The Great General (9)
อวิ๋นหนานมองบุรุษหนุ่มที่ก้มหน้าอ่านฎีกาห่างจากเขาไปราวสองช่วงแขน ใบหน้าเนียนซูบซีด ใต้ตาดำคล้ำ เสื้อคลุมที่คาดเข็มขัดไว้หลวมๆ พอจะเดาได้ว่าร่างกายคงผ่ายผอมลงไม่น้อย ตรอมใจถึงเพียงนี้ยังไม่ปริปาก ไม่ยอมพึ่งพิงผู้ใดหรือเพราะผู้ที่เคยพึ่งพาได้กลายเป็นของผู้อื่นไปแล้ว ดังนั้นเมื่อบุพการีอยากให้สมรส ก็ยอมตกลงทั้งที่หน้าตาเจ้าสาวเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ
ชาติก่อนนั้นซื่อเสวี่ยนแต่งหลิวเสี้ยนหรงภรรยาจริง ‘เขา’ คนเดิมยอมให้ศิษย์ผู้นี้แต่งภรรยาหลังกลับจากออกรบ
แต่ ‘เขา’ ในเวลานี้ ไม่ต้องการให้ซื่อเสวี่ยนแต่งภรรยา
ถูกแล้ว เขากลับมายังภพมนุษย์ ณ ห้วงเวลานี้แล้ว
ผลึกแก้วสีทองของเทพเป็นแก่นสำคัญที่บรรจุความทรงจำของเทพซึ่งมีอายุขัยยาวนานกว่ามนุษย์มาก และเป็นแก่นที่บรรพบุรุษถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ไว้ จึงสำคัญกับเทพไม่ต่างจากดวงจิต ดังนั้นพลังเทพจึงถูกแบ่งมาปกป้องผลึกสีทองนี้โดยอัตโนมัติ ยากนักที่จะเกิดรอยขีดข่วน ยามที่เห็นบัวสวรรค์บานต่อหน้าทำให้เขาสะกิดใจสงสัยจนส่งกระแสพลังเข้าไปสำรวจความทรงจำของตน ค่อยพบว่าผลึกแก้วมีรอยขีดที่ตื้นและเล็กมากจนแทบมองไม่เห็นหากไม่สังเกตอย่างถี่ถ้วน กลิ่นของพลังเจืออยู่เพียงเลือนลาง แต่พอให้คาดเดาความแข็งแกร่งของผู้ใช้ได้ เวลานั้นใบหน้าของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงความคิด
พระแม่
มีเพียงเทพผู้สร้างอย่างพระนางเท่านั้นที่มีพลังพอจะแทรกแซงความทรงจำของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว และมีเพียงพระนางเท่านั้นที่มีสายเลือดมังกรเช่นเดียวกับเขา สามารถปิดปังกลิ่นอายพลังอย่างแนบเนียนจนเขาไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ
แต่พระนางจะทำลายความทรงจำเกี่ยวกับมนุษย์คนหนึ่งเพราะเหตุใด
พระแม่เป็นคำเรียกขานเทพผู้สร้างมหาสมุทร เทพีแห่งสายน้ำ บรรพบุรุษต้นตระกูลอวิ๋น เป็นมังกรทองที่ทรงพลังในที่สุดประวัติศาสตร์ของตระกูล ครั้นภพสวรรค์เลือกผู้ปกครองตระกูลอ้าวเหยียน โดยมีตระกูลอวิ๋นรั้งตำแหน่งตงหวาง พระนางค่อยจากไปพำนักอยู่ ณ ยอดเขาหมื่นลี้ที่ห่างไกล และรับเพียงสตรีผู้มีชะตาต้องกันไว้เป็นศิษย์ ไม่ก้าวก่ายในราชการของภพสวรรค์อีก มีเพียงครั้งเดียวที่พระนางกลับมาคือวันที่เขาถือกำเนิด มาเพื่อตั้งชื่อให้เขาว่าอวิ๋นหนาน
พระแม่ล่วงรู้อนาคต เป็นผู้ที่สามารถแทรกแซงชะตาลิขิต แต่ก็เป็นผู้ที่เชื่อถือลิขิตสวรรค์อย่างที่สุด ทุกการกระทำล้วนคาดเดาไม่ได้ เขาไม่กระจ่างถึงเจตนาของพระนาง ขณะเดียวกันก็สงสัยว่าเรื่องราวอาจเกี่ยวพันกับเขา ดังนั้งยามที่มองซื่อเสวี่ยน มนุษย์ที่มีอายุสั้นผู้หนึ่ง ในใจจึงเกิดรสชาติซับซ้อนเกินบรรยาย
ในบันทึกของคงเหวิน ร่างจำแลงของเขาเผชิญด่านรัก หนานจงฮ่องเต้หลงรักซื่อเสวี่ยน ผู้เป็นศิษย์และขุนนางคู่พระทัย อีกทั้งคนผู้นั้นยังแต่งภรรยาและมีบุรุษในดวงใจแล้ว ความรักนี้ล้วนไม่อาจงอกเงย กระนั้นก็ยังรัก กระทั่งซื่อเสวี่ยนรับคมดาบแทนเขา สิ้นใจลงตรงหน้าโดยที่ไม่มีเขาในหัวใจแม้แต่น้อย หนานจงฮ่องเต้ก็ยังรัก แต่งตั้งเฉินซื่อเสวี่ยนผู้ล่วงลับเป็นอ๋อง ให้บรรดาศักดิ์นี้ตกทอดสู่ลูกหลานสกุลเฉิน ส่วนสมญานามปราการแผ่นดินนั้นให้เป็นของซื่อเสวี่ยนเพียงผู้เดียว
แต่ความทรงจำเมื่อครั้นเป็นหนานจงฮ่องเต้นั้น เขาลืมสิ้นแล้ว มีเพียงข้อความพรรณาราวสองหน้ากระดาษถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคราวนั้น ขณะที่ความรู้สึกที่มีต่อมนุษย์ที่ชื่อว่าซื่อเสวี่ยนนั้น ไม่มีแล้ว ดังนั้นยามที่เทพยามาตั้งคำถามหนึ่งกับเขา เขาจึงตอบไม่ได้
ยมโลก
บุรุษสองคนนั่งประจันหน้ากัน คนหนึ่งสวมชุดสีขาวสะอาด ส่วนอีกคนสวมชุดดำตลอดทั้งตัว ยังให้เกิดความแตกต่างชัดเจน ประหนึ่งสวรรค์และยมโลกโคจรมาบรรจบกัน หากว่าวังตะวันออกโอบล้อมด้วยแม่น้ำสีมรกตและบัวสวรรค์สีขาวบริสุทธิ์แล้ว ยมโลกก็มีเทือกเขาสูงและดอกไม้นรกสีแดงสด
พวกเขาทั้งคู่สมควรเป็นคนที่ยืนอยู่คนละด้านโดยสิ้นเชิง
กระจกส่องภพฉายภาพงานมงคลสมรสระหว่างตระกูลใหญ่อย่างสกุลอี้และสกุลซุนซึ่งถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เจ้าบ่าวเป็นถึงตูตูทั้งที่อายุยังน้อย เป็นแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล ส่วนเจ้าสาวเป็นโฉมงามที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ท่ามกลางบรรยากาศรื่นรมย์ยินดี ใบหน้าของสหายสนิทของเจ้าบ่าวอย่างเฉินซื่อเสวี่ยนประดับรอยยิ้มตลอดทั้งงาน ผู้ใดล้วนดูไม่ออกว่าหัวใจของเขาพังยับเยินเพียงใด
อี้เทียนยกจอกสุราร้อนแรงขึ้นดื่ม ใบหน้าคมคายของเขาคล้ายถูกเมฆดำปกคลุมไว้ กระแสลมแรงแห่งยมโลกพัดโหมจนเกิดเสียงหวีดหวิวสะท้อนถึงอารมณ์พลุ่งพล่านของผู้เป็นนาย น้ำเสียงอ่อนล้าแหบพร่าเอ่ยขึ้นโดยที่ดวงตายังไม่ละจากกระจกส่องภพ
“ท่านบอกว่าจะไปภพมนุษย์ในห้วงอดีตของจิวซือหรือ”
หากมิใช่เพราะเหตุผลนี้ เกรงว่าเขาคงไม่เปิดประตูต้อนรับเจ้าวังตะวันออกผู้นี้โดยง่าย
อวิ๋นหนานจ้องมองใบหน้าขาวซีดประดับด้วยรอยยิ้มของซื่อเสวี่ยนไม่ต่างกัน สมรสพระราชทานนี้แน่นอนว่าเขาเป็นผู้อนุญาตเอง หวังดึงสกุลซุนให้เป็นโล่อีกใบ สกุลอี้ เฉิน ซุน หลิว ล้วนแต่ถูกเขากำไว้ในมือเพื่อให้บัลลังก์มังกรมั่งคง ที่แท้เบื้องหลังคือใบหน้ายิ้มแย้มนี้เองหรือ
“ข้าคือหนานจงฮ่องเต้...” น้ำเสียงยามเอ่ยถึงอดีตของตนเองฟังดูราบเรียบ ปราศจากอารมณ์อ่อนไหว ยามนั้นภารกิจของเขาคือกำจัดขุนนางกังฉิน และปกครองต้าเสินอย่างมั่นคง วางรากฐานให้แผ่นดินสงบสุขอีกอย่างน้อยสามร้อยปี หารู้ไม่ว่าที่แท้ซ่อนด่านรักของตนไว้
เวลานั้นเขาผ่านด่านรักมาได้อย่างไร
ยามที่ร่างโชกเลือดล้มลงในอ้อมแขนจะยิ้มเช่นนี้หรือไม่
กระทั่งอวิ๋นหนานกล่าวจบ อี้เทียนก็ยังคงนิ่ง ภาพในกระจกส่องภพเหมือนภาพที่ถูกเร่งความเร็ว พริบตาเดียวก็เห็นซื่อเสวี่ยนนอนกอดมีดพับด้ามหนึ่งหลับไปแล้ว
“ตงหวาง ท่านเชื่อในชะตาลิขิตหรือไม่”
“เชื่อ”
“แต่ข้าไม่”
“เจ้ายมโลกล้วนไม่”
“จริงของท่าน”
อี้เทียนหัวเราะในลำคอ ผู้ที่ผ่านด่านได้เป็นเจ้ายมโลกทุกรุ่นล้วนไม่เชื่อในชะตาลิขิต เพราะยมโลกถือเขาเป็นนาย เจตนารมณ์ของเขาเหนือกว่าเจตนารมณ์ของสวรรค์ วิญญาณทั้งหลายแม้ไม่ฟังสวรรค์ยังต้องฟังเทพยามา เดิมทีเขาเองก็คิดเช่นนี้ กระทั่งพบว่าแม้ต้องการไปหาแทบขาดใจ ยังไม่อาจไปอยู่เคียงข้างได้ แม้ต้องการเปลี่ยนแปลงชะตาของคนๆ หนึ่งมากเพียงใด สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้คนผู้นั้นเผชิญลิขิตตามลำพัง
“ท่านขอให้ข้าส่งท่านไปหาเขา” อี้เทียนทวนคำ
“ถูกแล้ว”
“นี่ก็เป็นลิขิตหรือ”
“ลิขิตคือผลกรรมที่ผูกพันกันมา ข้าสร้างกรรมกับเขา จึงเกิดลิขิตร่วมกับเขา”
ใบหน้าของอี้เทียนประดับรอยยิ้มเย้ยหยัน ขณะที่มือหมุนจอกสุราไปมา “ถ้าข้าไม่ช่วย เรียกว่าฝืนลิขิตหรือเปล่า”
อวิ๋นหนานยังคงนิ่งเฉยกับกริยาท้าทายของคนตรงหน้า เขารินสุราให้ตนเอง ก่อนจะยกดื่มจนหมดถ้วย รสสุราร้อนแรงทำให้ลำคอร้อนผ่าว แต่ช่วยให้บรรยากาศของคนทั้งคู่ผ่อนคลายลง แม้มิอาจเรียกว่าสหายร่ำสุราแต่ก็มิใช่คนแปลกหน้าต่อกันเช่นแต่ก่อน ต่างยอมรับว่าพวกเขามีกรรมผูกพันกันไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง
“มีแต่ข้ามผ่านเส้นทางของยมโลกจึงจะเป็นความลับ”
“คนที่อยู่เบื้องหลัง ท่านรู้หรือ” อี้เทียนหรี่ตาลง
ดวงตาสีทองของอวิ๋นหนานมีแสงสีทองเข้มพาดผ่าน “พระแม่”
อี้เทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เทพผู้สร้างหรอกหรือ ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงบอกว่าไม่อาจแทรกแซง บอกว่าขอเพียงซื่อเสวี่ยนผ่านด่านสุดท้ายนี้ได้ คนผู้นั้นก็จะรามือเอง แต่ตงหวางมั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นพระนาง อี้เทียนมองอวิ๋นหนานอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า
“ตงหวาง พระแม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่าน”
สมกับเป็นเทพยามา เฉียบแหลมนัก
อวิ๋นหนานเลือกที่จะไม่ตอบ ความเกี่ยวพันทางสายเลือดเลือนลาง ความเกี่ยวพันในชีวิตจริงแทบไม่ปรากฏ แต่หากกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกันเลย ก็กล่าวเช่นนั้นมิได้
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ หรือตอบไม่ได้ อี้เทียนก็หัวเราะในลำคอ ดวงตาสองสีของเขาฉายประกายกร้าว ควันดำแทบจะปกคลุมดวงตาทั้งสองจนแสงสีทองของดวงตาข้างหนึ่งเลือนลาง
“ด้ายแดงจะผูกชะตาของคนสามคนเข้าด้วยกันได้อย่างไร ท่านว่าไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ”
ใช่ ไร้เหตุผล
“ยกเว้นผูกข้ากับซื่อเสวี่ยนไว้ก่อน และผูกกับท่านภายหลังด้วยคิดว่าข้าจะคลายปมที่ผูกไว้ครั้นเป็นมนุษย์
ยกเว้นมีคนจงใจ...ทำลายพรหมลิขิตของข้า”
ถ้วยสุราเนื้อดีถูกอี้เทียนปล่อยจากมือร่วงลงกระแทกพื้นจนแตกละเอียด
เกิดคำถามมากมายที่ล้วนหาคำตอบไม่ได้
เขากับซื่อเสวี่ยนไร้วาสนาต่อกันจริงหรือ
ตายจากกันโดยไม่เคยเอ่ยคำว่ารัก ทั้งที่รักมากถึงเพียงนั้น กลายเป็นบ่วงที่ฉุดรั้งซื่อเสวี่ยน จะผลักเขาสู่ห้วงอเวจี จำจองที่นี่หมื่นปี ทั้งหมดเป็นเขาลิขิต สวรรค์ลิขิต หรือผู้ใดแทรกแซง
“แต่หากต้องการให้ซื่อเสวี่ยนเป็นของท่าน จะทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนอาจถึงขั้นดับสูญทำไม”
อวิ๋นหนานมองภาพในกระจก เห็นซื่อเสวี่ยนร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทางสง่างาม แต่ดวงตาเลื่อนลอยไร้จุดหมาย หาได้มีสมาธิอยู่กับเพลงกระบี่ไม่ ในใจเต็มไปด้วยความสับสน เขามั่นใจว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือพระแม่ แต่เจตนาของพระนางเป็นเช่นใดสุดจะคาดเดา ทั้งภพมนุษย์ของซื่อเสวี่ยน ทั้งด่านทดสอบคุณภาพสิบเอ็ดชาติของจิวซือ ใช่มีเขาเป็นต้นเหตุหรือไม่ อารมณ์ความรู้สึกยุ่งเหยิงยากจัดการ สุดท้ายจึงได้แต่กล่าวว่า “ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการคาดเดา”
อี้เทียนสูดลมหายใจเข้าลึก อารมณ์พลุ่งพล่านเพราะข้อสันนิษฐานของตนเองเริ่มสงบลง เพียงคิดถึงความเป็นไปได้เสี้ยวหนึ่งก็ทำให้แทบสูญเสียกริยาและเหตุผล ไม่ว่ามีผู้ใดแทรกแซงหรือไม่แล้วอย่างไร ทั้งหมดนั้นเขาเลือกเอง รวมถึงเลือกเป็นเจ้าแห่งยมโลกด้วย สิ่งเดียวที่แน่ใจคือคนผู้นั้นประสงค์ร้ายต่อซื่อเสวี่ยน สิ่งอื่นๆ ล้วนไม่สำคัญ มีเพียงดวงจิตของซื่อเสวี่ยนเท่านั้นที่ต้องรักษาไว้ให้ได้
ด้ายแดงผูกพวกเขาสามคนไว้ด้วยกัน เส้นหนึ่งนั้นเขาไม่มีวันคลาย แล้วอีกเส้นล่ะ
“ซื่อเสวี่ยนเป็นด่านรักของท่าน เช่นนั้นรักหรือไม่”
คำถามของเทพยามาที่กล่าวขึ้นอย่างกะทันหันทำให้อวิ๋นหนานชะงัก ดวงตาสีทองเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย มือกำถ้วยสุราแน่นขึ้น แม้สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน
รักหรือไม่ ไม่กระจ่างใจด้วยไม่เคยรักผู้ใด ทราบแต่ว่าเหตุผลของเขาถึงถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเซียนน้อยตนนั้น
“หวังว่าท่านจะไม่รัก” อี้เทียนกล่าวคล้ายล้อเล่น แต่ดวงตาทรยศน้ำเสียงเรียบเรื่อยของเขา
อี้เทียนยินยอมให้เขาใช้เส้นทางของยมโลกมายังภพมนุษย์ตามคาด คนผู้นั้นคับแค้นใจที่ตนปรารถนาแค่ไหน ก็ไม่สามารถมาได้ ด้วยเกรงว่าดวงจิตของจิวซือจะถูกกระทบแม้เพียงเล็กน้อย แต่เพราะรักซื่อเสวี่ยนอย่างลึกซึ้ง จึงยินยอมช่วยให้เขามา ให้ช่วยปกป้องดวงจิตดวงนี้
อวิ๋นหนานมองซื่อเสวี่ยนที่ตั้งใจอ่านกีฎาในมือ ใบหน้าเนียนจดจ่ออยู่กับตัวอักษรจนไม่ทันสังเกตว่าหนานจงฮ่องเต้วางพู่กันแล้วทอดพระเนตรใบหน้าของตนอย่างละเอียด คิ้วเข้มเรียงตัวสวย จมูกรั้น ปากอิ่มเป็นสีชมพูเข้มตามธรรมชาติ และดวงตากระจ่างใสที่ไม่ยอมเผยความทุกข์ใจให้ผู้ใดเห็น ซ้อนทับกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของเซียนน้อยที่เขาหมายตาให้เป็นผู้ช่วยข้างกาย ทั้งคู่ล้วนแต่มีดวงตากระจ่างใสเช่นนี้ มีรอยยิ้มประดับใบหน้า และมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำ เป็นเซียนตนที่พยายามฝึกพลังเทพแทนที่จะดื่มกินอาหารทิพย์ จะว่าไม่เรียนรู้วิถีของคนทั่วไป หรือดื้อรั้นกว่าคนอื่นก็ไม่ทราบ
นึกถึงจิวซือที่ตั้งใจฝึกวิชาตามคำสอนของเขาแล้ว ริมฝีปากของอวิ๋นหนานก็ยกมุมขึ้นเล็กน้อย
หากบอกว่าไม่รัก เขาจะผนึกเสี้ยวจิตหนึ่งไว้กับดวงจิตของซื่อเสวี่ยนทำไม ต่อให้เขาจำไม่ได้ แต่ยังมีกลิ่นบัวสวรรค์เป็นพยาน ความทรงจำของเขา เขาย่อมต้องทวงคืน ถึงเวลานั้นคงตอบได้ว่ารักหรือไม่รัก
“ซือจง ฝนหมึก”
#วิถีเซียน3p