**ในที่สุด ก็เขียนจบไปอีกตอนจนได้ เฮ!!
แล้วก็ยังคงสถานะผู้อพยพมาเดือนกว่าอย่างเหนียวแน่น (ไม่ได้กลับไปดูบ้านเลยสักครั้้ง บ้านจ๋า
)
โว้ย ท่วมนานจนชักเครียด (เพราะพิมพ์หนังสือก็ไปเอาไม่ได้ เอามาได้ก็ส่งไม่ได้ น่าเครียดมั้ย?!)
เพราะงั้น... มาอ่านอะไรเฉื่อยๆ กันเถอะ!! (มันมาลงตรงนี้ได้ไงล่ะเนี่ย??!!
)
---------------------------------------------
Out of order. ขออภัยในความไม่สะดวก ตอนที่9
เพราะเมื่อคืนผมมัวแต่นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เช้าวันต่อมาพอลืมตาขึ้นมองนาฬิกาก็เห็นว่าเข็มยาวชี้ที่เลขสิบเข้าไปแล้ว พอเห็นว่าตื่นสายขนาดนี้ ผมก็แทบจะกระโดดลงมาจากเตียง รีบลงไปล้างหน้าแปรงฟัน รดน้ำต้นกล้วยไม้ที่อยู่หน้าบ้าน แล้วปั่นจักรยานออกไปทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งใกล้ๆ พอกลับมาถึงบ้าน ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์แผดเสียงลั่นออกมาจากด้านใน ผมเลยต้องรีบไขกุญแจ วิ่งเข้าไปรับโทรศัพท์ โดยทิ้งทั้งจักรยานและประตูรั้ว ให้เปิดอ้าไว้อย่างนั้น
“สวัสดีค่ะคุณพนิต อรนภานะคะ วันนี้คุณพนิตจะเข้ามาส่งต้นฉบับเองรึเปล่าคะ”
ผมกะพริบตาปริบๆ อยู่พัก ถึงนึกได้ว่าเป็นสายเลขาฯของสุภาพงษ์ที่สำนักงาน “อืม เปล่า ผมส่งไปแล้วน่ะ”
“เอ๋ ส่งไปรษณีย์มาหรือคะ?” เสียงอรนภาตอนกลับมา ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “เปล่า ผมเอาไปให้คุณสุภาพงษ์เมื่อวานน่ะ เขายังไม่ได้เข้าไปหรือ?”
“คุณสุภาพงษ์เธอไม่สบายค่ะ เมื่อเช้าเพิ่งโทรมาบอกว่าวันนี้เข้าออฟฟิศไม่ไหว ว่าแต่เมื่อวานคุณพนิตเอาต้นฉบับไปส่งให้ที่ห้องเลยเหรอคะ”
“อืม........” ผมคราง ชักรู้สึกว่า ผมพูดอะไรที่ฟังดูไม่เหมาะสมไปรึเปล่านะ “พอดีมันมีเหตุนิดหน่อยน่ะ ที่จริงผมตั้งใจจะไปส่งที่ออฟฟิศ แต่พอดีเพื่อนเขาแวะมาหาผมที่บ้าน ก็เลยถือโอกาสแวะไปเยี่ยมไข้เขาด้วยเลยน่ะ”
“อ๋อ ค่ะ อาการเขาเป็นไงบ้างคะ เมื่อเช้าท่าทางเสียงเขาดูแย่มากเลยค่ะ”
“............” ผมนิ่งไปพักหนึ่ง ถึงพอจะหาคำพูดตอบอรนภาไปได้ “ก็ไข้นั่นแหละ พักผ่อนวันสองวันก็น่าจะหาย”
“อืม.. ค่ะ ยังไงคุณพนิตเองก็ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ”
“ครับ” ผมตอบ จากนั้นเธอก็วางสายไป ทิ้งให้ผมยืนนิ่งอยู่หน้าโทรศัพท์
สุภาพงษ์........
เมื่อวานผมเขียนต้นฉบับเสร็จก่อนเวลา เลยตั้งใจจะไปส่งให้เขาที่สำนักงาน แต่กลับถูกเจ้าคุณากรหลอกพาไปเยี่ยมไข้เขาเสียได้ ตอนแรกผมก็ตั้งใจจะอยู่เฝ้าไข้เขาสักคืนหรอก เพราะเห็นว่าอยู่คนเดียวไม่มีใคร แต่ก็ดันมาอารมณ์เสียเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องจนได้
ที่จริงเขาก็แค่คนที่ไม่ค่อยพูด แถมก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน ที่ผมทำลงไปเมื่อวาน ถือว่าใจร้ายเกินไปรึเปล่านะ...?
พอมานึกย้อนถึงน้ำตาของเขาก่อนที่ผมจะออกจากห้องแล้ว ก็รู้สึกขึ้นมาจริงๆ นั่นล่ะ ว่าผมอาจจะทำเกินไปหน่อย อย่างน้อย บอกเขาแบบนั้นแล้ว ก็น่าจะหาใครไปอยู่ปลอบใจเขาบ้าง ไม่ใช่ว่าทิ้งเขาออกมาแบบนั้น แต่จนใจที่ผมไม่มีเบอร์ของคุณากร แล้วก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาอย่างไรดี จะโทรกลับไปถามสุภาพงษ์ว่าเป็นไงบ้างก็น่าเกลียด
ผมวนเวียนคิดเรื่องนี้จนดึก ถึงได้ตื่นซะสายโด่งแบบนี้ไงล่ะ แถมตื่นมาแล้วก็ได้รู้อีกว่าเขาไปทำงานไม่ไหว
เพราะผมรึเปล่านะ.....
“ลุงนิต!”
ผมสะดุ้งโหยง เงยหน้ามองออกไป ก็เห็นเด็กผู้ชายอายุสักเจ็ดแปดขวบสองคนมายืนหน้าตื่นอยู่ตรงหน้าบ้าน ท่าทางจะเห็นว่ามีจักรยานล้มอยู่เลยดูจะตกใจใหญ่ คงคิดว่าผมเป็นอะไรล่ะมั้ง
“ลุงนิต” เจ้าเด็กสองคนนั้นทำท่าจะเดินเข้ามาตามหาผมถึงบ้าน ผมเลยต้องรีบออกไปก่อน “มีอะไรกันเหรอ?”
“ตกใจหมดเลย คิดว่าลุงเป็นอะไรไปแล้ว เห็นรถล้มอยู่หน้าบ้าน” หนึ่งในนั้นตอบ ผมจำได้ว่าเป็นสองพี่น้องจากบ้านเช่าที่เข้ามาเล่นบ้านผมบ่อยๆ ย้ายมาอยู่แถวนี้ได้สักเกือบครึ่งปีแล้วมั้ง
“อ้อ ลุงรีบเข้าไปรับโทรศัพท์น่ะ มีเรื่องอะไรล่ะ?” ผมถามต่อ เจ้าเด็กสองคนนั้นมองหน้าผมอยู่พัก แล้วเม้มปากนิดๆ “แม่บอกให้มาลาน่ะครับ พรุ่งนี้พวกผมจะย้ายออกแล้ว ไปแต่เช้าเลย”
“อืม..” ผมส่งเสียงในคอ มองหน้าเด็กทั้งสอง “เก็บของเสร็จหรือยังล่ะ?”
“ยังครับ เดี๋ยวต้องไปช่วยแม่เก็บของต่อ” คนน้องตอบ แล้วเดินมาหาผม “ลุง ผมไปแล้วลุงจะคิดถึงผมมั้ย?”
ผมเผลอหัวเราะออกมา แล้วก็เลยย่อตัวลงนั่ง ยกมือลูบศีรษะเจ้าเด็กคนนั้นอย่างเอ็นดู “คิดถึงสิ”
“งั้นผมย้ายมาอยู่กับลุงได้มั้ย ผมไม่อยากย้ายบ้านเลย” เด็กคนน้องพูดต่อ ได้ยินคนพี่เอ็ดขึ้น “ไม่ได้นะ แม่บอกว่าอย่ามารบกวนลุงนิตบ่อยๆ เกรงใจลุงนิตบ้าง”
“ลุงนิตใจดี ลุงนิตไม่ว่าหรอก” คนน้องตอบ แล้วหันหน้ามาหาผม “ลุงนิตให้ผมอยู่ด้วยนะ”
“มาอยู่กับลุงแล้วไม่คิดถึงพี่ถึงพ่อแม่หรือไงน่ะ” ผมตอบกลับไป เจ้าเด็กน้อยทำท่าคิดหนัก ผมเลยพูดต่อ “นี่... เดี๋ยวสักพักก็ได้เจอกันอีกนั่นแหละ ไว้โตขึ้น ค่อยกลับมาหาลุงก็ได้ ลุงไม่หนีไปไหนหรอก”
“แต่ผมไม่อยากย้ายบ้านนี่นา”
“ทำไมล่ะ บ้านใหม่ไม่น่าอยู่หรือไง?” ผมถามเล่นๆ เจ้าเด็กน้อยทำหน้ายู่ “ไม่รู้ ผมชอบแถวนี้มากกว่า อยู่ที่นี่มาเล่นกับเพื่อนที่บ้านลุงได้นี่นา บ้านใหม่ผมไม่มีที่แบบนี้หรอก”
“อ้อ... งั้นไว้ช่วงปิดเทอมก็ค่อยขอพ่อแม่มาเที่ยวสิ หัดขึ้นรถเมล์กันเป็นแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าจะย้ายไปต่างจังหวัด”
“อือ ครับ แต่แม่บอกว่า นั่งรถมาหาลุงได้” คนพี่ตอบ แล้วหันไปหาน้อง “โก้กลับได้แล้ว เดี๋ยวแม่ว่านะ”
พอเห็นเจ้าคนน้องทำท่ายึกยักไม่ยอมกลับ ผมเลยต้องตะล่อมต่อ “กลับบ้านไปช่วยแม่เก็บของก่อนนะ ไว้เดี๋ยวปิดเทอมถ้าโก้มา ลุงจะทำชิงช้าใหม่เอาไว้ให้นั่งเลย”
“จริงนะครับ” เจ้าเด็กน้อยทำตาโต ผมพยักหน้า “อืม รับรองว่านั่งได้หลายคน ทนกว่าอันนี้แน่ๆ เพราะงั้น กลับบ้านไปช่วยแม่เก็บของก่อน อย่าดื้อนะ ไม่งั้นลุงไม่ให้กลับมาแล้วนะ”
เด็กคนน้องเงียบไปพัก สุดท้ายก็พยักหน้า ยอมกลับไปแต่โดยดี ผมมองสองคนเดินกลับไปที่บ้าน แล้วก็นึกขึ้นมาว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มีเด็กๆ แวะเวียนมาอยู่แถวนี้มากมายเหลือเกิน มาเล่นที่บ้านผมก็เยอะ แต่น้อยคนหรอกที่จะกลับมาเยี่ยมที่นี่อีกครั้ง บางคนเจอกันก็จำกันไม่ได้เสียแล้ว
อย่างสุภาพงษ์ไง....
ผมปิดประตูรั้ว เข็นจักรยานกลับเข้ามาในบ้าน นึกไปก็น่าแปลกใจเหมือนกัน ทำไมสุภาพงษ์ถึงไม่บอกผมแต่แรกนะว่าเคยอยู่ใกล้บ้านกัน เขาคงจำผมได้หรอก เพราะเขามาบ้านผมถูกโดยไม่ต้องถามทางเลยสักคำ ตอนนั้นผมยังนึกอยู่เลยว่าเขาเก่งจริงๆ ที่มาถึงที่นี่ได้ นี่ถ้าเคยมาเล่นที่บ้านก็น่าจะทักทายกันหน่อย ไม่ใช่มาบอกผมตอนหลังแบบนี้
แถมมาบอกในลักษณะนั้นอีก...
พอคิดว่าตัวเองถึงกับเป็นลมล้มตึงลงไปเพราะคำพูดของเขาวันนั้น ผมก็เกิดอาการหน้าร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แก่ขนาดนี้แล้ว ทำไมผมถึงยังใจเต้นกับเรื่องพวกนี้อีกนะ คงเพราะผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน นึกไม่ถึงด้วยว่ามันจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
แต่ผมไม่รู้สึกดีใจเลย ตกใจเสียมากกว่า
จู่ๆ บรรณาธิการของตัวเองก็มาบอกว่าเคยอยู่ข้างบ้าน แถมยัง........ ใครจะดีใจผมไม่รู้ แต่ผมไม่ดีใจแน่ ถึงแม้ผมจะยอมรับว่าชอบมองหน้าเขาเอามากๆ ก็เถอะนะ
สุภาพงษ์เป็นบรรณาธิการผม เด็กกว่าผมตั้งสิบกว่าปี แถมเป็นผู้ชาย แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกตกใจได้แล้วล่ะ แล้วต่อให้เขาเป็นผู้หญิง ผมก็คงไม่ปลื้มอะไร เพราะคิดว่าไม่มีปัญญาจะเลี้ยงไหวแน่
ผมว่าผมใช้ชีวิตคู่กับใครไม่ไหวหรอก.... แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว...
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งเฮือก รีบเดินจ้ำๆ เข้าไปรับโทรศัพท์ทันที พลางนึกว่าใครโทรมานักหนานะ
“อ้าว คุณพนิตอยู่เหรอครับ?!” ปลายเสียงทักขึ้นอย่างแปลกใจทันทีที่ผมกรอกเสียงลงไป ผมสิควรจะแปลกใจมากกว่า โทรมาเองแล้วมาพูดแบบนี้ได้ไงน่ะ
“ใครครับ” ผมถามเสียงเข้ม นึกว่าถ้าเป็นพวกโทรศัพท์ป่วนเมืองล่ะก็จะเทศนาสั่งสอนสักยกหนึ่ง ได้ยินเสียงปลายสายตอบเร็วทันใจ “กั้งครับ คุณพนิตไม่ได้อยู่กับไอ้โจเหรอครับ?”
“เปล่า” ผมตอบ พลางนึกว่าเขาจะถามทำไมนะ ในเมื่อที่โทรเข้ามาก็โทรศัพท์บ้าน ถ้าผมอยู่กับสุภาพงษ์แล้วผมจะรับโทรศัพท์เขาได้ยังไง “ผมกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“ห๊ะ!!” คุณากรร้องเสียงดังอย่างไม่เกรงใจคนปลายสายอย่างผม “คุณพนิตทิ้งมันให้อยู่คนเดียวหรือครับ?!”
“อืม” ผมส่งเสียงตอบกลับไปอย่างรำคาญ แล้วก็พูดต่อ “คุณกั้ง ผมว่าคุณแวะไปดูเขาหน่อยก็ดีนะ เขาอยู่คนเดียวน่ะ”
“โธ่...” คุณากรส่งเสียงครางกลับมา “ก็แล้วทำไมคุณพนิตไม่อยู่เป็นเพื่อนเขาล่ะครับ”
ผมเงียบไปเสีย เพราะขี้เกียจเล่าเรื่องที่หงุดหงิดเขาเมื่อวาน คุณากรเห็นผมเงียบไปพักใหญ่ ก็เลยพูดต่อ “งั้นเดี่ยวผมแวะไปก็ได้... ไอ้โจนะ ไอ้โจ...” ได้ยินเสียงเขาบ่นกระปอดกระแปดออกมาอีกสองสามคำ ก่อนจะวางโทรศัพท์ไป ผมถอนหายใจเฮือก นึกดีใจว่าในที่สุดสุภาพงษ์คงมีใครไปดูแลอาการสักที ไม่รู้ว่าอาการเขาหนักขนาดไหน หวังว่าคงไม่เป็นอะไรมากนะ
ผมวางโทรศัพท์แล้ว ก็เดินมาเปิดโทรทัศน์ ดูนั่นดูนี่ไปตามเรื่อง ผมเพิ่งส่งตอนล่าสุดไปเมื่อวาน ยังอีกหลายวันกว่าจะถึงกำหนดของอีกเรื่อง แล้วที่สำคัญ คนมาทวงต้นฉบับผมป่วย คงไม่มีใครมาเร่งผมในช่วงนี้หรอก
ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณากรไปถึงห้องของสุภาพงษ์รึยังนะ... แล้วสุภาพงษ์จะเป็นอะไรมากรึเปล่า ไม่ใช่ว่าโดนผมพูดเมื่อวานแล้วเขาจะป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้นหรอกนะ แต่เห็นยังโทรไปลางานได้ ก็น่าจะยังไม่หนักเท่าไหร่ล่ะมั้ง
หวังว่าคุณากรคงจะดูแลเขาได้นะ....
ผมดูโทรทัศน์ไปได้พัก ก็รู้สึกเบื่อ เลยปิด แล้วก็ว่าจะไปนั่งคิดเรื่องที่หน้าเครื่องพิมพ์ต่อ เรื่องของเด็กหญิงพิมชนกคิดไม่ยากอยู่แล้ว เขียนเสร็จก่อนก็ดี สุภาพงษ์จะได้ไม่ต้องลำบากมาตามทวงอีก
ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง จะไปหาหมอหรือยังนะ
กระดาษบนเครื่องพิมพ์ดีดน่ะเป็นหัวเรื่องของเด็กหญิงพิมชนก แต่ในหัวผมดันมีแต่เรื่องของสุภาพงษ์เต็มไปหมด ให้ตายสิ ทำไมผมถึงปากหนักไม่ขอเบอร์โทรของคุณากรมานะ จะได้โทรถามเขาได้ว่าสุภาพงษ์เป็นยังไงบ้าง
พอเห็นท่าว่าเรื่องเด็กหญิงพิมชนกจะกลายเป็นเรื่องของนายสุภาพงษ์ไป ผมเลยผละจากเครื่องพิมพ์ดีด กลับมาดูโทรทัศน์ต่อ แต่ยังไม่ทันจะหยิบรีโมทฯมากดเปลี่ยนช่อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ผมรีบวางรีโมทฯแล้วตรงไปรับทันที
“คุณพนิตครับ ผมกั้งนะครับ คุณพนิตมีหยิบกุญแจที่ผมให้กลับบ้านรึเปล่าครับ” เสียงปลายสายพูดเร็วปรื๋อ ทำเอาผมต้องจับต้นชนปลายอยู่พักใหญ่ “หมายถึงกุญแจห้องของสุภาพงษ์หรือ?”
“ครับ ผมอยู่หน้าห้องมันแล้ว แต่ไม่มีกุญแจไขเข้าไป เรียกมันก็ไม่เปิด สงสัยนอนอยู่มั้ง คุณพนิตมีหยิบไปรึเปล่าครับ”
“อืม” ผมตอบกลับไป ได้ยินเสียงเขาพูดอีก “งั้นรีบมาเลยนะครับ เพราะผมเองก็ต้องรีบไปทำงานเหมือนกัน”
“เอ่อ... หา?!” ผมอุทานออกไปด้วยความงุนงง คุณากรกรอกเสียงกลับมาอีก “ผมไปทำงานก่อนนะครับคุณพนิต แวะมาดูไอ้โจด้วยนะครับ เผื่อมันตายจะได้เรียกป่อเต็กตึ้ง”
“อย่าพูดอะไรบ้าๆ แบบนั้นนะ” ผมเอ็ดเขาไป จู่ๆ มาพูดเรื่องตายได้ไงน่ะ ได้ยินเสียงคุณากรตอบกลับมา “ครับๆ มานะครับคุณพนิต อย่าทิ้งโจมันไว้คนเดียวนะครับ มันชอบคุณพนิตมากเลยนะ”
ผมอ้าปากพะงาบๆ อยู่พัก ถึงพอจะกรอกเสียงตอบลงไปได้ “อืม”
“งั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ” คุณากรพูด แล้ววางสายไป ผมมองนาฬิกา เห็นว่าใกล้เที่ยงแล้ว แดดกำลังร้อนได้ที่ จะให้ออกไปข้างนอกก็ดูจะฝืนสังขารพอควร แต่ว่าเมื่อเช้าผมทานข้าวสาย แล้วสุภาพงษ์ก็ดูท่าทางจะป่วยหนัก แถมยังอยู่คนเดียว....
-------------------------------------
ท้ายที่สุด ผมก็ยอมจะฝ่าแดดออกมาเรียกรถแท็กซี่ เพื่อกลับไปดูอาการของสุภาพงษ์ที่คอนโดฯอีกครั้ง ให้ตายสิ เขาทำให้ผมต้องนั่งแท็กซี่สองวันติดกันแล้วนะ
ผมมาถึงคอนโดฯของสุภาพงษ์ประมาณบ่ายๆ เห็นมีขนมปังขายอยู่ตรงใกล้ๆ ทางเข้า เลยซื้อติดไม้ติดมือขึ้นไป เผื่อว่าเขาจะหิว เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการเขาเป็นอะไรขนาดไหนแล้ว เผื่อไว้ก่อนก็คงไม่เสียหายอะไร
ถึงหน้าประตู ผมยกมือเคาะเบาๆ พอเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับ หรือใครมาเปิดประตูสักที ก็เลยค่อยหยิบกุญแจมาไขเข้าไป
ห้องของสุภาพงษ์ยังดูเป็นปกติเหมือนเมื่อวาน เพียงแต่โต๊ะรับแขกดูโล่งขึ้นหน่อย และไม่มีเจ้าของห้องนอนอยู่ตรงโซฟาแล้ว ผมก้มลงไปดูชั้นวางรองเท้าก็เห็นยังอยู่ครบคู่ดี เลยถือวิสาสะเดินไปเปิดประตูห้องนอนของเขา
เฮ้อ... เขากำลังนอนหลับอยู่จริงๆ ด้วย เสื้อผ้าก็ยังเป็นของเมื่อวานตอนที่ผมออกมา ท่าทางเขาคงจะยังไม่ได้อาบน้ำ
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่า เขานอนกอดอะไรอยู่ด้วย ไม่ใช่หมอนข้าง เหมือนเป็นถุงผ้าอะไรสักอย่าง วินาทีต่อมาผมถึงจำได้ว่าเป็นถุงใส่เสื้อผ้าของผมเอง
“..............................”
ผมบอกความรู้สึกไม่ถูก อธิบายไม่ได้หรอกว่ามันเป็นยังไง ตอนที่เห็นว่าเขากอดถุงใส่เสื้อผ้าผมอยู่ พอเงยหน้าขึ้นไปหน่อย ก็เห็นตรงหัวเตียงมีซองใส่ต้นฉบับวางเอาไว้
อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนเขานอนพร้อมกับของพวกนี้........
ผมค่อยๆ นั่งลงบนเตียงข้างเขา หน้าตาเขาดูแย่กว่าเมื่อวานเสียอีก ผมเห็นมือตัวเองสั่น ตอนที่ยกไปแตะหน้าผากเขา พอแตะโดน ผมถึงกับสะดุ้ง เพราะตัวเขาร้อนจี๋ แบบนี้ผมว่าอาการเขาไม่ธรรดมาแล้วล่ะ
“โจ..” ผมเรียกชื่อเขา แล้วลองเขย่าตัวเขาดู แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะรู้สึกตัวเลย แบบนี้ปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ดีแน่ ผมรีบเดินไปหยิบอ่างใส่น้ำ กับผ้ามาช่วยเช็ดตัวเขา แต่ตัวเขาร้อนจัดขนาดนี้ เช็ดแค่หน้าผากคงไม่พอแน่ ผมเลยจำต้องจัดการพลิกตัวเขาให้หงายขึ้นมาก่อน สุภาพงษ์ก็ตัวหนักจริงๆ กว่าผมจะพลิกตัวเขาได้ก็เล่นเอาเหนื่อย แถมพลิกขึ้นมาแล้วยังกอดถุงใส่เสื้อผมแน่นไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก นี่ขนาดไม่รู้สึกตัวนะเนี่ย
เพราะต้องการจะเช็ดตัวเขาด้วย ผมเลยต้องดึงถุงใบนั้นออก ถุงก็ของผม เสื้อก็ของผมแท้ๆ แต่เขาดันจับเสียแน่น ตอนแรกว่าจะค่อยๆ ดึงออกก็ไม่ไหว เลยต้องง้างออกมาแทน
“อื้อ!!” พอดึงถุงใส่เสื้อผ้าออกมาได้ สุภาพงษ์ก็เริ่มส่งเสียงทันที แถมคว้ามือออกมาอย่างกับว่าผมจะขโมยของเขาอย่างนั้นแหละ “พี่นิต อย่าไปนะ”
ผมชะงักกึก มือเขาที่คว้ามั่วๆ มาก็เลยคว้าทั้งแขนทั้งถุงที่อยู่ในมือผม คว้าได้แล้วเขาก็เอาไปกอดแน่น “พี่นิต...”
“............” เอาล่ะ ผมตั้งใจจะเช็ดตัวลดความร้อนให้เขา เพราะงั้น ถูกเขากอดมือแน่นแบบนี้ไม่เข้าท่าแน่ๆ ไข้เขายังสูงอยู่ ปล่อยให้เพ้อไปคงจะเป็นอันตราย ผมเลยพยายามจะดึงมือออก แต่สุภาพงษ์นอกจากตัวใหญ่แล้วแรงยังเยอะอีกต่างหาก ขนาดว่าป่วยนะเนี่ย ผมดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก แถมเหมือนเขาจับแน่นขึ้นด้วย ผมไม่รู้จะทำไง เลยก้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ ลองพูดกับเขาดู “โจ พี่นิตเองนะ... โจปล่อยพี่ก่อน พี่จะได้เช็ดตัวให้”
สุภาพงษ์สั่นศีรษะแบบไม่ค่อยจะได้สติ จากนั้นก็ยิ่งกอดถุงเสื้อผ้าพร้อมมือผมแน่นกว่าเดิม ผมไม่รู้จะทำไง เลยต้องใช้อีกมือไปคว้าผ้ากับอ่างมาช่วยเช็ดตัวให้เขา เพราะมีอยู่มือเดียว น้ำเลยกระเซ็นเปียกเตียงไปหลายรอย ถ้าเขาตื่นมาแล้วจะโทษใครเรื่องนี้ ก็คงต้องโทษตัวเองนั่นแหละ ทำตัวเป็นเด็กติดมือพ่อติดมือแม่ไปได้
ผมเริ่มเช็ดจากหน้าเขาก่อน แต่เพราะถูกจับมืออยู่ ท่ามันเลยไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ จะนั่งก็ไม่นั่ง จะนอนก็ไม่นอน เอื้อมๆ แบบแปลกๆ แต่เอาน่ะ ไม่มีใครเข้ามาเห็นหรอก แล้วผมก็ทำไปด้วยความหวังดีอย่างที่สุด เพราะงั้น ถึงหน้าเขาจะเปียกสักหน่อย เสื้อเขาจะเลอะน้ำ เตียงเขาจะเปียกเป็นหย่อมๆ เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะมาว่าอะไรผมหลังจากนี้
สุภาพงษ์สะดุ้งหน่อยตอนที่ผมแตะผ้าลงบนตัวเขา แต่ก็ไม่ได้ดิ้นไม่ได้โวยวายอะไร ผมเลยเช็ดตัวเขาต่อ เพราะตัวเขาร้อนจัด เช็ดไปได้รอบหนึ่งก็ต้องเอาผ้าไปล้างน้ำ ดีที่พอเช็ดแล้วท่าทางเขาจะรู้สึกสบายขึ้น เลยยอมคลายมือออกหน่อย ผมเลยขยับได้ถนัดขึ้น ผมล้างผ้าเสร็จแล้วก็หันกลับมาเช็ดหน้าเขาต่อ
เฮ้อ... เขาก็หน้าตาดีหรอกนะ... นิสัยก็พอจะใช้ได้ ไม่น่ามาฝังใจอยู่แบบนี้เลย
ผมเช็ดหน้าพลางมองคางได้รูปของเขาเพลินๆ จู่ๆ เขาก็ปล่อยมือผม ผมเลยขยับมือออกมาเตรียมจะปลดกระดุมเสื้อเขาออก จะได้เช็ดเนื้อเช็ดตัวด้านในให้ แต่ยังไม่ทันได้ปลดกระดุมเขาสักเม็ด ผมก็มีอันต้องสะดุ้ง เมื่อรู้สึกว่าเอวถูกมืออุ่นจัดคู่หนึ่งจับเอาไว้ พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นสุภาพงษ์กำลังมองผมอยู่ ตาสีดำของเขาดูทั้งตกใจ ทั้งงุนงง แต่ผมสิ อึ้งกว่าเขาอีก
“พี่นิต!”
ผมคิดอยู่หรอกว่าเขาคงตกใจแน่ ที่จู่ๆ ก็มีใครคนอื่นมาเช็ดตัวให้ แถมท่าทางที่ผมเช็ดตัวเขาอยู่ก็ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่... อย่างที่บอกนั่นแหละ เพราะเขาจับมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ผมเลยขยับตัวไม่ค่อยสะดวก ตัวเขาก็สูงกว่าผม ดังนั้นผมเลยต้องแนบตัวลงไปบนตัวเขาเพื่อจะเช็ดตัวให้ ก็บอกแล้วว่าท่าทางมันน่าเกลียด แต่ผมไม่คิดว่าจะมีใครเห็นนี่นา
“เอ่อ...” ผมเปล่งเสียงในคอแก้เก้ออย่างไร้ความหมาย กะว่าจะยิ้มให้เขาสักหน่อย แล้วอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ สุภาพงษ์ก็รวบเอวผมไว้แน่น จนหน้าผมซุกลงบนซอกคอของเขา อืม... เหมือนตัวเขาจะเย็นลงหน่อยแล้วล่ะมั้ง ที่ผมเช็ดตัวไปตะกี้คงได้ผลบ้างล่ะ
ผมพยายามจะยันตัวลุกขึ้น เพราะเชื่อแน่ว่าท่าทางที่เป็นอยู่ตอนนี้คงน่าเกลียดอย่างที่สุดแน่ๆ แต่สุภาพงษ์ก็กอดแน่นซะเหลือเกิน อย่างกับกลัวผมจะลอยไปไหนงั้นแหละ ผมเลยได้แต่เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็เห็นสายตาสีดำสนิทของเขาที่เบือนกลับมามองพอดี
“พี่นิต”
“เอ้อ.. โจ คือพี่...” ผมเตรียมจะบอกเขาว่า ผมกำลังพยายามจะเช็ดตัวลดไข้เขาอยู่ แต่ยังไม่ทันได้พูด สุภาพงษ์ขยับมือขึ้นมาตรงหลังผม แล้วรวบตัวผมเข้าไปอีก หน้าผมเลยซุกไปที่ซอกคอของเขาอีกแล้ว ได้ยินสุภาพงษ์พูดเสียงพร่า
“ผมรักพี่นะ ผมรักพี่ที่สุดเลย”
ผมอ้าปากพะงาบๆ นึกไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรตอบเขาไป แน่นอนว่าผมยังไม่ทันคิดออก ก็ได้ยินเสียงเขาพูดต่ออีก “อย่าไปไหนเลยนะ อย่าทิ้งผมไปเลยนะ”