8 : ตัวอิจฉา
หลังจากสอบเสร็จ ที่หน้าห้องสอบในวันสุดท้าย เสียงเจื้อยแจ้วของนิสิตที่จับกลุ่มสนทนาถึงข้อสอบที่เพิ่งเจอมา ถามถึงข้อนั้นข้อนี้ว่าได้คำตอบตรงกันไหม แล้วทำอย่างไร หลายคนมีสีหน้าดีใจที่คำตอบเหมือนกับเพื่อนส่วนใหญ่ แต่หลายคนก็หน้าสลด วิตกถึงคะแนนที่จะได้เกรงว่าจะไม่ผ่าน ในขณะที่ยังเหลือบางคนนั่งอยู่ในห้องสอบกับเศษเวลาที่เหลือ
“หมดเวลาแล้วค่ะ ทุกคนวางดินสอ ปากกาให้หมดแล้วลุกเอาข้อสอบมาส่งที่หน้าห้องค่ะ” อาจารย์ที่คุมสอบกล่าวผ่านไมโครโฟน
เป็นจังหวะเดียวกับที่คำตอบข้อสุดท้ายถูกเขียนลงไป วันชนะถอนหายใจโล่งอกที่ทำเสร็จอย่างเฉียดฉิว ก่อนจะลุกขึ้นไปส่งข้อสอบที่หน้าห้องแล้วจึงเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองที่กองอยู่รวมกันกับของคนอื่นที่หน้าห้อง
“วิน วิน ว่ายังไงทำได้บ้างไหม” ก้อยถามด้วยความอยากรู้ “ข้อ...ทำได้ไหม” ก้อยหาพวกที่ตอบเหมือนเธอ อย่างน้อยก็อุ่นใจว่าถ้าตอบผิดจะได้มีเพื่อน วันชนะทำท่าคิดนิดหนึ่งแล้วบอกไปตามตรงว่าคำตอบไม่ตรงกัน สังเกตสีหน้าของเพื่อนม่อยลงทันที
“แง ทำไมมีก้อยคนเดียวที่ตอบว่า X = 16 ล่ะ” หล่อนโอดครวญ เพราะว่าคนอื่นๆได้คำตอบเป็น 8
“ลืมหารสองหรือเปล่าก้อย” อาร์ทหาจุดบกพร่อง
“ไม่เป็นไรหรอกก้อย ข้อเดียวเอง ข้อนั้นแค่สองคะแนนเอง” หลินปลอบ
“แต่ว่า...ข้อง่ายๆยังผิดเลย แล้วที่เหลือจะเป็นยังไง” ก้อยทำหน้าเหมือนคนร้องไห้ แต่ไม่ได้ตั้งท่าจะร้องจริงจัง
ถกกันพอสมควร แต่ไม่มีใครสังเกตว่ามีกรรณิการ์ที่เอาแต่ฟังคนอื่นๆ จนคนหนึ่งในกลุ่มเสนอแนะว่าไปคุยกันต่อที่โรงอาหารกลาง ทานข้าวเย็นไปด้วยก่อนกลับ เพราะไหนๆวันนี้ก็เป็นสอบวันสุดท้ายแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะหยุดเรียนถึงหนึ่งสัปดาห์ กลุ่มจึงค่อยๆเคลื่อนไป
ระหว่างทางสุวรรณาเป็นคนแรกที่สังเกตได้ถึงความมีตัวตนของกรรณิการ์ ใบหน้าของเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมดูเครียดนิดๆ จึงเอ่ยคุยด้วยเพราะไม่อยากให้เพื่อนคิดมาก
“หยุดสัปดาห์หนึ่งแจนจะไปเที่ยวไหนบ้างจ้ะ” สุวรรณาถามอย่างสนิท
“อ้อ ไม่ได้ไปไหนหรอกจ้ะ คงนอนเล่นอยู่ที่บ้านแหละจ้ะ” หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าเปลี่ยนจากอาการครุ่นคิดเป็นยิ้มแย้มแต่ทุกคนก็ดูออกว่ากลบเกลื่อนอารมณ์ที่แท้จริงเอาไว้
“เอ้อ เราลืมบอกไปเลยว่าวันเสาร์หน้าพี่ปีสองนัดไปร้องคาราโอเกะกันนะ” อาร์ทเปลี่ยนเรื่อง ทำให้บรรยากาศที่ดูตึงเครียดเล็กน้อยกลับสดใสขึ้น
“เราก็ว่าจะบอกทุกคนอยู่พอดี” วันชนะเพิ่งนึกขึ้นได้
“เสาร์หน้าเหรอ อืม...”ก้อยลากเสียงยาวตอนท้าย คิด อยู่ว่าตนจะว่างหรือไม่ “ไม่แน่ใจว่าจะไปได้ไหมนะ”
“เราว่าน่าจะได้นะ พี่บอกว่าหลังสอบคงมีบางคนกลับบ้านต่างจังหวัด เลยนัดวันเสาร์หน้าเพราะวันจันทร์ก็เริ่มเรียนปลายภาคกันแล้ว ป่านนั้นคงกลับมากันหมดแล้ว” อาร์ทบอก
พูดถึงตรงนี้ทุกคนซึ่งเลยหันมาถามวันชนะเพราะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มาจากต่างจังหวัด “แล้ววินจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดหรือเปล่า? จังหวัดอะไรนะ?”
“แพร่ แต่วินยังไม่รู้ว่าจะกลับหรือเปล่านะ” ชายหนุ่มตอบ
“วินมาจากแพร่เหรอ เป็นหนุ่มเหนือนี่เอง มิน่าล่ะถึงได้ผิวขาว” ก้อยแซวเพราะอิจฉาวันชนะอยู่หน่อยที่ตนผิวคล้ำกว่า ไม่พูดเฉยหล่อนยังเอาปลายมือมาลูบๆที่ต้นแขนวันชนะ “เนียนด้วย”
“ไม่ทุกคนหรอกที่ขาว” วันชนะหันไปพูดกับเพื่อนสาว
การสนทนาหลังจากนั้นเป็นไปอย่างครื้นเครงในโรงอาหารกลาง จวบจนบรรยากาศเริ่มสลัวจึงแยกย้ายกันกลับ
วันชนะมุ่งหน้ากลับห้องของตนซึ่งอยู่ไม่ไกล นึกถึงการสอบแล้วก็โล่งเพราะว่าสอบไปหมดแล้ว เขาเองก็กังวลกับผลสอบอยู่เหมือนกันเพราะว่าไม่ค่อยจะมีสมาธิทบทวนเท่าไรนัก ที่ถกกันตอนออกจากห้องสอบก็ดูเหมือนว่าคำตอบจะไม่ตรงกับเพื่อนอยู่หลายข้อ แต่ก็ไม่อยากจะคิดให้รกพื้นที่ในหัวอีก ไหนๆก็ผ่านไปแล้ว แล้วค่อยรอฟังผลเอาละกัน แต่ตอนนี้ขอไปนอนพักเสียหน่อย นอนไม่เต็มคราบมาหลายวันแล้ว
เหมือนทุกครั้งที่เดินขึ้นบันไดมา พอสายตาพ้นขั้นสุดท้ายก็จะเห็นประตูห้องเรียงกันไป วันนี้มีสิ่งหนึ่งแปลกไป ที่หน้าห้องนักขัตมีรองเท้าคู่ที่ไม่คุ้นตาถอดวางอยู่...สภาพบอกการใช้งานมาบ้าง ไม่ใช่คู่ใหม่ของนักขัตหรือโตโต้แน่นอน
ยังไม่ทันจะก้าวพ้นขั้นสุดท้ายนั้น ประตูห้อง 610 ก็เปิดออกพร้อมกับใครคนหนึ่งที่วันชนะไม่เคยรู้จัก
บุคลิกไม่ต่างจากวันชนะเท่าไร ผอมบาง ตัวเล็กกว่าวันชนะหน่อย สะอาดสะอ้าน หน้าตาดูผ่องใสอยู่ในชุดนิสิตแขนสั้น แวบหนึ่งที่สายตาปะทะกัน เขามองวันชนะด้วยหางตาแล้วเหมือนจะสะบัดหน้าเล็กน้อยก่อนหันไปคุยกับคนที่ยังอยู่ข้างใน
เกย์...แสดงออกอย่างเปิดเผยในระดับที่มากพอสมควรและสายตาคมที่มองเหมือนจะเหยียดแบ่งระดับชั้นนั้นบอกได้ทันที วันชนะก็คงไม่สนใจอะไรมากไปกว่านั้น ถ้าคนที่อยู่หลังประตูนั้นไม่ใช่นักขัตแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเดินทำหน้านิ่งผ่านไปเฉยๆ
คนที่อยู่หลังประตูนั้นดูตกใจเมื่อเห็นการมาของวันชนะจนชะงักไปเล็กน้อย จนคนตัวเล็กบางนั้นสังเกตเห็นแล้วหันมามองสิ่งที่ทำให้นักขัตสะดุด ก่อนพูดด้วยสำเนียงเนิบๆช้าๆ “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะตั้ม”
ดวงตาคมกริบนั้นเหมือนจะฉายแววนัยอะไรสักอย่างขณะพยายามซุกเท้าเข้าไปในรองเท้าคู่นั้น ส้นรองเท้าหนาพอสมควรนั้นพลิกทำให้เจ้าของต้องโผร่างไปข้างหน้า สวมเข้ากับกอดที่เกิดอย่างอัตโนมัติของเจ้าของห้องได้พอดิบพอดี เจ้าของร่างที่เซไปซุกหน้าเข้าไปเต็มๆกับอกของนักขัต กิริยาที่เกิดดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลยในสายตาวันชนะ...เหมือนตั้งใจให้เกิด
แวบหนึ่งคนที่เดินผ่านเห็นเหตุการณ์นั้นได้เห็นรอยยิ้มผุดที่มุมปากเผยความมารยาของคนตัวเล็ก...เป็นยิ้มที่ส่งตรงมาให้วันชนะโดยเฉพาะ...เหมือนประกาศความเป็นเจ้าของ...และท้าทาย
เจอเข้าอย่างนี้วันชนะก็ใจเต้นตึกตักด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน มันปั่นป่วนอยู่ข้างใน แม้จะเคยสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะตัดนักขัตออกไปจากความคิดก็ตาม แต่ก็สามารถเก็บซ่อนอารมณ์เอาไว้ได้จึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเหยียดและสายตาสมเพสให้กับพฤติกรรมมารยาสาไถนั้น...และเหมือนจะบอกผ่านรอยยิ้มเย็นนั้นไปด้วยว่า...ชายคนนั้นไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อวันชนะเลยสักนิดเดียว...
ก่อนสายตาจะละจากคนทั้งสอง คนตัวเล็กพยายามจะรั้งในตัวเองได้อยู่ในวงแขนของนักขัตให้นานขึ้น ในขณะที่วันชนะไม่สังเกตว่านักขัตเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบผลักร่างเบานั้นออก
เสียงเคาะดังขึ้นที่หน้าประตูหลังจากที่วันชนะกลับเข้าห้องมาได้ราวสิบนาที ในใจคิดว่าวุฒิคงกลับมาแล้วจึงเดินไปเปิดประตูให้อย่างปกติ
“ไง วินเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอเสียหลายวัน” กลับเป็นนักขัตอยู่ที่หน้าห้อง
เออเนาะ ยามที่เราต้องการกำลังใจกลับไม่มา ตอนที่เราต้องโดดเดี่ยวกับรอยแผลอยู่คนเดียวเขาไปอยู่ที่ไหน จะมาทำไมเอาป่านนี้ ทั้งๆที่ห้องก็อยู่ติดกัน เดินหากันก็เพียงไม่กี่ก้าว
“สบายดี ตั้มล่ะ” วันชนะทำตัวเป็นปกติ
“เมื่อกี้เพื่อนตั้มที่คณะ เขามาขอยืมเลกเชอร์ส่วนที่เขาไม่ได้เข้าเรียนน่ะ” นักขัตบอก
“เหรอ” จะมาบอกเราทำไมกันนะ ไม่ได้อยากรู้ วันชนะเงียบเหมือนรอฟังเขาว่าจะพูดอะไรต่อ
“เอ่อ...ไปกินข้าวเย็นกันไหม” เขาชวน วันชนะคิดว่าชวนเพราะเขานึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรเสียมากกว่า
“เรากินกับเพื่อนมาแล้ว” วันชนะตอบน้ำเสียงปกติ
“งั้นพรุ่งนี้ล่ะ พรุ่งนี้ตั้มสอบวันสุดท้าย เย็นๆไปหาอะไรกินกันไหม” เขาถาม
“คงจะไม่ได้หรอก พรุ่งนี้วินจะกลับบ้านต่างจังหวัด” ไม่รู้ความคิดนี้ผุดขึ้นมาได้ยังไงที่ทำให้วันชนะพูดออกไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงเขายังไม่ได้วางแผนเอาไว้เลย
“อ้าว...หรือ...” หางเสียงแฝงด้วยความผิดหวัง “อืม...อย่างนั้นเอาไว้คราวหน้าก็ได้”
ได้เห็นสีหน้าหม่นลงของคู่สนทนาก็ทำให้ลืมภาพที่เคยจินตนาการว่าเขาโหดร้ายก็อ่อนลง แล้วถามกลับด้วยเสียงอ่อนว่า “แล้ววินไม่กลับเชียงใหม่เหรอ”
เขายิ้มนิดๆก่อนตอบว่า “ตั้มยังไม่กลับหรอก หยุดแค่สัปดาห์เดียวเอง เอาไว้กลับตอนปิดเทอมแรก”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบไปราวกับไม่มีเรื่องให้พูดคุยอีก แต่ที่จริงแล้วมีเรื่องตั้งมากมายที่อยากถามไถ่ในช่วงที่ไม่ได้เจอกันก่อนหน้านี้...เพราะต่างก็ปิดความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้
นักขัตเองก็นึกเจ็บใจตัวเอง ทั้งที่รวบรวมความกล้าอยู่นาน เพราะเกรงที่ตัวโดนวันชนะเกลียดถึงขั้นออกปากว่าอย่ามาพบหน้ากันอีก เขาไม่อยากให้วันชนะเข้าใจเมื่อกี้ผิด แต่พออยู่ต่อหน้ากลับพูดอะไรไม่ออก อึกอักติดขัดไปหมด
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ จากความรู้สึกที่เริ่มอ่อนโยนขึ้นก็กลับตึง เมื่อมีคนเดินออกมาจากด้านหลังของนักขัต
สายตาคมกริบจ้องมาทางวันชนะราวกับจะหมายหัวเอาไว้ คนตัวเล็กบางคนนั้นยังอยู่
คนตัวเล็กท่าทางบอบบางแต่สายตาเชือดเฉือนผิดบุคลิกไม่พูดอะไร แต่มายืนเทียบติดร่างสูงของนักขัตที่หน้าประตูห้องวันชนะ
“อ้าว แซกส์!” นักขัตตกใจที่จู่ๆเพื่อนร่วมคณะก็มาอยู่ข้างๆ
“แซกส์ว่าแซกส์ลืมของเอาไว้นะ เลยกลับมาดูน่ะ” ในหน้าที่แบ่งพวกเมื่อกี้กลายเป็นยิ้มอ่อนหวานสดใสเมื่อหันไปคุยกับนักขัต
“เอ่อ...แล้วนี่...” คนช่างตีสองหน้าถามอย่างเกรงๆ
“อะ อ้อ นี่เพื่อนตั้มเอง ชื่อวิน” นักขัตแนะนำ “วิน นี่แซกส์เพื่อนที่วิศวะฯ”
“งั้นเดี๋ยวตั้มไปดูให้” นักขัตอยากจะอยู่คุยกับวินสองคนมากกว่าจึงรีบกลับเข้าห้องตัวเองไปหาของที่ว่าลืมเอาไว้ คิดว่าหาเจอแล้วเอามาคืนเพื่อนตัวเล็กจะได้คุยกันต่อ ลืมไปว่าปล่อยให้วันชนะเผชิญหน้ากับเพื่อนใหม่ลำพัง
เมื่อตัวกลางปลีกตัวออกไป คนสองหน้าจึงเริ่มถอดหน้ากากออก เปลี่ยนเป็นหน้าที่ใช้กำราบศัตรูของตน สายตาคมนั้นดูเย็นเยือก แต่วันชนะก็แกล้งคุมอารมณ์เอาไว้ บางทีอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด จึงยิ้มให้อย่างเป็นมิตร หากแต่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่แสดงทีท่าของมิตรตอบกลับมาแม้สักนิด
“นี่หล่อน อย่าริอาจมายุ่งกับตั้มเป็นอันขาดเชียว” เสียงเนิบช้านั้นแฝงด้วยอารมณ์ที่เหยียดหยัน สายตาของคนตัวเล็กบางมองวันชนะตั้งแต่หัวจรดเท้า
“แซกส์ๆ ลืมอะไรไว้เหรอตั้มหาแล้วไม่เห็นมี” นักขัตโผล่ออกมา
คนสองหน้ารีบถอดหน้ากากมารออกทันทีก่อนหันไปพูดกับนักขัตว่า “อ๋อ ขอโทษทีตั้มเราเอ๋อเองแหละ เจอละ อยู่ในกระเป๋าเราเองล่ะ” คนตัวเล็กหัวเราะร่วนสดใส...ไร้พิษสง
“แซกส์ว่าจะกลับแล้วล่ะ” เขาพูดก่อนจะหันมาทางวันชนะ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับวิน หวังว่าเราคงจะได้เจอกันบ่อยๆนะ” นิสิตวิศวกรรมตัวเล็กกล่าวพร้อมกับยิ้มที่เป็นมิตร
“เช่นกันครับ” วันชนะตอบยิ้ม แววตาเป็นประกายกล้า
ภาพที่เห็นทำให้คนที่เพิ่งออกมาไม่รู้อีโหน่อีเหน่เห็นว่าคนทั้งสองคงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ เลยยิ้มตาม
ลับหลังคนตัวเล็กไปนักขัตรีบกลับมาที่หน้าห้องวันชนะ แต่เจ้าของห้องกลับปิดประตูเข้าไปแล้ว ตอนแรกกะจะเคาะเรียก แต่คิดอีกทีก็เปลี่ยนใจ
ภาสกรหรือแซกส์ นิสิตวิศวกรรมตัวเล็กได้แต่ระบายออกทางกิริยาที่แสดงออกมาอย่างไม่จำกัด กระทืบเท้าแรงตลอดทางเดินลงมา เจ้าคิดเจ้าแค้น ใบหน้าฉายแววไม่พอใจที่ไม่ได้ตอกกลับ เพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายก็ “แรง” อยู่เหมือนกัน ภาพของนังคนนั้นยังจำติดในใจ...เจ็บใจนัก
“นี่หล่อน อย่าริอาจมายุ่งกับตั้มเป็นอันขาดเชียว” คนตัวเล็กบางนึกย้อนกลับไปตอนเปิดฉาก เห็นอีกฝ่ายผงะไปนิดหนึ่งก็นึกว่ามันจะหงอ มันกลับต่อกลับมา
“ตั้มน่ะหรือ” มันหัวเราะเยาะ ปากมันหยันเหมือนจะเยาะเย้ย “กอดเขาอุ่นดีนะ ถ้าเธออยากได้บ้างก็ลองมาแย่งดูสิ”
มันทำหน้าท้าทาย
คิดถึงประโยคที่โดนตอกกลับแล้วยิ่งร้อนปุดปุดในอก เพราะต้องเป็นฝ่ายหยุดทั้งที่จะต่อปากด้วย เพราะคนที่หมายตาดันออกมาพอดี
หน้าห้องระบุหมายเลข 619 เจ้าของห้องนั่งหันหลังพิงประตูซบหน้าเครียดเข้ากับสองแขนที่วางบนเข้า สับสนเข้ามาครอบงำจิตใจ นี่เขาสร้างศัตรูไปแล้วหรือนี่ ทั้งที่เขาไม่เคยพูดหรือแสดงท่าทางที่มันแสดงออกมากขนาดนั้นมาก่อน...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++