ตอนที่ 23
สองสามวันที่ผ่านมา นายยอร์ชก็ยังคงมาวนเวียนอยู่ที่หน้าแผนกของผมเหมือนเดิม ต่างกันตรงที่จำนวนความถี่นั้นน้อยลง พวกพี่ๆ ในแผนกไม่ค่อยมีเวลามาเห่อผมเหมือนวันแรกๆ เท่าไหร่นัก เพราะหลังจากเรื่องราวระหว่างบอสอารมณ์ร้ายกับลูกน้องผู้แปรพรรคในวันนั้นก็ดูเหมือนว่างานมากมายจะหลั่งไหลเข้าสู่แผนกของผมไม่ได้ขาด หลายๆ งานก็ดูจะเป็นงานเล็กงานน้อยเสียจนไม่น่าจะหลุดมาถึงพวกเราได้ อย่างเช่นเด็กเดินเอกสารป่วย คนไม่พอ ขอยืมตัวแผนกกราฟฟิกไปช่วย หรือบางทีก็แม่บ้านประจำชั้น 8 ลากิจ แต่ห้องน้ำต้องการการทำความสะอาด ขอให้พนักงานช่วยกันทำเอง เป็นต้น
“ภามต้องขอโทษด้วยนะพี่แอ้ม”ผมบอกพี่แอ้มในสายของวันหนึ่งหลังจากที่พี่ๆ ในแผนกทำการขับไล่นายยอร์ชสำเร็จไปอีกครั้ง
“อะไรหรือ?”พี่แอ้มเงยหน้าจากงานที่โต๊ะข้างๆ มาถามผมแบบงงๆ
“ภามคิดว่าพวกพี่รู้ว่าสาเหตุของงานมากมายพวกนี้มันมาจากอะไร”ผมมองไปที่กองเอกสารมากมายที่ทำให้คนพูดมากอย่างพี่แอ้มเงียบลงไปได้มาก
“ไม่เป็นไรหรอก พวกพี่เต็มใจช่วยภามจริงๆ”พี่แอ้มว่ายิ้มๆ ยิ้มแบบเถื่อนๆ ตามแบบฉบับของเขา แต่หลายวันมานี่มันก็ดูอ่อนโยนและน่ารักขึ้นทุกวันเมื่อประกอบกับการเอาใจใส่ต่อผมที่บางครั้งก็ดูมากเกินเหตุจนโดนเพื่อนๆ ในแผนกแซว
ผมได้แต่ยิ้มตอบบางๆ แต่พี่แอ้มก็เอ่ยประโยคต่อมา
“นี่ถือว่าบอสใจดีกับพวกพี่มากแล้วที่ไม่ไล่พวกพี่ออก อันที่จริงสิ่งที่พวกพี่ทำมันถือว่าร้ายแรงเลยทีเดียว”
“ยอร์ชน่ะหรือใจดี?”ผมถามแบบไม่อยากเชื่อ
“ดูภามจะสนิทกับบอสจังนะ ระหว่างภามกับบอสมีอะไรที่มากกว่าที่เล่าให้พวกพี่ฟังหรือเปล่า?”พี่แอ้มทำสีหน้าจริงจังขึ้น หน้าที่ดูแดงเรื่อๆ เมื่อครู่ก็จางสีลง
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ไม่มีอะไรหรอกพี่”ผมฝืนหัวเราะออกไปเพื่อกลบเกลื่อนแต่พี่แอ้มก็ยังถามด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ
“แน่นะ?”
“แน่สิพี่ ถามทำไมเนี่ย? จะจีบผมหรือ?”ผมแกล้งถามเพื่อเบี่ยงประเด็น ชักร้อนๆ หนาวๆ แล้วเมื่อพี่แอ้มชักเข้าใกล้จุดอันตรายมากขึ้นทุกที
“อือ”
“ฮ่าๆๆๆ หะ.....หือ?”ผมที่กำลังหัวเราะอยู่หยุดให้กับคำตอบของพี่แอ้ม อะไรเนี่ย คงไม่เอาจริงหรอกนะ
“พี่ถามก็เพราะว่ากลัวบอสจะจีบภาม แต่ถ้าภามยืนยันแบบนี้ก็ดีแล้วหล่ะ แสดงว่าพี่ก็มีสิทธิ”สีหน้าของพี่แอ้มในตอนนี้ดูจริงจังกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเห็น จะเอาจริงแน่หรือ? คงไม่มั้ง...
“พี่เอาจริงนะภาม”นั่นไง อย่างกับอ่านใจออก
“ก็หน้าเราทำเหมือนไม่เชื่อ”อ๋อ อย่างนี้นี่เอง..........
“พอจะเป็นไปได้ไหม?”พี่แอ้มถามผมอีกครั้ง
“คิดว่าคงยาก”ผมตอบยิ้มๆ ท่าทางแบบนี้ของพี่แอ้มก็น่ารักไปอีกแบบ ผู้ชายเถื่อนๆ ที่นั่งทำท่าจริงจัง บนใบหน้ามีสีแดงเรื่อๆ น่ารัก!
“แสดงว่าอาจจะเป็นไปได้สินะ”พี่แอ้มเริ่มเผยรอยยิ้ม
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”แทนที่ผมจะตอบกลับตั้งคำถามกลับไปแทน
“วันแรก”คำตอบที่ต้องการกลับมาในเวลาเพียงไม่นาน มันกลับมาแทบจะทันทีเมื่อผมถามออกไป
“พี่แอ้มคิดไม่ซื่อนี่ ภามเป็นน้องนะ!”ผมแกล้งทำหน้าดุขมวดคิ้วแล้วเอาดินสอดราฟท์ตีที่มือพี่แอ้มแรงๆ เห็นเขาทำหน้าเบ้แสดงอาการเจ็บ แล้วก็กลับมาทำหน้าจริงจังเหมือนเดิม
“ก็ภามน่ารักทำไมหล่ะ”
“พอเห็นว่าไม่ว่าอะไรนี่เอาใหญ่เลยนะ”
“ก็จริงนี่ ภามคิดว่าถ้าพี่ไม่กันไว้ภามจะรอดจากพวกไอ้มาร์ค ไอ้โชคหรือเปล่าหล่ะ”อ๋อ ไอ้ที่มากันเวลาพี่มาร์คกับพี่โชคเข้าใกล้ผมนี่คงไม่ได้เป็นห่วงอะไรหรอก มันหวงชัดๆ!
“หมาหวงก้าง”
“เออ! ก็หวงดิ”
“พี่ก็รู้ว่าตอนนี้พี่ไม่มีสิทธิ เป็นพี่ชายที่ดีแบบนี้แหละดีแล้ว”ผมเริ่มจริงจังบ้าง ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้เดี๋ยวจะบานปลาย ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมกับความรักครั้งใหม่จริงๆ
“เดี๋ยวพี่จะทำให้มีสิทธิเอง!”พี่แอ้มบอกอย่างหมายมั่น
“บอกแล้วว่ายาก”ผมว่าแล้วส่ายหัวก่อนจะหันกลับมาทำงานของตัวเองที่ดูจะมีเท่าเดิม ต่างจากคนอื่นในแผนกที่มีงานเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุกคน
“เออน่า! คอยดูแล้วกัน!”คนดื้อด้านก็ยังคงเป็นคนดื้อด้าน ประโยคดื้อดึงประโยคสุดท้ายถูกเอ่ยออกมาด้วยเสียงมุ่งมั่น ก่อนที่ความเงียบจะมาเยือนอีกครั้งหลังจากเราทั้งคู่หันไปให้ความสนใจกับงานของตัวเอง.............
ผมก้าวเข้าประตูกระจกใสเข้ามายืนอยู่ในล็อบบี้ของตึกหลังใหญ่ พื้นที่ปูด้วยหินแกรนิตสีดำ มันวาวจนสะท้อนเงาของผู้คนที่เดินผ่านไปมาแม้กระทั่งตัวผม....
หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายวัน ในที่สุดขาของผมก็พาตัวเองเดินทางมาจนถึงที่นี่จนได้ ถ้าภามรู้ว่าผมถึงขนาดต้องลางานมาต้องโกรธผมมากแน่ๆ แต่จะให้ทำยังไงได้.... เวลาผมโทรมาทีไรก็มักจะได้ยินเสียงเศร้าๆ ที่ปิดไว้ไม่มิดของภามทุกครั้ง พอถามว่าอยู่ที่ไหนก็บอกว่าอยู่บ้านเจ้านาย พอขอจะมาเยี่ยมก็โดนปฏิเสธไปทุกครั้ง.... จากการสนทนากันหลายๆ ครั้งมันมากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกตัวได้ว่าภามกำลังมีอะไรบางอย่างปิดบังผมอยู่ และนี่ก็คือสาเหตุที่ผมต้องมาที่นี่ในวันนี้...
“ย้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...”
“เฮ้ย!”ผมอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อรู้สึกได้ว่ามีท่อนแขนของใครบางคนมารัดที่คอ จะหันไปมองก็ไม่ได้ มันเล่นรัดซะแรงเหลือเกิน!
“คิดถึงจังเลยแป๊ะ หายไปตั้งน้านนานแน่ะ แอบไปกบดานที่ไหนมาวะ”เสียงที่ผมเคยคุ้นเมื่อนานมาแล้วดังขึ้นให้ได้ยินอีกครั้ง เสียงที่แม้จะนานขนาดไหน...ผมก็ยังคงจำได้มีลืมเลือน
“ไอ้เอี้ย...อ่อยอุเอย อุอ๋ายไอไอ้ออก เอ็วๆๆๆๆ”ผมทำได้เพียงพูดเสียงอู้อี้ออกไป เพราะดูท่าทางไอ้คนรัดมันคงจะไม่รู้ว่ามันกำลังจะฆ่าผมโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่
“แหมๆ หยาบคายว่ะมึงอะ เออๆ กูปล่อยๆ”ไอ้ตัวดีคลายท่อนแขนออกจากคอผม ผมรีบหายใจเอาอากาศเข้าปอดก่อนจะหันมาหามันหมายจะด่าให้สาแก่ใจ แต่ก็ไม่ทันจะได้ทำอะไรมันก็ชิงเล่นผมซะก่อน
“กูคิดถึงมึงม๊ากมากเลยแป๊ะ ดีใจจังที่ได้เจอกันอีก แล้วมึงอะ? เจอกูแล้วดีใจปะ?”ไอ้ตี๋มันถามผมด้วยสีหน้าแป้นแล้นน่าถีบ ไม่ได้เจอกันสี่ปีแต่ไม่รู้ทำไมว่าหน้ามันยังแจ่มชัดอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของผม ใบหน้าของมันในวันนี้แทบจะไม่ได้แตกต่างจากครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะจากมันเลย....
“เรื่องอะไรกูต้องดีใจ มึงนี่หลงตัวเองมากไปละ”ปากไม่ตรงกับใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง ความจริงแล้วผมดีใจมากที่ได้เจอมันในวันนี้ ถึงแม้ว่าเมื่อสี่ปีที่แล้วผมจะโกรธมันมากก็ตามที แต่ลึกๆ แล้วผมก็ยังคงบอกตัวเองว่ามันไม่ผิดๆ อยู่ตลอดเวลา
“โห...มึงอะ ใจร้าย โกรธเฮียแล้วอย่าพาลกูด้วยดิ มีเหตุผลหน่อยๆ”ไอ้ตี๋เดินเข้ามาตบบ่าผมดังป้าบๆ แล้วทำหน้าเหนื่อยใจ มันน่านัก...ไอ้นี่!
“มึงรู้ได้ไงว่ากูพาลมึง อย่ามามั่ว”เรื่องอะไรผมจะยอมรับง่ายๆ หล่ะ เสียชั้นเชิงหมด
“ก็ตั้งแต่วันที่ภามหายไป มึงก็ไม่เคยโผล่มาให้กูเห็นอีกเลย มึงอะ...ใจร้าย ปล่อยให้กูคิดถึงมึงอยู่คนเดียว”มันทำสีหน้าตัดพ้อแบบน่าหมั่นไส้สุดๆ
“มึงรู้ได้ไง?”เพราะที่จริงกูก็คิดถึงมึง ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็เถอะ
“หรือว่าที่จริงแล้วมึงก็คิดถึงกู!”มันว่าแล้วทำท่าดีใจเหมือนลูกหมาเจอเจ้าของ
“กูไม่บอกมึงให้โง่หรอก”ผมว่าแล้วเอามือตีแก้มมันเบาๆ เห็นมันหัวเราะๆ แต่ไม่ได้ว่าอะไร
“แล้วมึงมาทำอะไรที่นี่อะแป๊ะ?”ไอ้ตี๋ถามผม
“เดี๋ยว...กูสงสัยก่อน มึงต้องตอบกูก่อน แล้วมึงหล่ะ มึงมาทำอะไรที่นี่?”ผมถามมันกลับ ก็ผมสงสัยในใจก่อนมัน เพราะงั้นมันต้องตอบผมก่อน
“แหม มีงี้ด้วย ก็นี่มันบริษัทพ่อกู กูก็ต้องมาทำงานสิ”
“เฮ้ย! นี่บริษัทมึงหรอ?”
“เออ ทำไม?”
“มึงเอาภามไปซ่อนไว้ที่ไหน มึงบอกกูมาเลยนะสัด!!!”ผมถลาเข้าไปจับไหล่ของมันไว้แล้วเขย่าๆ จนมันหัวสั่นหัวคลอน ถ้าผมคิดไม่ผิด...ไอ้พี่ชายตัวดีของมันก็ต้องทำงานอยู่ที่นี่ด้วย แล้วสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้ภามดูไม่สบายใจก็คงจะมาจากมัน
“แอะ..แหวะๆ เดี๋ยวๆ แป๊ะ เบาๆ หัวกูจะหลุด เดี๋ยวๆๆๆๆๆ เฮ้ยยยยยยยยยยย! ใจเย็นๆ!!!”ไอ้ตี๋ทำหน้าเหมือนคนเมาเรือแล้วตะโกนใส่ผมจนผมได้ยิน
“มึงอธิบายมา กูแน่ใจว่าพี่มึงต้องบังคับขู่เข็นน้องกูแน่ๆ!”ผมตะโกนใส่มันอย่างเหลืออด โอ๊ย! โกรธพี่ก็จริง แต่น้องมันอยู่ตรงนี้ จะให้ไปลงที่ใคร!!!
“ไอ้นี่! พนักงานมองกันเต็มแล้ว มานี่เลยมึง! อยากรู้ก็มาคุยกันดีๆ”มันลากผมไปที่ค็อฟฟี่ช็อปเล็กๆ ในอีกด้านหนึ่งของตัวตึกก่อนที่จะกดผมให้นั่งลงบนเก้าอี้นวมแล้วมันก็ไปนั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมกับสั่งกาแฟให้เสร็จสรรพ
“โอเค...ทีนี้มึงเลิกทำหน้าดุคิ้วขมวดใส่กูได้แล้ว ไม่ได้ผลหรอก เพราะกูไม่กลัว”มันว่าแล้วเบะปาก
“ไอ้นี่! อย่ามาวอนนะโว้ย เดี๋ยวกูได้เตะโชว์ลูกน้อง”ผมชักจะเริ่มหมดความอดทนแล้ว ความรู้สึกดีๆ ในครั้งแรกที่เจอมันเริ่มจะหายไปทีละน้อย
“ใจเย็นๆ โว้ย ใจเย็นๆ เลิกงอนกูซะทีกูจะได้ตอบคำถามมึง จะตอบให้ทุกคำถามเลยเอ้า!”
“กูไม่ถาม แค่มึงเล่ามาให้หมดว่าพี่ชายมึงทำอะไรน้องกู”ผมพยายามควบคุมอารมณ์ให้สงบมากขึ้น ตอนนี้เราทั้งคู่ต่างก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะให้มาทะเลาะกันแบบเด็กๆ ก็คงจะดูไม่ค่อยดี
“งั้นก็ต้องเล่ายาวเลยหล่ะ”มันว่า
“เออ... ยาวก็ยาว”
“โอเค....เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อสี่ปีก่อน เฮียโดนคลุมถุงชนให้หมั้นโดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อน”
“มึงหยุดพูดเรื่องนี้เลย! นี่มึงอยากให้กูชกมึงนักใช่มั้ย!!!”โมโหจริงๆ แล้ว ผมจะทนไปได้อีกนานแค่ไหนกัน!
“ฟังกูก่อนสิ....เฮียกับพี่แองจี้ไม่ได้เต็มใจที่จะหมั้นกันเลยนะ”มันรีบแก้ตัวให้พี่ชาย ก่อนจะเอ่ยต่อเมื่อเห็นว่าผมเพียงนั่งนิ่งๆ กำหมัดแน่นไม่พูดอะไร
“มันเป็นการตกลงกันเองของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ทั้งเฮียทั้งพี่แองจี้ก็เพิ่งจะมารู้เอาตอนจะเรียนจบกันแล้วทั้งคู่”
“ไม่ได้เต็มใจแต่ตอนนี้ก็คงแต่งกันไปเรียบร้อยแล้วสิ”ผมพยายามข่มโทสะในใจ แม้ตอนนี้อยากจะระบายลงกับไอ้คนเล่านี่ก็ตาม
“....เปล่า....เขาไม่ได้แต่งงานกัน”
“............?”คำตอบที่ได้ทำให้ความสงสัยเกิดขึ้นในใจผม
“เฮียกับพี่แองจี้เป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เขาสองคนรู้จักกันมาหลายปีจนทำให้ไม่ได้คิดอะไรเกินเพื่อน และตอนที่ทั้งสองคนรู้ข่าวการหมั้นของตัวเอง...พี่แองจี้ก็มีคนที่รักแล้ว”มันหยุดพูดแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ
“วันที่ภามหายไป เฮียเหมือนคนบ้า เฮียเดินน้ำตาไหลเป็นทางเข้ามาในบ้าน หน้าตาแดงก่ำจนน่ากลัว นี่เป็นครั้งแรกที่กูเห็นเฮียร้องไห้หลังจากที่กูไม่เคยเห็นอีกเลยตอนเรียนจบ ป.2 ในตอนนั้นไม่มีใครเข้าหน้าเฮียติดเลยแม้แต่คนเดียว พอมาถึงเฮียก็เดินขึ้นห้องไปเลย....”
“.............................”ผมนิ่งแล้วรอฟังสิ่งที่มันกำลังจะพูดต่อไป
“........พอเข้าห้องได้ เฮียก็ทำลายทุกอย่างที่อยู่ในห้อง เสียงข้าวของแตกดังไปทั่วบ้าน ไม่มีแม้แต่คนใช้คนไหนกล้าเข้าไปดู จนกระทั่งทุกคนในบ้านได้ยินเสียงปืน.......”มันหยุดแล้วยกกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้ง
“พ่อรีบให้คนงานในบ้านพังประตูเข้าไปทันที.... แต่เฮียฉลาดพอที่จะไม่ยิงตัวเอง ผนังห้องฝั่งหนึ่งเต็มไปด้วยรูของกระสุนปืน.....”
“แล้วยังไงต่อ?”ผมถาม แอบสะใจเล็กน้อยที่ไอ้บ้านั่นมันคลั่งได้
“หลังจากคนงานล็อกตัวเฮียออกมาได้ พ่อ แม่ เฮียแล้วก็กูเข้าไปคุยเปิดอกกันในห้อง เฮียโกรธพ่อมากที่ทำให้ต้องเสียภามไป เฮียเล่าไปน้ำตาก็ไหลไป ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ร้องให้ใครเห็นมาสิบกว่าปีแล้ว”
“แล้วพ่อมึงว่ายังไง?”
“พ่อไม่เคยรู้มาก่อนว่าเฮียจะชอบผู้ชายด้วยกัน วันนั้นพ่อชกเฮียหงายหลังไปเลย”มันว่าหน้าเบ้ๆ
“สมน้ำหน้า”ผมแสยะยิ้มชั่วร้าย
“แต่สุดท้ายพ่อก็ยอม ลองใครได้เห็นเฮียในสภาพนั้นยังไงก็ต้องใจอ่อนกันทุกคนแหละ... พ่อเอ่ยปากจะยอมเสียหน้าขอถอนหมั้นให้ แต่เฮียปฏิเสธไป เฮียบอกว่าเฮียจะใช้วิธีของเฮียเอง เพื่อที่พ่อจะได้ไม่ต้องเสียคำพูด”
“แล้วมันทำยังไง?”เรื่องนี้มันชักจะน่าสนใจขึ้นแล้วสิ
“ที่เห็นว่าภามรอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้มึงอย่าคิดว่าเฮียทิ้งภามนะ... หลังจากคุยกันในครอบครัวเรียบร้อยแล้วเฮียก็รีบชิงหนีไปเรียนต่อที่อังกฤษ โดยที่ก่อนไปก็จำเป็นต้องหมั้นไปก่อน ส่วนทางด้านของภาม...เฮียก็ส่งบอดี้การ์ดของพ่อไปคอยดูอยู่ตลอด จึงไม่น่าแปลกเลยที่เฮียจะรู้ความเคลื่อนไหวของภามตลอดเวลา”
“ไอ้พวกโรคจิต”ผมว่าเหยียดๆ
“ก็ทำไงได้หล่ะ คนมันรักนี่หว่า.... จะฟังต่อมั้ยเนี่ย?”
“เออ...ฟัง”
“อือ... ในระหว่างที่เฮียอยู่อังกฤษก็ได้ติดต่อกับพี่แองจี้ ทั้งสองคนสร้างสถานการณ์หนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ดูเหมือนว่าบริษัทของพ่อพี่แองจี้จะต้องสูญเสียกำไรครั้งใหญ่ นับว่าพี่แองจี้เป็นคนที่เด็ดขาดมาก ทั้งสองคนทำการโยกย้ายเงินนิดหน่อยให้ดูเหมือนเกิดปัญหา แล้วสุดท้ายเฮียก็เอาเงินก้อนนั้นแหละเข้าไปช่วย เลยทำให้ทางบ้านของพี่แองจี้รู้สึกติดหนี้บุญคุณมากมาย สุดท้ายเรื่องการถอนหมั้นของทั้งคู่เลยเป็นแค่เรื่องง่ายๆ ทางฝั่งโน้นก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร”
“สุดท้ายก็ไม่ได้แต่งสินะ?”ผมถามย้ำเรื่องราวทั้งหมดอีกที
“เออ... กูก็เห็นเฮียมีแต่ภามคนเดียวเนี่ย จะให้ไปแต่งกับใครที่ไหนได้”
“แล้วตอนนี้น้องกูอยู่ไหน?”เมื่อเรื่องราวมันกระจ่างแล้วผมก็ไม่คิดจะนั่งอยู่ต่อให้มากความ อยากจะเจอหน้าน้องเร็วๆ
“ทำงานอยู่ข้างบนมั้ง”ไอ้ตี๋ว่าแล้วเงยหน้าขึ้นไปข้างบน
“อือ... งั้นกูไปหล่ะ กูจะไปหาภาม”ผมทำท่าจะลุก
“เฮ้ยๆๆๆๆๆ ไม่ได้ๆ มึงห้ามไปให้ภามเห็นหน้าตอนนี้นะ!”มันรีบห้ามผม แต่ใครจะสนหละ?
“มึงคิดว่ามึงห้ามกูได้มั้ย? กูจะไปหาน้องกูแล้วมันผิดตรงไหน?”
“ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงที่ภามต้องปรับความเข้าใจกับเฮียอยู่ ถ้ามึงเข้าไปตอนนี้ภามจะยิ่งลำบากใจนะ”ไอ้ตี๋พยายามโน้มน้าว
“แล้วยังไง กูจะพาน้องกูลาออกวันนี้แล้วด้วยซ้ำ พี่มึงมันเจ้าเล่ห์เกินไป”ผมบอกแล้วตั้งท่าจะเดิน แต่มันก็รีบมาดึงแขนผมไว้
“กูขอร้องหล่ะ... นะ....ภีม มึงก็ดูออกว่าที่จริงแล้วภามก็รักเฮีย”
“.................................”ผมนิ่ง ไม่รู้จะพูดอะไรกับมัน สิ่งที่มันบอกก็เป็นความจริง
“กูเชื่อว่าสองคนนั้นจะต้องปรับความเข้าใจกันได้ ตอนนี้กูจะคอยดูแลภามให้มึงเอง ถือซะว่าทำให้คนรักกันได้อยู่ด้วยกันเถอะนะ”
“......อีกแค่ครั้งเดียว กูให้โอกาสพี่มึงอีกแค่ครั้งเดียว.....”ผมบอกนิ่งๆ
“....อืม.....ก็ยังดี....ขอบใจนะภีม”มันเรียกชื่อผมเป็นครั้งที่สองของวันนี้ ความโมโหเริ่มจางหายเมื่อผมได้ยินเสียงมันที่คอยเรียกชื่อผมแบบนี้ ทำไมนะ?
“แล้วมึงจะกลับเลยหรือ?”ไอ้ตี๋ถามผม
“ยัง”
“แล้วมึงจะไปไหนต่อ?”
“ไปกินข้าว”ผมตอบแล้วดึงแขนมันให้เดินตามมาด้วยกัน มันทำหน้างงๆ แต่ก็ยอมเดินตามผมมาโดยที่ไม่ได้ว่าอะไร.....
To be continued
_____________________________________
วันนี้มาต่อชดเชยให้ยาวแบบสะใจไปเลยจ้า
ก็จะพยายามให้มันรีบปั่นมาลงอีก ยังไงก็รอกันหน่อยน้า
ขอบคุณทุกคอมเม้นมากมาย
นัท