19
“คุณไม่จำเป็นต้องตามผมมาก็ได้”
“ไม่เป็นไร ฉันให้นายเดินมาคนเดียวมันก็ออกจะเกินไป”และแน่นอนว่าเมื่อไหร่ที่ฟรานซิสออกจากบ้านเขาไม่ได้มาแค่คนเดียวอย่างแน่นอน เขามีบอดี้การ์ดอย่างน้อย 2 คนตามเขามาด้วย แต่โชคดีที่ฟรานซิสสั่งให้ทั้งสองคนรออยู่ที่รถด้านนอกแทน ไม่อย่างนั้นคงสะดุดตาพิลึก แค่ฟรานซิสคนเดียวเดินเข้ามาในโรงพยาบาลก็เด่นมากพอจนเป็นเป้าสายตาของคนทั้งโรงพยาบาลอยู่แล้ว ระหว่างเดินไม่รู้ว่าเพราะผมใจลอยหรือขามันอ่อนแรงกันแน่ถึงได้สะดุดขาตัวเองแทบล้มหน้าทิ่ม แต่ดีที่ฟรานซิสรั้งผมไว้ทัน
ผมต่อสายหาไอ้บัส และในที่สุดก็เจอมันจนได้ ไอ้บัสนั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยใน แขนข้างหนึ่งดูเหมือนจะเข้าเฝือกแล้วแขวนห้อยกับคอเอาไว้ และข้างๆ ก็เป็นไอ้ปอนที่นอนกดโทรศัพท์อยู่ แต่ขามันดันพันผ้าก๊อซตรงหัวเขาเสียหนาทึบจนผมใจหาย
“ไอ้บัสไอ้ปอน!”ผมร้องทักก่อนจะวิ่งเข้าไปหาพวกมัน ไอ้ปอนวางโทรศัพท์สีหน้ายังคงสดใสพยายามลุกขึ้นมาทักทายผมกับแขกไม่ได้รับเชิญ
“มาเร็วชิบ เอ่อ สวัสดีครับ”ไอ้ปอนกับไอ้บัสยกมือขึ้นสวัสดีฟรานซิส เขาพยักหน้ารับไว้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ไอ้บัสใช้แขนข้างหนึ่งดึงตัวผมเขาไปใกล้แล้วกระซิบกระซาบ
“เอามาได้ไงวะ”
“ถ้าหมายถึงคนข้างหลัง เขามาส่งกูน่ะเลยตามมาเยี่ยมมึงสองคนด้วย”
“แน่ใจว่ามาเยี่ยม ไม่ได้จะมาคุมเหรอวะ”
“ไอ้บัส!”ผมด่ามันลอดผ่านไรฟัน แต่มันก็ดันหันไปทำคุยโว้กับฟรานซิสแทน
“ขอบคุณมากครับที่อุตส่าห์มาเยี่ยมจริงๆ ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับ”
“พวกนายสองคนไม่เป็นไรแน่นะ หากมีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้”ฟรานซิสล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าก่อนหยิบนามบัตรส่งให้ไอ้บัส เพราะในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์เขาอยู่
“ไม่เป็นอะไรมากครับ โชคดีที่แขนผมมันแค่เดาะ กับเข่าไอ้บัสที่กระแทกกับถนนพอถลอก หมอเลยให้นอนดูอาการสักคืน ถ้าไม่อักเสบหรือมีอาการอะไรแทรกซ้อนพรุ่งนี้ก็กลับได้เลย”
“แล้วตกลงพวกมึงสองคนทำไงถึงได้เกิดเรื่องวะ”
“กูเองแหละที่โทรชวนไอ้บัสไปบ้านน้องเนยเพราะเห็นว่าวันนี้หยุดงาน กะว่าจะไปส่องสาวแต่แม่งความซวยไม่ปราณี จู่ๆ มีรถที่ไหนก็ไม่รู้ขับมาอย่างเร็วทั้งที่ถนนแม่งก็กว้างเบียดกูกับไอ้บัสล้มแล้วก็เปิดตูดหนีไปเลย กูยังเจ็บใจไม่หายเพิ่งโพสด่าลงเฟสเนี้ย”ไอ้ปอนเล่าเป็นฉากๆ แต่ไอ้ที่โพสด่ามันมีสาระไหม มึงเดี้ยงอยู่นะไอ้ปอน!
“โทษตัวเองทำไมวะ ต้องโทษไอ้คนขับรถนั่นมากกว่า มึงผิดที่ไหนกูคนขับถ้ามึงผิดที่ชวน กูก็ผิดที่ขับไม่ดีสิวะ”
“มึงจะผิดได้ไง กูบอกแล้วว่ากูผิด”
“เออๆ พอเลยทั้งสองคนจะเถียงให้ได้ถ้วยรึไงวะ เอาเป็นว่านอนพักผ่อนได้แล้ว สงสารเตียงข้างๆ มึงเอะอะโวยวายพยาบาลจะมาฉีดยามึงสองตัวแน่”ผมหรี่ตาเป็นเชิงขู่
“กูสองคนไม่ใช่เด็กแล้วนะเว้ย ถึงเอาเรื่องแบบนั้นมาขู่”
“เออๆ แล้วพี่เงาะเอาไง มึงได้ลายาวเป็นอาทิตย์แน่”
“โทรบอกแล้ว เจ๊แกบอกไม่ต้องห่วงจะหาคนแก้ขัดไปก่อน ไม่ได้โดนไล่ออกแน่”ไอ้ปอนบอก
“งั้นคืนนี้ให้กูอยู่เฝ้า”
“ไม่ต้องๆ กลับไปเลย กูกับไอ้ปอนไม่ได้โคม่า”ไอ้บัสโบกมือไล่
“ก็ถ้าเกิดเอายงเอายากูจะเดินไปเอาให้”
“กูบอกว่าไม่ต้องไง คุณเจ้านายของไอ้ธันครับ ช่วยพามันกลับทีนะครับ”
“พากลับไปเลยครับ ไอ้นี่มันดื้อด้าน มึงจะมาเฝ้าให้ยุงแดกเลือดทำไมวะ กลับไปนอนไป”ไอ้ปอนเอ่ยปากไล่อีกคน
“แต่ว่ากู”
“ถ้านายอยู่ เพื่อนนายจะลำบากใจเปล่าๆ”ฟรานซิสเอื้อมมือมาแตะบ่าผม
“รบกวนด้วยนะครับ แล้วก็เอ่อ....เดี๋ยวนะกุญแจบ้านมันอยู่ในกระเป๋ากางเกง ถ้ามึงเข้าบ้านก็ไปหยิบเอาในนั้นได้เลย”ไอ้บัสชี้ไปทางตู้วางของข้างเตียง
“ไม่เป็นไร คืนนี้ฉันจะให้เพื่อนของพวกนายพักกับฉันสักคืนก็แล้วกัน”
“ผมไม่ไป”ผมหันไปค้อนใส่ฟรานซิส
“ไอ้ธันมึงจะดื้ออะไรนักหนา ไปได้แล้วเขาจะปิดไม่ให้เข้าเยี่ยมแล้วมึงไม่ได้ยินประกาศรึไง ไปๆ”ไอ้บัสเอ่ยปากไล่ผมอีกครั้ง คราวนี้ฟรานซิสเลยเป็นฝ่ายดึงผมออกมาเอง ผมเดินหน้างุ้มตามหลังร่างสูงอย่างไม่พอใจ
“โกรธฉันเรื่องอะไร?”
“ก็คุณดึงผมออกมา ผมอยากจะอยู่ที่นี่คุณกลับไปเถอะผมขอร้อง”
“ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงเพื่อน แต่เป็นห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่า”คนเบื้องหน้าหมุนตัวมาทางผมแล้วก้มลงมาพูดกับผมอย่างตำหนิ
“ผมจะกลับมาที่นี่หลังจากเช้าทันที”
“ได้ ฉันจะให้อาเธอร์มาส่ง”
“ไม่เป็นไร ผมออกมาเอง”
“......ตามใจ”บทสนทนาสิ้นสุดเมื่อหาจุดจบได้ และเพียงไม่นาน เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมแง้มมันออกดูจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะเห็นเลขหมายและชื่อคนโทรมาถึงกับสะดุ้งเฮือก
“คือว่า พอดีพี่เงาะโทรมา ผมขอไปคุยธุระหน่อยคุณรอผมตรงนี้ก็แล้วกัน”ผมไม่รอให้ฟรานซิสตัดสินใจ รีบเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วหาที่ลับตาคนก่อนจะกดรับสาย
จริงๆ ไม่ใช่พี่เงาะหรอกนะที่โทรมา แต่กลับเป็นอากงของผมเอง
“มีอะไร”
“[เล่นทักทายกันแบบไม่มีไมตรีจิตเลย]”เสียงอารมณ์ดีของอีกฝ่ายทำผมหงุดหงิด
“อย่ามานอกเรื่อง ที่โทรมามีอะไร รีบๆ พูดก่อนที่กูจะวางสาย”
“[ใจร้อนไปได้ แค่จะโทรมาถามอาการของเพื่อนมึงซะหน่อย]”ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะย้อนคำถามออกไปอย่างใจร้อน
“มึงรู้ได้ไงว่าเกิดอะไรกับเพื่อนกู”ผมเริ่มใจไม่ดี และไม่อยากคิดไปเองในสิ่งที่เป็นไปได้
“[มันเป็นอุบัติเหตุ พอดีลูกน้องกูขับรถเร็วไปหน่อย ฮ่าๆ]”มือของผมกำหมัดแน่นจนร่างกายสั่นไปทั้งตัว ในหัวของผมมันปวดขึ้นมาจนคิดอะไรไม่ออก คนอย่างไอ้แก่เฉินเหรอจะทำเรื่องเลวๆ แบบนี้ไม่ได้
“มึงจะทำอะไรกูกูไม่ว่าแต่อย่างเอาเพื่อนกูไปเกี่ยวข้อง!”เสียงของผมสั่นเครือระคนโกรธแค้น แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง แล้วยังมาทำให้ไอ้บัสกับไอ้ปอนพานเดือดร้อนอย่างไม่รู้ตัวไปด้วย
“[ฮึ! ก็มันช่วยไม่ได้ กูก็แค่หาแรงจูงใจอะไรสักอย่างให้มึงเร่งทำงาน เป็นไงรู้สึกมีกำลังใจทำงานให้กูขึ้นมาบ้างรึยัง]”
ผมกัดฟันกรอดนัยน์ตาร้อนผ่าวและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ที่ปริ่มออกมาไม่ใช่เพราะรู้สึกเศร้าเสียใจ แต่เพราะรู้สึกจุกในอกราวกับความคับแค้นไม่สามารถระเบิดออกมาได้
“มึงมันเลว รู้อย่างนี้กูไม่มีทางส่งสิ่งที่มึงอยากได้ไปให้มึงเด็ดขาดไอ้ชั่ว!”
“[มึงพูดว่าอะไร ส่งสิ่งที่กูอยากได้ เมื่อไหร่!]”อีกฝ่ายดูกระตือรือร้นขึ้นมาผ่านน้ำเสียง
“กูทำงานให้มึงเสร็จตามสัญญา…..”น้ำเสียงของผมมันเริ่มขาดห้วงพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ที่ติดอยู่ในคอด้วยความยากลำบาก“ข้อมูลที่มึงอยากได้นักอยากได้หนา กูส่งทางไปรษณีย์ไปแล้วและอีกไม่นานมันคงจะถึงมือมึงในไม่ช้า”
“[ไปรษณีย์? เหอะ! ข้อมูลสำคัญของกูมึงใช่ส่งวิธีนั้นเหรอวะ ทำไมมึงไม่ส่งให้กูกับมือทันทีที่ได้!]”ฟังน้ำเสียงมันดูก็รู้ว่าไอ้แก่เฉินหงุดหงิดกับวิธีการของผมแค่ไหน มันคงมองว่าผมโง่ดักดานที่เลือกใช้วิธีที่ชักช้าไม่ทันใจแบบนั้น มันก็เหมือนการอ้อมโลกเพื่อกลับมาที่เดิม
แต่นั่นเป็นสิ่งที่ผมจงใจ แค่อยากจะยื้อเวลาที่ผมจะทำให้ใครคนหนึ่งเดือดร้อนช้าลงก็เท่านั้น แต่แบบนี้จะมีประโยชน์อะไร ถ้าหากทำให้คนรอบตัวผมเดือดร้อนไปด้วยแบบนี้
“มึงจะรู้สึกยังไงก็ช่าง! สัญญาของกูกับมึงถือเป็นอันสิ้นสุดเลิกยุ่งเลิกวุ่นวายกับพวกกูซะ”
“[จบง่ายๆ ได้ไง ในเมื่อกูยังไม่เห็นของที่มึงส่งมา จนกว่ากูจะเช็คว่ามันเรียบร้อยดีแล้วก็จะเป็นฝ่ายบอกมึงเอง]”
“ก็ได้ ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ก็ถือเป็นการจบสิ้น”
“[อ้อ! กูลืมบอกมึงไปอีกเรื่องหนึ่ง บังเอิญว่าคืนนี้ลูกน้องกูสองคนจะไปเดินเล่นแถวๆ บ้านเพื่อนมึงอีกคน ถ้ากูจำไม่ผิดชื่อจง ชื่อจูนอะไรสักอย่าง ถ้ามึงไม่รีบกูก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ.....]”
“มึง!!!”หัวใจผมถึงกับหล่นวูบลงไปทันทีก่อนจะตัดสายไอ้เลวนั่นทิ้งแล้วออกตัววิ่งออกไปสุดกำลัง
ยิ่งวิ่งร่างกายผมแทบจะไม่มีแรง ผมเห็นร่างสูงเลือนๆ ผ่านคราบน้ำตาบางๆ ที่ยืนรอผมไม่ไปไหน ผมวิ่งไปหยุดต่อหน้าฟรานซิสแล้วใช้สองมือขยุ้มเสื้อของเขาแล้วก้มหน้างุดลมหายใจหอบถี่พลันทำให้ร่างสูงประหลาดใจ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ฮึก! ชะช่วยผมด้วย ผมขอร้องแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”ผมเขย่าฟรานซิสด้วยกำลังอันน้อยนิดที่ไม่ทำให้คนตรงหน้าสะทกสะท้าน ผมยอมเป็นคนหน้าไม่อาย เพราะเพียงลำพังในตอนนี้มือสองมือของผมมันไม่สามารถจะทำอะไรได้ คนที่ผมพอจะพึ่งพิงตอนนี้ก็มีแต่เขาก็เท่านั้น
ผมมันเลวใช่มั้ยล่ะ ที่เอาความลับของเขาไปขายแล้วยังจะขอความช่วยเหลือจากเขาอีก
สถานการณ์ตอนนี้ทำผมร้อนใจนัก แม้คนของฟรานซิสจะเหยียบคันเร่งจนทิวทัศน์รอบๆ แทบมองไม่ถนัดตา แต่มันยังเร็วไม่พอในความรู้สึก
หลังจากที่ผมเอ่ยคำพูดขอร้องฟรานซิสไป เขาไม่เอ่ยถามสาระสำคัญจากผมสักคำ มีแต่ผมที่พร่ำบอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากผมไปช่วยไอ้จูนไม่ทัน ผมบอกเขาไปเพียงว่า ไอ้จูนกำลังโดนคนบางคนเล่นงาน จากนั้นก็ไม่มีคำถามใดๆ จากปากฟรานซิสอีก
“คุณบอกให้เขาขับเร็วกว่านี้ได้มั้ย ผมขอร้อง!”ฟรานซิสหันไปพูดบางอย่างกับบอดี้การ์ดที่ความเร็วของรถก็ทะยานพุ่งออกไปราวกับจรวด เพียงไม่นานผมก็มาถึงหน้าบ้านของไอ้จูน ซึ่งมันอาศัยอยู่กับพ่อแล้วก็แม่ ซึ่งทั้งสองไม่ได้อยู่บ้านในตอนนี้ เพราะทั้งคู่ไปเข้าอบรมในหน้าที่การงานทางอาชีพของเขาที่ต่างจังหวัด
ทันทีที่รถจอด ผมไม่รั้งรอรีบเปิดประตูพุ่งพราวกำลังจะออกไปเมื่อเห็นว่าชั้นสองของบ้านไฟสว่าง แต่ฟรานซิสกลับคว้าแขนผมไว้
“คุณจะจับผมไว้ทำไม ปล่อยนะ!”
“หากนายบุ่มป่ามเข้าไปอาจเป็นเรื่อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนของฉันเข้าไปดูจะดีกว่า”ไม่ทันไรเสียงบางอย่างที่ดูครึกโครมก็ดังเล็ดลอดออกมาถึงกับทำให้ผมใจหาย ไม่ทันที่ผมจะสังเกต ปรากฏว่าบอดี้การ์ดของฟรานซิสกลับหายออกไปจากรถเรียบร้อยแล้ว
ฟรานซิสมองมายังผมราวกับจะให้รั้งรอต่อไป แต่ทว่าผมไม่สามารถทนอยู่เฉยๆ ได้
นั่นมันไอ้จูนเพื่อนผมนะ!
ผมสะบัดท่อนแขนวิ่งออกไป และขุ่นเคืองในความคิดของฟรานซิสไม่น้อยที่จะให้ผมเฝ้ารออยู่เฉยๆ
ผมวิ่งไปทางบันใดเพื่อขึ้นไปยังชั้นสองขอบ้านข้างของระหว่างทางดูกระจุยกระจาย มีเสียงเอะอะโวยวายและเสียงกรีดร้องของไอ้จูนถัดไปอีกห้อง ผมพุ่งพรวดเข้าไปก็พบกับคนของฟรานซิสที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อย ไม่ผิดไปจากที่คิด คนที่ดูยังไงก็ไม่ใช่คนดีกำลังดิ้นพล่านอยู่บนพื้นต้านแรงกดของสองร่างใหญ่จนหน้าซับเลือด เพียงไม่นานฟรานซิสก็ตามขึ้นมา ผมรีบเดินไปหาไอ้จูนที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่มุมห้องกุมบ่าสองข้างของมันที่สั่นไหวด้วยแรงหอบถี่
“มึงเป็นอะไรรึเปล่า มึงเจ็บตรงไหนมั้ย!”ผมถามมันเร็วรัวเขย่าตัวมันเรียกสติเล็กน้อย
“กะกูโอเค ไม่เป็นไร”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมึงกูจะไม่ให้อภัยตัวเองเลยว่ะ”ผมกระชากตัวไอ้จูนเข้ามากอดความตกใจระคนปวดร้าวแทรกเข้ามากลางอก
“ขอบใจมากเลยนะเว้ย ถ้ามึงไม่มา.....กะกูแย่แน่ๆ”ไอ้จูนเริ่มสะอื้นขึ้นก่อนที่น้ำตามันจะนองหน้ากุมแขนผมไว้แน่น ผมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่เป็นไร ก่อนจะหันไปดูเหตุการณ์เบื้องหลัง จากนั้นไม่นานผมก็จัดการส่งไอ้เลวที่มาก่อเหตุให้ตำรวจไป ถึงยังไงมันก็จบคดีอยู่ที่ขึ้นบ้านเพื่อลักขโมย ไอ้แก่เฉินคงไม่ยอมให้เรื่องบานปลายแน่นอน คืนนี้ผมบอกฟรานซิสว่าผมจะอยู่เป็นเพื่อนไอ้จูน ผมกลับแปลกใจที่เขายอมกลับไปดีๆ โดยไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของฟรานซิสดูตึงเครียดราวกับมีบางอย่างที่ผมไม่สามารถเดาได้
ไอ้จูนเล่าเหตุการณ์ให้ผมฟังว่า มันอยู่ชั้นบนของบ้านกำลังนั่งดูโทรทัศน์ แต่มันก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่ข้างล่าง มันเลยลงไป และก็เห็นไอ้เวรนั่นเดินอยู่อย่างเปิดเผย พอเห็นไอ้จูนเข้ามันเลยไล่ตามไอ้จูนขึ้นไปด้านบน เกิดการต่อสู้กันเล็กน้อยเพราะไอ้จูนขว้างปาสิ่งของใส่มัน แต่ก็เหมือนยื้อเวลาให้ผมมา ถึงทุกอย่างจบอย่างทันท่วงทีเมื่อมีบอดี้การ์ดของฟรานซิสขึ้นมาช่วย
และอีกอย่างที่ได้จูนขอร้องผม คืออย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่มัน มันไม่อยากให้ท่านสองคนเป็นห่วงและเครียดกับเรื่องนี้ ผมรับปากแต่ยื่นข้อเสนอให้มันว่าถ้ามีเหตุการณ์ไม่ดีแบบนี้อีกมันต้องรีบบอกผมทันที ผมไม่ได้พูดเรื่องไอ้บัสกับไอ้ปอนที่นอนอยู่โรงพยาบาลให้ไอ้จูนฟังเพราะกลัวมันกังวลและเครียดหนักเข้าไปอีก ผมยินดีอยู่เป็นเพื่อนมันโดยผมนอนเฝ้ามันอยู่ด้านล่าง ส่วนไอ้จูนก็นอนในห้องมันด้านบนและย้ำให้มันปิดหน้าต่างล็อคห้องใครเรียกก็ห้ามเปิดออกมาแม้กระทั่งตัวผมจนกว่าจะเช้า
ตลอดทั้งคืน ผมแทบจะข่มตาให้หลับไม่ได้ เรื่องราวต่างๆ ประเดประดังเข้ามาจนทำให้ผมกลุ้มจนหัวแทบระเบิด พาลให้ความเครียดลงท้องปวดเนืองเป็นๆ หายๆ อยู่ตลอดเวลา
ผมย้อนคิดไปว่าหากผมไม่รู้จักกับพวกไอ้บัสไอ้ปอนและไอ้จูนตั้งแต่แรก พวกมันคงไม่ต้องเดือดร้อนแบบนี้ มีแต่ผมเท่านั่นที่ต้องยืนดูเหตุการณ์พวกนี้โดยที่ไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกไปได้ ไม่สามารถบอกพวกมันว่าทั้งหมดนี้สาเหตุเป็นเพราะผม ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไรแต่มันคับแค้นอยู่ในอกเหมือนคนน้ำท่วมปากที่ไม่สามารถอธิบายหรือพูดอะไรออกไปได้ ตัวผมตอนนี้ไม่ได้ต่างกับเนื้อเน่าที่ไปอยู่กับใครก็พาคนนั้นมีกลิ่นเหม็นคลุ้งติดตัวไปด้วย
ผมควรจะทำยังไงดี!
หลังจากที่ผมบอกลาไอ้จูนออกมาแต่เช้าเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงพ่อกับแม่มันก็จะกลับมาแล้ว พอได้เห็นว่าสีหน้ามันดูสดชื่นขึ้นผมก็รู้สึกเบาใจแต่ความรู้สึกผิดก็ไม่ได้เลือนหายไปด้วย ผมเดินกลับมายังโรงพยาบาลที่ไอ้บัสกับไอ้ปอนพักอยู่ เมื่อผมมาถึงก็เห็นมันสองคนแต่งตัวด้วยชุดไปรเวทกำลังเก็บข้างเก็บของกันอยู่
“ไอ้ปอนไอ้บัส หมอขึ้นตรวจแล้วเหรอวะ”ผมร้องทักและรีบเข้าไปหา
“ขึ้นตรวจแล้ว ตอนนี้หมอบอกพวกกูกลับบ้านได้ เห็นมั้ยว่ามึงไม่ต้องกังวลเกินเหตุ”ไอ้บัสหันมาทางผมยังคงเก็บของต่อ ผมเลยบอกให้ทั้งสองคนไปนั่งและอาสาทำแทน
“แล้วนี่มึงได้หลับได้นอนบ้างมั้ยเนี้ย หน้าตามึงดูไม่ได้เลยว่ะ ฮ๊ะๆ หรือว่า.....เจ้านายมึง”ไอ้ปอนชี้นิ้วมาทางผมทำหน้าตาล้อเลียน
“มึงคิดอะไรกูรู้ แต่ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด ขายังจะเอาอีกมั้ยห๊ะไอ้ปอน”ผมตบลงไปที่ท่อนขาของมันแต่แค่ให้เฉี่ยวๆ แผล
“โอ๊ย! กูแค่ล้อเล่น”
“ปากดีไปเหอะมึง”ผมค้อนตาคว่ำให้ไอ้ปอนก่อนจะยัดสัมภาระใส่ถุงที่มีอยู่ไม่กี่อย่าง แต่ผมกลับสงสัยว่าไอ้พวกของกินเล่นนี่มันมาจากไหน ทั้งที่เมื่อคืนผมยังเห็นว่าไม่มีอะไรอยู่เลย
“ของพวกนี้มาจากไหนวะ?”
“เมื่อคืนหลังจากมึงกลับ พอดีน้องเนยมาเยี่ยมกูวะ”ไอ้ปอนเล่าไปเกาหัวแก้เขินไป
“มาได้ไงวะ ผมถามอย่างอยากรู้”
“ก็รู้จากโพสในเฟสของกูนั่นแหละ”
“ร้ายนะมึง ที่แท้ก็หวังผล”ผมมองหน้าไอ้ปอนและแบะปากใส่มันอย่างหมั่นไส้
“กูเปล่านะเว้ย มันเป็นเรื่องบังเอิญกูก็ไม่ได้คิดว่าน้องเนยเขาจะมา”
“กูว่าน้องเนยมึงมีใจให้มึงแน่นอน”ไอ้บัสพูดขึ้นพลางเอามือลูบสันกรามตัวเองอย่างใช้ความคิด
“แบบนั้นก็ดีสิวะ กูจะได้ไม่ต้องตามจีบ 11 ขั้นตอนให้เหนื่อย”
“ระวังเถอะ อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็จะเสียไปง่ายๆ ได้เหมือนกัน”
“มึงให้กำลังใจกูหน่อยก็ได้ไอ้ธัน ก็ใชสิ! มึงสบายไปแล้วนี่มีเจ้านายหล่อเหลา หน้าตาดี มีเงินถุงเงินถังคอยรับคอยส่ง จนกูงงว่าตกลงใครเจ้านายใครลูกน้อง”
“ไอ้ปอน! ยังอยากนอนโรงพยาบาลต่ออีกสักคืนมั้ย ฮึ!”
“โอ๋เอ๋ กูล้อเล่นอย่างอนดิวะ”
“ไม่ต้องมาง้อกูเลยกูโกรธ”
“ไอ้บัสช่วยกูหน่อยสิวะ แม่งไอ้ธันงอนกูแล้ว”
“ใครทำใครก็ง้อมันเองดิวะ อย่าเอากูไปเสือกด้วยกูไม่เกี่ยว”
“พวกมึงสองคนจะไปไม่ไป”ผมออกตัวเดินนำไอ้คนเจ็บสองตัวที่ยังหยอกยังล้อกัน ก่อนที่พวกมันจะเดินตามมา ไอ้บัสเดินได้ปกติไม่เป็นไร แต่ไอ้ปอนที่เดินกะแผกๆ กวักมือหยอยๆ ให้พวกผมรอมันเป็นภาพที่น่าสังเวทยิ่ง แล้วก็ไม่ไม่อีกที่ผมต้องเดินย้อนไปลากมันมาเดินไปด้วยกัน ผมลอบมองเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ผมพลางยิ้มบางๆ ความรู้สึกของผมมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่จะทำให้พวกมันเดือดร้อนอีก ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้อีกครั้งผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย
“ไอ้บัส ไอ้ปอน.....”ระหว่างที่นั่งแท็กซี่ไปส่งพวกมันสองคน เสียงแผ่วๆ ของผมก็เอ่ยเรียกพวกมันขณะนั่งคุยเรื่องสัพเพเห่ระทั่วไปอย่างครื้นแครงไม่เหมือนคนป่วยใดๆ พวกมันสองคนหันมามองผมด้วยความสงสัย เมื่อสีหน้าของผมมันบ่งบอกว่าผิดเพี้ยนไปจากปกติ
“เป็นอะไรวะ จู่ๆ ก็ทำหน้าเครียดขึ้นมาหรือยังไม่หายโกรธกูอีก”ไอ้ปอนเอามือมากุมไหล่ผมหน้าหงอ
“กูโกรธมึงจริงจังเป็นที่ไหน กูแค่มีเรื่องอยากจะพูดกับพวกมึงก็เท่านั้น”
“ฟู่.....แล้วไป”
“อะไรวะ? ขอให้เป็นเรื่องดีๆ นะเว้ย”ไอ้บัสแทรกขึ้นมาสีหน้ากังวลฉายขึ้น
“กูขอบใจแล้วก็ขอโทษพวกมึงจริงๆ ”
“ขอบใจ ขอโทษ เรื่องอะไรวะ อย่ามาพูดให้พวกกูงงดิ”
“ขอบใจที่พวกมึงเป็นเพื่อนที่ดีกับกูมากๆ.....”ผมพูดได้แค่นั้นก็รู้สึกว่าเสียงของตัวเองมันกลับสั่นขึ้นมา แล้วพยายามพูดต่อตามความตั้งใจ“ขอโทษ....กับการที่ช่วยอะไรพวกมึงไม่ได้เลยสักอย่าง กูเห็นพวกมึงเจ็บทั้งๆ ที่กูยังอยู่ดีแล้ว....กูรู้สึก....”ไม่ทันที่ผมจะพูดจบน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมา แม้พยายามอดกลั้นเอาไว้แล้วก็ตามที ผมรีบยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาก้มหน้างุดไม่กล้าสู้หน้าพวกมัน ไอ้ปอนกับไอ้บัสได้แต่เอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ
“ไอ้ธันแม่งอย่าคิดมาก ถ้าเรื่องอุบัติเหตุมันเกี่ยวกับมึงที่ไหนอย่าร้องดิว่ะ แม่งไม่แมนเลย เดี๋ยวกูก็ร้องตามอีกหรอก เชี่ย!”ไอ้ปอนตาแดงๆ พูดปลอบผม ผมพยายามส่ายหน้า เพราะความหมายที่ผมพูดถึงพวกมันไม่สามารถรู้ได้
“ถ้าเรื่องนี้มันใช่เรื่องที่มึงต้องมาขอโทษพวกกูมั้ย ไอ้บ้าเอ้ยทำตัวให้มันร่าเริงหน่อยดิวะ ถ้าไอ้ปอนมันตายก็ว่าไปอย่าง”
“เชี่ย! แล้วทำไมต้องกูวะ”ไอ้ปอนหน้าเหวอมองไอ้บัสงงๆ
“ก็อย่างที่สุภาษิตโบราณเขากล่าวไว้ว่า เพื่อนกินหาง่าย แต่ถ้าเพื่อนตายก็ได้ไปกินงานศพไงวะ”
“ไอ้เชี่ยบัส!”แล้วเหตุการณ์ชุลมุนเล็กน้อยภายในรถก็เกิดขึ้น ผมที่อยู่ระหว่างกลางก็ต้องทำหน้าที่ห้ามทัพทั้งสองตัวที่เริ่มตีกันให้วุ่น บรรยากาศอึมครึมเมื่อครูเริ่มมลายหายไปบ้างแล้ว ผมเริ่มยิ้มได้ขึ้นมากับเรื่องเรียบง่ายแบบนี้ที่ไม่มีที่ไหนให้ผมได้เท่ากับคำว่าเพื่อนอีกแล้ว
นี่รึเปล่าที่เขาเรียกว่าเพื่อนคือคนที่จะทำให้เรายิ้มและหัวเราะได้ทั้งน้ำตา
กูรักพวกมึงจริงๆ เพราะฉะนั้นกูจะไม่ยอมให้พวกมึงมาเจอเรื่องเลวๆ แบบนี้อีกแล้ว กูสัญญา!
>>>> to be continued