ตอนที่ 5 {เสือใหญ่}ปัญหามีไว้ให้แก้ไขไม่ได้มีไว้เพื่อกลุ้มใจ
ผมบอกคำนี้กับน้องๆ ในทีมหลังจากการประชุมจบลงในช่วงสายขอวัน
ถึงแม้ลูกค้าจะไม่ต่อสัญญาแต่สิ่งที่ทำค้างอยู่นี้ก็ต้องทำต่อด้วยพลังใจที่ต้องไม่ลดลง ทำเหมือนปกติ อาจจะเหมือนการโกหกตัวเอง แต่อย่างน้อยการไม่คิดลบก็เป็นพลังขับเคลื่อนที่ดี
ผมบอกคำนั้นกับอัคคีตอนที่เข้าไปรายงานผลการประชุม เขาให้กำลังใจผม แน่นอนว่ามันให้ความรู้สึกที่ดี
“เจ๋งไปเลยว่ะพี่เสือ”
“อะไรเจ๋งวะ”
“พอประกาศงานด้วยเงื่อนไขการเซ็นสัญญาแค่ 3 เดือน ผู้สมัครสวยๆ รับงานเพียบ”
ผมมุ่นคิ้วฉับ ว่าแล้วเชียว ปัญหามันอยู่ที่ระยะเวลาของสัญญานั่นเอง แปลกที่น้องไม่อยากทำงานประจำแบบต่อสัญญารายปี แต่กลับชอบงานระยะสั้น
ช่วงบ่ายมีผู้สมัครเข้ามาสัมภาษณ์พอดี ผมอาศัยจังหวะนี้สอบถาม
“ทำฆ่าเวลาค่ะพี่ เดี๋ยวต้นปีก็มีงานมอเตอร์โชว์แล้ว ไม่อยากมีพันธะ แล้วอีกอย่างงานพวกพี่เงินน้อย งานหนักด้วย ทำขำๆ หาประสบการณ์” ผู้สมัครสาวสวยใบหน้าแบบพิมพ์นิยม ผมดัดลอน แต่งหน้าเกาหลีแต่ใส่บิ๊กอายสีน้ำทะเลไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ทำขำๆ แล้วจะทำยอดขายให้พี่ได้เหรอครับ”
“ก็ต้องทำให้ดีที่สุดสิคะ หาประสบการณ์ หนูก็อยากได้ประสบการณ์ที่ดีนะพี่”
“แล้วเราเริ่มงานได้เลยมั้ย”
“พี่กวินบอกว่าให้เข้ามาอบรม แล้วเริ่มงานวันจันทร์ค่ะ”
“โอเค ขอบคุณครับ” ผมยิ้มให้แล้วลุกขึ้น หากแต่กลับถูกมือเรียวสัมผัสที่ข้อศอก เอี้ยวตัวมองก็สบเข้ากับดวงตากลม ให้ตายเถอะ ผมไม่ชอบบิ๊กอายเธอเลยว่ะ น่ากลัวสัส
“พี่สรัลมีแฟนรึยังคะ”
“ปิดยอดขายให้พี่ได้ทุกเดือนสิ แล้วพี่จะบอก”
“ร้ายจัง หนูชอบ”
“ตั้งใจทำงานครับ”
“แล้วถ้าอยากเจอพี่สรัลต้องทำยังไงคะ”
“ทำยอดขายให้มันดีๆ สิ แล้วพี่จะไปเยี่ยมที่ห้าง”
“ที่สุด ไม่เปิดโอกาสให้หนูเลย มีแฟนแล้วแน่ๆ อะ”
“ไม่รู้สิ ถ้าอยากรู้ต้อง...”
“ปิดยอดขายให้ได้ทุกเดือน รู้แล้วค่ะ ย้ำจัง เอาไว้เจอกันวันอบรมนะคะ” ว่าจบก็กรีดยิ้มสวย โบกมืออย่างมีจริตแล้วเยื้องย่างผ่านผมออกจากห้องไป
ก็ต้องยอมรับว่า มีพริตตี้ เอ็มซีสวยๆ อย่างน้องน้ำหวานไม่มากนักหรอกที่จะเอาเวลาอันมีค่าของพวกเธอมาเพื่อเป็นพนักงานขายผลิตภัณฑ์ตามห้างสรรพสินค้า เป็นสาวเชียร์เบียร์ พริตตี้มอเตอร์โชว์สบายกว่าเยอะ
“อารมณ์ดีเชียว” พอน้องน้ำหวานก้าวผ่านประตูออกไป ไอ้คุณอัคคีก็ก้าวเข้ามาแทน
ประตูห้องถูกปิดลง
“น้องเค้าน่ารัก”
“ที่ชอบงานนี้เพราะได้ใกล้ชิดสาวๆ สวยๆ ใช่มั้ย”
“ก็ส่วนนึงครับ”
“แล้วอะไรทำให้เสือรักงานนี้”
“ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องบอกคุณ ขอตัวครับ”
“มีข่าววงในแว่วมาว่า...” เหมือนเขาเว้นจังหวะไว้ให้ผมเอี้ยวตัวกลับไปมอง “The First เป็นเอเยนซี่เจ้าใหม่ที่จะมารับงานต่อจากเรา ผมจะไม่ได้รับใบลาออกจากคุณใช่มั้ยสรัล”
“อะไรทำให้คิดแบบนั้น”
“วงในเขาแจ้งมาว่าคุณมีเพื่อนทำงานที่นั่นเยอะ”
“ก็เลยคิดว่าผมจะทิ้งที่นี่แล้วไปอยู่ที่นั่นอย่างนั้นเหรอ เห็นผมเป็นคนแบบนี้เองสินะ ก็ไม่แน่หรอก ความคิดของคุณอาจทำให้ผมเปลี่ยนใจก็ได้”
“ถ้าคุณได้อ่านกฎระเบียบ”
“อ่าน และถึงแม้จะไม่อ่านผมก็ไม่มีทางย้ายไปทำงานกับบริษัทคู่แข่ง”
ปัง!
ผมกระแทกประตูปิดแรงๆ จนผนังสั่น แม่ง! โมโหว่ะ ไหนมันบอกว่าชอบผมแล้วทำไมถึงดูถูกกันด้วยความคิดแบบนั้น
ผมเป็นเสือนะ เสือที่ถึงแม้จะจนตรอกแต่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนฝักเปลี่ยนฝ่ายเพื่อให้ตัวเองรอดตายเพียงลำพังหรอก
▼▲▼▲▼
คำชมของลูกค้าหลังจากเติมพนักงานจนเต็มพื้นที่ขายทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย ถึงแม้โอกาสที่เขาจะเปลี่ยนใจกลับมาต่อสัญญาเท่ากับศูนย์แต่อย่างน้อยระหว่างเราก็จบกันด้วยดี ถ้าสัญญากับเดอะเฟิร์สจบลงโอกาสอาจจะกลับมาหาเราอีกครั้ง
“หาอะไรตื้ดๆ ฟังกันมั้ยพี่”
“เอาดิ” ผมพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเมื่อชัตดาวน์คอมพิวเตอร์เครื่องเต่ารออีก 10 นาทีนู่นแหละเขาถึงจะปิดลง
“ไปร้านเพื่อนผมมั้ยมันโดนไล่มาจากหลังมอ”
“สาวๆ แจ่มมั้ย”
“แน่นอนสิพี่ น้องนักศึกษาตรึม”
“แล้วจะรออะไรล่ะไอ้น้อง ไปกันโลด”
“ยังไปไม่ได้ดิพี่”
“ทำไมวะ” เมื่อมองตามสายตาที่เหล่มองก็พบกับ…
ไอ้สันดาป
เครื่องกูยังปิดไม่เสร็จเลยครับพี่น้อง ผมนี่อยากชักปลั๊กออกให้รู้แล้วรู้รอด
“คุณอัคคีจะกลับแล้วเหรอครับ”
หน้าจอดับลงในตอนที่เจ้าของชื่อหยุดลงตรงหน้าพวกเราพอดี
“ครับ แล้วนี่จะกลับกันเลยมั้ย ติดรถผมไปก็ได้นะ”
“พวกผมจะไปดื่มกันต่อ ถ้าคุณอัคคีว่าง…”
สนใจเท้ากูที่สะกิดมึงยิกๆ นี่สักหน่อยมั้ยไอ้กวิน ชวนมันทำไม เชื่อกูสิมองสายตาเจ้าเล่ห์ของมันที่กำลังมองกูแล้วมึงจะรู้ว่ามันไม่ปฏิเสธมึงแน่
“ว่างสิ ผมไปด้วยได้ใช่มั้ย”
“ได้อยู่แล้ว แต่คุณอัคคีต้องเลี้ยงนะครับ”
“สบายเลี้ยงตลอดชีวิตยังได้เลย”
คำพูดติดตลกที่กวินทำหน้างง เกาหัวแกร๊ก อาจจะมีเพียงผมที่เข้าใจสิ่งทีมันต้องการจะสื่อ
ลืมไปรึเปล่าว่าเสือไม่ใช่สัตว์เลี้ยง ไม่ต้องมาบอกผ่านสายตาว่าอยากเลี้ยง กูหาเลี้ยงตัวเองได้ครับ
ถึงไม่ค่อยเต็มใจนักแต่เพราะความอยากส่วนตัวทำให้จำต้องขึ้นมานั่งข้างคนขับอย่างเงียบเชียบ ฟังไอ้กวินกับไอ้คุณอัคคีคุยกันเรื่องสัพเพเหระ แต่เดี๋ยวนะมันลากมาถึงเรื่องของผมได้ไง
“ความหล่อของพี่เสือเคยช่วยให้หาพนักงานลงงานเต็มทุกสโตร์มาแล้วนะครับ ไม่ธรรมดาใช่มั้ย”
“งั้นเหรอหล่อจริงๆ ด้วย” รถก็ช่างมาติดไฟแดงตอนนี้ เปิดโอกาสให้เจ้าของรถหันมามองผมเต็มตา
เออไม่ต้องมองมาก กูรู้แล้วว่ากูหล่อ
“ใช่มั้ยครับและผมก็แปลกใจมาก เป็นความแปลกใจที่ไม่เคยถูกไขให้กระจ่างเลยตลอดปีกว่าที่ผ่านมา”
“มึงหุบปากได้มั้ยไอ้วิน”
“ก็ผมสงสัยนี่หว่าพี่ คุณอัคคีไฟเขียวครับ” รถออกตัวเมื่อเสียงไอ้กวินเงียบไป
“เรื่องอะไรเหรอครับวิน ถามผมได้นะผมเป็นเพื่อนสนิทเสือ”
“ถามได้จริงๆ เหรอครับ” ไอ้กวินตาโตเท่าไข่ห่าน
“ได้สิ”
พอได้รับอนุญาตมันก็รีบยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วฉีกยิ้มกว้าง อยากช่วยฉีกให้ปากแหกถึงติ่งหูจังเว้ย
“คุณอัคคีรู้หรือเปล่าครับว่าพี่เสือเคยมีแฟนรึเปล่า” ไม่พ้นเรื่องนี้สินะ
“นั่นสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ตอนนี้มีแฟนหรือเปล่า”
“การรู้ว่ากูมีแฟนหรือยังไม่มีมันทำให้หน้าที่การงานพวกมึงมั่นคงขึ้นเหรอวะ”
“เปล่า” พร้อมใจกันส่ายหน้า
“งั้นก็ไม่เสือกนะ”
“แบบนี้ทุกที ถ้าไม่มีก็บอกดิพี่ เพื่อนผมสนใจพี่หลายคนนะ”
“เท่าที่ผมรู้มา เสือไม่ชอบผู้หญิงอายุน้อยกว่าหรอกกวิน” เอิ่ม...กูบอกตอนไหนวะ
“พี่ชอบคนอายุมากกว่าเหรอ”
“เปล่า” ให้โอกาสผมตอบซะที่ไหน ไอ้เจ้าของรถนั่นแหละที่เป็นฝ่ายตอบ “เสือชอบคนอายุเท่ากัน”
“โห อะไรของพี่วะ อายุไม่สำคัญหรอก ลองเปิดใจคบดูพี่ ไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าแค่เข้าใจกันก็พอแล้ว”
“เอิ้นเข้าใจเสือนะ” คนที่วางมืออยู่บนพวงมาลัยโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบผมในตอนที่ไอ้กวินมองซ้ายมองขวาหาร้านของเพื่อนมัน
ผมอยากจะถอนหายใจเป็นจังหวะเพลงสามช่า บันเทิงมั้ยล่ะ หาทางหยอดกูจนได้เลยสิ
▼▲▼▲▼
“เหล้าที่แพงที่สุดได้แล้วครับ” เหล้าถูกยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ คนอายุน้อยที่สุดกุลีกุจอชงเหล้าแล้วส่งให้
เราชนแก้วกัน จำไม่ได้ว่าชนไปกี่มากน้อยเพราะผมเอาแต่กระดกน้ำสีอำพันในแก้วลงคอไม่สนใจนับจำนวน ด้วยขี้เกียจจะเสวนาเรื่องต่างๆ รอบตัว ได้แต่นั่งฟังไอ้กวินมันพูดจ้อ กระทั่งวกเข้าเรื่องงานที่กำลังจะจบสัญญา
ดราม่าเริ่มบังเกิดเมื่อบ่อน้ำตาไอ้กวินเริ่มร้าว
ผู้ชายประสาอะไรร้องไห้ง่ายชิปเป๋ง
“ไม่เป็นไรน่ากวิน บริษัทไม่ลอยแพพวกคุณหรอก” คนเป็นผู้จัดการปลอบใจ
“ผมไม่ซีเรียสเรื่องนั้นครับ ผมเสียใจที่ทำให้งานหลุด ถ้าพวกเราขยันกว่านี้ ตั้งใจกว่านี้ ฮึก ผลต้องไม่ใช่แบบนี้ ผมเสียใจครับพี่”
ฟูมฟายแล้วก็วิ่งหายเข้าไปหลังร้าน ถ้าไม่ใช่ร้านเพื่อนมันผมคงตามไปลากคอมันออกมาหรอก แต่ในสถานการณ์นี้ปล่อยมันไปน่ะถูกแล้ว
“เสือเมาแล้วนะ”
“อือ”
“พอแค่นี้มั้ย เดี๋ยวเอิ้นไปส่งบ้าน”
“ไม่อะ กูอยากเมาอีก”
“ไม่กลัวเอิ้นเหรอ”
“กลัวทำไม”
“เสือก็น่าจะรู้”
“กูหมายความว่าจะกลัวทำไมในเมื่อก็เคยแล้ว มันคงไม่แย่ไปกว่าเดิมหรอก”
“หมายความว่าคืนนี้ก็ได้งั้นเหรอ”
“มึงนี่หมกมุ่นนะ อยากเคลมกูอะไรขนาดนั้นวะ”
“กอดใครก็ไม่อุ่นเท่ากอดเสือ”
“ก่อนจะกลับมาหากู กอดมาหลายคนแล้วล่ะสิ”
“หึงเหรอ”
“เหอะ” ตลกมั้ย ผมเหลือบมองหน้าคนที่ฉีกยิ้มกว้างด้วยสายตาละเหี่ยใจแล้วกระดกเหล้าในแก้วจนหมดรวดเดียว
“พอยัง”
“พออะไร”
“เมาพอยัง มีแรงเดินมั้ย”
“ไม่รู้กูนั่งอยู่นี่ไง ยังไม่ทันได้เดินมึงก็เห็น แล้วมึงถามทำไม”
“ถ้าไม่มีแรงเดินก็ไม่มีแรงขัดขืนเอิ้น ถูกป่ะ”
“มึงนี่แม่ง จะเอากูให้ได้เลยใช่ป่ะ”
“ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าได้ทั้งใจจะดีมากๆ เลย”
“กูถามจริงนะเอิ้น” ผมวางแก้วลงแล้วเท้าคางจ้องมองหน้ามันด้วยสายตาที่พร่าเบลอเต็มที เมาว่ะ เมามากด้วย เหล้ายิ่งแพงยิ่งแรงเหรอวะ “มึงโกรธอะไรกูนักหนาวะ บอกกูสิว่าทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธ”
“เอิ้นไม่ได้โกรธเสือ”
“มึงโกรธ ถ้ามึงไม่โกรธมึงจะมาตามกวนใจกูทำไม”
“ไม่โกรธจริงๆ ทำไมถึงคิดว่าเอิ้นโกรธล่ะ”
ก็เพราะเรื่องในอดีตที่ผมทำไม่ดีกับมันไว้ไง แค่นั้นก็มากพอที่มันจะเจ็บจนจำฝังใจและกลับมาแก้แค้นผมแล้ว
“เรื่องนั้นน่ะ เอิ้นไม่โกรธหรอกนะ เอิ้นรู้จักเสือดี เสือไม่ได้ตั้งใจหรอก”
“แล้วมึงย้ายโรงเรียนทำไม”
“ป๊าต้องย้าย เอิ้นไม่ได้อยากไป เอิ้นอยากอยู่กับเสือ แต่เสือรู้ใช่มั้ยว่าตอนนั้น ตอนที่เราเป็นเด็กเราตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเองที่ไหนกัน ทีนี้เข้าใจรึยังว่าเอิ้นไม่ได้โกรธเสือ ที่มาตามกวนใจก็เพราะชอบ จีบนะเนี่ย ไม่รู้เหรอ”
“จีบห่าอะไร ผู้ชายด้วยกัน” หน้าร้อนเลยว่ะ
“ทำไมอะ เป็นผู้ชายจีบกันไม่ได้เหรอ งั้นเป็นแฟนกันเลยมั้ย”
“ตลก กูอยากกลับบ้านแล้ว ไปส่งเลย เจ๊ศรีโทรจิกกูจนกูนึกว่ามีแม่เป็นไก่แล้ว”
“พยุงมั้ย”
“ถ้ามึงไม่พยุงกูคงต้องคลานไปที่รถอะ”
“เสือน่ารัก รู้ตัวมั้ย” หยอดแล้วก็สอดแขนเข้ามาโอบเอว ยกแขนข้างหนึ่งของผมพาดคอ
“ก็มีแต่มึงคนเดียวแหละที่พูดแบบนี้ เสือครับ ไม่ใช่แมว น่ารักได้ไง”
“เหรอ ไม่มีคนพูดว่าเสือน่ารักเลยเหรอ”
“ไม่มี” ผมส่ายหน้า
“ก็ดีแล้ว ไม่อยากให้ใครมาแย่งชอบเสือ”
“ขี้หวงนะมึง”
“หวงมากด้วย” ผมส่ายหน้าหน่ายใจกับการหยอดที่ไม่เคยลดลงเลยสักนิดไม่ว่าจะตอนมีสติหรือตอนเมา ว่าแต่ไอ้คนที่บอกจะไปส่งผมที่บ้านนี่มันเมาหรือเปล่าวะ
“เอิ้น...”
“หืม”
“มึงเมาป่ะ”
“ไม่นะ” ใบหน้าหล่อเหลาโฉบเข้ามาใกล้ “ลองดมดูสิ ไม่มีกลิ่นเหล้าเลยซักนิด”
“ดมเหี้ยไร ออกไป”ผมยกมืออันอ่อนแรงขึ้นดันไหล่แกร่งออกแต่ไอ้เอิ้นก็คือไอ้เอิ้นยิ้มเก่งอะไรขนาดนี้
“อย่ามาทำตัวน่ารักได้มั้ย”
“กูไม่ได้ทำ” ผมเถียง นึกโกรธเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของตนที่ไม่สามารถดันร่างมันออกห่างได้สักนิดเดียว
“ก็ที่มองเอิ้นด้วยตาเยิ้มๆ เนี่ยเขาไม่ได้เรียกว่าทำตัวน่ารักเหรอ”
“กูเมา เอ๊ะ!” ผมเบี่ยงหน้าหลบเมื่อนิ้วเรียวยื่นมาเขี่ยปลายจมูกแผ่วเบา ใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงปัดออกแต่ก็เท่านั้นนอกจากไม่ยอมออกห่างง่ายๆ แล้วยังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนสายตาโฟกัสภาพไม่ได้อีก
“อยากจูบเสืออีกแล้วอะ”
“จูบเหี้ยไร ขับรถไปกูอยากกับบ้านแล้ว”
“ให้จูบก่อนแล้วจะพากลับบ้าน”
ยังไงผมก็ต้องยอมใช่มั้ย ดังนั้นผมจึงปิดเปลือกตาลงแล้วว่าด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย “จะทำอะไรก็รีบทำ” เคยแล้วนี่คงไม่มีอะไรที่ต้องกังวลหรอก
ภายใต้ความมืดของเปลือกตาผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดตรงปลายจมูก กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ทำให้เชื่อได้ว่าคนตรงหน้าผมยังมีสติดี
“เวลาเมานี่เสือว่าง่ายจังนะ เอาล่ะกลับบ้านกัน” ไออุ่นผละห่างออกไป
แล้วจูบล่ะผมลืมตาขึ้นในจังหวะที่รถเคลื่อนตัวออกไปถามตัวเองว่ากำลังคาดหวังอะไร
ที่จริงจูบในวันนั้นก็ดีนะ
▼▲▼▲▼
ผมรู้สึกตัวขึ้นมาในตอนที่สัมผัสเย็นๆ ลูบไล้บนผิวกายตรงแผ่นอก กวาดสายตาที่เปลือกตาหนักอึ้งมองไปรอบห้องซึ่งเปิดไฟสลัวก็พบกับความคุ้นตาที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนัก
“เมาหนักเลยนะเรา” เสียงไอ้เอิ้น
หลุบตามองตามสัมผัสเย็นๆ ก็พบกับมือเรียวซึ่งจับผ้าขนหนูลากผ่านแผ่นอกเปลือยอย่างทะนุถนอม
แค่เพียงจิตใต้สำนึกรู้ว่าเป็นสัมผัสจากเขาขนอ่อนทั้งกายก็พร้อมใจกันลุกขึ้นมา
“เอิ้นไม่เช็ด กูหนาว” ผมคว้าสะเปะสะปะเพื่อจับต้นแขนแกร่งเอาไว้
“เดี๋ยวเอิ้นกอด”
“หาเสื้อมาให้กูใส่ก่อน”
“ใส่ทำไมเดี๋ยวก็ต้องถอด”
“กูไม่ถอด” ผมเถียง ถ้าไม่เมาจนขาอ่อนป่านนี้ลุกขึ้นยันมันกระเด็นไปโน่นแล้ว
“ไม่ถอดอะไรนี่ถอดทุกชิ้นแล้ว”
หืม…ลองสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มซึ่งคลุมท่อนล่าง จับที่สะโพกต้นขาและเสือใหญ่
ล่อนจ้อนไม่มีเสื้อผ้าติดกายซักชิ้น
ไอ้ห่าเอิ้น ไอ้เวรคิดจะฉุกเฉินตอนผมเมาอีกแล้วเหรอวะ ตั้งใจจะด่ามันแต่ยังไม่ทันได้อ้าปากร่างทั้งร่างก็ถูกคร่อมทับเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาซุกซบที่แผ่นอก ไออุ่นของลมหายใจปลุกความรู้สึกบางอย่างให้ตื่นขึ้นมา
“แบบนี้อุ่นมั้ย ที่จริงยังอุ่นได้กว่านี้อีกนะ” คิดแต่จะมอบไออุ่นให้ไม่ถามสุขภาพกันซักคำว่าอยากไดไหม
ผ้าห่มที่คลุมร่างผมถูกตลบขึ้นเพื่อคลุมกายคนที่พลิกตัวลงนอนข้างๆ ไอ้เอิ้นซุกจมูกลงบนซอกคอของผม จั๊กจี้จนต้องย่นคอหนี
“ขนาดไม่อาบน้ำยังตัวหอมเลย” อยากกินไงเหม็นแค่ไหนมันก็บอกหอมอยู่ดี
“จะเอาให้ได้เลยใช่มั้ย” ผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงขาดห้วง “ขอน้ำกูก่อน คอแห้งชะมัด”
“ร้ายกาจ” ว่าแล้วก็ผงกศีรษะขึ้นมายิ้มร้ายทำผมงงไปหมดแค่ขอน้ำกินมันร้ายกาจตรงไหนวะ
และก็ถึงบางอ้อเมื่อไอ้เจ้าของห้องลุกขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วแหวกเสื้อคลุมอาบน้ำออก ขยับเข้ามานิดเพื่อให้เอิ้นน้อยที่ยังซุกตัวอยู่ในเสื้อคลุมอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าผม
“ไอ้เวร” อยากจะด่ายาวกว่านี้อีกสักกิโลเมตรแต่คอแห้งไงด่าได้เท่านี้ ถือว่าเป็นบุญของมัน
“ทำไมล่ะ เสืออยากดื่มน้ำไม่ใช่เหรอ” ไอ้เอิ้นว่าด้วยน้ำเสียงแผ่วแล้ววางมือลงบนหลังมือของผมซึ่งวางอยู่บนต้นขาเพื่อผลักมันออกห่าง
“กูหมายถึงน้ำ ไม่ได้หมายถึงของมึง อย่าให้กูต้องพูดมากได้มั้ย เมาอยู่นะเนี่ย”
“รู้ครับรู้ ถ้าเสือไม่เมาคงไม่นอนนิ่งๆ ให้เอิ้นกอด ถูกมั้ย”
อือ ก็ถูกของมัน
ไออุ่นจากผิวกายที่สัมผัสกันผละห่างออกไป ไม่นานนักคนเป็นเจ้าของห้องก็ถือเหยือกน้ำกลับมา เตียงนอนอ่อนยวบลงเมื่อร่างหนาทิ้งกายลงบนเตียง เอิ้นค่อยๆ คลานเข้ามาหาผม มือเย็นๆ วางลงบนต้นแขนลากขึ้นมาที่หัวไหล่ บีบเบาๆ แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
ผมเห็นว่ามันอมน้ำไว้เต็มกระพุ้งแก้ม ไม่อยากจะยอมรับแต่ริมฝีปากกลับอ้าเผยอเมื่อริมฝีปากสีอ่อนขยับเข้ามาใกล้ น้ำใสๆ ถูกส่งมา ความเปียกชื้นถูกแทนที่ด้วยความนุ่มหยุ่นที่เบียดชิด
เอิ้นป้อนน้ำให้ผมจนหมด รสชาติหวานอย่างประหลาดถูกส่งผ่านเข้าไปในลำคอบางส่วน และบางส่วนก็ไหลผ่านขอบปากออกมาเปรอะเปื้อนที่ลำคอ
บางทีเอิ้นเองก็อาจจะกระหายน้ำเหมือนกัน
ริมฝีปากรสชาติหวานๆ ผละออกอ้อยอิ่ง ดวงตาสั่นไหวจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมก่อนที่ความเสียวแปลบจะลามเลียไปทั่วผิวกายเมื่อหยาดน้ำที่เปรอะเปื้อนตั้งแต่ปลายคางระเรื่อยไปถึงแผ่นอกถูกกวาดเก็บด้วยลิ้นชื้นที่ลากผ่านอย่างเชื่องช้า
กล้ามเนื้อทั้งร่างกายของผมกระตุกเกร็งเมื่อหน้าอกถูกริมฝีปากอุ่นจูบซ้ำๆ
ผมวางมือลงบนไหล่แกร่งพยายามดันร่างมันออกแต่ก็ช่างไร้ประโยชน์
“ไม่ชอบเหรอ”
อืม ไม่รู้สิ
“แต่เอิ้นว่าเสือชอบนะ ตรงนี้...” เสือใหญ่อันเปลือยเปล่าถูกสัมผัสด้วยฝ่ามือที่วางลงไปตรงกลางกายจนร่างกายผมสะท้าน “…ตื่นแล้ว”
เถียงได้ไงเมื่อหลักฐานชัดเจนเสียขนาดนี้
“เอิ้นก็ตื่นเหมือนกัน” ไม่ต้องบอกก็ได้ มือด้วย ไม่ต้องพามือกูไปเจอกับหลักฐานหรอก ไม่อยากสัมผัสโว้ย
เกิดความเงียบงันขึ้นชั่วครู่ก่อนเสียงแลกเปลี่ยนน้ำหวานในโพรงปากจะเข้ามาแทนที่เมื่อจุมพิตอันหนักหน่วงตั้งแต่ในตอนต้นเริ่มขึ้น
ความรู้สึกที่ยังตกค้างอยู่ในส่วนหนึ่งของร่างกายชัดเจนขึ้นให้เรียวลิ้นที่เอาแต่หนีในคราแรกหยุดชะงักก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วลองส่งมันไปแตะกับส่วนเดียวกันที่พลิ้วไหวอยู่ภายใน
ความปลาบแปลบหลั่งไหลโอบล้อมร่างกายเช่นเดียวกับมือของผมที่กดท้ายทอยอีกฝ่ายเพื่อให้ริมฝีปากเราแนบชิดมากขึ้นอีก
ดีว่ะ ไม่เคยรู้ว่าจูบกับผู้ชายมันรู้สึกดีขนาดนี้ ไม่นับครั้งก่อนในห้องนอนของผม ตอนนั้นมัวแต่โกรธจนหน้ามืดตาลายคิดแต่ว่าจะต้องกระทืบมัน หากพอในร่างกายมีแอลกอฮอล์ปะปนอยู่ผมกลับโอนอ่อนผ่อนตาม มือไม้จับสะเปะสะปะไปบนแผ่นหลังแกร่ง กอดมันอย่างที่ยามมีสติผมไม่มีทางทำแน่ๆ
“ชอบที่เอิ้นทำมั้ย”
“อ๊ะ!” ร้องเป็นสาวเวอร์จิ้นเลย เกลียดตัวเองจังแต่ก็ต้องยอมรับว่าพอถูกมืออุ่นๆ ของคนอื่นมาคลึงๆ ที่เสือใหญ่มันให้ความรู้สึกตื่นเต้นกว่าตอนสัมผัสด้วยตัวเองเยอะเลย
“ชอบล่ะสิ” ปากก็ขยับเพื่อถามส่วนมือก็ลูบเสือใหญ่ขึ้นๆ ลงๆ ให้ผมกัดริมฝีปากสะกดกลั้นเสียงน่าอาย
ใครจะอยากครางอยู่ใต้ร่างผู้ชายวะ ผมเสือนะเว้ย
“รู้สึกดีใช่มั้ย”
“อ๊ะ!” แผ่นอกของผมกระตุกเมื่อยอดอกถูกจูบย้ำๆ หลายครั้งก่อนที่ริมฝีปากจะครอบลงมา เรียวลิ้นซึ่งก่อนหน้าเคยหยอกล้อกับลิ้นผมกำลังทำแบบเดียวกันกับจุดเล็กๆ ที่รวมทุกความรู้สึกเสียวปลาบ
ผมผวาเฮือกกับความซ่านสยิว เพิ่มแรงกอดรัดมันให้แน่นขึ้นแต่ก็ถูกดึงออกแล้วจับกดไว้กับฟูกนอน
ร่างแกร่งขึ้นมาคร่อมทับ นัยน์ตาของเขาทอประกายความปรารถนาชัดเจน ริมฝีปากขยับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากของผมให้หลับตายอมรับความอ่อนโยนที่แทบจะไม่เคยสัมผัส
ความนุ่มหยุ่นลากลงมาที่ปลายจมูกขบมันด้วยเขี้ยวแหลมๆ ให้ผมร้องด้วยเสียงผะแผ่ว
อีกครั้งที่ริมฝีปากของเราเบียดชิดกัน ความร้อนรุ่มเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้สัมผัสจนผมตั้งตัวรับแทบไม่ทัน ทำได้เพียงตอบรับเท่าที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะทำได้
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าไอ้เอิ้นมันช่ำชองขนาดนี้ ก่อนหน้าที่จะมาหาผมมันต้องเคยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแน่ๆ
ความคิดนั้นทำให้หัวใจของผมหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยก้อนหินน้ำหนักมหาศาล การกระทำเพื่อตอบสนองหยุดลงชั่วขณะให้คนที่รุกเร้าผมผละห่างแล้วจ้องลึกเข้ามาในดวงตา
“เป็นอะไรหืม” มือเรียวลูบเส้นผมชื้นที่ปรกหน้าผากของผม
“มึงเก่งจัง”
“เก่ง?” ต้องทำหน้าครุ่นคิดด้วยเหรอในเมื่อตอนนี้เราอยู่บนเตียงด้วยกัน ผมก็ต้องพูดถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว “อ๋อ แล้วเสือไม่ชอบเหรอ”
กว่าจะคิดได้ก็นานพอตัว
ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แทนคำตอบ ไม่ใช่ไม่ชอบ ทุกสัมผัสทำให้รู้สึกดีแต่ว่า…
เพียงคิดถึงที่มาของความเก่งกาจก็พาลไม่พอใจซะอย่างนั้น
“ไม่ต้องห่วงนะตอนนี้เอิ้นมีเสือคนเดียว”
ผมกำลังมัวเมากับจุมพิตหวานๆ ที่ถูกป้อนให้หลังจากคำตอบที่ปัดเป่าความไม่พอใจออกไป เสียงแลกเปลี่ยนน้ำหวานที่ไหลเลอะขอบปากยิ่งกระตุ้นให้ไฟในกายพัดโหม
ริมฝีปากของผมถูกขบเม้ม ความชื้นแฉะที่ปลายคางถูกกวาดเก็บไปจนหมด
เอิ้นฟอนเฟ้นเล้าโลมผมด้วยริมฝีปากที่จูบซับไปทั่วทั้งแผ่นอก ดูเหมือนว่ามันจะชื่นชอบหน้าอกของผมเป็นพิเศษถึงได้เฝ้าปาดเลียจูบซับอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ
“ตรงนี่ของเสืออร่อยมากเลย”
เหลือบมองแล้วจึงขบตรงนั้นด้วยฟัน จี๊ดเลยแต่มากกว่าความเจ็บคือความซ่านสยิวที่ทำเอาผมผวาขึ้นจนแผ่นหลังห่างจากฟูกนอน
เส้นผมของเอิ้นถูกผมขย้ำจนกระเซอะกระเซิงแต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ
ผมบีบไหล่แกร่งแรงๆ จิกเล็บสั้นลงบนนั้นเมื่อลิ้นชื้นลากผ่านอกลงไปที่หน้าท้อง หลุมสะดือถูกเย้าแหย่จนรู้สึกเสียดท้องแปลบๆ ที่จริงผมต้องผลักมันออก หากในความเป็นจริงนั้นมือเวรกลับกดท้ายทอยให้ร่างกายแนบชิดกว่าเดิม
ให้ตายเถอะ ถ้าไม่เมาจนไร้สติเสือไม่มีทางทำแบบนี้แน่
“ไม่!!” ถึงแม้จะร้องห้ามแต่ร่างกายของผมกลับตอบสนองด้วยการยกสะโพกขึ้นรับการปรนเปรอจากมือหนาที่กำลังลูบไล้เสือใหญ่แล้วรูดรั้งจนปวดหนึบ
เฮือก!!
ราวกับลมหายใจถูกพรากออกไป เมื่อริมฝีปากอุ่นๆ ที่เคยจูบซับตรงแผ่นท้องลากต่ำลง โพรงปากครอบลงบนเสือใหญ่อย่างระมัดระวัง สะโพกของผมลอยสูงขึ้นอีกเมื่อมือหนาสอดเข้ามาลูบไล้ที่แก้มก้น เช่นเดียวกับลิ้นชื้นที่ปาดเลียทุกสัดส่วนของเสือใหญ่อย่างไม่นึกรังเกียจ
แต่ผมโคตรเกลียดตัวเอง
เกลียดที่ตอบสนองทุกการกระทำที่ปรนเปรอให้ มิหนำซ้ำยังส่งเสียงครางพร่าอย่างน่าอายให้ดังก้องอยู่ภายในห้อง และเหมือนว่าไอ้เอิ้นจะชอบการกระทำนี้ของผม
ทุกความเคลื่อนไหวหยุดชะงักลงเมื่อดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเสน่หาเหลือบขึ้นสบกับผม
“รู้สึกดีรึเปล่า”
ครางขนาดนี้ กูคงกำลังรู้สึกแย่มั้ง
“เดี๋ยวเอิ้นจะทำให้เสือรู้สึกดีกว่านี้อีก”
เดี๋ยวในที่นี้หมายถึงเดี๋ยวนี้ใช่หรือเปล่าวะ
ให้ตายเถอะ นี่ไอ้เอิ้นคิดจะฆ่าผมทางอ้อมใช่ไหม เมื่อมันกดจูบลงบนส่วนยอดของเจ้าเสือใหญ่ซ้ำๆ เหมือนจูบสัตว์เลี้ยงที่น่าเอ็นดู แค่นั้นยังคงไม่สาแก่ใจถึงได้ใช้ปลายลิ้นไล้เลียซะจนส่วนที่ชื้นอยู่แล้วถึงกับเปียกแฉะ
ตอนนี้เองที่ผมรู้สึกว่าร่างกายใกล้จะปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ขาที่ถูกบังคับให้แยกออกเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้แทรกเข้ามาได้ง่ายๆ นั้นบิดเกร็ง ผมจิกเล็บสั้นกุดลงบนแผ่นหลังแกร่งแล้วลากลงมาเป็นทางยาวเพื่อระบายความซ่านสยิว
ร่างกายของผมเสียการควบคุม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเหมือนไม่ใช่เสียงตน แต่มันจะไม่ใช่ได้อย่างไรในเมื่อมันดังออกมาจากริมฝีปากอันบวมเจ่อของผม
จังหวะลิ้นที่กำลังไล้เลียเสือใหญ่ในโพรงปากอุ่นๆ เปลี่ยนไป เช่นเดียวกับจังหวะของปากที่ครอบแล้วขยับขึ้นลงนั้นก็กลายเป็นหนักหน่วงขึ้น
หากเปรียบสิ่งที่อยู่ในร่างกายผมคือลาวา ตอนนี้มันคงเอ่อมาจนถึงปากปล่องภูเขาไฟแล้ว
“เอิ้น...”
ผมเรียกมันในจังหวะที่ยกสะโพกสูงขึ้นรับจังหวะโพรงปากที่ครอบลงมา เลื่อนมือขึ้นมาเพื่อกดศีรษะมันเอาไว้แล้วจึงปลดปล่อยทุกความปรารถนาเข้าไปในโพรงปากนั้น
ทุกอย่างในหัวของผมถูกแทนที่ด้วยกลุ่มควันจางๆ ลอยฟุ้ง สักพักจึงค่อยๆ จางลงเหลือเพียงความว่างเปล่า
ในหูได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจของตน ไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวหรือเสียงของสิ่งมีชีวิตอื่นใด
แค้กๆ
เสียงไอของสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งบนเตียงนี้ดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อลืมตาก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาแดงซ่านซึ่งอยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจขั้น
“ออกมาเยอะเลย ไม่ได้เอาออกนานเลยใช่มั้ย”
ต้องหน้าด้านแค่ไหนถึงกล้าถามอะไรแบบนี้ อยากจะตอบโต้อยู่หรอก แต่ตอนนี้ร่างกายผมไม่ต่างอะไรจากโทรศัพท์มือถือที่แบตใกล้จะหมด
ดวงตาของผมค่อยๆ ปิดลงอย่างยากที่จะต้านทาน
“เสือ” เสียงไอ้เอิ้นดังอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือมือที่จับไหล่แล้วเขย่าแรงๆ
เขย่าเข้าไปเถอะ อย่างไรก็ไม่มีทางลุกขึ้นมาทำอะไรได้อีกแล้วล่ะ
“เสือจะทิ้งเอิ้นไว้กลางทางแบบนี้ไม่ได้นะ เสือ เสือ เสือครับ เสืออออออ~”
เสียงคร่ำครวญแผ่วเบาลงพร้อมๆ กับสติของผมที่ดับวูบลง
ฝันดี...
[- T B C -]ทั้งสงสารทั้งขำตาเอิ้น ตะล่อมจะกินเขามาตั้งนาน
ไงล่ะ ถูกทิ้งไว้กลางทางเฉย
ส่วนตัวชอบเสือตอนเมานะ พอเมาแล้วจากเสือก็กลายเป็นแมวทันทีเลย
ถึงจะเป็นแมวก็เป็นแมวที่ร้ายกาจไม่เบา
สุดท้าย ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ รักเลย
แวะมาพูดคุยกันในทวิตเตอร์ก็ได้ ในแท๊ก #เสือของเอิ้น
เจอกันตอนหน้า อย่าทิ้งเราไว้กลางทางเหมือนเสือน้า