง ทำให้ชายหนุ่มเผลอละสายตามาจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และทันใดนั้น สิ่งที่เขามองอยู่ก็มุดกายหายไปใต้ทะเลอีกครั้ง รักตปักษ์พ่นลมหายใจออกมาก่อนจะหันไปหาผู้เรียกพลางยิ้มให้อย่างไม่ถือสาที่ถูกเรียกกะทันหัน
“เจ้าไม่ควรออกมาตากลมตอนนี้” เขาว่า
“ข้าหายดีแล้ว” สัตยาเดินปีนโขดหินขณะพูด ก่อนจะถูกดึงขึ้นมาด้วยมือแกร่งพียงข้างเดียว
“ข้าเห็นว่ายังมีรอยเล็กน้อย” รักตปักษ์แย้ง แต่อย่างน้อยสัตยาก็สวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาวกับกางเกงสแลคขายาวออกมา อีกทั้งยังสวมรองเท้าเรียบร้อย รักตปักษ์จึงไม่ได้เอ่ยว่าอะไรนอกจากนั้น เพียงแต่หยิบหมวกที่ตนเองสวมอยู่สวมลงบนศีรษะของสัตยาเพื่อป้องกันไอเกลือพัดเข้าใบหน้าเท่านั้น
“ทำไมเจ้าจึงไม่ทำกับข้าเช่นนั้นด้วย?”
คำถามของสัตยาเรียกแววสงสัยในดวงตาสีอ่อนของรักตปักษ์ เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เช่นที่เจ้าทำกับลูกน้องของกฤตนันท์ ข้าเองก็มีส่วนที่ทำให้จินเจ็บ หรือเจ้าจะเก็บข้าไว้ให้เจอสิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่า เช่นสังหารแล้วกินเสีย” ในขณะที่ถามนั้น สัตยาก็จ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย เพื่อค้นหาคำตอบของความโหดเหี้ยมอำมหิตในความทรงจำ รักตปักษ์ดูจะเศร้าหมองลงเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น เขาคลี่ยิ้มบาง
“นั่นคือเหตุที่เจ้าหลีกเลี่ยงจะเข้าใกล้ข้านับแต่ตอนนั้นหรือ?”
ความจริงแล้วรักตปักษ์เริ่มสังเกตมานาน ว่าสัตยาดูจะกลัวเขามากขึ้น และหลีกเลี่ยงในการอยู่กับเขาตามลำพัง กระทั่งจะให้สัมผัสตัวก็ยังหาข้ออ้างอยู่เสมอ
“ข้าไม่เคยชอบที่จะอยู่ใกล้เจ้า” สัตยาตอบคำ
“เช่นนั้นเจ้าตามข้ามาทำไม? ที่นี่มีเพียงข้ากับเจ้า ข้าอาจทำร้ายเจ้าเช่นที่เจ้าหวาดกลัวอยู่ก็เป็นได้” รักตปักษ์ลองหยั่งเชิงถาม
“เพราะข้าอยากรู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวของข้า” ดวงตาสีดำสนิทเหลือบหลบสายตาซื่อตรงของอีกฝ่าย “หากเจ้าไม่กำจัดข้าเช่นตนอื่นๆ ข้าก็จะหาทางกำจัดเจ้าอีก และอาจมีคนถูกทำร้ายโดยไม่เกี่ยวข้องอีก ข้าจะไม่หยุด เจ้ารู้ดี ในหมู่พี่น้องพันตน ข้าอาจจะเป็นตนสุดท้ายแล้วก็เป็นได้ ข้าแลกได้ทุกอย่างเพราะข้าไม่มีสิ่งใดจะให้สูญเสียอีก”
“สัตยา” น้ำเสียงของรักตปักษ์อ่อนลงเมื่อก้าวเข้าไปดึงรั้งนาคจำแลงไว้ในอ้อมแขน ในคราแรก สัตยาคล้ายจะขัดขืน ทว่ากลับไม่ได้ออกแรงดิ้นรนหรือร้องห้าม “เจ้าจะผูกใจเจ็บข้าอีกสักกี่ชาติภพ ข้าจะไม่กล่าวโทษเจ้า แม้ในเวลานี้เจ้าจะเอามีดดาบแทงทะลุหัวใจข้า ข้าก็จะไม่ขัดขืน หากชาติเดียวไม่พอเพียงข้าก็จะวนเวียนตายเกิดให้เจ้าทรมานจนสมแค้น แต่ข้าขอเพียงข้อเดียว สัตยา ขออย่าได้เดินในเส้นทางสายเดียวกับข้า ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องทรมานเช่นที่ข้าต้องเผชิญ”
“เจ้าพ.....”
“ชู่ว์ มีคนกำลังมา” ก่อนที่สัตยาจะได้เอ่ยถามในความนั้น รักตปักษ์ก็ผละตัวออก ดวงตาคมที่เคยอ่อนโยนกลับแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
เสียงสวบสาบของฝีเท้าหลายคู่บนผืนทรายดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะตามด้วยเสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นหินและก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสียงปรบมือค่อยๆดังขึ้นในความเงียบสงัด พร้อมกับการปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดของคนหลายคน
“โว้ว โวว โวว ช่างบังเอิญจริงๆที่เราได้พบกันที่นี่ว่าไหม? คุณสัตยา คุณรักตปักษ์” เสียงอันน่ารังเกียจถูกเปล่งจากริมฝีปากที่แสยะยิ้มน่าขนลุกขนพอง เลยไปเบื้องหลังนั้น มีชายฉกรรจ์อีกจำนวนหนึ่งยืนคอยท่าอย่างมีความหมาย
“ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณรู้จักชื่อของผม” รักตปักษ์ใช้แขนกันตัวสัตยาไปข้างหลัง ส่วนตนกลับยืนเผชิญหน้ากับกฤตนันท์อย่างท้าทาย
“อะไรกัน คุณไม่ได้บอกอะไรเขาเลยหรือคุณสัตยา คุณนี่ช่างร้ายจริงๆ” กฤตนันท์ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ “ก็คุณเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนให้ข้อมูลของเขากับผม และยังสั่งให้ไปทำลายข้าวของ ไม่วายยังสั่งให้อัดลูกน้องของเขาเสียน่วม” คำของกฤตนันท์ทำให้สัตยาเบิกตากว้าง เขาเม้มปากอย่างโกรธแค้น ผู้ชายคนนี้คิดจะโยนความผิดของตัวเองอย่างหน้าด้านๆ
“คุณกฤตนันท์ ระวังคำพูดของคุณไว้หน่อยก็ดีนะครับ” สัตยากล่าวเสียงเย็น
“โธ่เอ๋ย พูดแบบนี้ผมน้อยใจแย่ คุณคิดจะใช้งานผมแล้วตัดหางปล่อยวัดหรือครับ คุณสัตยา” มาเฟียหนุ่มถอดถอนใจ “ผมเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ทำตามคำสั่งทุกประการ คุณก็ยังใจร้ายหักหลังผมได้ลงคอ หรือว่าตอนนี้คุณวางแผนจะแทงเขาจากข้างหลังอยู่กันนะ?”
“คุณกฤตนันท์” น้ำเสียงของสัตยาเริ่มเย็นเยียบมากขึ้น ทว่าเมื่อสายตาของเขาได้ประสบกับดวงตาคมสีอ่อนที่จ้องมองกลับมาด้วยความผิดหวัง ในอกของสัตยาก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ